รีวิวแบบแรนดอมฉบับ ‘นักเรียนทุนอินเดีย’ พีคแต่ก็สนุก ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์!

สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึง “อินเดีย” ก็นับเป็นอีกประเทศยอดนิยมที่คนไทยเลือกไปเรียนภาษาอังกฤษหรือระดับมหาวิทยาลัย วันนี้เลยขอพาไปทัวร์ประเทศที่หลากหลายและมีเสน่ห์สุดๆ ผ่านเรื่องราวของ “พี่การ์ฟิลด์” นักเรียนทุนรัฐบาลอินเดีย (Indian Council For Cultural Relations Scholarship หรือ ICCR) ที่เพิ่งจบ ป.โท ด้านวารสารศาสตร์ ในเมือง “ปูเณ่” (Pune) 

ที่นี่เป็นเมืองมหาวิทยาลัยและมีชาวต่างชาติอยู่เยอะเลยค่ะ~ ในบทสัมภาษณ์นี้คือการพาทัวร์อินเดียแบบ random ผ่านประสบการณ์ของพี่การ์ฟิลด์ ตั้งแต่การสมัครทุน การเรียน บรรยากาศมหาวิทยาลัย และการใช้ชีวิต // เน้นอ่านเพลินๆ ให้นึกภาพออก ถ้าพร้อมแล้ว ลุยกันเลยค่า

Note: อ่านจบอยากปรึกษาตัวต่อตัวกับ 16 รุ่นพี่นักเรียนทุนยอดฮิต รวมถึง "พี่การ์ฟิลด์" ห้ามพลาดงานแฟร์ Dek-D’s Study Abroad Fair ในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 ที่ไบเทคบางนา (ฮอลล์ EH98) รายละเอียดท้ายบทความนะคะ :D

Pune, Maharashtra, India
Pune, Maharashtra, India
Photo by onkar gotale on Unsplash 

Q: ทักทายคุณผู้อ่านจากทางบ้าน

พี่การ์ฟิลด์: สวัสดีครับ ชื่อ “การ์ฟิลด์-นภณัฐ ตู้วิเชียร” เรียนจบคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจาก ม.ธรรมศาสตร์ หลังจากเรียนจบอยากเบนไปเรียนด้านสื่อสารมวลชนและสนใจการทำหนัง ก็เลยลองหาหลักสูตรที่ใกล้เคียง และเลือก​อินเดียเพราะเป็นประเทศที่น่าสนใจครับ สังคมที่นี่มีความหลากหลายและมีความเป็นตัวเองสูงมากๆ 

(อัปเดตข้อมูลทุนอินเดียปีล่าสุด)

Q: ตอนสมัครทุนรัฐบาลอินเดีย (ควร)เลือกมหาวิทยาลัยจากอะไรบ้าง

พี่การ์ฟิลด์: จริงๆ อยากไป Himalayan นะครับ หนาวดี 5555 แต่อาจารย์ในคณะที่จบจากอินเดีย เค้าแนะนำให้เน้นเลือกจาก Ranking มหาวิทยาลัยเป็นหลัก ถ้าเป็นทุน ICCR ของปีผมจะยังมีให้เลือก 3 อันดับ แต่เช็กกำหนดการดีๆ นะครับ เพราะปีหลังๆ เหมือนเปลี่ยนเป็น 5 อันดับแล้ว

คณะกับมหาวิทยาลัยที่ผมเลือกมีดังนี้ครับ

  1. The School of Arts and Aesthetics, Jawaharlal Nehru University เป็นมหาวิทยาลัยรัฐอันดับต้นๆ ของอินเดีย
  2. Mass Communication and Journalism ที่ Savitribai Phule Pune University **ได้การตอบรับและเรียนที่นี่ครับ
  3. University Of Mysore (UoM) ได้แรงบันดาลใจจากพี่ที่เป็นเพจลูกสาวคนเดียวก็เรียนจบอินเดียได้ (พี่มะปราง)  เรียนจบคณะวารสารศาสตร์จากที่นี่ครับ

