สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึงอาหารจากแดนอาทิตย์อุทัย ก็นับว่าชื่อเสียงส่องมาถึงบ้านเราเต็มๆ เหมือนกันนะคะ บางคนอาจจะเคยพรีออเดอร์ ซื้อจากร้านค้า หรือหาโอกาสจองตั๋วบินไปตระเวนชิมถึงที่ เบื้องหลังภาพความสำเร็จนี้ก็คือการที่รัฐบาลญี่ปุ่นเน้นพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ ควบคู่กับการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่สะท้อนวัฒนธรรมได้ อีกทั้งอุตสาหกรรมกลุ่มอาหารสำเร็จรูปยังเติบโตเร็ว อันเป็นผลจากวิถีชีวิตแบบเร่งรีบของคนในประเทศ
และวันนี้เราจะพาไปเปิดโลกการเรียนต่อและวัฒนธรรมด้านอาหาร จากประสบการณ์ของ "พี่จ๋า" บัณฑิต FoodTech จุฬาฯ ที่เริ่มต้นเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนบิน แล้วได้ทุนเต็มจำนวน หรือ “ทุนมง” (Monbukagakusho) ไปเรียนต่อ ป.โท สาขา Food Science ภายใต้คณะเกษตรที่ Kagawa University ทั้งเรียนเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน แคมปัสก็อยู่ในจังหวัดทางชนบทที่แทบไม่มีคนพูดอังกฤษเลย และที่ชาเลนจ์อีกคือการเรียนในโปรแกรมพิเศษที่เทรนนักศึกษาพร้อมทำงานในประเทศญี่ปุ่นหลังเรียนจบทันที จะน่าสนใจขนาดไหน ตามมาอ่านและดูคลิปเพลินๆ กันเลยค่ะ~
จุดเริ่มต้น
เมื่อแอลกอฮอล์พาฉันมาที่นี่~
สวัสดีค่า ชื่อจ๋านะคะ เรียนจบ ป.ตรี จากภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร (FoodTech) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เหตุผลที่เข้าคณะนี้เพราะมีแพสชันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อยากศึกษากรรมวิธีการผลิตพวกเบียร์ไวน์แบบจริงจัง พอปี 3 ที่ต้องฝึกงาน 3 เดือน เลยอยากฝึกสิ่งที่ตัวเองสนใจ
...แต่เด็กมหาลัยไทยทำเหล้าเบียร์ไม่ได้~
แล้วพอดีอาจารย์ในภาค offer ให้เราได้ไปฝึกงานด้าน Food BioTechnology ทำโปรเจ็กต์เกี่ยวกับเชื้อจุลินทรีย์ที่จังหวัดนีงาตะ (Niigata) ที่มาที่ไปคือประเทศญี่ปุ่นมีระบบให้คนทำวิจัยเพื่อคืนความรู้สู่ประเทศ หมายความว่าถ้าบริษัทต้องการเงินสนับสนุนจากรัฐบาล หลังจากได้เงินสนับสนุนไปแล้วก็ต้องทำงานวิจัยคืนสู่ประเทศ อย่างบริษัทอาหารก็จะทำแล็บเพื่อคืนความรู้สู่เกษตรกร ประมาณนี้ค่ะ ^^ แล้วที่ญี่ปุ่นอาหารหมักยังดังมากด้วย อย่าง มิโซะ นัตโตะ เหล้าสาเก หรือเบียร์คราฟต์ที่ตอนนั้นเริ่มบูมแล้ว
ยิ่งตอนไปถึงเราสนุกกับการทำแล็บมากกก ถ้าตอน ป.ตรี เค้าจะบอกขั้นตอน 1, 2, 3, 4… ถ้าทำตามจะได้ผลแบบนี้นะ แต่ตอนฝึกงานจะมีแค่โจทย์ให้เราหาวิธีทำเพื่อให้ได้ตามบรีฟ เฮ้ย ชอบ ได้คิดเองทำเองหมดเลย อาจจะมีปัญหาบ้างตรงที่เราไม่เคยเรียนญี่ปุ่นมาก่อน ส่วนฝั่งเค้าอังกฤษไม่แข็ง แต่ก็มีวิธีสื่อสารให้เข้าใจตรงกันได้
จากก่อนฝึกงานที่ไม่ได้มีแพสชันเกี่ยวกับญี่ปุ่น ก็กลับมาพร้อมความประทับใจและคิดอยากเรียน ป.โท เพื่อต่อยอดความรู้เรื่องการหมัก (Food Fermentation) เลยมองหา ม.ที่เปิดสอนภาคที่สนใจในญี่ปุ่น รีเสิร์ชข้อมูลเยอะมากว่าอาจารย์ทำหัวข้อวิจัยแนวไหนบ้าง เพราะ ป.โท จะเน้นทำแล็บ นอกนั้นก็ดูเรื่องสภาพแวดล้อมกับอากาศว่าเราอยู่ได้มั้ย
. . . . . .
