สวัสดีค่ะชาว Dek-D สำหรับใครที่อยากหาโอกาสไปชาเลนจ์ตัวเองที่ต่างประเทศ “โครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์” หรือ Ship for Southeast Asian and Japanese Youth Program (SSEAYP) เป็นโครงการที่ยูนีคและน่าสนใจมากๆ จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับประเทศอาเซียน
ไฮไลต์คือกิจกรรมนี้ไปฟรีตลอดทริป! รับสมัครตั้งแต่อายุ 18-30 ปี เน้นการแลกเปลี่ยนมิตรภาพ วิถีชีวิต และมุมมองระดับภูมิภาค ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือช่วงพำนักในญี่ปุ่น แล่นเรืออภิปรายกลุ่ม และเยี่ยมเยือนประเทศเพื่อนบ้าน แต่รายละเอียดโครงการแต่ละรุ่นและประเทศที่ไปเยือนจะแตกต่างกันค่ะ อย่างในปี 2567 ที่ผ่านมา โครงการฯ นี้ได้พาเยาวชนไทย 16 คน ร่วมเดินทางกว่า 1 เดือนบนเรือนิปปอนมารู เยือนญี่ปุ่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย ภายใต้ธีม “ทิวาราตรี” ถ่ายทอดความศรัทธาและวิถีไทยผ่านกิจกรรมโชว์วัฒนธรรมสุดประทับใจ
ใครยังนึกภาพไม่ออกว่าไปโครงการเรือแล้วจะเป็นยังไง? เหมาะกับเรามั้ย? ต้องเตรียมตัวยังไง? มาค่ะ เราได้ชวน 7 รุ่นพี่จาก SSEAYP รุ่น 48 มาถ่ายทอดประสบการณ์จากหลายมุม เล่าจากบทบาทที่ต่างกัน ครบทุกมุมทุกอารมณ์แน่นอน // ถ้าพร้อมแล้ว ออกเรือไปด้วยกันเลย!
บทสัมภาษณ์พี่มอมแมม SSEAYP #47
https://www.dek-d.com/studyabroad/64355
บทความแนะนำโครงการ SSEAYP #48
![TPY.sseayp [FB] TPY.sseayp [FB]](https://image.dek-d.com/contentimg/2024/kookkai/Mommam-SSEAYP/2351693105_1294486467828900_7875419256812533535_n.jpg)
![TPY.sseayp [FB] TPY.sseayp [FB]](https://image.dek-d.com/contentimg/2025/kookkai/63_SSEAYP%2348/481200020_932909379031259_291525364351917599_n.jpg)
. . . . . . .
Hi, Please introduce yourself.
ใครเรียนหรือทำงานอะไร
ตอนสมัครโครงการเรือรุ่น 48 บ้าง~

ฤดู – ซากุระโกะ มาซุดะ (Season)
สวัสดีค่ะ “ฤดู” เองค่ะ ชื่อจริงคือ “ซากุระโกะ มาซุดะ” แต่บนเรือทุกคนเรียกกันว่า Season ตอนสมัครโครงการคือกำลังเรียนปี 4 คณะวิทยาศาสตร์ สาขาสิ่งแวดล้อมนานาชาติ ม.เชียงใหม่ และกำลังทำวิจัยจบเกี่ยวกับแหล่งกำเนิด PM ในภาคเหนืออยู่พอดี
แรงบันดาลใจหลักคืออาจารย์ที่คณะเลยค่ะ อาจารย์ว่านเป็น TPY รุ่น 37 ท่านพูดกรอกหูอยู่บ่อยๆ ว่า “ซากุระ เธอคือคนที่เหมาะที่สุดที่จะนำเสนอเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้วนะ ไปเถอะ” เราเองก็มีอาจารย์เป็นไอดอลอยู่แล้ว ก็เดินตามรอยเลยค่ะ 555 จริงๆ นอกจากเรื่องวัฒนธรรมที่โครงการเน้นอยู่แล้ว ฤดูสนใจช่วง Discussion Group มากๆ โดยเฉพาะประเด็นสิ่งแวดล้อม อยากแลกเปลี่ยนวิธีคิดของประเทศอื่นๆ มาปรับใช้กับโพรเจกต์ที่เชียงใหม่บ้านเราค่ะ

พิม – เพ็ญพิมล ตัณฑ์ไพโรจน์
สวัสดีค่า พิมค่ะ เรียนจบสาขาบริหารการเงินจาก ABAC ปัจจุบันกำลังเรียนแพทย์แผนไทย (เกี่ยวกับสมุนไพรไทยโดยเฉพาะ) พร้อมกับทำงาน Online Marketing ไปด้วยค่ะ รู้จักโครงการ SSEAYP ครั้งแรกจากโฆษณาบน Facebook แบบบังเอิญมาก เพราะเห็นในจังหวะที่อยากลองทำอะไรแปลกใหม่ในชีวิตพอดี ก็เลยตัดสินใจลองสมัครค่ะ

จิด้า – ชัญญ์นิพา หงส์ธนนันท์:
สวัสดีค่า “จิด้า” ค่ะ ตอนที่สมัครไปเพิ่งจบ ม.6 โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย และกำลังขึ้นปี 1 คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เริ่มรู้จักโครงการ SSEAYP จากคุณแม่ และเมื่อปี 2018 ที่บ้านได้เป็น Host Family ให้กับตัวแทนเยาวชนรุ่น 45 เขาเป็นพี่สาวจากสิงคโปร์และกัมพูชา (ทุกวันนี้ยังติดต่อกันอยู่เลยค่ะ~)
เราสนใจด้านวัฒนธรรมอยู่แล้ว เลยอยากหาโอกาสไปแลกเปลี่ยนตลอดค่ะ พอคุณแม่รู้ข่าวว่าโครงการเรือฯ กำลังเปิดรับสมัครนะ เราก็คิดอยากลองดูสักตั้ง ไม่มีอะไรเสียหาย อีกอย่างคือเราเพิ่งจะอายุ 18 เอง โครงการนี้เปิดรับถึงอายุ 30 ถึงไม่ติดปีนี้ก็ยังมีโอกาสอีกหลายปีให้ลองสมัครได้

