สวัสดีน้องๆ ชาว Dek-D ทุกคนค่า~ พี่ลูกหมูเชื่อว่าหลายๆ คนที่กำลังอ่านบทความนี้อาจมีความฝันที่ในการไปเรียนต่อต่างประเทศ ที่ผ่านมานั้นหลายคนอาจจะคิดว่ายากและเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ขอบอกว่าเราสามารถทำตามความฝันได้ไม่ยากเลยค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้มีข้อมูลมากมายให้เราได้ค้นหาและเตรียมตัวได้ด้วยตัวเอง
แต่ถ้าใครนึกภาพไม่ออกว่าควรจะเริ่มยังไงดี หรือเริ่มจากตรงไหน วันนี้พี่ลูกหมูก็มาแจก Step ในการไปวางแผนและเตรียมความพร้อมไปเรียนต่อมาให้แล้ว บอกเลยยิ่งแพลนดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ว่าแล้วก็มาดู Step-by-Step Guide เพื่อพิชิตเส้นชัยกัน!
1. เลือกหลักสูตร & มหาวิทยาลัย
ข้อแรกของการไปเรียนต่อเราควรเริ่มจากการที่เรารู้ตัวเองก่อนเลยค่ะ ว่าเราสนใจอยากเรียนต่ออะไร เรียนต่อทางด้านไหน จากนั้นก็กำหนดเป้าหมายซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เราวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- เลือกสาขาวิชาที่สนใจ โดยอาจจะดูจาก Rankings ของ QS Rankings หรือ The THE World University Rankings, Course Structure จากเว็บไซต์มหาวิทยาลัย และรีวิวจากนักศึกษาหรือรุ่นพี่ เพื่อประกอบการตัดสินใจ (อ่านรีวิวประสบการณ์เด็กนอกจาก Dek-D คลิกที่นี่เลย)
- เลือกประเทศที่เราสนใจอยากไปเรียนต่อ โดยพิจารณาจากแง่ต่างๆ ทั้งเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ นอกจากนี้แต่ละประเทศอาจจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป เช่น เรื่องค่าใช้จ่าย/ค่าครองชีพ โอกาสทำงานหลังเรียนจบ ทุนการศึกษา ระยะเวลาเรียน (เรียน 1 ปี หรือ 2 ปี) เป็นต้น แนะนำให้ชั่งน้ำหนักจากหลายๆ ด้าน แล้วเราจะพบว่าที่ไหนตอบโจทย์กับเรามากที่สุด
- เลือกมหาวิทยาลัยที่เราต้องการจะไปเรียนต่อ ถ้าเราคิดไม่ออกว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนดี ลองตรวจสอบจาก QS Rankings ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการจัดอันดับสถาบันการศึกษาทั่วโลก ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลช่วยประกอบการตัดสินใจได้ดีเลยค่ะ (มีทั้งจัดอันดับภาพรวม, จัดอันดับเฉพาะสาขา และจัดอันดับในแง่มุมอื่นๆ ฯลฯ) หรือถ้าเรามีมหาวิทยาลัยในใจแล้วก็หาข้อมูลมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรนั้นๆ ได้เช่นกันค่ะ
Note: การเลือก “ประเทศ” หรือ “มหาวิทยาลัย” ก่อนนั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและปัจจัยที่สำคัญสำหรับตัวเราเอง เช่น บางคนเลือก "ประเทศ" ก่อน แล้วค่อยเลือกมหาวิทยาลัยทีหลัง ซึ่งวิธีนี้อาจเหมาะสำหรับคนที่มีข้อจำกัดเรื่องภาษา, ค่าใช้จ่าย, โอกาสทำงานหลังเรียนจบ หรือถ้าใครที่เน้นคุณภาพการศึกษาหรือมหาวิทยาลัยอันดับสูง ก็อาจจะเลือก "มหาวิทยาลัย" ก่อน แล้วค่อยดูว่าตั้งอยู่ในประเทศไหนค่ะ
2. ตรวจสอบคุณสมบัติและเงื่อนไขการรับสมัคร
เมื่อเรามีลิสต์สาขาที่เราอยากเรียน และเลือกมหาวิทยาลัย/เลือกเมืองที่เราสนใจจะเรียนต่อแล้ว ต่อมาเราก็ต้องมาตรวจสอบคุณสมบัติว่าที่เราเลือกไว้นั้นมีเกณฑ์อะไรบ้าง เราสามารถที่จะเข้าเรียนได้ไหมนะ? โดยหลักๆ เกณฑ์ในการรับเข้าเรียน จะมีดังนี้
- วุฒิการศึกษาที่ต้องมี (เช่น จบปริญญาตรีในสาขาที่เกี่ยวข้อง)