เดินหน้าสมัครทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
เรียนต่อ FoodSci และโปรแกรมสุดพิเศษ
**สำหรับทุนนักศึกษาวิจัย (Research Student) ระดับ ป.โท/เอก ประจำปี 2566 เปิดรับสมัครถึง 6 มิ.ย.65 ศึกษารายละเอียดทุนได้ที่ https://www.dek-d.com/studyabroad/60296
ทุนวิจัย ป.โท จะครอบคลุมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัคร ค่าเรียนตลอดหลักสูตร ค่าตั๋วไป-กลับประเทศญี่ปุ่น กับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน สามารถยื่นได้ 2 ทางคือ Embassy Track สถานทูตจะคัดเลือกผู้สมัครจากประเทศไทยก่อน ถ้าผ่านเราจะได้เลือกมหาวิทยาลัยต่อ กับอีกแบบคือ University Track *เราสมัครแบบนี้ เริ่มจากไปติดต่อ ม.ก่อนว่าจะสมัครทุน MEXT แล้วเขาจะไปดำเนินการต่อกับทางทุน
สำคัญมาก! ก่อนถึงวันหมดเขตส่งใบสมัคร นอกจากติดต่อออฟฟิศของภาคที่เราจะสมัครแล้ว เราควรติดต่อหา Professor (= อาจารย์ที่อยากให้เป็นที่ปรึกษาหัวข้อวิจัย ป.โท) เพื่อแนะนำตัวและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำก่อน ไม่งั้นโอกาสตอบรับที่มหาวิทยาลัยตอบรับเข้าเรียนจะต่ำมาก อย่าลืมเตรียมศึกษาข้อมูลให้พร้อมที่สุด ไม่ควรถามสิ่งที่เค้ามีเขียนไว้อยู่แล้วค่ะ
ในกรณีของมหาวิทยาลัยจ๋า ในใบสมัครเรียนจะมีช่องให้ติ๊กเลือกว่าเราสนใจสมัครทุน MEXT และอีกช่องคือ Career Development Program (CDP) ตอนนั้นเราสมัครทั้งทุนและโปรแกรมนี้เลย สำหรับคนที่สมัครโปรแกรม CDP จะได้เรียนเพิ่มจากหลักสูตร FoodSci อีกเพื่อเตรียมพร้อมทำงานในอุตสาหกรรมนี้ที่ญี่ปุ่น เช่น Business Japanese, Japanese Culture, Food Hygiene ฯลฯ ข้อกำหนดคือต้องสอบ JLPT N2 ผ่านก่อนจบ และหลังเรียนจบต้องเซ็นสัญญาทำงานที่ญี่ปุ่นทันที // โปรแกรมนี้พิเศษมากก มีคอนเนกชันกับหลายบริษัทด้วย เดี๋ยวจะมารีวิวพร้อมพาร์ตการทำงานหลังเรียนจบนะคะ
ดูคลิปรีวิวการเตรียมตัวสมัครทุนด้านล่างนี้เลย!