Note:

  • ทุกมหาวิทยาลัยรัฐของอินเดีย สำนัก ก.พ.รองรับอยู่แล้ว จะไม่มีปัญหาถ้าจบแล้วอยากทำงานราชการ
  • ปกติค่าเทอม ม.รัฐที่อินเดียจะอยู่ราวๆ 2,000-3,000 บาท ส่วนเอกชนประมาณ 15,000 บาท (ทุน ICCR เลือกได้เฉพาะ ม.รัฐ นะครับ)

Q: แชร์โพรไฟล์ช่วงสมัครทุน & คำแนะนำเรื่องเอกสาร

พี่การ์ฟิลด์:

  • ม.ปลาย เรียนจบแผนศิลป์-ฝรั่งเศส รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย GPA 3.45 (ปัจจุบันไม่มีแผนนี้แล้ว)
  • ป.ตรี คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
  • ไม่ได้ยื่นคะแนนภาษา แต่ ICCR จะมีให้ทำข้อสอบภาษาอังกฤษที่เป็นข้อสอบกลาง
  • จดหมายรับรอง หรือ Recommendation Letter ผมขอจากอาจารย์มหาวิทยาลัย ป.ตรี และพี่ที่ฝึกงาน
  • ตัวอย่างกิจกรรมที่เคยทำ เช่น ค่ายปรับปรุงห้องสมุดกับติวน้องๆ ตามโรงเรียนที่ชนบท, แข่งตอบปัญหารัฐศาสตร์ตอน ม.ปลาย, แข่งตอบคำถามในรายการนักคิดตะลุยอาเซียน ฯลฯ

*บางโรงเรียนอาจไม่มีหน่วยงานที่แปลเอกสารต่างๆ (เช่น Transcript) เป็นภาษาอังกฤษ เราจะต้องแปลก่อน (หรือจ้างแปลข้างนอก) -> ส่งให้กงสุลรับรองก่อนยื่นสมัครทุนครับ

Q: รีวิวข้อสอบภาษาอังกฤษทุน ICCR

พี่การ์ฟิลด์: ผมว่าใกล้เคียง TOEIC รูปแบบ multiple choices วัดเรื่องคำศัพท์ (Vocab) ไวยากรณ์​ (Grammar) และการอ่าน (Reading) เน้นการสื่อสารมากกว่า แต่ข้อสอบพาร์ตที่วัดจริงๆ ผมว่า Essay ปีผมเค้าจะมีหลายๆ หัวข้อมาให้เราเลือกทำ 3 ข้อครับ ผมเลือกเขียนเรื่องความสำคัญของการศึกษา, ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย-ไทย และเรื่องบทบาทสตรี 

เทคนิคของผมคืออ้างอิงโดยใช้หลัก “PEST” เขียนเชื่อมโยงให้ครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ Political, Economic, Sociology และ Technology 

พอผ่านข้อเขียนแล้ว จะมีสัมภาษณ์อีกครับ แต่ปีผมงดเพราะเป็นช่วงโควิดพอดี หลังสอบรอผลยาวๆ ประมาณ 6 เดือน แล้วมหาลัย Pune ก็ตอบกลับมาว่าเราได้เข้าเรียน // เย้!

Q: ไปถึงอินเดียแล้วต้องทำอะไรก่อน

พี่การ์ฟิลด์: ชาวต่างชาติทั้งนักเรียนหรือคนที่เข้ามาทำงานในอินเดียต้องไปลงทะเบียน “FRRO” (Foreigners Registration Office-FRO) ภายใน 15 วันที่มาถึง 

  • เอกสารสำคัญๆ ที่ต้องใช้ประกอบการลงทะเบียน เช่น Bona fide, C Form, House of Agreement (*ศึกษาเกี่ยวกับ FRRO เพิ่มเติมที่นี่)
  • แนะนำว่าถ้าเป็นการทำเอกสารราชการที่อินเดีย ควรเผื่อเวลาเยอะๆ
  • บางทีเค้าอาจเชิญเราไปที่ FRRO โดยตรง แต่ถ้าโชคดีจะได้รับใบรับรองทางออนไลน์

