ใครอยากเรียนต่ออังกฤษยกมือขึ้นนนน!
อ่ะ ลดมือลงแล้วมารับแรงบันดาลใจดีๆ จากบทสัมภาษณ์นี้กันค่ะ วันก่อน "พี่จิ๋ว-พรพนิต ราศีวิสุทธิ์" ได้แชร์ประสบการณ์การตัดสินใจครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนชีวิตสุดๆ เริ่มต้นจากเด็กมัธยมที่ชื่นชอบซีรีส์ Sherlock สู่การแลกเปลี่ยน 1 ปีที่ "อังกฤษ"
แต่ปรากฏว่าการไปแลกเปลี่ยนช่วงสั้นๆ วิชาเรียนน้อยๆ กลับทำให้ค้นพบคำตอบสุดท้ายว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ ในที่สุดก็พับแผนจากเดิมที่จะกลับประเทศไทย แล้วก้าวเข้าสู่ระบบการเรียน A-Levels ของอังกฤษ ตามด้วยปริญญาตรี, ปริญญาโท และปัจจุบันกำลังเรียนปริญญาเอก รวมๆ เกือบ 10 ปีแล้ว ตามมาอ่านประสบการณ์ คำแนะนำ พร้อมซึมซับบรรยากาศในเมืองผู้ดีกันเลยค่ะ~
- เรียนต่อ ป.ตรี Computer Science ที่ University of Bath
- เรียนต่อ ป.โท Computational Finance ที่ University College London (UCL)
- ปัจจุบันกำลังเรียนต่อ ป.เอก ด้าน Venture Capital and Private Equity ที่ UCL
. . . . .
แลกเปลี่ยนสั้นๆ หลงรักยาวๆ
ย้อนไปตอนเรียน ม.ปลาย สายวิทย์-คณิตที่ไทย เราเห็นเพื่อนไปแลกเปลี่ยนแล้วรู้สึกอยากไปลองใช้ชีวิตต่างประเทศบ้าง อยากพูดภาษาอังกฤษให้เก่งๆ บวกกับช่วงนั้นติดซีรีส์เรื่อง Sherlock ทำให้เลือกไปแลกเปลี่ยนที่สหราชอาณาจักรค่ะ แต่จากที่ตั้งใจว่าจะแลกเปลี่ยน 1 ปีแล้วกลับมาเรียนต่อให้จบ ม.6 ที่ไทย กลายเป็นติดใจแล้วเรียนต่ออังกฤษยาวๆ จนตอนนี้เข้าปีที่ 9 แล้ว
ตอนนั้นเราได้ไปที่ Weymouth ทางตอน South West เป็นเมืองติดทะเล (เคยจัด Summer Olympic ตอนปี 2012 ด้วย) เป็นช่วงสั้นๆ ที่ได้เปิดโลก ลองทำลองเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอด โดยเฉพาะการได้มาเรียนหลักสูตร A-Levels เค้าจะให้เลือกเรียน 3-4 วิชาซึ่งถือว่าน้อยลงเยอะจากตอนอยู่ไทย แต่เป็นวิชาเฉพาะที่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา เช่น Business Studies, Computing ฯลฯ ทำให้ค้นพบว่าตัวเองชอบวิชาพวกนี้มากกว่าฟิสิกส์, เคมี, ชีวะอีกค่ะ
แล้วที่ชอบมากคือการจะสมัครเรียน ป.ตรี คณะที่อยากเข้าในอังกฤษ ไม่จำเป็นต้องสอบเพิ่ม เราสามารถยื่นวุฒิ A-Levels ที่มีแล้วรอ offer ได้เลย ช่วงก่อนกลับไทยเรามีโอกาสไปคุยและได้คำแนะนำจากอาจารย์ ทำให้รู้ว่า
- ป.ตรี ที่อังกฤษใช้เวลาเรียนแค่ 3 ปีเท่านั้น แต่จะเป็นการเรียนที่จริงจังตั้งแต่ปีแรก
- มีหลักสูตรที่เรียน 2 เอกในคณะเดียวกันพร้อมกันได้เลย
- สามารถเรียนเพิ่ม 1 ปีเพื่อฝึกงานหรือแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศได้ด้วย
เราเลยตัดสินใจเรียน A-Levels ให้จบเพื่อให้มีวุฒิยื่นต่อ ป.ตรี คณะ Computer Science ที่ University of Bath
**มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรจะรับวุฒิที่เทียบเท่ากับ A-Levels หรือ IB แต่ไม่รับวุฒิม.6 ของไทย ถ้าจบ ม.6 จากไทยแล้วอยากจะมาเรียนต่อจะมี 2 ทางเลือกที่นิยมกันคือ
- Foundation Course เรียนปูพื้นฐานของคณะและมหาลัยที่เราอยากจะเข้าเรียนค่ะ แต่ข้อเสียคือไม่ใช่ทุกคณะและมหาลัยมี Foundation Course ให้
- A-Levels แบบ Fast track ให้จบภายใน 1 ปี (ปกติหลักสูตร A-Levels จะใช้เวลาเรียนทั้งหมด 2 ปี)
. . . . .