. . . . . .
เพราะว่าเราเรียนโปรแกรมพิเศษ
ทุกอย่างจึงพิเศษ!
ปกติเราเป็นคนชอบความท้าทาย คติประจำใจคือไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
แต่พอมาอยู่ญี่ปุ่นก็เริ่มคิดว่า เอ๊ะ หรือสิ่งนั้นคือภาษาญี่ปุ่นวะะะ
ถ้าเรียน ป.โท โปรแกรมอื่นๆ จะเรียนเป็นภาษาอังกฤษ แต่โปรแกรม CDP ทำขึ้นสำหรับคนที่อยากทำงานต่อในญี่ปุ่น ภาษาญี่ปุ่นจึงสำคัญมาก!! ก่อนเปิดเทอมจะต้องพก JLPT N4 มาด้วย เราก็ถูๆ ไถๆ อ่านเองครึ่งนึง ลงคอร์สเล็กน้อยเพื่อเสริมความเข้าใจ
Note: การสอบ JLPT
- แบ่งเป็น 5 ระดับคือ N5, N4, N3, N2, N1 ต่ำสุดคือระดับ N5
- ไม่ต้องไล่ระดับจากต่ำไปสูงสุดก็ได้ เลือกสอบระดับที่คิดว่าไหวได้เลย
- มีสอบปีละ 2 ครั้ง ตอนเดือนกรกฎาคมกับธันวาคม
พอไปถึงญี่ปุ่นวันแรก ใครพูดอะไรมาก็ตอบไม่ได้เลยค่า การสอนและชีททุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่น ไหนจะอยู่จังหวัดคนไม่ค่อยมีคนพูดภาษาอังกฤษอีก เรียนด้วยใช้ชีวิตด้วย work hard จนร้องไห้เลยตอนนั้น ท้อแบบอยากกลับบ้านนนน
ด่านแรกที่เจอคือ ทางโปรแกรม CDP กำหนดว่าเราต้องสอบ N3 ผ่านภายในเดือน 12 ตอนบินไปเดือน 10 เรายังไม่รู้คันจิอะไรเลย อ่านไม่ออก พอไปสอบเดือน 12 ก็ขาด 2 คะแนน เสียใจหนักมากเพราะตั้งความหวังไว้สูง ส่วนนึงเพราะเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นด้วย แต่ลองคิดอีกมุม “อีกแค่ 2 คะแนนเอง ก็ไม่แย่มั้ย” เอาวะสู้ใหม่! แข่งกับตัวเอง แล้วสักพักก็เห็นว่าพัฒนาการเราดีขึ้นเรื่อยๆ พอสอบอีกรอบก็ผ่าน!
จากนั้นชาเลนจ์ตัวเองต่อว่าอยากได้เกิน 120 คะแนน (ถ้าผ่านคือ 90 คะแนน) ปรากฏว่าได้ 146 โอ้ววว ลุยต่อสิ แล้วล่าสุดก็เพิ่งผ่าน N2 มา แล้วเดี๋ยวเร็วๆ นี้จะสอบ N1 แล้วค่ะ~
วิธีเรียนภาษาของเราก็คือออ
- หาแพสชันให้เจอ ทำไมเราถึงอยากทำได้? ถ้าเราเองคืออยาก survived อยากทำงานและพูดให้ได้
- ค่อยๆ หาวิธีเรียนที่เหมาะกับเรา การอ่านหนังสือมันง่วงสำหรับเรา แต่รู้ตัวว่าชอบพูด เลยไปลงคลาสพูดออนไลน์กับคนญี่ปุ่นวันละ 15 นาทีแทน เฮ้ย สนุก!! ได้ศัพท์ใหม่ๆ ตลอด พออยู่ตัวเราก็เริ่มมาอ่านหนังสือ เอาศัพท์มาใส่แอป Flashcard Quizlet นั่งเล่น ทำทุกอย่างให้สนุกและง่ายขึ้น
. . . . . .