Q: เด็ก Mass Comm. & Journalism ที่ปูเณ่ เรียนกันยังไงบ้าง

พี่การ์ฟิลด์: เริ่มจากบรรยากาศรวมๆ ก่อนก็คือ Pune เป็นเมืองมหาวิทยาลัยครับ แต่ละคณะที่ Savitribai Phule Pune University จะกระจายไปตามจุดต่างๆ โดยคณะ   Communication And Journalism มีตึกของตัวเองแยกออกมาคือ  Ranade Institute  

ผมได้เรียนออนไลน์ 3 เทอม ตั้งแต่ปี 1 ถึงปี 2 เทอม 1 ยกตัวอย่างวิชาสื่อสารมวลชน (เรียนทฤษฎีสื่อ) และด้วยความที่ ม.ปูเณ่ เด่นคณะสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ ผมเลยมีไปลงวิชาชื่อ “Political Communication” สอนเกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎีการเมืองต่างๆ เช่น Democracy, Marxist ฯลฯ ที่นี่ิเปิดกว้างให้เราดีเบตกับเพื่อนกับอาจารย์ แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่

ถ้าอย่างสาขาที่ผมเรียนจะไม่ค่อยเน้นปฏิบัติ พื้นฐานจากศูนย์ผมว่าก็เรียนได้นะ แต่ที่ต้องเตรียมรับมือคือเขียนเยอะมากกกทั้งการบ้านกับตอนสอบ ส่วนโปรเจ็กต์จบจะเปิดกว้างครับ  เราเลือกได้ว่าจะทำวิจัย, วิทยานิพนธ์, สารคดี, การแปล, พอดแคสต์, แคมเปญการตลาด, เขียนเว็บ ฯลฯ // ตอนนั้นผมทำรายการสัมภาษณ์นักเรียนในต่างแดน ชื่อ “Funreigner Talk” ลองไปดูเล่นๆ กันได้นะครับ 555

ส่องหลักสูตร เรียนอะไรบ้าง?

Q: กำแพงภาษา ข้ามไปยังไงดี?

พี่การ์ฟิลด์: ในคลาสส่วนใหญ่จะเป็นคนอินเดีย ยกเว้นนักเรียนทุนที่เป็นชาวต่างชาติ เช่น เพื่อนจากบังคลาเทศ ศรีลังกา มอริเชียส ฯลฯ ในการเรียนปกติจะเป็นภาษาอังกฤษนะครับ แต่บางตอนอาจารย์กับเพื่อนจะหลุดพูดภาษามราฐี (मराठी) ซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่ใช้พูดกันในมหาราษฏระ เราอาจจะงงๆ แล้วต้องมาตามทีหลัง

ผมจะไม่ค่อยชินกับสำเนียงอังกฤษแบบอินเดียเท่าไหร่ ช่วงแรกๆ ต้องปรับตัวเยอะ ตอนนั้นเลยไปลง ELTIS ของที่ Symbiosis  แนะนำเผื่อใครอยากปูพื้นฐานก่อนเรียนมหาวิทยาลัยครับ อาจารย์ฟังง่ายสอนง่ายดี มีตั้งแต่คอร์สระยะสั้น 4 เดือน, 6 เดือน และ 1 ปี เงื่อนไขคือต้องจบ ม.6 ก่อนถึงจะสมัครได้

พูดถึง Symbiosis ที่นี่เคยเป็นวิทยาลัยในสังกัดของปูเณ่แล้วแยกออกมาเป็น ม.เอกชน คณะดังคือ BBA ครับ ผมจะชอบไปทำกิจกรรมที่นี่บ่อยๆ เช่น International Sport Day, Food Festival หรือ วันเกิดมหาวิทยาลัย ฯลฯ (เอาจริงๆ อยากแนะนำ ม.เอกชนของอินเดียเหมือนกัน แต่ทุนรัฐบาล ICCR จะไม่ครอบคลุม)