ครูลูกหว้า – ศิรดา แจ่มศรี
สวัสดีค่ะ ครูลูกหว้านะคะ จบสาขาภาษาอังกฤษจาก มรภ.เพชรบุรี รู้จักชื่อโครงการ SSEAPY เพราะรู้จักรุ่นพี่ที่ไปเข้าร่วมโครงการเรือเมื่อปี 2011 เพียงแต่ตอนนั้นเรายังไม่มั่นใจเรื่องภาษาอังกฤษ เลยเก็บไว้ในใจก่อน จนกระทั่งปี 2023 ได้เป็นตัวแทนเยาวชนไทยไปร่วมประชุม ASEAN-India Youth Summit ที่อินเดีย คราวนี้เจอพี่บอมเบย์ รุ่นพี่เรือโครงการนี้เหมือนกันค่ะ เขาช่วยจุดไฟให้เราตัดสินใจสมัครจนได้ เพราะถ้าไม่สมัครปีนี้คือหมดสิทธิ์แล้วนะ อายุเกินแล้ว!

เมตตา – นฤมล สุภาพ
สวัสดีค่ะ ชื่อ “เมตตา” นะคะ จบสาขา International Hospitality Management คณะ Business Administration จากวิทยาลัยนานาชาติ ม.มหิดล (รุ่น 578) ตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัว (Social Enterprise) อยู่ที่ จ.ศรีสะเกษ เกี่ยวกับ Shipping Drop Point, Startup ท่องเที่ยวชุมชน และในโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษด้วยค่ะ
ที่จริงรู้จักโครงการนี้และติดตามมาตลอดตั้งแต่ ม.6 แล้วค่ะ แต่เพิ่งมาสมัครรุ่น 48 เพราะเป็นช่วงที่ธุรกิจลงตัวและอยู่ในช่วงอายุที่สมัครได้ โครงการนี้เป็นเหมือนฝันเลยค่ะ เราได้เป็นตัวแทนเยาวชนล่องเรือสำราญไปยังน่านน้ำประเทศต่างๆ พร้อมกับปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งทูตวัฒนธรรม ซึ่งโอกาสแบบนี้คือ Once in a Life Time ถึงต้องคัดเลือกยากแค่ไหนก็จะลองและทำให้เต็มที่ค่ะ

อาซี (RC) – อาซีซ๊ะ ตุดบัตร
สวัสดีค่า “อาซี” ค่ะ จบสองคณะพร้อมกันคือ ศึกษาศาสตร์ (ฟิสิกส์) และศิลปศาสตร์ (อังกฤษ) ปัจจุบันเป็นครูภาษาอังกฤษที่สอนฟิสิกส์ได้ และเคยลงวิชาเลือกเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย ส่วนโรงเรียนที่สอนก็ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดยะลา และมีภาษาวัฒนธรรมคล้ายมลายูค่ะ
อาซีรู้จักโครงการนี้มาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว เพราะเห็นคนรอบข้างได้ไปกันหลายคน และตัดสินใจสมัครเพราะเป็นปีสุดท้ายที่สมัครได้ตามเงื่อนไขโครงการค่ะ เหตุผลคืออยากพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น และช่วงที่เตรียมตัวก็มีน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ที่สอน จนเกิดความเสียหายหนักมาก ยิ่งทำให้อยากไปแลกเปลี่ยนด้าน Global Environment และ Climate Change เพื่อนำความรู้ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ที่ไทยค่ะ

ก๊อตจิ – วีรพจน์ บุญโล่ง
สวัสดีครับ “ก๊อตจิ” ครับ จบคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ภาคอินเตอร์ สายการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศครับ ปัจจุบันทำงานฟรีแลนซ์เป็นพิธีกรและนักแสดง ได้มารู้จักโครงการนี้เพราะรุ่นพี่แนะนำมาว่าคอนเน็กชันดีมากๆ แต่พอดีตรงกับช่วงโควิด-19 ก็เลยรอจนเรือกลับมาล่องอีกครั้ง พอกลับมาเปิดรับสมัครก็คว้าโอกาสนี้เลยครับ
. . . . . . .
คิดว่าโครงการนี้
มองหาคุณสมบัติอะไรในตัวผู้สมัคร?
พิม:
พิมว่ากรรมการน่าจะมองหาคนที่เป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตามค่ะ เพราะเราต้องอยู่บนเรือร่วมกับคนจากหลากหลายประเทศนานเป็นเดือนๆ ทำให้ต้องรู้จักประนีประนอมโดยไม่เสียจุดยืนของตัวเอง และยังต้องนำเสนอประเทศไทยในมุมที่เราเชี่ยวชาญหรือถนัดด้วย
จิด้า:
จิด้าว่าโครงการ SSEAYP เหมือนครอบครัวเลยค่ะ ไม่ได้เฟ้นหาแค่คนที่เก่งๆ ฉลาดๆ พูดเก่งหรือรำไทยเก่ง แต่เขาสนใจความหลากหลายในทุกด้าน ทุกคนมีความถนัดและบทบาทที่ต่างกัน ขอแค่มีความตั้งใจก็พอ
ส่วนตัวคิดว่ากรรมการน่าจะเลือกจิด้าเพราะเป็น Supporter ที่ดีให้กับทีมได้ทั้งแง่ Physical และ Emotional // ถ้ามีผู้นำอยู่ในทีมแล้ว หน่วยซัปพอร์ตก็สำคัญไม่แพ้กัน เรื่องนี้จิด้าคิดเหมือนพี่พิมเลย
ครูลูกหว้า:
ถ้าเรื่องภาษาคิดว่าเราคงสู้คนอื่นไม่ไหวค่ะ~ แต่กรรมการน่าจะเลือกเพราะเห็นความกล้าแสดงออก มุ่งมั่น และมีทักษะการปรับตัว ที่จริงตอนสัมภาษณ์เราประหม่ามาก แต่พยายามให้กรรมการเห็นว่าเรามีแพสชัน มีเป้าหมาย และอยากเรียนรู้มากแค่ไหน
พอได้เข้าค่ายคัดเลือกก็รู้สึกว่า การได้มาอยู่จุดนี้คือความโชคดีแล้ว เลยตั้งใจแสดงศักยภาพให้หลากหลายที่สุด พยายามมีส่วนร่วมกับทุกกิจกรรม สนุกกับการแสดงความคิดเห็น แล้วก็พาตัวเองก้าวข้ามความกลัวเรื่องภาษาอังกฤษไปได้จากการสังเกต เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ด้วยการเป็นตัวของตัวเอง เป็นกัลยาณมิตรที่ดีและให้เกียรติทุกคนอย่างจริงใจที่สุด