เรียนแคมปัสเกษตรที่จังหวัด Kagawa
สูดอากาศบริสุทธิ์ คุณภาพชีวิตเลิศ
คณะ Agriculture ของ Kagawa University จะเป็นแคมปัสแยกมาอยู่ชนบท แต่ให้ฟีลที่รับรองเลยว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี! มีไร่เกษตรในคณะเป็นของตัวเอง เครื่องมือครบ หรือถ้าใครจะทำวิจัยเชื่อมโยงกับฟิลด์สุขภาพแล้วต้องการเครื่องมือที่คณะเราไม่มี ก็ข้ามไปทำแล็บที่แคมปัสคณะแพทย์ได้ อาจารย์ใจดีและรู้จักกันหมด
ตอนอยู่ไทยเราเกิดและโตที่กรุงเทพ พอมาเจอสภาพแวดล้อมจากหน้ามือเป็นหลังมือยังชอบมาก แม้ Kawaga จะเป็นจังหวัดที่เล็กที่สุดก็จริงแต่ความเจริญเข้าถึง มีรถบัสและห้างร้านครบ ชาวบ้านน่ารักและใจดี เวลาเราเดินผ่านก็ “สวัสดีตอนเช้า” “วันนี้อากาศดีนะ~” น่ารักและใจดีมากกกก บรรยากาศรอบๆ ก็เงียบสงบไม่มีอะไรมารบกวนเลย
บางวันถ้ามีเวลาก็จะไปปั่นจักรยาน ปีนเขา เดินเล่นสวนสาธารณะ (ญี่ปุ่นมีภูเขาเยอะ) และข้อดีอีกอย่างของ Kagawa คือไม่ค่อยมีแผ่นดินไหว ถึงมีก็ซ่าแบบสั่นๆ เล็กๆ มีหิมะตกแต่ไม่มาก มีทุกอย่างแต่แบบกลางๆ ไม่มากเวอร์
**ด้วยความที่อยู่บ้านนอกญี่ปุ่น ทุกอย่างจะถูกลงแบบไม่น่าเชื่อ ถ้าเทียบกับเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ เช่น โตเกียว เกียวโต ก็ถือว่าประหยัดได้เยอะเลยค่ะ มีเงินเก็บไว้ไปเที่ยว ><
. . . . . .
วิชาสนุกๆ เพียบ
และ ป.โท จะเน้นทำแล็บเป็นหลัก
เล่าก่อนว่าที่ประเทศญี่ปุ่นคนรวยมักจะเป็นคนที่มีที่ดินทำการเกษตร ดูแลกิจการไร่นาของตัวเอง ซึ่งภาค Food Science ก็อยู่ภายใต้คณะ Agriculture และเลือกลง CDP ได้ เพื่อนที่เรียนด้วยกันมีหลายชาติ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เม็กซิโก จีน ฮ่องกง ไทย ฯลฯ
วิชาเรียนจะอยู่ในขอบข่ายของ Food Science แต่ลึกขึ้น แนะนำว่าควรมีพื้นฐาน Food มาก่อนบ้าง เพราะอย่าลืมว่าต้องเจอภาษาญี่ปุ่นด้วย ╥﹏╥ เท่าที่สังเกตเพื่อนที่ข้ามฟิลด์มาจะต้อง work hard พอสมควรเลยค่ะ ส่วนเราจบ ป.ตรี Food Tech ก็เลยมีเนื้อหาบางส่วนสัมพันธ์กัน
ตัวอย่างวิชาเรียน