รีวิวสมัคร ป.ตรีผ่าน UCAS
ปกติระบบ UCAS (Universities and Colleges Admissions Service) ของประเทศอังกฤษ มีเดดไลน์ 2 ช่วงคือ ช่วงกลางเดือนตุลาคม สำหรับคนที่จะเลือก Oxbridge (Oxford, Cambridge), คณะแพทยศาสตร์, คณะทันตแพทย์ และคณะสัตวแพทย์ แต่ถ้าเป็นคณะ/มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้อยู่กลุ่มข้างต้น เดดไลน์จะเป็นช่วงเดือนมกราคม
- สมัครยื่นสมัครได้มากสุด 5 คณะโดยใช้ Personal Statement อันเดียวกัน
- ไม่สามารถเลือกสมัครที่ Oxford กับ Cambridge พร้อมกันได้
- เราสามารถเลือกคณะกลุ่มการแพทย์ (แพทย์ศาสตร์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ศาสตร์) ได้มากสุด 4 ที่ แต่อีกที่ต้องไม่ใช่คณะในกลุ่มนี้
- หลังจากที่ได้รับการตอบกลับจากมหาลัย จะต้องเลือก Offer ให้เหลือ 2 อันคือ Firm Choice และ Insurance Choice
- หากเกรดไม่ถึงตามมหาลัยที่กำหนด หรือไม่ได้รับ Offer เลย จะได้มีโอกาสเลือกคณะอีกทีตอนรอบ Clearing
คณะที่เราสมัครคือกลุ่มเดดไลน์เดือนมกราคมค่ะ ใช้เอกสารการสมัคร เช่น Transcript, Personal Statement / Statement of Purpose (SOP) และกรอกใบสมัครบน UCAS ***เรามีสรุปรายละเอียดการสมัครไว้ที่ทวีตด่านล่างนี้นะคะ
SOP : ความยากคือจะเขียนยังไงให้ครอบคลุมกับคณะและมหาวิทยาลัยที่สมัคร เพราะเราเลือกได้มากสุด 5 ที่ ไม่สามารถเขียนเจาะจงตัวเลือกไหนได้เยอะ โดยรวมเราเลยเขียนอธิบายเหตุผลที่สนใจคณะนี้ ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง (เช่น เคยทำโปรเจกต์, เข้าร่วมกิจกรรม, ได้รางวัลที่ไหนบ้าง) และเราจะนำความรู้ไปใช้ยังไงต่อหลังเรียนจบ
เกรด A-Level : ตอนเลือกคณะ ป.ตรี Computer Science เรายังเรียน A-Levels ไม่จบ เลยใช้การเทียบ Predicted grade กับ Requirement ที่ทางคณะกำหนดแทนค่ะ ซึ่งเราได้ A*AB อยู่ในเรนจ์ที่คณะรับ (แต่ล่าสุดคณะขยับเกรดไปเป็น A*AA แล้ว)
สำหรับคณะ Computer Science ต้องการเกรดจาก 3 วิชา หนึ่งในนั้นต้องมี Mathematics ส่วนอีก 2 วิชาเรียนวิชาไหนก็ได้ ตอนนั้นเราเรียนไปเพิ่มอีกตัวเป็น 4 สำรองไว้ตัวนึงเผื่อใช้แทนวิชาที่เกรดไม่ดี สุดท้ายยื่นเป็นเกรดของวิชา Mathmatics, Further Mathmatics, Business Studies และ *EPQ (Extended Project Qualification)
- Mathematics & Further Mathmatics ของ A-Levels จะต้องเรียน Core และ Module เสริมที่มีให้เลือกระหว่าง Statisitcs (S), Mechanics (M) หรือ Decision Maths (D) รวมทั้งหมด 6 Modules อันนี้ตัวอย่างวิชาเลขที่เราเลือกเรียนค่ะ;
| Mathmatics | C1, C2, C3, C4 | M1, D1 |
| Furthermathematics | FP1, FP2, FP3 | S1, D2, M2 |
- EPQ เป็นวิชาที่ให้นักเรียนทำ Independent Project เป็นของตัวเอง อาจเป็นรูปแบบ Report, Artefact, Production หรือทำเป็น Practical Project ก็ได้ ส่วนหัวข้อไม่จำกัด ไม่จำเป็นต้องทำเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน/คณะที่อยากเข้า ตอนนั้นเราทำหัวข้อเรื่อง Travel and Tourisim in Thailand ไม่เกี่ยวกับทั้งกับสิ่งที่เรียนมากับคณะที่สมัครเลยค่ะ ทั้งนี้ ข้อมูลจาก AQA ได้บอกไว้ว่า EPQ จะได้ 28 UCAS points ถือเป็นครึ่งนึงของ A-Levels เลย แถมในหลาย ม.ยังลดระดับเกรดที่ต้องการลงสำหรับนักเรียนที่ทำโปรเจ็กต์ EPQ นี้
ถ้าเกิดเกรดตอนปี AS (ปีแรกของ A-Levels) ไม่ดีพอ เราจะเปลี่ยนหรือเพิ่มวิชาตอนเรียนปีที่ 2 หรือ A2 ได้ เพียงแต่วิชาที่ต้องสอบจะเยอะขึ้น เพราะต้องอัดเนื้อหาของ 2 ปีแรกให้จบในปีเดียว สำหรับเราเองเคยได้เกรด C จาก Computing // ใช่ค่ะ อยากเรียน Computer Science แต่ได้ C Computing 555 เราก็เลยดร็อปวิชานี้แล้วไปลง Further Mathematics กับ EPQ เพิ่ม
ส่วนคะแนนภาษาอังกฤษ เช่น IELTS (Academic) แต่ละคณะจะกำหนดต่างกัน อย่างเช่นคณะที่เราสมัครจะรับคะแนนอยู่ที่ 6.5 โดยในแต่ละพาร์ตห้ามต่ำกว่า 6.0 แนะนำให้ดูหน้า English Language Requirement ของแต่ละคณะและมหาลัยที่สมัครได้เลยค่ะ
. . . . .
"ก้าวแรกที่ยากมากคือภาษา
เราเริ่มจากคุยกับ ตม.สนามบินไม่ได้ด้วยซ้ำ"
เมื่อก่อนเราทั้งขี้อาย แล้วช่วงแรกที่ไปสนามบินก็คือพูดภาษาอังกฤษกับ ตม. ไม่ได้ด้วยซ้ำ (ผ่านมาได้เพราะเพื่อนช่วยไว้) แต่ที่ยากสุดเราว่าเป็นเรื่องการเขียน พอทำ Assignment แรกของ A-Levels ได้ C คือร้องไห้เลย TT สุดท้ายก็ไปขอคำแนะนำจากอาจารย์ เค้าก็เข้าใจเพราะเราเป็นเด็กต่างชาติ ไม่เคยเขียน essay ยาวขนาดนี้มาก่อน สุดท้ายเราต้องฝึกเรื่อยๆ ถาม feedback และคุยกับเพื่อนให้บ่อยขึ้น
เด็กคณะ Computer Science
เรียนกันยังไง? เจอวิชาประมาณไหน?