เมตตา:
เมตตาคิดว่ากรรมการน่าจะมองหา 3 ส่วนหลักๆ
คนที่หาจุดเด่นตัวเองเจอและกล้าแสดงออกมาให้กรรมการเห็น เช่น เมตถนัดเรื่องบริหารจัดการกับหาสปอนเซอร์ ซึ่งเป็นสกิลที่ต้องใช้ในการทำงานบนเรือ ส่วนความสามารถพิเศษ เช่น ร้อง รำ เล่นดนตรี ฯลฯ เมตครีเอตออกมาเป็นหนึ่งโชว์สั้นๆ ให้กรรมการประทับใจ ถึงเราจะไม่เด่นด้านการแสดง แต่ก็อยากสื่อให้กรรมการเห็นว่าเราทำได้เหมือนกัน
การสร้างภาพจำ เมตทำการบ้านเรื่องลุคมากกกก อย่างวันสัมภาษณ์ก็ใส่สูทสีครีม เรียบร้อยสุดจนทุกคนยกมือไหว้คิดว่าเป็นกรรมการ 555 (เมตก็เป็นคนสัมภาษณ์ค่าา) ส่วนรอบกิจกรรมกลุ่ม เมตเตรียมเสื้อผ้าหลายชุด มีใส่สูทลายสก็อต เด่นในระยะ 500 เมตร แถมมีป้ายชื่อที่เตรียมไปเองด้วย พอถึงคลาสการแสดงก็เปลี่ยนเป็นชุดไทย อาจดูเวอร์ไปนิดแต่บอกเลยว่าตั้งใจมาก แล้วกลายเป็นว่าทุกคนจำเราได้จริงๆ
การเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี รอบกิจกรรมกลุ่มสำคัญมาก เพราะต้องทำงานร่วมกับคนอื่นจริงๆ ไม่ใช่แค่เก่งคนเดียว แต่ต้องรู้จังหวะผลัดกันนำ ผลัดกันตาม ทำงานเป็นทีมให้เวิร์กค่ะ


อาซี:
กรรมการน่าจะมองหาคนที่หาจุดแข็งของตัวเองเจอ แล้วตอบให้ได้ว่าจะเอามาซัปพอร์ตโครงการยังไงบ้าง ซึ่งสำหรับเราคือ “การเข้าใจวัฒนธรรม” เพราะทำงานอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้มาก่อน เลยพอเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน
รวมถึงการทำงานเป็นครู ก็ทำให้คลุกคลีกับเรื่องวิชาการและสื่อการสอน ซึ่งประยุกต์ได้กับภารกิจบนเรือที่หลากหลายมากๆ ตั้งแต่การอภิปราย การจัดการด้านการเงิน หาทุน ทำสื่อ การขนส่ง ฯลฯ ที่ขาดไม่ได้อีกคือทัศนคติและไหวพริบการปรับตัว เพราะบนเรือมีโอกาสเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นได้เสมอค่ะ

ก๊อตจิ:
ผมคิดว่ากรรมการน่าจะมองหาคนที่ “เป็นตัวของตัวเอง” แล้วก็มีความสามารถที่จะเป็นตัวแทนประเทศ อาจเพราะเราดูเป็นคาแรกเตอร์เข้ากับคนง่าย (People Person) และมีพื้นฐานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำให้สามารถแชร์มุมมองหลากหลายและเชื่อมโยงกับเพื่อนชาติอื่นๆ ได้ครับ

. . . . . . .
แต่ละคนไปทำหน้าที่ใน Role ไหนบนเรือ
ฤดู:
หนูอยู่ในทีม Attire หน้าที่หลักคือดูแลชุดแต่งกายของคนทั้งรุ่น เช่น ชุดสูท ชุดไทย และชุดออกกำลังกาย ให้ทุกคนแต่งตัวไปในแนวทางเดียวกับธีมของรุ่น ซึ่งธีมปีนี้คือ ‘Dawn to Dusk’ ใช้สีบน Color Palatte ที่ทีมกำหนดไว้ และยังมีหน้าที่ประสานเรื่องการหาสปอนเซอร์ชุดด้วยค่ะ

พิม:
พิมรับ 2 ตำแหน่งค่ะ ตำแหน่งแรกคือ Youth Leader (YL) ของรุ่น 48 ซึ่งก็คือหัวหน้าทีมที่เพื่อนๆ ในรุ่นโหวตเลือกขึ้นมา (รุ่นนึงจะมีทั้ง National Leader จากภาครัฐ, Youth Leader จากตัวแทนเยาวชน และ Assistant YL ที่เป็นรองหัวหน้าอีกคน) หน้าที่ของพิมคือดูแลความเรียบร้อยของรุ่น ช่วยประสานงานให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผน (ถ้าคิดภาพประมาณหัวหน้าวง BNK48 ก็พอได้อยู่นะ)
อีกตำแหน่งที่ทำคือ Head Attire คอยดูแลเรื่องชุดของทีม ตั้งแต่ชุดสูทสำหรับเยี่ยมคาราวะบุคคลสำคัญทุกประเทศ ชุดประจำชาติ ชุดกีฬา แล้วชุดเวลาอยู่บนเรือ ตั้งแต่การออกแบบ การหาผ้า ไปจนถึงหาร้านผลิตเลยค่ะ

จิด้า:
จิด้าเป็นเด็กสุดในรุ่นค่ะ (นับเป็นตำแหน่งไหมคะ ><) และอยู่ทีม Logistics หน้าที่หลักๆ ก็จะมีรับของจากรุ่นพี่ปีก่อนๆ มาดูแล คำนวณน้ำหนักส่วนกลางที่จะขึ้นเครื่องบิน (อาจจะมีหาสปอนเซอร์น้ำหนักด้วย) ดูแลห้องเก็บของบนเรือ ทำเช็กลิสต์ของ คอยประสานงานกับทีมต่างๆ เกี่ยวกับของที่ใช้ รวมๆ แล้วก็คือดูแลของส่วนกลางทั้งตอนก่อนขึ้นเรือ บนเรือ แล้วก็ลงเรือค่ะ
จิด้าคิดว่าถ้าเป็นคนที่ชอบจัดของเก็บของคำนวณนู่นนี่ จะเหมาะกับทีมนี้มาก โดยรวมถือว่าเป็นงานสบาย เหนื่อยสุดก็แค่ตอนแพ็กของ-เก็บของค่ะ (จริงๆ นะ!)