“ความปลอดภัยทางอาหาร” (Food Hygiene) เป็นวิชาที่เปิดโลกสุดๆ เพราะด้วยปัจจัยเรื่องที่ตั้งทำให้ไทยกับญี่ปุ่นมีข้อจำกัดบางอย่างต่างกัน เช่น เชื้อจุลินทรีย์บางชนิดไม่มีในไทยแต่มีในญี่ปุ่น หรือบางวิธีที่คนไทยใช้อาจทำไม่ได้ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น เราจะได้เรียนรู้ในมุมของประเทศญี่ปุ่น เพราะเค้าต้องการเตรียมพร้อมให้เราไปทำงานในอุตสาหกรรมญี่ปุ่นนั่นเอง (Wow!) ความท้าทายคือศัพท์เฉพาะเยอะ เราเลยไปเช็กก่อนว่าวีคนี้จะได้เรียนอะไร แล้วไปอ่านกับหาความหมายมาก่อนล่วงหน้า
“ธุรกิจญี่ปุ่น” (Japanese Business) เป็นหนึ่งในวิชาโปรแกรม CDP เค้าจะให้เราประยุกต์ Food Science กับ Business ลองคิดผลิตภัณฑ์ขึ้นมานำเสนอ แล้วอาจารย์จะคอมเมนต์ให้เราพัฒนาต่อ ตอนนั้นเราทำเป็น project โอนิกิริพวกไส้ลาบหรือไส้มัสมั่นงี้ จับมา mix กัน
ตอนเรียนจะมีทั้งวิชาที่เชิญคนจากบริษัทใหญ่ๆ มาบรรยาย เช่น บริษัทผลิตเนย อาหารแช่แข็ง ฯลฯ ช่วยให้เห็นภาพว่าสิ่งที่เรียนประยุกต์กับโลกการทำงานได้จริง รวมถึงมีวิชาที่ให้ไปดูโรงงานผลิตถึงที่ด้วย อาจารย์มีคอนแทคเยอะมากกกตั้งแต่อาหารแช่แข็ง โชยุ สารปรุงแต่งอาหาร ซอส ฯลฯ *ประเทศญี่ปุ่นจะดังเรื่องอาหารแช่แข็งเพราะคนใช้วิถีชีวิตแบบเร่งรีบ เค้าเลยมุ่งพัฒนาด้านนี้เร็ว แช่ยังไงให้ได้คุณภาพเท่าเดิม
(ไปดูภาพกีฬามันส์ๆ ในคลิปนี้เลยยยย!)
เกือบทุกวิชาจะให้ทำ Report หลังเรียนจบคลาส ยกเว้นวิชา “วัฒนธรรมการทำงาน” ที่มีสอบปฏิบัติ วิชานี้ทั้งสนุกและทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย ต้องขนาดนี้เลยเหรอ!! เราจะได้เรียนเจาะลึกตั้งแต่ความคิดของคนญี่ปุ่นที่มีต่องานและข้อปฏิบัติที่ควรรู้ (Do & Don’t) เช่น การโค้งคำนับมีกี่ระดับ เวลาแลกนามบัตรกับคนญี่ปุ่นต้องทำยังไงบ้าง เราไม่ควรจะรับมาแล้วเก็บเข้ากระเป๋าทันที ต้องทำท่า appreciated หน่อย อ่านชื่อและตำแหน่งเพื่อให้วางตัวกับเขาได้ถูก เป็นต้น รวมถึงมีสอนวิธีปฏิบัติตัวตอนไปสัมภาษณ์งาน เช่น ต้องแต่งตัวแบบนี้ เคาะประตู 3 ครั้ง ฯลฯ เวลาสอบก็อาจจำลองสถานการณ์สัมภาษณ์งานจริง เคาะประตูให้เค้าดูไรงี้ 555
**โปรแกรม CDP อาจารย์จะเคร่งเรื่องมารยาทเป็นพิเศษ เพราะเค้าต้องการเตรียมพร้อมเราไปทำงานกับคนญี่ปุ่น แค่กระดกน้ำก็โดนดุแล้ว
. . . . . .