ภาพรวม
การเรียน ป.ตรี ของเราจะแบ่งออกเป็น 2 เทอม (เทอมแรกช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม เทอมสองช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม) เทอมละประมาณ 4-5 วิชา โดยช่วง 2 ปีแรกจะมีวิชาบังคับ แล้วเลือกวิชาได้ตอนปี 3 โดยที่แต่ละวิชาจะได้ใช้เวลา 4 ชั่วโมง/สัปดาห์
ในคาบจะแบ่งเป็น Lecture 2 ชั่วโมงแรก ส่วนอีก 2 ชั่วโมงจะเป็น Labs หรือ Tutorial (สำหรับวิชาเลข) เป็นช่วงเวลาให้ได้เรียนรู้ Progrogramming Language จากแบบฝึกหัดที่ Teaching Assistant (TA) ให้ทำแต่ละคาบ หรือทำ Assignment วิชานั้นๆ ถ้าใครติดปัญหาก็สามารถถาม TA ได้ ซึ่งส่วนมากและปีหลังๆ Assignments จะเป็นงานกลุ่มมากกว่างานเดี่ยว ทำให้มีโอกาสได้ทำงานกับเพื่อนร่วมชั้นหลายๆ คน
และที่เด็กคณะนี้ต้องเจอแน่นอนคือเขียนโค้ด ปีแรกเราจะได้เรียนภาษา Java, C เป็นภาษาเริ่มต้น แล้วแต่ละปีจะได้เรียน Programming Language ใหม่ๆ ตามวิชาที่ลงเรียนค่ะ
วิชาบังคับและวิชาเลือกมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี แนะนำให้ดูที่เว็บไซต์ของคณะเพื่ออัปเดตข้อมูลแต่ละปี และล่าสุดทางภาค Computer Science ของ University of Bath มีคณะใหม่ชื่อ Computer Science and Artificial Intelligence
ตัวอย่างวิชาเรียน
1. วิชา Intelligent Agent
- วิชาเลือกที่เราลงตอนปี 3 ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสร้าง Agent ที่สามารถตัดสินใจและสามารถตอบสนองในแต่ละสถานการณ์ (scenario) สำหรับเราวิชานี้ถือว่าท้าทายมาก เพราะทำโปรเจ็กต์ที่ประยุกต์หลาย Programming Language ใน Assignment เดียว
- ในวิชานี้เราได้ทำ Assignment ที่ต้องใช้ Programming Language ที่เรียกว่า AgentSpeak เป็นภาษาแบบ Logical Programming ที่ภาษาคนละแบบกับ Java, Python เราต้องใช้เพื่อสร้าง Agent ที่สามารถพูดคุยติดต่อกับ Agent อื่นๆเพื่อมาเก็บทรัพยากรบนดาวค่ะ เราต้องออกแบบ เขียน code เองโดยใช้ทั้ง Java และ AgentSpeak แล้วต้องอัดวิดีโอทำ Presentation ส่งด้วย งานนี้ยากตรงที่ว่าเราต้องออกแบบ Agent ที่สามารถทำงานใน Scenario ทั้ง 5 แบบที่อาจารย์กำหนดมา ส่วนนึงของคะแนนคือจำนวนทรัพยากรที่สามารถเก็บได้ในแต่ละ Scenario ค่ะ
2. วิชา Entrepreneurship
- เราเลือกเรียนวิชานี้ในปีสุดท้าย ทั้งวิชาเป็น Group Coursework ที่เราได้มีโอกาสนำความรู้ทางด้าน Computer Science ที่ได้เรียนมามาสร้าง Prototype ขึ้นมาค่ะ โดยเราได้ทำ Prototype ของ Restaurant Recommendation บนแอปพลิเคชันมือถือ ให้ผู้ใช้งานสามารถหาร้านอาหารเวลาไปกินข้าวกับเพื่อนได้ง่ายขึ้น
- งานกลุ่มจะแบ่งเป็น 2 ชิ้นคือ Produt Protype ที่เราได้มีโอากาสใช้ Adobe XD สร้าง Mobile app Protype และนำความรู้ด้าน UI/UX Design มาประยุกต์ด้วย และอีกงานนึงคือ Business Plan ค่ะ เป็น Report ซึ่งเราได้มีโอกาสทำ Market Research, Survey แล้วก็เขียนอธิบายว่า Product ของเรามีประโยชน์ยังไง ใครคือผู้ใช้งาน และสามารถจะทำเงินในอนาคตได้ยังไงบ้าง
Final Year Project
ปีสุดท้ายจะได้ทำโปรเจ็กต์จบ (Final Year Project) มีทางเลือกคือ
- คิดหัวข้อเองแล้วไปหาอาจารย์ที่ปรึกษา
- เลือกหัวข้อที่อาจารย์ที่ปรึกษามีไว้ให้แล้วก็ได้ แต่จะเป็น First come first serve ใครเลือกช้าคือหมดสิทธิ์
ตอนนั้นเราสนใจทางด้าน Machine Learning โชคดีมากกกกที่มีอาจารย์ทางด้านนี้เริ่มมาสอนตอนปีที่เราเรียนปีสุดท้ายพอดีค่ะ หัวข้อที่เราทำคือ Sentence Clustering with Natural Language Processing ดูว่าเราสามารถจัดกลุ่มของ tweets โดยดูที่ประโยคได้ยังไงในกรณีที่ไม่มี training dataset ช่วย
อีกความน่าสนใจคือ Industrial Placement
จากที่เล่าว่า ป.ตรีที่อังกฤษจะใช้เวลา 3 ปี แต่บางคณะอาจมีปีเพิ่มเข้ามาเพื่อให้เรียนต่อต่างประเทศ หรือเรียนต่อ ป.โท เลยในปีสุดท้าย // สำหรับเราเลือกเป็น Industrial Placement หรือการฝึกงาน 1 ปี ทำให้มีโอกาสไปเรียนรู้งานจริงๆ ก่อนเรียนจบ ทั้งนี้ ทางคณะของเราจะไม่ช่วยหาที่ฝึกงานให้ แต่จะมี Career Support และมี Workshop ให้เตรียมตัวการสมัครงาน การสัมภาษณ์งานตั้งแต่ปี 1
เรามีโอกาสไปฝึกงานตำแหน่ง Technology Analyst ที่ Investment Bank (วาณิชธนกิจ) แห่งหนึ่ง ได้ลองทำงานทั้งในตำแหน่ง Data Analyst, Business Intelligence และ Software Engineer หลังจบฝึกงานเราได้ offer ให้เข้ามาทำงานหลังจบ ป.ตรีด้วย สมัยนั้นยังไม่มี Graduate Visa ซึ่งเป็นวีซ่าที่ให้อยู่หางานหลังเรียนจบ การที่ได้งานและบริษัท Sponsor Visa ทำงานให้ ถือว่าดีมากกกก
ห้ามเทเกรด ป.ตรีปีแรก
แม้จะไม่แสดงบน Final Transcript!!