- เกรดขั้นต่ำที่ต้องการ (เช่น GPA 2.5 ขึ้นไป หรือ 3.0 ขึ้นไป ทั้งนี้อาจต้องเช็กระบบการคิดเกรดของประเทศที่เราจะสมัครด้วย จากนั้นก็ค่อยมาเทียบว่าเกรดเราอยู่ในระดับไหน เช่น ของประเทศเกาหลีใช้ระบบเกรดเต็ม 4.3-4.5)
- ผลสอบภาษาอังกฤษ เช่น IELTS, TOEFL, PTE, Duolingo หรือ GMAT/GRE (ถ้าหลักสูตรกำหนด)
- ผลสอบภาษาอื่นๆ ในบางประเทศ/หลักสูตรที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน เช่น ญี่ปุ่น (JLPT), จีน (HSK, HSKK), เกาหลี (TOPIK) เป็นต้น
- เอกสารอื่นๆ เช่น Statement of Purpose (SOP), Resume/CV, Letter of Recommendation (LOR) เป็นต้น // LOR อาจใช้เวลานาน เพราะต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาหรือหัวหน้างานเป็นผู้เขียนให้ แนะนำให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆ
ซึ่งถ้าเรามีเกณฑ์ครบตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด หรือถ้าเราต้องการยื่นขอทุนการศึกษา เราก็ควรศึกษาเงื่อนไขของทุนด้วย เช่น เกณฑ์ผลการเรียน ข้อผูกพันหลังเรียนจบ เป็นต้น และถ้าทุกอย่างผ่านหมดก็เตรียมยื่นสมัครได้เลย! // ป.ล. บางมหาวิทยาลัยอาจพิจารณาทุนจากเอกสาร SOP, LOR และคะแนนภาษาที่เรายื่นสมัครเรียนโดยอัตโนมัติ
3. Checklist เอกสารสมัครเรียน
Step นี้ต่อจากข้อที่แล้วเลยค่ะ เมื่อเราทำการเช็กว่าผ่านคุณสมบัติของมหาวิทยาลัยแล้วเราก็มาเตรียมเอกสารกันต่อเลยย~ โดยหลักๆ หลายมหาวิทยาลัยจะมีเอกสารที่ต้องใช้ ดังนี้ (อาจแตกต่างกันตามมหาวิทยาลัย//แนะนำให้เช็กกับทางเว็บไซต์ของทางมหาวิทยาลัย)
- Transcript (ใบแสดงผลการเรียน)
- Certification (ใบรับรองจบการศึกษา)
- Resume/CV (ประวัติการศึกษาและการทำงาน)
- Statement of Purpose (SOP) (จดหมาย/เรียงความแนะนำตัว เพื่อแสดงเจตจำนง)
- Letter of Recommendation (LOR) (จดหมายแนะนำจากอาจารย์หรือหัวหน้างาน)
- ผลสอบภาษาอังกฤษ เช่น IELTS/TOEFL/PTE
- Portfolio (ถ้าหลักสูตรต้องการ)
Note:
- รอบสมัครส่วนใหญ่เปิด 6-12 เดือนก่อนเริ่มเรียน แนะนำให้เช็กที่ Calendar ในหน้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่เราสนใจ
- ตรวจสอบ Deadline ของแต่ละมหาวิทยาลัย และเตรียมเอกสารให้ทัน (บางคอร์สฮิตๆ รับสมัครแบบ first come, first served)
- ถ้าเอกสารเป็นภาษาไทย ต้องนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาประเทศปลายทางก่อน หรือบางประเทศอาจจะต้องนำเอกสารไปรับรองที่กรมการกงสุลและสถานทูตฯ ของประเทศนั้นๆ ด้วย
4. เอกสารพร้อม ก็ยื่นใบสมัครรัวๆ
เมื่อเราเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปสมัครกันได้เลยค่า~ โดยทั่วไปมหาวิทยาลัยมักให้ผู้สมัครกรอกแบบฟอร์มและอัปโหลดเอกสารผ่านระบบออนไลน์ แต่บางแห่งอาจต้องส่งเอกสารทางไปรษณีย์ หรือสมัครผ่านระบบกลาง เช่น UCAS (UK), Studielink (Netherlands), Uni-Assist (Germany) ซึ่งผู้สมัครควรศึกษาขั้นตอนการสมัครจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ นอกจากนี้บางมหาวิทยาลัยอาจมีพาร์ตเนอร์กับเอเจนซีที่ช่วยดำเนินการสมัครเรียนได้เช่นกัน