เล่าชีวิตชาวแล็บ & โปรเจ็กต์แสนสนุก
ปีนขึ้นเขาไปเก็บใบชา~
เราทำโปรเจ็กต์เรื่อง “Awa-bancha” ชาหมักท้องถิ่นที่ผลิตโดยชาวบ้านจังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima:徳島) ใกล้กับ Kagawa ยังคงวนเวียนกับเครื่องดื่มและการหมักเพราะคิดว่าต่อยอดงานด้านที่เราสนใจได้ ซึ่งเราเองมาเจอสังคมแล็บที่อบอุ่นสุดๆ อาจารย์ที่ปรึกษาใจดี ดูแลนักเรียนจนเหมือนเป็นผู้ปกครอง เพื่อนในแล็บก็น่ารัก ทุกคนเป็นคนญี่ปุ่นหมดเลยค่ะ
นอกจากทำวิจัยกับเขียนเปเปอร์ อาจารย์ที่ปรึกษาพานักเรียนในแล็บทั้งหมดไปลงพื้นที่จริงเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 อย่างเราไปเก็บชามาทำวิจัย เพื่อนคนอื่นอาจเก็บตัวอย่างดิน หาเชื้อจุลินทรีย์ ฯลฯ ตามหัวข้อที่ตัวเองทำ ตกดึกก็นอนค้างคืนที่ฟาร์มเหมือนออกทริป ตอนนั้นเจอชาวบ้านพูดภาษาถิ่นรัวๆ ผ่านมาได้เพราะอาจารย์ช่วยเลยค่ะ 5555 สนุกๆ แต่ต้องแพลนทุกอย่างให้เป๊ะ เพราะถ้าพลาดจะไม่มีตัวอย่างให้เก็บแล้วนะ~ เขาหมักชากันแค่ปีละครั้ง
เล่าเพิ่มเติมคือในโปรแกรมจะมีอาจารย์ที่แบ่งกันดูแลงานวิจัยของเรา 3 ด้านคือ วิทยาศาสตร์, ธุรกิจ และ ภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเราจะมีเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่น 1-2 ตัวอยู่แล้ว (แบ่งตามเลเวล JLPT ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน) ในเทอมแรกต้องเขียนแผนวิจัย 1 ครั้งส่งให้อาจารย์ญี่ปุ่นดูเพื่อคอมเมนต์แล้วปรับแก้ต่อค่ะ ซึ่งความยากของภาษาญี่ปุ่นคือมีภาษาพูดกับภาษาเขียน เป็นคำเดิมแค่เปลี่ยนรูปกับ Tense แต่ที่เปลี่ยนจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยคือภาษาสุภาพ ปกติจะมีใช้ตอนเขียนอีเมล
. . . . . .
เล่าเรื่องการหางานที่ญี่ปุ่น
และความดีงามของโปรแกรม CDP
อ้างอิงประสบการณ์เรียนในโปรแกรม Career Development Program (CDP) ของปีเรา** ข้อกำหนดคือต้องสอบผ่าน JLPT N2 ก่อนเรียนจบ สมมติว่าธีสิสเสร็จแต่ยังสอบภาษาไม่ผ่านก็ต้องสอบวนไปจนกว่าจะผ่าน ที่สำคัญคือต้องเซ็นสัญญาทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นหลังเรียนจบ แต่ไม่ได้กำหนดตำแหน่งและระยะเวลาทำงาน
หางานที่ไหน?