ถ้าเป็นเกรดของ ป.ตรี ปีแรกจะมีคิดเกรด แต่ไม่ได้รวมอยู่ใน Final Transcript ค่ะ ในใบนั้นจะแสดงแค่ผลการเรียนปีที่ 2 และปีสุดท้ายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อย่าเทเกรดของปีแรกเด็ดขาด เพราะจะมีผลกับการพิจารณาให้เรียนต่อในปีถัดไป แล้วอาจมีบางกรณี เช่น บริษัทที่เราฝึกงานเค้าจะดูเกรดปี 1 ของเราด้วย
สำหรับเกณฑ์การให้คะแนนที่นี่ สำหรับป.ตรี จะผ่านอยู่ที่ 40%, 2:2 อยู่ที่ 50%, 2:1 ที่ 60% และ First-class จะอยู่ที่ 70% ขึ้นไปค่ะ ***ถ้าใครมีแพลนว่าจะยื่นต่อ ป.โท ในมหาวิทยาลัย คณะดังๆ หรือต่อ ป.เอก แนะนำให้รักษาเกรดตัวเองอยู่ที่ First-class ค่ะ
. . . . .
เริ่มงานแล้วยังไม่ใช่
เลยตัดสินใจต่อ ป.โท ที่ UCL
หลังจากจบ ป.ตรี แล้วเริ่มงานสาย Software Engineer ไปสักพัก ก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่งานที่เราอยากทำจริงถ้าเทียบกับ Machine Learning แล้วเราก็รู้ว่าตัวเองอยากทำงานสาย Finance ด้วย เลยหาคอร์สที่ตรงกับ Career Path ของเรา จนมาเจอหลักสูตร MSc Computational Finance ที่ University College London (UCL)
วิชาเรียนจะออกแนว Data Science, Machine Learning ทางฝั่ง Financial Application แล้วยังมีวิชาเลือกที่น่าสนใจให้เลือกลงได้ เช่น Algorithmic Trading, Market Microstructure และ Digital Finance
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกที่เรียน เช่น Ranking, Facility, Career Networking และ Location สำหรับเราจะเน้นที่ Ranking มหาวิทยาลัยสาย Computer Science และ Location สนใจลอนดอนเพราะจบมาแล้วอยากทำงานในเมืองนี้ อยากลองมาอยู่ด้วย เพราะที่ผ่านมาอยู่นอกลอนดอนมาตลอด
ว่าด้วยการสมัครเรียน ป.โทที่อังกฤษ
ต่างจาก ป.ตรีมั้ย? ยังไงบ้าง?
ถ้าเป็น ป.โท เราสมัครกับเว็บไซต์มหาวิทยาลัยได้โดยตรง เอกสารคล้ายกับ ป.ตรีค่ะ (บางคณะอาจจะมีขอเอกสารเพิ่มเติม เช่น CV) แล้วจะต่างตรงที่ ป.โท สมัครที่ไหนก็ได้ ไม่จำกัดจำนวน ***แต่ที่ควรระวังคือค่าสมัคร เพราะบางมหาลัยคิด £100 (ประมาณ 4,300 บาท) อาจจะหมดตัวได้
สำหรับเรา การเลือกหาคณะ ป.โท จะยากกว่า ป.ตรี ตรงที่ว่ามีตัวเลือกให้เลือกเยอะมากๆ บางมหาลัยอาจจะมีเนื้อหาเดียวกันแต่ใช้ชื่อคนละคณะ เรียกได้ว่าตอนนั่งเลือกคณะต้องมีลิสต์รายชื่อคณะมากางไว้ แล้วสร้างตารางมาเทียบข้อดีข้อเสียชั่งน้ำหนักกัน
อีกข้อแตกต่างคือ ป.โท จะมีวิชาเลือกให้เยอะกว่า แล้วเราสามารถดูเทียบกันได้เลยว่าคณะ A คณะ B จะมีวิชาเลือกที่เราอยากจะเรียนจริงๆ รึเปล่า ถ้าคณะไหนสอนซ้ำกับเนื้อหาที่เราเรียนตอนป.ตรีไปแล้ว เราก็ไม่เลือกคณะนั้น หรือคณะไหนมีวิชาเลือกที่เราไม่คิดจะเอาไปใช้ประโยชน์ เราก็ไม่เลือกคณะนั้นเหมือนกัน แล้วเราเลือกจนมาเหลือที่ 4-5 คณะและสมัครไปค่ะ เราเลือกน้อยเพราะคณะที่เราเลือกเสียค่าสมัครซึ่งค่าใช้จ่ายก็เยอะพอสมควรแล้ว
เกณฑ์การรับสมัครของคณะ Computational Finance ที่ UCL จะอยู่ที่ Upper second-class (2:1) หรือเทียบเท่า และมี Background ทางด้าน Mathematics, Statistics, COmputer Science, Engineering, Physics, Economics และ Finance
คะแนนภาษาอังกฤษจะระดับ Good ถ้าเทียบกับคะแนน IELTS โดยรวมตั้งไว้ว่าให้ได้ขั้นต่ำ 7.0 และอย่างน้อย 6.5 ในแต่ละพาร์ต สำหรับใครที่จบปริญญาตรีในหลักสูตรที่ใช้ภาษาอังกฤษ ในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ หรือเคยทำงานในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ แนะนำให้ติดต่อกับทางมหาลัยเผื่อจะได้กรณียกเว้น ไม่ต้องสอบเทียบระดับภาษาอังกฤษ
Tips เกี่ยวกับ SOP สมัครเรียน