ครูลูกหว้า:
I’m just a normal PY. หน้าที่คือเข้าไปช่วยฝ่าย National Presentation ช่วยน้องเอวาและน้องก๊อตจิทำส่วนของการออกแบบและเตรียมงานแสดง เป็นหนึ่งในนักแสดงหลักและคอยซัปพอร์ตโชว์ให้ออกมาดีที่สุดค่ะ

เมตตา:
เมตตารับ 2 ตำแหน่งค่ะ ตำแหน่งแรกคือ Head of Peer Learning Seminar (PL Seminar) ที่ได้จากการโหวตของเพื่อนๆ ลักษณะงานจะคล้ายกับ Cultural Workshop ที่แต่ละประเทศเตรียมมาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน
ปีนี้ทีมไทยก็เตรียมไปทั้งหมด 5 กิจกรรม ได้แก่ Thai Herbal Inhaler, Specialty Honey, Childhood Time Capsule, Second Chance Corner และ Thai Massage ซึ่งรุ่น 48 พิเศษมากกกเพราะได้ทำครบ (ปกติปีอื่นจะได้จัด 3 กิจกรรม) แล้วที่ฮอตสุดๆ คือนวดแผนไทยกับทำยาดม เพื่อนต่างชาติวิ่งมาต่อแถวลงชื่อกันยาวเลยค่ะ!
และอีกตำแหน่งคือ Member of Sponsorship Team ทำหน้าที่หาทุนเพื่อซัปพอร์ตทุกกิจกรรมของทีมไทยแลนด์ค่ะ ทุกฝ่ายต่างฝากความหวังเพราะทุนคือสิ่งสำคัญที่ทำให้งานของทุกทีมเดินต่อไปได้


อาซี:
อาซีอยู่ฝ่าย Press and Media ค่ะ รับผิดชอบจัดทำสื่อทั้ง Profile Book, คอนเทนต์ใน Facebook, Instagram และ TikTok รวมถึงโพสต์ขอบคุณสปอนเซอร์ด้วย และอีกตำแหน่งคือสมาชิกทีม Peer-Learning Seminar (PL Seminar) โดยเข้าไปช่วยออกแบบกิจกรรมที่มีความวิชาการและหาจุดร่วมของอาเซียนกับญี่ปุ่นได้ อย่างเช่น เกมการละเล่นในวัยเด็กค่ะ
ก๊อตจิ:
ก๊อตจิรับหน้าที่เป็น Head of National Presentation ของทีมไทยครับ ต้องเตรียมโชว์วัฒนธรรมไทยแบบเต็มอิ่ม 75 นาที เลยพยายามผสมผสานทั้งวัฒนธรรมดั้งเดิมกับร่วมสมัย เช่น การรำประเภทต่างๆ, T-POP และอื่นๆ กับอีกหน้าที่บนเรือคือ Deputy of the SG Activity Subcommittee หรือพูดง่าย ๆ คือทีมจัดกิจกรรมให้เพื่อนๆ บนเรือครับ
. . . . . . . .
เล่ากิจกรรมสุดท้าทาย
และความประทับใจที่ญี่ปุ่น
ก่อนจะได้ใช้ชีวิตกับโฮสต์แฟมิลี่ ทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรม Discussion Group (เรียกย่อว่า ‘DG’) ซึ่งจัดเต็มทั้งสาระและความประทับใจ จากกิจกรรมกลุ่มที่ได้ไปเยี่ยมชมหน่วยงานต่างๆ ในญี่ปุ่น และหลังจากนั้นจะมีกลุ่ม Solidarity Group (เรียกย่อว่า ‘SG’)
พิม:
ที่ญี่ปุ่นจะเริ่มต้นด้วยปฐมนิเทศ (Orientation) สตาฟจะมาแนะนำกำหนดการและรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ วัดถัดมาเป็น ‘Contingent Cheer’ ซึ่งก็คือเชียร์แนะนำตัวของแต่ละประเทศ ซึ่งขอบอกว่าวิดีโอทีมไทยแลนด์เป็นไวรัลมากกกกก
รุ่นพิมจะได้ลงไปดูงานตาม DG ก่อนค่ะ ตอนนั้นกลุ่มได้หัวข้อ Good Health and Wellbeing ซึ่งปีนี้เน้นเรื่องสุขภาพจิต และได้ดูงานบริษัทด้าน HR ที่จัดหาพนักงานให้บริษัทต่างๆ ได้ทำเวิร์กชอปที่เกี่ยวกับการจัดการความเครียด พอตกเย็นวันนั้นก็ได้ขึ้นเรือ Nippon Maru // ครั้งแรกที่เห็นเรือทุกคนตื่นเต้นกันสุดๆ “เรือลำนี้ใช่ไหมที่จะเป็นบ้านของเราไปอีก 38 วันข้างหน้า!” เพราะเรือใหญ่อลังการมากกกค่ะ