- เว็บสมัครงานสำหรับชาวต่างชาติ
- ระบบหางาน (Job Hunting) ทุกบริษัทที่ญี่ปุ่นจะเปิดรับสมัครช่วงเดือน 3-4 พร้อมกันผ่านแอปฯ ชื่อ Mynavi マイナビ หน้าตาแบบภาพด้านล่างนี้~ ถ้าคนต่างชาติสมัครก็ต้องทำตามระบบและเจอกระบวนการเหมือนกับคนญี่ปุ่น โดยทั่วไปคือเริ่มจากส่ง Entry Sheet มี 2-3 คำถาม ใส่ความคิดเห็นของเราลงไป ถ้าผ่านรอบแรกจะได้เข้ารอบ 2 ส่ง Resume (มีกำหนดรูปแบบมาให้ตายตัว) จากนั้นอาจจะได้สัมภาษณ์กับ HR ตามด้วยสัมภาษณ์กับหัวหน้างาน ฯลฯ ส่วนใหญ่จะ process เยอะคล้ายๆ กัน
3. **ข้อดีของ CDP คือโปรแกรมมีความร่วมมือกับบริษัทหลายแห่ง เช่น ปีนี้บริษัท…อาจบอกว่าต้องการเด็ก Kagawa CDP จำนวน…คน ถ้าสมัครแล้วสัมภาษณ์ผ่านก็สามารถเลือกเข้าไปทำงานที่นั่นได้ ไม่บังคับ แต่เหมือนเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ได้งานง่ายกว่า
คนญี่ปุ่นหางานกันตอนไหน?
ช่วง 1 ปีก่อนเรียนจบ เช่น ตอนเรียน ป.ตรี ปีสาม หรือตอนจบ ป.โท ปีแรก แต่ละคนก็จะสมัครกัน 10-20 บริษัท ซีเรียสมากๆ และเป็นวัฒนธรรมที่คนไม่นิยมมี gap year และไม่ชอบทำอะไรแตกต่างจากคนอื่นในสังคมด้วย
. . . . . .
แชร์ประสบการณ์หางานของเราเอง
สมัครกี่ที่? ได้งานที่ไหน?
สมัครไป 5 ที่ มีทั้งสมัครบริษัทที่ co กับโปรแกรม, สมัครตามระบบ Job Hunting และมีสมัครเว็บหางานของเด็กต่างชาติ เจอมาหมดแล้วววการสัมภาษณ์ ใส่สูท เคาะประตู 3 ครั้ง 5555 เรื่องวัฒนธรรมแต่ละที่จะซีเรียสมากน้อยต่างกันนะคะ
สุดท้ายเราก็ได้เข้ามาทำงานบริษัทเกี่ยวกับแอลกอฮอล์แห่งหนึ่งในเกียวโต กว่าจะได้งานนี้จะมีด่าน Entry Sheet, Resume, สัมภาษณ์, Internship, ทัวร์บริษัท ถ้าผ่านจะเข้าสู่ขั้นตอน Training (ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่น Internship คือการไปศึกษาดูงานที่บริษัท อาจสั้นแค่ 1 วันหรือครึ่งวันก็ได้ แต่ถ้า Training คือการเตรียมพร้อมก่อนทำงาน ระยะเวลาขึ้นอยู่กับบริษัท)
เราตัดสินใจเลือกบริษัทที่ไม่ใหญ่มาก เพราะอยากโตไปกับบริษัท บวกกับเจ้าของเป็นคนอังกฤษ มีความอินเตอร์ในระบบการทำงาน แต่ยังอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ทำงานกับคนญี่ปุ่น ก็เลยเป็นความลงตัวสุดยอด เจอบรรยากาศทำงานจริงจังและเปิดกว้าง สวัสดิการดี ไม่คุยเรื่องงานหลังเลิกงานหรือในไลน์ส่วนตัว และสามารถเลิกงานตรงเวลาได้โดยไม่ต้องรอหัวหน้ากลับก่อน อยู่ที่นี่เรามีโอกาสได้ใช้ทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเลยค่ะ
ส่วนเรื่องเนื้องาน ย้อนไปสมัยทำแล็บอาจใช้แค่ 10ml ถ้วยตวงคิ้วท์ๆ พอเจอการทำงานจริงเค้าผลิตครั้งละเป็นพันๆ ลิตร ต้องยก หมุนวาล์ว ผสม ฯลฯ ใช้ทั้งแรงทั้งสมองแต่ตอบโจทย์มาก เพราะผ่านการเรียนเลกเชอร์แล้วได้มาทำจริง ถึงจะหนักแต่ได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นทุกกระบวนการผลิต ที่สำคัญคือเขาจะกำหนด Achievement ให้พนักงานทุกปี เช่น ปีแรกเรียนรู้งาน ปีสองได้มีส่วนร่วมในผลิตภัณฑ์ใหม่ ฯลฯ ทำให้รู้สึกท้าทายและมีจุดหมายอยู่ตลอด
. . . . . .