- ป.โท เราสามารถเขียน SOP ให้เจาะจงคณะและมหาวิทยาลัยที่สมัครได้ (เพราะสมัครแยกกัน ต่างจากระบบ UCAS ตอนป.ตรี ที่ต้องเขียนครอบคลุมทุกตัวเลือก)
- เราเล่าเพิ่มอีกว่าทำไมเราถึงอยากจะเรียนคณะนี้ มหาลัยนี้ เช่น เพราะมีวิชาเลือกที่น่าสนใจ อาจารย์ที่สอนด้านนี้ หรือมี Research Group ด้านนี้โดยเฉพาะ
- ถ้าใครมีประสบการณ์ทำงานด้านนี้มาแล้ว สามารถเขียนเพิ่มได้ว่าประสบการณ์ทำงานของเราจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาที่สมัครและช่วยในการเรียนยังไง
- สามารถเล่าประสบการณ์การเรียน ป.ตรี ได้ เช่น เราทำ Project ในหัวข้อไหน, วิชาอะไรที่ชอบและอยากจะเรียนต่อยอด, เคยเข้าร่วมกิจกรรมหรือรับรางวัลอะไรมาบ้าง, ถ้าเคยตีพิมพ์วิจัยมาก่อน แนะนำให้นำเสนอส่วนนี้ด้วย
เล่ารูปแบบ & เนื้อหาที่เรียน
(แนะนำว่าพื้นฐานเลขต้องแกร่ง!)
เราไปเรียน ป.โท ในปี 2021 ที่โควิดกำลังระบาด เลยต้องทำ Lecture, Seminar และ Tutorial เป็น Online หมด ปีนั้นเราได้มีโอกาสเรียนในแคมปัสไม่ถึง 10 ครั้ง ยังดีที่ตอนช่วงแรกทางมหาลัยจัด Workshop ขนาดเล็กเลยได้มีโอกาสได้ไปบ้างค่ะ
สำหรับระยะเวลาเรียน ป.โท = 12 เดือน โดยช่วง 2 เทอมแรกจะได้เรียน ส่วนเทอมสุดท้ายตอนช่วง Summer จะเป็นช่วงเวลาทำ Dissertation ค่ะ สำหรับคณะเราจะมีวิชาบังคับ 4 วิชา และสามารถเรียนวิชาเลือกได้อีก 4 วิชารวมทั้งหมด 8 วิชา
**คณะนี้มีวิชาเน้นเลขเยอะ แนะนำให้มีพื้นฐานแน่นพอสมควร เพราะใช้ Stochastic Calculus เยอะมาก และฝึกเขียน Programming Language ไว้เลยค่ะ เพราะวิชาที่เรียนจะได้ใช้ MATLAB, Python, C++ และ Solidity ถ้าลงเรียนวิชา Blockchain // วิชาบังคับและวิชาเลือกจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี เช็กรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์หลักสูตร หลักสูตร MSc Computational Finance ที่ University College London นะคะ
หน้าเว็บไซต์หลักสูตรนี้ยกตัวอย่างวิชาเรียน
1. วิชา Algorithmic Trading
เป็นวิชาที่เรารู้สึกว่าเราได้ใช้ประโยชน์หลังเรียนจบมากที่สุดแล้วค่ะ แต่ต้องบอกก่อนว่อาจารย์จะไม่สอนว่าเทรดว่าต้องทำยังไง ต้องเลือกหุ้นหรือ Asset ตัวไหนให้ได้ Financial return มากที่สุด แต่จะสอนให้เรารู้จัก Trading Strategies หลายแบบ แล้วเราต้องเลือกหรือจะสร้าง Trading Strategies ยังไง มี Measurement ตัวไหนบ้าง แล้วเราจะ Test Strategy นี้ยังไง นอกจากนี้เรายังได้เรียนรู้ Theory ที่สำคัญๆเช่น Portfolio Theory ว่าเราจะต้องเลือก Asset ตัวไหนสัดส่วนเท่าไหร่ ให้ได้ Return ที่เราต้องการ ในขณะที่เราสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ด้วย
(สำหรับ Coursework เราได้มีโอกาสสร้าง Trading Strategies ใช้ภาษา Python และใช้ความรู้ที่เรียนมาในการเทรดหุ้นสมมติค่ะ)
2. วิชา Market Microstructure
เป็นวิชาที่เรารู้สึกเปิดโลกมากว่า เวลาทำการซื้อขาย Asset เราสามารถดูในระดับของ limit order book ว่ามีการซื้อขายอย่างไร ราคา ปริมาณอย่างไร มีคำสั่งซื้อประเภทไหนบ้างเป็น Limit Order, Market Order หรือ der แบบอื่น แล้วเราปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา และการซื้อขายอย่างไร
การสอบที่ UCL ต่างกับ Bath ตรงที่ว่าวิชาที่จะสอบเทอม 1 กับเทอม 2 จะมีการจัดสอบก่อนเริ่มเทอม 3 ค่ะ ข้อดีคือตอนช่วง Christmas Break เราสามารถชิลได้ไม่ต้องเตรียมสอบหลังเทอม แต่ข้อเสียคือเราต้องทวนเนื้อหาตอนเทอม 1 และเทอม 2 พร้อมกัน และเราจะเริ่มลืมเนื้อหาที่เราเรียนมาตอนเทอม 1
หลังจากสอบเสร็จแล้วเทอมสุดท้ายเป็นช่วงเวลาทำ Dissertation ค่ะ สำหรับคณะเรามีตัวเลือก 2 แบบคือทำแบบ Academic Project กับ Industrial Project ที่เราได้มีโอกาสทำงานร่วมกับบริษัทในอังกฤษค่ะ