ครูลูกหว้า:
ได้อยู่ DG หัวข้อการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Good Health and Well-being) ตอนอยู่ญี่ปุ่น เราได้ไปศึกษาเรียนรู้ที่ Persol Tempstaff Co., Ltd. บริษัทจัดหางานภายใต้สโลแกน ‘Work and Smile’ ซึ่งที่นี่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต มีกิจกรรม Stress-check Experience ให้ได้ลองสำรวจตัวเอง ทำความเข้าใจกลไกของความเครียดและศิลปะบำบัด (Mechanism of Stress and Art Therapy) ส่วนตัวรู้สึกชอบที่นี่มากค่ะ หลังจบได้นำไปใช้ปรับใช้กับเด็กๆ ที่โรงเรียนด้วย
และความใจดีไม่ได้มีแค่ในไทยเท่านั้นนะคะ ตอนเรากับเพื่อนไปเที่ยวที่ไหนไม่ต้องกลัวหลง เพราะคนญี่ปุ่นจะช่วยเราเต็มที่ตั้งแต่บอกทาง หรืออาจเดินไปส่งถึงจุดหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าเราถึงถูกต้องและปลอดภัยจริงๆ


เมตตา & ก๊อตจิ
ตอนนั้นอยู่กลุ่ม DG หัวข้อ ‘Digital Society’ ได้ไปดูงาน 2 ที่คือ ‘Digital Agency’ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ดูแลในเรื่องของการบริการและนวัตกรรมดิจิทัลของญี่ปุ่นต่างๆ และเป็นบริษัทที่ก่อตั้ง My Card Application ของรัฐบาลญี่ปุ่นด้วย
อีกที่นึงคือ ‘NEC Future Creatures Hub’ (NEC) ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่มีระบบตรวจจับดวงตา (Eye-Detection) ความแม่นยำสูงถึง 99.98% ระบบนี้ถูกใช้ในสนามบินที่ญี่ปุ่นเพื่อนับจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางเข้า-ออกสนามบิน และยังถูกใช้ในสายการบินระดับโลกอย่าง Delta Airlines และกลุ่ม Star Alliances ด้วย // เป็นประสบการณ์ที่ว้าวมากค่ะ ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เห็นถ้าไม่มากับโครงการนี้



อาซี:
เราอยู่กลุ่ม ‘Global Environment and Climate Change’ ได้ไปเยี่ยมชมบริษัทที่จัดการด้านขยะทั้งอาหารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ค่ะ

ฤดู:
ส่วนหนูได้ไปที่กระทรวงสิ่งแวดล้อม (Ministry of Environment) ของญี่ปุ่นค่ะ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับนโยบายสิ่งแวดล้อมของประเทศเขา และร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นกับเจ้าหน้าที่แบบจริงจัง โดยเฉพาะในประเด็นบทบาทของเยาวชนในระดับนโยบาย ฟังแล้วได้แรงบันดาลใจกลับมาเยอะมากๆ เลย
จิด้า:
ส่วนจิด้าอยู่ DG หัวข้อ Soft Power and Youth People to People Diplomacy ได้ไปเยี่ยมชมรัฐสภาญี่ปุ่นกับ Japan-ASEAN center ได้พูดคุยกับพี่คนไทยที่ทำงานอยู่ที่นั่นด้วย
หลังจากได้เรียนรู้จากหน่วยงานต่างๆ ก็ถึงเวลาที่หลายคนรอคอย นั่นก็คือการออกเดินทางไปจังหวัดต่างๆ ทั่วญี่ปุ่น เพื่อใช้ชีวิตกับโฮสต์แฟมิลี่นั่นเองค่าา มาฟังกันว่าแต่ละคนได้ไปเมืองไหน แล้วเจอเรื่องราวแบบไหนระหว่างทางบ้าง?
พิม:
สำหรับ SG จะรวมเพื่อนหลายประเทศ แล้วให้แยกกลุ่มไปตามจังหวัดต่างๆ รุ่นพิมมีจังหวัดฮอกโกดาเตะ (Hakodate), นารา (Nara), โคชิ (Kochi), คิตะคิวชู (Kitakyushu) กับคุมาโมโต้ (Kumamoto) โครงการเขาจะจัดให้ค่ะ แล้วปรากฏว่ากลุ่มพิมได้ไปที่ “คุมาโมโต้” ดีใจมากกกเพราะไม่เคยไปมาก่อน~~~
ตอนเดินทางถึงคุมาโมโต้ ได้ไปเดิน “สวนซุยเซนจิ” (Suizenji Garden 水前寺成趣園) ที่ดังมากๆ ของญี่ปุ่น และเข้าคารวะท่านรองผู้ว่าประจำจังหวัด แล้วตอนใกล้จบพิธีก็มีเจ้าหมีคุมะมง (Kumamon) มาเซอร์ไพรซ์ในห้องประชุมด้วย ความน่ารักกับบุคลิกกวนๆ ของน้อง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมีแต่คนเอ็นดูน้อง~

เสร็จจากนั้นจะเป็นพิธี Host Family Matching เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เจอโฮสต์ค่ะ ความโชคดีคือพิมกับเพื่อนเวียดนามอีกคนเป็นสายเดินป่าเหมือนกัน วันต่อมาโฮสต์เลยพาไปที่ภูเขาไฟ Aso วิวเหมือนอยู่ในหนัง Star Wars แล้วพอลงจากเขาก็ได้ไปแช่ออนเซ็นธรรมชาติ ฟินมากเพราะอยู่ใกล้น้ำตก (คิดดูสิคะว่าได้ไปแช่ออนเซ็นในอากาศเย็นๆ พร้อมกับดูน้ำตกไปด้วย)
จบท้ายวันด้วยการทำอาหารให้โฮสต์ทานค่ะ โครงการนี้แนะนำให้ฝึกทำอาหารไทยไว้ เพราะเป็นการใช้เวลาร่วมกับโฮสต์ที่ดีมากๆ แล้วเผลอๆ อาจดึงดูดมิตรภาพใหม่ได้เพิ่มอีกด้วยนะคะ