การใช้บริการเอเจนซีมีข้อดีหลายอย่าง เนื่องจากบางมหาวิทยาลัยเป็นพาร์ตเนอร์กับเอเจนซี ซึ่งให้คำปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และสามารถช่วยค้นหาโปรแกรมที่เหมาะสม ดำเนินการสมัครทุกขั้นตอน คอยติดตามผล เรียกว่าดูแลตลอดเส้นทางจนบินไปเรียนต่อเลยค่ะ (ทั้งนี้ การเลือกใช้บริการเอเจนซีขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้สมัครเอง ใครมีเวลาน้อย ไม่ชัวร์กับขั้นตอน ก็แนะนำให้ปรึกษาพี่ๆ เอเจนซีเลยค่า)
และเมื่อยื่นใบสมัครเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็รอจดหมายตอบรับเข้าเรียน (Offer Letter) จากมหาวิทยาลัยกันได้เลย // ลุ้นๆๆๆ O.O
Note: แนะนำให้สมัครไว้ สัก 2-3 มหาวิทยาลัยนะคะ เพราะอาจจะไม่ได้รับการตอบรับเสมอไป เราจะได้ไปลุ้นที่อื่นกันต่อค่า~
5. ขอทุน/วางแผนการเงิน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘เงิน’ เป็นปัจจัยสำคัญในการไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะบางที่ก็ค่าเรียนแพงเกิ๊น T_T ซึ่งเราอาจจะสมัครขอทุนเพื่อช่วยเซฟงบลดภาระทางด้านการเงิน โดยทุนการศึกษาก็อาจมีหลายประเภท (พิจารณาจากผลการเรียนและความขัดสนด้านการเงิน) ซึ่งมูลค่าและเงื่อนไขของแต่ละทุนจะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ ส่วนลดค่าเล่าเรียน, ทุนเรียนฟรี (ยกเว้นค่าเทอม 100%), ทุนค่าครองชีพรายเดือน ไปจนถึง ทุนเต็มจำนวน ที่ครอบคลุมค่าเล่าเรียน, เบี้ยเลี้ยง, ตั๋วเครื่องบิน, และค่าที่พัก เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถตรวจสอบรายละเอียดทุนได้จากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยหรือสถานทูตของแต่ละประเทศเลย
ตัวอย่างประเภททุนการศึกษา
- ทุนรัฐบาลต่างประเทศ เป็นทุนที่มอบให้โดยรัฐบาลของแต่ละประเทศ เช่น Fulbright, DAAD, Chevening, Erasmus+ เป็นต้น ซึ่งจะไม่มีข้อผูกพันในการใช้ทุนหลังเรียนจบ แต่อาจจะมีเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติมแล้วแต่ทุน
- ทุนรัฐบาลไทย (ทุน ก.พ.) เป็นทุนเต็มจำนวนสำหรับนักศึกษาที่ต้องการศึกษาต่อในระดับ ปริญญาตรี, โท, เอก หรือ โทควบเอก ในสาขาที่กำหนด โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ได้รับทุนต้องกลับมาทำงานในหน่วยงานที่กำหนดหลังเรียนจบ ตัวอย่างทุนสำคัญ ได้แก่ ทุนเล่าเรียนหลวง, ทุนกระทรวงการต่างประเทศ, และทุน UiS เป็นต้น
- ทุนมหาวิทยาลัย เป็นทุนที่มอบให้โดยมหาวิทยาลัย และบางทุนอาจจะมอบให้อัตโนมัติเมื่อเราสมัครเข้าเรียน (ไม่ต้องสมัครทุนอีกรอบ) หรือทุนการศึกษาที่มอบให้กับนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเด่น
- ทุนเอกชน/องค์กร เป็นทุนจากองค์กรที่มอบให้กับนักศึกษาที่ต้องการศึกษาต่อระดับ ปริญญาตรี ปริญญาโท หรือปริญญาเอกในสาขาที่กำหนด โดยส่วนใหญ่เป็นทุนเต็มจำนวน และอาจมีเงื่อนไขให้ผู้รับทุนกลับมาทำงานกับองค์กรผู้ให้ทุน ตัวอย่างเช่น SCG New Gen Scholarship, KBank Annual Scholarship เป็นต้น
Note: ใครที่สนใจสมัครทุนควรตรวจสอบรายละเอียดและกำหนดเวลารับสมัครของแต่ละทุนล่วงหน้า เพื่อเตรียมเอกสารและคุณสมบัติให้พร้อม
6. ขอวีซ่านักเรียน
เมื่อคุณสมบัติพร้อม เอกสารพร้อม เงินพร้อม ได้ใบตอบรับเข้าเรียนแล้ว (แถมได้ทุนด้วย เย้!) ขั้นตอนต่อไปก็คือการขอยื่นวีซ่าค่ะ เป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำหลังจากได้รับ Letter of Acceptance (LoA) จากมหาวิทยาลัยแล้ว โดยเงื่อนไขและเอกสารที่ต้องใช้จะแตกต่างกันไปตามประเทศปลายทาง ระยะเวลาพิจารณา 2-8 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับประเทศ) และหากผ่านแล้ว ให้ตรวจสอบเงื่อนไขและวันหมดอายุของวีซ่าด้วยนะคะ