ถ้าเลือก Industrial Project ตอนช่วงเริ่มเทอม 2 ทางคณะจะมีแบบฟอร์มให้กรอก เราสามารถลำดับความชอบว่าเราสนใจทำหัวข้อด้านไหน เช่น เราสนใจด้าน AI/MI, Blockchain และถ้าเลือกทำ Industrial project จะมี Supervisor 2 ท่านจากบริษัทและมหาลัย จากนั้นอาจารย์จะคัดเลือกเด็กนักเรียนตามหัวข้อที่สนใจ เกรด และประสบการณ์ทำงาน อาจจะมีการสัมภาษณ์ขึ้นอยู่กับบริษัทที่จะทำ โปรเจ็กต์ด้วย
ตอนนั้นเราได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์กับธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง และได้รับเลือกเข้าไปร่วมทำโปรเจ็กต์ แต่ปรากฏว่า Supervisor ที่จะได้ทำงานร่วมกันลาออกจากบริษัทซะก่อน ทำให้บริษัทต้องยกเลิกโปรเจ็กต์ เราเลยไปทำงานร่วมกับ FinTech ที่ทำด้าน Insurance แทน (เสียดายมากก TT)
หลังจากที่เรายื่น Dissertation จบไปแล้ว คะแนนจะมาออกตอนช่วงพฤศจิกายน - ธันวาคม เราสามารถนำผลจบไปยื่นทำ Graduate Route Visa โดยวีซ่านี้เราสามารถยื่นต่อที่สหราชอาณาจักรได้อีก 2 ปี (หรือ 3 ปีสำหรับคนที่จบ PhD) เพื่อหางาน หรือทำงานได้ค่ะ
. . . . .
ยังเรียนรู้ไม่พอ ขอไปต่อ ป.เอกที่ UCL
คณะ Venture Capital and Private Equity
ช่วงก่อนที่เราเรียนจบ ป.โท เรามีสมัครงานไว้บางที่ แต่รู้สึกยังอยากเรียนรู้ต่อไปอีก อาจเพราะเรียนตอนช่วงโควิดระบาด แล้วเรารู้สึกว่าเรามีโปรเจ็กต์ที่อยากทำ ซึ่งถ้าเกิดเราเริ่มทำงานก็ไม่น่าจะมีโอกาสได้ทำโปรเจ็กต์นี้แน่ๆ
เราเลยปรึกษากับเพื่อนสนิทที่กำลังเรียน ป.เอก และเริ่มหาคอร์ส ป.เอก พร้อมทุนการศึกษาด้วย เราไม่ตัดสินใจสมัครทุนของรัฐบาลไทย เพราะไม่อยากกลับไปทำงานที่ไทยในสังกัดที่กำหนดตามจำนวนปีที่เรียน (เว็บไซต์แนะนำที่เราใช้หาคอร์ส ป.เอกมี https://www.findaphd.com และ https://www.jobs.ac.uk/phd)
โชคดีมากที่เราเจอ MPhil/PhD Course ที่เรากำลังเรียนอยู่ตอนนี้ (Venture Capital and Private Equity ที่ University College London) พร้อมกับ Studentships พอดี และเงื่อนไขครอบคลุมนักเรียนต่างชาติด้วย ซึ่งยกเว้นค่าเรียนและได้ค่าครองชีพรายเดือนตลอด 3 ปี ซึ่งเป็นอะไรที่หายากมากๆ เพราะ Studentships ส่วนมากในอังกฤษจะครอบคลุมค่าเรียนทั้งหมดเฉพาะนักเรียนอังกฤษเอง และนักเรียนต่างชาติอาจจะต้องออกค่าเรียนเพิ่ม
แชร์คำแนะนำสมัครเรียน ป.เอก
- สำหรับการสมัครป.เอก จะมี Research Proposal เพิ่มขึ้นมา เป็น Essay ที่เราต้องเขียนอธิบายว่า Research Project ที่เราอยากจะอยากทำตลอดเรียน ป.เอก คืออะไร เขียน Methodolgoy, Contribution และ Timline ของ Project มาคร่าวๆ
- การสมัครป.เอกไม่จำเป็นต้องเคยตีพิมพ์วิจัย หรือประสบการณ์วิจัยมาก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าใครมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนก็ใช้แทนก็ได้
- ป.เอกบางที่มีการเปิดรับป.ตรีด้วย
เมื่อเราผ่านเข้ารอบ Application จะมีการสัมภาษณ์เพิ่มเติม ซึ่งกรณีเราจะเริ่มจาก Presentation ของ Research Proposal ประมาณ 15-20 นาที หลังจากนั้นคือการตอบคำถามเกี่ยวกับ Research Proposal และคำถามเพิ่มเติมทั่วไป เช่น ทำไมถึงอยากจะเรียน ป.เอก เราคยมีประสบการณ์ทำงานหรือวิจัยบ้างไหม ทำไมถึงเลือกเรียนคณะนี้
เงื่อนไขที่เพิ่มเข้ามาคือเราต้องเป็น Teaching Asistant (TA) ของคณะป.โท 2 วิชาต่อปีค่ะ โดยลักษณะงานของ TA จะขึ้นอยู่กับวิชาที่ช่วยสอน เราได้ทำ Seminar Session และช่วยตรวจ Assignment ของนักเรียน ป.โทด้วย
เรียนต่อ ป.เอก ข้ามสาย
เจอความท้าทายประมาณนี้!