เมตตา:
ตอนนั้นกลุ่ม SG F เมตได้ไปที่ Nara มีงานต้อนรับและจับคู่ Hostmate และเดินแฟชั่นโชว์ชุดประจำชาติค่ะ บอกเลยว่าพอเป็นครั้งแรกที่ได้มาญี่ปุ่น ทุกอย่างดูใหม่และตื่นตามากๆ ได้นั่ง Shinkansen ซึ่งเป็นรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงชื่อดังของโลก ได้เห็นผังเมืองที่เป็นระบบระเบียบสมคำร่ำลือ บรรยากาศก็เงียบสงบแม้กระทั่งในเมืองหลวงอย่างโตเกียว (Tokyo) ตอนที่ไปตรงกับฤดูหนาวพอดีค่ะ ต้นไม้กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดงเลย สวยมากค่ะ TT
มีอีกหลายโมเมนต์ค่ะ ทั้งการเข้าพบผู้ว่าราชการประจำเมือง Nara แล้วออกรายการข่าวในทีวี และความประทับใจที่เจอตอนเข้าพักกับโฮสต์ ได้ไปทำวาดภาพวันคริสต์มาสกับสมาชิกทีมในชุมชน + ทำขนมทาโกะยากิด้วย รู้สึกอบอุ่นทุกวินาทีเลยเหมือนกับหลุดไปอยู่ในบ้านโดราเอมอนที่เราใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กค่ะ 5555

อาซี:
ส่วนเราได้ไปโฮมสเตย์ที่ ‘Kita Kyushu’ ที่โฮสต์พ่อเคยทำงานด้านกระทรวงพลังงาน และเคยมาสัมมนาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ จ.เชียงใหม่ บ้านเราด้วยนะคะ ส่วนโฮสต์แม่ก็เป็นครูเหมือนกัน เลยทำให้มีประเด็นที่แลกเปลี่ยนทั้งทางด้านวิชาการและวัฒนธรรมครบ

. . . . . . . .
เทียบท่าที่เวียดนาม
เจอประสบการณ์แบบไหน?
พิม:
เวียดนามเป็นประเทศแรกที่เรือเข้าเทียบท่า แล้วเขาต้อนรับแบบยิ่งใหญ่อลังการสุดๆ ได้ไปดินเนอร์ที่ Independence Palace ร้านอาหารเวียดนามพื้นเมืองที่เราไม่เคยเจอในกรุงเทพฯ ระหว่างมื้ออาหารก็มีการแสดง เข้าพบบุคคลสำคัญ นั่งบัสชมเมืองโฮจิมินห์ยามค่ำคืน ก่อนจะกลับไปที่เรือค่ะ

แล้ววันต่อมา DG พิมไปดูงานที่ University of Medicine and Pharmacy แลกเปลี่ยนความรู้สาธารณสุขกับนักศึกษาเวียดนามที่นั่น
ด้วยความที่เป็นที่แรกที่ลง พิมก็มีเวลาแพ็กสัมภาระให้พร้อมที่สุด เตรียมไปครบทุกอย่างยกเว้น ผ้าเช็ดตัว! จะยืมโฮสต์ก็เกรงใจ สุดท้ายได้ยืมของเพื่อนญี่ปุ่นที่บังเอิญเตรียมมา 2 ผืนพอดี ตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นเพื่อนสนิทค่ะ ใครจะรู้ว่าจุดเริ่มต้นมิตรภาพจะมาจากการลืมผ้าเช็ดตัวแบบนี้
เมตตา:
Digital Society (DG6) เราเดินทางไป Ho Chi Minh City University of Education ฟังบรรยายหัวข้อ Digital Inclusion & Universal Design Principles หลังจบบรรยายได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักศึกษามหาลัยหลายประเด็น เกี่ยวกับทักษะจำเป็นของคนรุ่นใหม่ บทบาทของเยาวชนในโลกออนไลน์ และโอกาสทางอาชีพที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคธุรกิจ
แล้วเราก็ได้เข้าไปที่ Independence Palace นั่ง Bus Tour รอบเมืองโฮจิมินท์ท่ามกลางแสงจันทร์ และที่พิเศษสุดคือประเทศเวียดนามให้การต้อนรับเราแบบยิ่งใหญ่จริงๆ ค่ะ ทุกการเปิดงานจะมีการแสดง โชว์ ร้องเพลง โชว์วัฒนธรรมให้ชมทุกงาน ช่างภาพตามเก็บบรรยากาศตลอด (ได้ออกทีวีด้วยค่ะ) Host Family น่ารักมากๆค่ะ ได้ช่วยทำอาหารเวียดนามด้วย เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ รวมถึง Local Youth ก็คอยดูแลเป็นอย่างดี ทุกวันนี้ยังติดต่อกันอยู่เลยค่ะ


ครูลูกหว้า:
ลูกหว้าก็ไปดูงานกับ DG - Good Health and Wellbeing ที่ University of Medicine and Pharmacy ในเมืองโฮจิมินห์เหมือนกันค่ะ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นร่างอาจารย์ใหญ่และได้สัมผัสกระดูกมนุษย์เป็นครั้งแรก (เหมือนได้เป็นนักศึกษาแพทย์) แล้วยังได้อาจารย์บรรยายและอธิบายอีก ซึ่งผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ต่างมีคำถามน่าสนใจมากค่ะ