Plantation day ของมหาวิทยาลัย Symbiosis
Plantation day ของมหาวิทยาลัย Symbiosis

Q: ชวนรีวิวอินเดียแบบไปทั่ว
แต่ละวันเจอบรรยากาศแบบไหนบ้าง

พี่การ์ฟิลด์:

  • ผมว่าปูเณ่เป็นเมือง Slow-life ผู้คนไม่ได้เร่งรีบ ไม่ค่อยมีบรรยากาศของการแก่งแย่งแข่งขันอะไรกันมาก (ถ้า Mumbai จะอีกอารมณ์นึง) คิดว่าตอบโจทย์กับคนที่อยากลองเริ่มมาอยู่อินเดีย
     
  • เมืองนี้น่าจะเหมาะคนชอบเที่ยวแนวธรรมชาติด้วยนะ มีป้อมปราการให้ปีนหลายที่ เช่น Baner hill, Panchavati Hill, Parvati Hill (ปีนเขาที่อินเดียสนุก แต่อย่าไปหน้าฝนนะครับ อันตรายมาก!!) และอีกแลนมาร์กฮิตๆ คือวัดพระพิฆเนศสาขาปูเณ่ “Shreemant Dagdusheth Halwai Ganpati Mandir” ถ้าแปลเป็นไทยก็คือพระพิฆเนศปางมหาเศรษฐี ดั๊กดูเศรษฐ์
  • แหล่งชอปปิงในเมือง คือ "FC Road​” ตั้งอยู่ติดกับ Fergusson College ของปูเณ่
  • ถ้าจะหาหนังสือภาษาอังกฤษ ร้านข้างทางที่ขายละเล่มละ 100-200 รูปีจะเป็นแบบผิดลิขสิทธิ์ ผมแนะนำว่าให้ซื้อของถูกลิขสิทธิ์ดีกว่า ที่นั่นจะมีร้านหนังสือดังๆ ชื่อ Crossword  ราคาประมาณเล่มละ 300+ กว่ารูปี
  • ใครเป็นสายวรรณกรรม ที่นี่มี Bloomsbury Publishing เป็นสำนักพิมพ์อังกฤษที่มาเปิดสาขาในอินเดีย โดยจะตีพิมพ์ทั้งนิยายแปลและนิยายในประเทศ เขียนโดยคนอินเดีย ขายราคาคนอินเดีย และขายที่ประเทศอินเดียเท่านั้นครับ (Published only India)
     
  • คนที่นี่นิยมแชร์อาหารกัน แต่ผมกินยาก แล้วดันไม่กินอาหารอินเดียด้วย (แนะนำคนไทยให้พกผงปรุงรสติดตัวไปด้วย) โชคดีที่นี่จะมีตัวเลือกอาหารอื่นๆ เช่น ข้าวผัดไก่บะหมี่เสฉวน, Chicken Lollipop ฯลฯ หรือจะซื้อวัตถุดิบแถวตลาดมาทำอาหารเองก็ได้
  • ผมเคยโดนหมากัดในอินเดียด้วยนะ! ปกติผมจะชอบวิ่งจ็อกกิงช่วงเย็น มีวันนึงเจอหมา Golden น่ารักดี เลยเดินไปลูบหัวเล่นด้วย อยู่ดีๆ น้องแยกเขี้ยว เห่า แล้วกัด ผมต้องพยุงร่างตัวเองไปหาพี่คนไทยที่อยู่ในหอเดียวกัน แล้วเดินกลับหอไปทำแผล คนก็แนะนำให้รีบไปเย็บแผลครับ  // เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่าระบบสาธารณสุขของอินเดียจะต่างกับเรา เช่น เราต้องซื้อยาก่อน แล้วไปให้หมอที่โรงพยาบาลฉีดให้ 
     