ตอนนี้เราทำหัวข้อ Machine Learning Application of Venture Capital and Private Equity เงื่อนไขการจบจะแตกต่างกันตามอาจารย์ที่ปรึกษาและคณะ สำหรับกรณีเราคือต้องตีพิมพ์เปเปอร์ประมาณ 3 เรื่องและรวมกับเป็น Thesis จบของเราอีกที
ถ้าเป็น ป.เอก ที่เราเรียนจะไม่มีบังคับให้ลงเรียนตัวไหนเป็นพิเศษ เราสามารถจัดสรรรเวลาของตัวเองได้เลยว่าช่วงไหนเราจะทำ Thesis Project, ช่วงไหนเราต้องงานส่วนของ TA หรือเราจะต้องเรียนวิชาไหน หรือลงเข้า Training Course เพิ่มเติม
เราสามารถเลือกไปนั่งเรียนในวิชาคณะหรือของภาคตามที่เราสนใจได้ ด้วยความที่ไม่มีพื้นฐาน Venture Capital and Private Equity มาก่อน เราเลยไปเข้าวิชา Foundamentals of Venture Capital and Private Equity และวิชา Financial Technology พร้อมกับนักเรียน ป.โท ช่วยให้เข้าใจพื้นฐานว่าการลงทุนของ Venture Capital and Private Equity ต่างกันอย่างไร , การเริ่มระดมทุนเป็นอย่างไร, มีการเลือกบริษัท Startups ลงทุนยังไงบ้างเพื่อให้ได้ Financial Return ตอน Exit ออกจากการลงทุนให้ได้มากที่สุด ฯลฯ เราได้นำพื้นฐานเหล่านี้ไปเสริมใน Thesis ป.เอกของเราอีกที
นอกจากนี้การเรียน ป.เอก ที่ UCL จะมี Training Platform โดยเฉพาะและเราสามารถเลือกตาม Skill ที่เราอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติมได้เลย เช่น Writing Phd Thesis, Teaching Skills Training, A Systematic Literature Review โดยคอร์สส่วนมากจะฟรีหมด ไม่มีค่าใช้จ่าย
เทอมแรกเป็นช่วงที่ท้าทายมากกกก เพราะไม่มีพื้นฐาน Venture Capital and Private Equity แต่ต้องจัดเตรียมทำ Seminar 2 วิชา (ตอนนั้นเป็๋นนักเรียน ป.เอกคนเดียวในคณะ) เราก็เลยต้องอ่านหนังสือเกือบทั้งเล่มในเวลาไม่กี่อาทิตย์ก่อนเริ่มเรียน และต้องติดต่อกับอาจารย์สอนว่าจะใช้เนื้อหาเรื่องไหนบ้างสำหรับ Seminar ในแต่ละอาทิตย์
พอเทอม 2 เราดีใจมากที่อาจารย์อนุญาตให้กลับไทยไป 1 เดือน (ไม่ได้กลับบ้างที่ไทย 2 ปีในช่วงโควิดระบาด) เลยได้มาเริ่มโปรเจ็กต์แรก ตอนนี้ใกล้จะเขียนเสร็จแล้ว เพื่อยื่น Upgrade จาก MPhil ไปเป็น PhD ค่ะ
. . . . .
บทสรุปการเติบโตแต่ละก้าว
ช่วงเวลาไหนคือ "ที่สุด"
ช่วงเวลาที่เราชอบที่สุดและยากมากสำหรับเรา คือตอนที่ตัดสินใจมาแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศค่ะ เพราะต้องมาเตรียมสอบ IELTS ให้ผ่านตั้งแต่ตอน ม.4 โดยที่ไม่เคยเขียน Essay มาก่อน ต้องสอบ Writing ให้ผ่าน 2 รอบถึงจะผ่าน
แล้วพอได้มาต่างประเทศเราได้ค้นพบตัวเองว่าจริงๆเราชอบอะไร เพราะตอนที่อยู่ไทยเราก็เหมือนกับเด็กไทยหลายๆ คนสังคมเชียร์ให้เข้าสายวิทย์คณิต ให้ไปเรียนหมอนะจะได้มีงานที่มั่นคง เรามาลองคิดย้อนกลับไป ถ้าเราเลือกเรียนหมออาจจะไม่ใช่ตัวเราจริงๆ เลยก็ได้
อีกช่วงเวลานึงคือที่เราได้ตัดสินใจมาเรียน ป.เอก ค่ะ จะเรียกได้ว่าไม่เคยอยู่ในแพลนที่เราวางไว้เลย เพราะตอนแรกตั้งใจจะเรียน ป.ตรี จบ ป.โท ตั้งใจว่าจะไม่เรียนต่อแล้วและไปทำงานทางด้าน Quant Finance เลย แล้วพอมาเรียนป.เอก ทำให้ค้นพบว่าเรายังมีโอกาสได้เรียนรู้อีกหลายเรื่องไม่มีที่สิ้นสุด และได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ เช่น การเป็น TA, ทำวิจัยโดยประยุกต์ความรู้ทางด้าน Machine Learning กับ Finance มารวมเข้าด้วยกัน
แต่ต้องบอกเลยว่าในช่วงเวลา 8 ปีก็ไม่ใช่ว่าจะราบรื่นหมด ช่วงที่เราไม่เป็นตัวของตัวเองเลยคือตอนหลังเรียนจบ ป.ตรี และได้มาทำงาน Software Engineer ค่ะ พอทำงานสักพักถึงรู้ว่าไม่ใช่สายงานที่คิดอยากทำมาตลอด เราอยากไปเรียนต่อแล้วทำงานด้าน ML มากกว่า เพียงแต่งานสายนี้มักจะรับวุฒิขั้นต่ำ = ป.โท
ช่วงเวลานั้นคือตัดสินใจยากพอสมควรว่าเราจะทิ้งงานที่เงินเดือนดี มี Sponsorship ให้ (ตอนนั้นยังไม่มี Gradudate Visa ต้องหางานจ่ายที่ Sponsor วีซ่าทำงานซึ่งหายากมากๆ) กับต้องยอมเสี่ยงแล้วไปเรียนเพิ่ม แล้วทำตามความฝันตัวเองดี เลยทนทำงาน 1 ปีแล้วตัดสินใจออกมาเรียนป.โท