เอกสารพื้นฐานที่ใช้ทุกประเทศ
- Letter of Acceptance (LoA) – หนังสือตอบรับจากมหาวิทยาลัย
- แบบฟอร์มสมัครวีซ่า – กรอกออนไลน์หรือเอกสารที่สถานทูตฯ กำหนด
- หนังสือเดินทาง (Passport) – ต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6-12 เดือน
- รูปถ่ายตามข้อกำหนดของสถานทูตฯ
- หลักฐานทางการเงิน (Bank Statement) – แสดงว่ามีเงินพอสำหรับค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพ
- ใบรับรองแพทย์และตรวจสุขภาพ – บางประเทศต้องตรวจ TB หรือวัคซีนเพิ่มเติม
- ผลสอบภาษาอังกฤษ (IELTS/TOEFL/Duolingo) – ถ้ามีข้อกำหนดจากมหาวิทยาลัย
- เอกสารเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น สูติบัตร, ทะเบียนบ้าน, ประวัติอาชญากรรม (ถ้าสถานทูตฯ กำหนด)
คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการขอวีซ่า
|
7. วางแผนที่พัก & การใช้ชีวิตในต่างประเทศ
การเตรียมตัวเรื่องที่พักและการใช้ชีวิตเรื่องสำคัญมากๆ และชวนให้ปวดหัวไม่น้อยเลยค่ะ 5555 เพราะการที่เราจะเริ่มต้นใหม่ในประเทศและสภาพแวดล้อมที่เราไม่คุ้นเคยนั้นมีเรื่องให้เตรียมตัวและเตรียมใจเยอะมากๆ ซึ่งถ้าเราวางแผนดีก็จะช่วยให้การปรับตัวเป็นไปได้อย่างราบรื่น รวมถึงลดความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและความเป็นอยู่อีกด้วย
โดยวิธีหาที่พักสามารถหาได้จากหลายช่องทาง เช่น สมัครหอพักมหาวิทยาลัยล่วงหน้า (ถ้ามีให้บริการ) ใช้เว็บไซต์หาที่พัก เช่น Uniplaces, Student.com, HousingAnywhere, Airbnb, หรือ Facebook Marketplace หรือใช้บริการเอเจนซีหาที่พักในกรณีที่ต้องการความสะดวก นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีที่นิยม คือ เข้าร่วมกลุ่มนักศึกษาไทยในประเทศนั้นๆ เพื่อหาห้องเช่า
นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของค่าครองชีพที่เราควรจะต้องวางแผนล่วงหน้า โดยหลักๆ จะแบ่งเป็น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง อุปกรณ์การเรียน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (อินเทอร์เน็ต, โทรศัพท์, บันเทิง ฯลฯ ) ซึ่งการคำนวณค่าครองชีพคร่าวๆ จะทำให้เราวางแผนการเงินและเตรียมตัวได้ถูกค่ะ โดยเราสามารถเช็กข้อมูลเบื้องต้นได้ที่เว็บไซต์ NUMBEO (เว็บนี้จะสรุปค่าใช้จ่ายรายเดือนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น อาหาร, ที่พัก, ค่าเดินทาง ฯลฯ และยังมีโปรแกรมเทียบค่าใช้จ่ายระหว่าง 2 ประเทศให้ใช้งานด้วย)
Note:
- แนะนำให้ทำบัตรโดยสารรายเดือนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
- การใช้บัญชีธนาคารดิจิทัล เช่น Wise, Revolut หรือ Monzo จะช่วยลดค่าธรรมเนียมแลกเปลี่ยนเงินตรา
8. Your Journey Begins! เดินทางไปเรียนกันเล้ยยย
มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ตื่นเต้นที่สุดและทุกคนตั้งตารอคอย! นั่นคือการบินไปเรียนนั่นเองง ว่าแล้วก็มาดู step กันต่่อว่าเราต้องเตรียมอะไรบ้าง~
- เตรียม Visa, Passport, เอกสารสำคัญ ติดตัวไปด้วยให้พร้อม (อย่าลืม! ตรวจสอบของต้องห้ามที่ห้ามนำเข้าตามกฎของประเทศปลายทางด้วยนะคะ)