ฤดู:
พอติดไข้หวัดใหญ่ ก็เลยแทบไม่ได้ลงพื้นที่แทบไม่ได้ลงพื้นที่หรือทำกิจกรรมคารวะบุคคลสำคัญเหมือนคนอื่นๆ เลยค่ะ TT แต่อย่างน้อยได้เข้าพักกับโฮสต์เวียดนาม ใช้เวลาเที่ยวแถวบ้านแบบ local อย่างแท้จริงค่ะ ทั้งได้สัมผัสวิถีชีวิตเรียบง่าย ชิมอาหารพื้นบ้าน พูดคุยกับคนในชุมชน ฯลฯ ที่ฟินสุดคือได้สระผม + นวดหน้าสไตล์เวียดนาม ผ่อนคลายสุดๆ เหมือนเข้าสปาเลยค่ะ~
นับเป็นหนึ่งวันที่ผ่านไปเร็วและเต็มไปด้วยความอบอุ่นน่าประทับใจค่ะ แถมเรื่องที่ไม่คาดคิดที่สุด ก็คือ Youth Union ที่เวียดนามมีอาสาสมัครมาช่วยดูแลเราเยอะมากกกกจนตกใจ ตอนอยู่บ้านโฮสต์มีประมาณ 10 คนได้ ถ้าป่วยหรือต้องการอะไรเขาจะรีพอร์ตไปที่เรือทันที แล้วเพื่อนๆ ก็ถ่ายรูปรายงานเราทุกชั่วโมง เรียกว่าตามติดชีวิตจนมั่นใจเลยว่าปลอดภัยแน่ค่ะ
อาซี:
เราประทับใจที่ได้ลองอาหารเวียดนามแท้ๆ เดินเล่นซื้อของที่ระลึก นั่งฟังดนตรีสดกลางลานกว้างๆ ตอนกลางดึก ทำให้รู้สึกหลงใหลและประทับใจบรรยากาศที่โฮจิมินห์ยามค่ำคืนมากกก ระหว่างที่เรากำลังเดินชมสถานที่ต่างๆ ไปสมาคมมังสวิรัติ ผู้คนก็ต้อนรับอย่างดี จัดแจงอาหารให้เต็มโต๊ะ
แล้วยังได้อยู่กับโฮสต์มัมที่น่ารักและเคยมาเที่ยวไทยหลายครั้ง ด้วยความที่เวียดนามมีดอกไม้สดขายทั่วไป เราเลยซื้อช่อใหญ่พร้อมเขียนขอบคุณเป็นภาษาเวียดนาม แล้วให้เยาวชนอาสาช่วยจัดเซอร์ไพรส์ให้โฮสต์ ฟีลลุ้นและอบอุ่นมากค่ะ~
จิด้า:
ได้ไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็กมหาวิทยาลัยเวียดนาม ได้ไปพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์สงครามเวียดนามได้เกร็ดความรู้ใหม่ๆ กลับไปเพียบค่ะ
ครูลูกหว้า:
แล้วทริป Local Program ที่เวียดนามคือสนุกมากกก เด็กๆ และทีมเยาวชนอาสาของเวียดนามมีทุกที่ ไปเที่ยวไหนก็เข้ามาทักทาย เหมือนได้ไปโรงเรียนใหญ่ๆ เพื่อนเยอะ สถานที่สำคัญๆ อย่างพิพิธภัณฑ์ก็จะมีเด็กนักเรียนมาทำกิจกรรม หรือมีสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างเป็นกันเอง

. . . . . . . .
เดินทางมาถึงอินโดนีเซีย
อบอุ่น อลังการ และลืมไม่ลง
ฤดู:
ตอนอยู่อินโดฯ ทำกิจกรรมที่น่าสนใจเยอะแยะเลยค่ะ เริ่มจากไปเข้าพบบุคคลสำคัญที่ Ministry of Youth and Sport และ ASEAN Secretariat ซึ่งเป็นโอกาสดีมากที่ได้เรียนรู้การทำงานของภาครัฐและองค์กรระดับภูมิภาคที่ส่งเสริมเยาวชนอาเซียนโดยตรง และอีกกิจกรรมที่ประทับใจไม่แพ้กันคือไป Site Visit ที่ WALHI (องค์กรสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย) ได้เรียนรู้เรื่องการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศอินโดนีเซีย ทั้งเรื่องสิทธิชุมชน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และผลกระทบจากการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรม เป็นกิจกรรมที่เปิดมุมมองใหม่ๆ และเชื่อมโยงกับสิ่งที่หนูสนใจด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรงค่ะ
ส่วนเรื่องพีคที่นี่คือ โฮสต์แด๊ด-มัมติดธุระกะทันหัน โฮสต์ซิสเตอร์-บราเธอร์ที่อายุใกล้ๆ กันมาดูแลเราแทน 5555 กลายเป็นว่าคุยสนุกถูกคอ กินขนมฉ่ำค่าา แล้วยังมีภารกิจวิ่งหาชุดไปงานพรอมบนเรือให้เรากับเพื่อนอีกคน ด้วยความที่ประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดงาน เราในฐานะทีม Attire จะยอมไม่เป๊ะไม่ได้! เดินห้างกันจนปิด ในที่สุดก็ได้ชุดสวยๆ กลับมาค่ะ // บรรยากาศทั้งวุ่นทั้งฮา แต่นึกถึงทีไรก็ยิ้มทุกทีค่ะ



พิม:
หลังจากที่เรือเทียบท่าจาการ์ต้าแล้ว เขาก็มีพิธีต้อนรับต่างๆ และการแสดงแบบยิ่งใหญ่ค่ะ แล้ววันต่อมาได้แวะไปที่ ‘ASEAN Secretariat’ ซึ่งเป็นตึกที่ประชุมงานต่างๆ เกี่ยวกับอาเซียน ตามด้วยการเยี่ยมชมบริษัทที่ทำสื่อกับ Community ด้าน Mental Awareness ในจาการ์ต้าค่ะ
จังหวะนี้ต้องเล่าเรื่องมื้ออาหารที่เยียวยาหัวใจที่สุด ทางพี่ๆ สถานทูตไทยสัมผัสได้ว่าน้องๆ ทานอาหารญี่ปุ่นบนเรือกันมาเกือบทุกมื้อ เลยซื้อไก่ทอด + อาหารฟาสต์ฟู้ด + โดนัทกล่องใหญ่มาต้อนรับน้องๆ // เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่ทีมไทยแลนด์เงียบกริบ เพราะทุกคนโฟกัสอาหารตรงหน้ากันหมดค่ะ 5555


เมตตา:
เมตได้เข้าชม ASEAN Secretariat ที่ศูนย์ ASEAN สำนักงานใหญ่ในกรุงจาการ์ตา ฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องรากฐานการตั้งองค์กรอาเซียน ข้อมูลแน่นจนเราเข้าใจหัวใจหลักของ ASEAN เลยค่ะ แล้วยังมี Art Gallery จัดแสดงหนังสือข้อตกลงฯ มีลงนามผู้ก่อตั้ง 5 ประเทศ ภาพวาด ของขวัญที่ผู้นำประเทศต่างๆ ทั่วโลกมอบให้เห็นที่ระลึก
และเมตอยู่ DG - Digital Society ได้ไปดูงานที่สำนักงานใหญ่ของ Traveloka บริษัทนี้ให้ความสำคัญเรื่อง Sustainability มากๆ ค่ะ โครงสร้างตึกถูกออกแบบมาให้ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีสวัสดิการต่างๆ ให้พนักงาน อย่างเช่น ห้องอาหารและห้องให้พนักงานนอนพักระหว่างวันได้
(แต่ตอนมาอินโดฯ เมตป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ Influenza แบบที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย จนหายเองเลยค่ะ ตอนแรกคิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดาซะอีก)