ปิดท้ายด้วย #รีวิวอังกฤษ
ชีวิตและบรรยากาศที่ลงตัว
1. ชา
ที่นี่ดื่มชากันถี่เป็นเรื่องปกติ เช้าสายบ่ายเย็น เลือกชาแบบไหนขึ้นอยู่กับความชอบแต่ละคน จะเลือกBlack Tea, White tea หรือ Green tea จะใส่นม หรือน้ำตาลเพิ่มก็ได้ ตอนเริ่มแรกเราติดชาของ PG Tips เพราะถูกและง่ายดี ตอนหลังๆเราเริ่มมาทางสายชา ลองชา หลายแบบโดยใช้ Loose Tea ที่จะใช้ใบชาแทนที่จะเป็นแบบ Tea Bag แถมราคาจะถูกกว่า ที่เราชอบที่สุดจะเป็น English Rose Tea และ Mango and Bergamot แต่หลังๆดื่มชาอย่างเดียวมันไม่พอ เลยมาเป็นสายกาแฟแทน
2. อากาศ
สภาพอากาศที่นี่เรียกได้ว่าแปรปรวนมากๆ โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว เวลาฝนตกจะเรียกว่า Shower เพราะว่าเม็ดฝนจะไม่ใหญ่มากเหมือนกับที่ไทย แต่จะเป็นเม็ดเล็กๆ พร้อมลมแรงแทน คนที่นี่เลยนิยมใช้ Coat แทนใช้ร่ม เพราะบางทีลมแรงเกินจนร่มหัก แต่ละปีจะมีวันพิเศษที่มี 3 ฤดูพร้อมกันคือฝนตก หิมะตก แล้วปิดท้ายด้วยแดดออกค่ะ
3. การเดินทาง
ที่อังกฤษมีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีมาก มีรถบัสหลายสาย ซึ่งเส้นทาง, ช่วงเวลาบริการ, ราคา จะต่างกันในแต่ละเมือง ถ้าเป็นในลอนดอนก็จะสะดวกขึ้นตรงมีรถไฟใต้ดินหลายสายให้ขึ้น และเปิดถึงเที่ยงคืน โดนบางสายอาจจะมี Night tube ที่เราสามารถขึ้นเดินทางตอนดึกได้
ถ้าใครอยากไปเที่ยวเมืองต่างๆในอังกฤษก็สามารถเดินทางด้วยรถไฟได้ Trainline เป็นแอปที่ดีมากกกก สามารถดูเที่ยว รอบเวลาและดูว่าสถานะของรถไฟได้เลย ถ้าใครเที่ยวโดยรถไฟบ่อยแนะนำให้ทำ Railcard 16-25 เป็นบัตรส่วนลด ⅓ ของค่ารถไฟ ราคา 30 ปอนด์ต่อปี หรือ 70 ปอนด์สำหรับคนที่ทำแบ 3 ปี ถ้าอายุเกิน 25 แต่ยังเป็นนักเรียนอยู่ก็สามารถทำได้ แต่ต้องขอจดหมายรับรองสถานะจากมหาลัยในการสมัคร
นอกจากนี้เราสามารถใช้ Railcard มา conenct กับ Osyer card เพื่อเป็นส่วนลดค่าเดินทางช่วง Off-peak ในลอนดอนได้อีกด้วย
4. เที่ยวในยุโรป
ถ้าอยากจะเที่ยวในยุโรปเราไม่สามารถใช้วีซ่านักเรียนอังกฤษได้ เราจะต้องขอเชงเก้นวีซ่า (Schengen Visa) แต่ถ้าถือวีซ่านักเรียนระยะยาว เราสามารถสมัครวีซ่าเชงเก้นที่อังกฤษได้เลย **โดยไม่ต้องกลับไทย** นอกจากนั่งเครื่องบินไปเที่ยวได้แล้ว เราสามารถเดินทางเข้ายุโรปโดยใช้รถไฟความเร็วสูงของ Eurostar ซึ่งสามารถเดินทางไป Paris, Brussels, Amsterdam ได้
5. งานอดิเรก
หลังจากปลด Lockdown เราได้มีงานอดิเรกใหม่คือถ่ายรูป เราจะชอบถ่ายรูปดอกไม้ กับสถานที่ เพราะ London มีที่ๆให้ถ่ายรูปเยอะมากๆ โดยเฉพาะตอนช่วง Spring จะมี Park หลาย Park ในลอนดอนที่น่าเดินมากเช่น Regent Parks หรือจะเป็น Kew Garden เพื่อไปถ่ายรูปดอกไม้ ล่าสุดคือเราได้ส่งรูปของเราเข้าประกวด Photo Competition ของ UCL และได้ที่ 2 ของการประกวดของเดือนเมษาที่ผ่านมาด้วยค่ะ ><
โดยรวมแล้วเรารู้สึกว่าการเรียนมหาลัยที่อังกฤษเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะคนที่อยากเรียนจบไวๆ (ป.ตรี 3 ปีและป.โท 1 ปี) และมีแพลนว่าจะทำงานต่อหลังจากนั้น เหตุผลคือ
- ตอนนี้มี Gradudate Visa ที่ช่วยให้เราอยู่ในประเทศและได้ใช้เวลาในการหางานหลังเรียนจบมากขึ้น
- ทางมหาลัยเองก็มี Support เพิ่มเติม เช่น Personal Tutor ให้เราปรึกษาระหว่างเรียน มี Career Support ที่จัด Networking Event, Skill Workshop และให้เราเตรียมสมัครและฝึกสัมภาษณ์ เพิ่มโอกาสได้งานมากขึ้น อีกทั้งมี Mental Health Support ให้เราปรึกษาได้ตลอด โดยเฉพาะตอนช่วงสอบหรือตอนที่เราอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก
- อังกฤษเป็นประเทศที่เปิดกว้าง มีคนหลากหลายชาติที่มาเรียน มาอาศัยอยู่ที่นี่ ทำให้เรามีโอกาสร้าง connection กับคนจากหลากหลายประเทศได้อีกด้วย
ช่องทางติดตามพี่จิ๋ว
(คลิปที่เคยสัมภาษณ์กับช่องของเพื่อนค่ะ มีนักเรียนไทยจาก University of Warwick มาร่วมแชร์ด้วย)
0 ความคิดเห็น