- โหลดแอปพลิเคชันที่จำเป็น เช่น Google Maps, Bank App, Student Portal
- การเดินทางจากสนามบินไปที่พัก - เราควรศึกษาล่วงหน้าว่าเมื่อถึงสนามบินแล้วจะไปที่พักยังไง ไม่ว่าจะเป็น แท็กซี่/Grab/Uber ขนส่งสาธารณะ หรือบริการรับส่งของมหาวิทยาลัย (ถ้ามี) หรือถ้าใครใช้บริการเอเจนซี ก็อาจจะมีคนมารับที่สนามบินพาไปส่งที่พักด้วยค่ะ
- เช็กอินเข้าที่พัก และเริ่มต้นชีวิตนักเรียน - เมื่อถึงที่พักแล้ว ควรตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องพัก ซื้อซิมการ์ด/เปิดใช้งานอินเทอร์เน็ต รวมถึงสำรวจร้านค้าใกล้เคียงและเส้นทางไปมหาวิทยาลัย
สิ่งที่ควรทำภายในสัปดาห์แรก
|
จากนั้นก็ปรับตัวกับชีวิตใหม่ และเริ่มต้นเรียนอย่างมีความสุขกันค่ะ หรือถ้าใครมีปัญหาหรือเจออุปสรรคอะไร ก็ลองอ่านคู่มือทักษะเอาตัวรอดเมื่อไปเรียนต่อนอก แบบฉบับ Squid Games 2 ดูค่ะ 55555 The Journey begins!
เป็นยังไงกันบ้างคะ แต่ละก้าวอาจดูมีเรื่องให้เตรียมตัวเยอะ แต่ถ้าวางแผนดีๆ ก็ได้ไม่ยากเลย ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดเลยคือเริ่มจาก เราต้องค้นพบตัวเองก่อนค่ะ ว่าเราอยากเรียนอะไร เรียนที่ไหน จากนั้นก็เตรียมตัวตาม Step ต่างๆ ได้เลย หรือถ้าใครอยากได้ข้อมูลแบบจัดเต็ม ก็มาหาข้อมูลได้ที่งาน Study Abroad Fair by Dek-D บอกได้เลยว่างานนี้ชีเสิร์ฟข้อมูลเรียนต่อนอกไว้แบบครบมาก จะมีไฮไลต์อะไรเด็ดๆ บ้าง เช็กรายละเอียดด้านล่างเลยยย!
___________________
ทีมต่อนอกห้ามพลาด!
“Dek-D’s Study Abroad Fair”
พบกัน 26-27 เม.ย. 68 ที่ไบเทคบางนา
เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่! พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง
- ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่นักเรียนทุน ป.ตรี/โท/เอก อย่าพลาดโอกาสนี้! เพราะรอบนี้เราได้รับเกียรติจากทั้งศิษย์เก่าทุนรัฐบาลไทย, จีน, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อิตาลี, ฮังการี, สวีเดน, Franco-Thai, Fulbright TGS, Chevening, Erasmus+ รวมถึงทุนจากมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน (แถมมีบูทจาก DAAD ของรัฐบาลเยอรมนีด้วย) เปิดบูทให้ทุกคนสามารถ Walk-in เพื่อพูดคุย ปรึกษา หรือรีวิว SoP แบบตัวต่อตัวได้
- แจกฟรี Planner วางแผนเรียนต่อนอกสำหรับมือใหม่
- IELTS Mock Test - ทดลองสอบ IELTS ฟรีโดย British Council IELTS (Walk-in only)
- Alumni’s Talk: #ทอล์กเด็กนอก รายการพูดคุย-สัมภาษณ์รุ่นพี่นักเรียนทุนจากหลากประเทศ & แชร์ประสบการณ์เรียนต่อ การใช้ชีวิต จัดเต็ม 24 หัวข้อสุด Exclusive
- Top Uni’s Rankings Runway:ส่องอันดับ Top 10 มหาวิทยาลัยโลก ของ 41 สาขายอดฮิต
- Dek-D’s Language Test: โปรแกรมทดสอบความรู้ภาษาต่างประเทศ วัดความพร้อมก่อนไปเรียนต่อนอก!
- จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair 2025 งานเรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
แหล่งที่มาข้อมูล
https://www.mastersportal.com/articles/2926/how-to-study-abroad-a-step-by-step-guide.htmlhttps://www.indeed.com/career-advice/career-development/how-to-study-abroad แหล่งที่มารูปภาพhttps://unsplash.com/
0 ความคิดเห็น