  • คนอินเดียใจดีเป็นกันเองมากๆ ชอบช่วยเหลือ แต่ต้องระวังบางกรณี อย่างเช่นขอทาน ถ้าเราให้เงินคนนึง อาจโดนขอทานคนอื่นๆ วิ่งตามเป็นขบวนก็ได้

Q: ที่มาของการเปิดเพจ “ขอให้โชคดีมีชัยในอินเดีย” 

พี่การ์ฟิลด์: เริ่มจากตอนอยู่สนามบินก่อนไปอินเดีย ผมก็มีโพสต์ลงเฟซ แล้วคนมาคอมเมนต์อวยพรกันเยอะครับ หนึ่งในนั้นคือมีคนบอกว่า “ขอให้โชคดีมีชัย” ผมเลย reply ต่อว่า “ในโลกแฟนตาซี” (เพราะจำได้ว่าใน Netflix มีอนิเมะเรื่อง Konosuba ชื่อไทยคือ ขอให้โชคดีมีชัยในโลกแฟนตาซี!) สรุปก็เอามาตั้งเป็นชื่อเพจเลยครับ 555

และเหตุผลที่มาเปิดเพจเพราะเมื่อก่อนผมชอบไปโพสต์ตามกรุ๊ปคนที่ส่งลูกไปเรียนอินเดียอยู่แล้ว จนอยากเปิดเพจเอง คุมคาแรกเตอร์ให้มีความกวนแบบวัยรุ่น และวันดีคืนดีก็เกิดอยากมีสาระขึ้นมา ถ้าใครอยากสอบถามเรื่องทุน inbox มาที่เพจผมได้ครับ ^ ^

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - 

You're Invited!
พูดคุยกับ "พี่การ์ฟิลด์" ได้ที่งานแฟร์ต่อนอก
พิกัดไบเทคบางนา 7-8 ต.ค.66 นี้!

กลับมาอีกครั้ง! ขอเชิญทุกคนมาเป็นส่วนหนึ่งในงาน Dek-D’s Study Abroad Fair ในวันเสาร์ที่ 7 และ อาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2566 ณ ไบเทคบางนา (ฮอลล์ EH98) เข้าร่วมฟรี!

  • ภายในงานพบกับเอเจนซีชั้นนำมากมาย จากหลากประเทศ หลายสาขาวิชา พร้อมช่วยเหลือเรื่องเรียนต่อตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น ทั้งเรื่องเอกสาร สมัครเรียนให้ จัดแจงวีซ่า จองที่พัก และความพร้อมด้านต่างๆ ให้บินไปเรียนแบบ Perfect Planning!
  • โปรแกรมบริการ และฐานกิจกรรมมากมาย เพื่อช่วยวางแผนการสมัครเรียนต่อต่างประเทศ
  • โต๊ะปรึกษา 1:1 กับรุ่นพี่นักเรียนไทยที่ได้ทุนสุดฮิต 16 คน ทั้งทุนรัฐบาลเกาหลี, ทุน EGPP (ม.สตรีอีฮวา), ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น, ทุนรัฐบาลไต้หวัน, ทุนรัฐบาลอินเดีย, ทุนรัฐบาลไทย, ทุน Chevening ทุน DAAD, ทุน ERASMUS+, ทุน Franco-Thai ฯลฯ เล็งทุนไหนไว้ หรืออยากค้นหาประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ห้ามพลาด!

ที่สำคัญคืองานนี้จัดพร้อมกับ Dek-D’s TCAS Fair เท่ากับว่ามาครั้งเดียวจะได้ค้นหาตัวเองและหลักสูตรที่ตอบโจทย์ ซึ่งอาจจะเป็นในไทยหรือต่างประเทศก็ได้ // สะกิดชวนเพื่อนหรือผู้ปกครองด่วนๆ เลยค่าา~

เว็บไซต์งานแฟร์ต่อนอก
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น