ปิดท้ายด้วยเกร็ดเล็กๆ
(บอกเล่าความญี่ปุ่นที่เคยเจอมา)
1.
คนญี่ปุ่นจะมีรูปแบบการเขียนอีเมลของเค้า เช่น สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่ดูแลกันมาตลอด ขออภัยในความไม่สะดวก ขอบคุณที่ยุ่ง วันนี้อากาศดี ฯลฯ ต้องใช้ภาษาสุภาพและเป็นอีกขั้นที่แม้แต่คนญี่ปุ่นบางคนอาจยังไม่รู้ ปกติทั้งเราและเค้าก็จะเปิดเน็ตมาก็อปเอาค่า 5555
2.
คนญี่ปุ่นหลายคนจะระวังไม่ให้อีกฝ่ายเสียหน้า โดยการใช้วิธี “ละ” สิ่งที่ต้องการบอกจริงๆ สมมติถ้าอยากเตือนข้างห้องให้ช่วยเบาเสียงหน่อย เค้าอาจจะถามว่า “เอ้อ ช่วงนี้ทำงานหนักเหรออ ผมเหมือนได้ยินเสียงเหมือนคุณกำลังทำงานเลย” หรืออย่างวันวาเลนไทน์ คนญี่ปุ่นจะให้ขนมกัน แต่ถ้าเกิดชอบเธอ ก็จะให้ 2 ชิ้น // ฝากไว้ให้คิด 5555555 กำกวมๆ
มีประสบการณ์ตรงครั้งนึงตอนเราประชุม intern ออนไลน์ คนในบริษัทพูดแต่เค้าไม่ได้เปิดไมค์ พอดีมีอาจารย์คนญี่ปุ่นอยู่ในห้องด้วย เค้าเลยพูดขึ้นมาว่า “เอ่อ ขอโทษนะครับ เหมือนกับผมไม่ค่อยได้ยินว่ามีเสียงของไมค์ออกมามั้ย ช่วยเช็กให้หน่อยได้มั้ยครับ” แปลว่าช่วยเปิดไมค์หน่อย
(เพื่อนในแล็บเราเป็นคนญี่ปุ่นหมดเลย! เราเคยบอกเพื่อนในแล็บด้วยว่าไม่ต้องอ้อมนะ พูดตรงๆ ได้เลย เพราะลำพังแค่ภาษาญี่ปุ่นเราก็ไม่ค่อยจะเข้าใจอยู่แล้วววว)
3.
คนญี่ปุ่นจะไม่ถามเรื่องส่วนตัวกันเลย สมมติมีเพื่อนคนนึงไม่มาแล็บแล้วเราไปติดประโยคทักทายแบบคนไทย “เฮ้ยย เค้าเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมไม่มาหลายวันแล้ว” คนอื่นในแล็บอาจตอบกลับมาแค่ว่า “เค้ามีธุระของเค้า” ดังนั้นอยากให้ระวัง ต้องมั่นใจมากพอว่าเค้าอยากจะแชร์เรื่องส่วนตัวจริงๆ ถ้าจะชวนใครคุยแนะนำให้เริ่มด้วยเรื่องทั่วไป อาหาร ดินฟ้าอากาศ หรืออาจถามว่าคำนี้ภาษาญี่ปุ่นพูดว่าอะไรก็ได้
4.
คนญี่ปุ่นที่เราเจอจะไม่ค่อยตอบแชต ตอบแชตช้ามากกเพราะเค้ามีกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่น่าดึงดูดกว่าการเล่นโทรศัพท์นั่นเองค่ะ~
0 ความคิดเห็น