จิด้า:
DG1 จิด้าได้ไป Bank Indonesia สวยและใหญ่มากกก ห้องสมุดก็น่านั่งสุดๆ ส่วนตอนไปโฮมสเตย์ โฮสต์ก็พาไปที่พิพิธภัณฑ์ที่อินโดนีเซียด้วย ทีนี้ตอนที่นั่งรอรถหน้าพิพิธภัณฑ์ จู่ๆ ก็มีรถตู้มาจอด แล้วมีคุณลุงท่านนึงลงจากรถ โฮสต์บอกว่า “นี่คือรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมค่ะ” ตอนนั้นจิด้ากับเพื่อนงงกันสุดๆ นั่งอยู่เฉยๆ ก็เจอรัฐมนตรี!
ครูลูกหว้า:
ลูกหว้าได้ไปดูงานที่ Menjadi Manusia ซึ่งเป็นองค์กรทำสื่อออนไลน์เพื่อรณรงค์เรื่องการกลั่นแกล้งทางออนไลน์และสุขภาพจิต และให้กำลังใจเหยื่อผู้ถูกกระทำ ทำให้สังคมตระหนักรู้เรื่องนี้มากขึ้น
วัฒนธรรมของอินโดนีเซียมีความคล้ายประเทศไทยมาก ทั้งอาหารการกินและการใช้ชีวิต เรื่องพีคของที่นี่คือโฮสต์นวดน้ำมันให้ค่ะ แล้วด้วยความที่ลูกหว้าเคยเรียนนวดจากโรงเรียนนวดแผนไทยจากวัดโพธิ์ ก็เลยได้ผลัดกันนวดสบายตัวไปด้วยกัน ครอบครัวโฮสต์ปลื้มมากค่ะ ลูกหว้าเองก็เรียนมาจากวัดโพธิ์ เลยผลัดกันนวดกับโฮสต์ซะเลย ฮาาา โฮสต์ปลื้มมาก เป็นโมเมนต์ที่ทั้งฮา ทั้งอบอุ่นค่ะ
อาซี:
ด้วยความที่อยู่บนเรือมานาน จะมีความรู้สึกคิดถึงอาหารไทย (ฮาลาล) พอถึงอินโดฯ โฮสต์เราก็พาไปกินต้มยำกุ้ง อร่อยมากค่ะ~~~ แล้วยังได้ไปเที่ยวหลายๆ ที่ หนึ่งในนั้นคือ National Monument Monas ซึ่งมีไกด์คอยอธิบายประวัติความเป็นมา และได้เข้าไปหอคอยด้วยค่ะ ประทับใจมากค่ะ
ส่วนกิจกรรม DG ที่นี่ เราได้ไปเยี่ยมชมสมาคม WALHI และสำนักเลขาธิการ ASEAN // จริงๆ เราไม่ได้สืบประวัติโฮสต์มาขนาดนั้นค่ะ แต่รู้สึกได้ว่าหลายคนเกรงใจโฮสต์ แล้วในที่สุดก็ถึงบางอ้อ เพราะมีวันนึงโฮสต์ไปหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งในฐานะ “ประธานในพิธี” แล้วก็เขาแนะนำเราและเพื่อน PY แบบยิ่งใหญ่สุดๆ ตอนนั้นเองที่รู้ว่าโฮสต์ของเราเป็นทั้งครูและเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย!

. . . . . . . .
นี่แหละความท้าทาย
เรื่องใหญ่สุดที่ต้องปรับตัว?
ฤดู
“อยู่กับคนทั้งวัน แบบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย”
สำหรับหนูคือแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย ต้องอยู่กับคนอื่นตลอดทั้งรูมเมต ทำกิจกรรมกลุ่ม ไปจนถึงอาบน้ำกลุ่มที่ Grand Bath (เป็นออนเซ็นรวม) ตอนแรกเขินมากกก ต้องใช้เวลาปรับตัวค่ะ แต่ผ่านไปสักพักก็เริ่มเข้าใจธรรมชาติของการอยูร่วมกับคนอื่น เรียนรู้การเคารพพื้นที่ของกันและกัน และเริ่มสนิทกับเพื่อนๆ มากขึ้น กลายเป็นความผูกพันที่อบอุ่นและน่าจดจำครั้งหนึ่งในชีวิตค่ะ

พิม:
“พลังของ Introvert กับกิจกรรมสุดโซเชียล”
ของพิมคือเรื่องการรักษาพลังงานของตัวเองไว้ เพราะส่วนตัวเป็น Introvert การเจอคนเยอะๆ ต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติค่ะ เราทั้งต้องทำกิจกรรม ปรับตัวกับตารางชีวิตบนเรือ แล้วเรากับเพื่อนๆ ก็จะอยากพูดคุยทำความรู้จักกัน แน่นอนว่าก็เริ่มล้า แต่พอหาจังหวะชาร์จพลังตัวเองได้ก็ชิลขึ้น ไม่มีปัญหาค่ะ

ก๊อตจิ:
“เรื่องการนอนสำคัญมาก และมีคืนที่ผมไม่ชิน!”
ส่วนของผมยกให้ช่วงที่นอนโฮมสเตย์ที่เวียดนาม เพราะเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่ถนัดเลย ปรับตัวหนักอยู่ครับ 555
อาซี
“เป็นนักแสดงนำจำเป็น บนเวที NP”
การได้รับบทนักแสดงนำ (จำเป็น) บนเวทีในการแสดง NP ค่ะ เพราะต้องซ้อมในเวลาที่กระชั้นมากก ทั้งกังวลและกดดัน แต่ทุกคนทุ่มเทกับโชว์สุดๆ และแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันได้แบบยอดเยี่ยม (ทีม TPY48 พวกเราเจ๋งกันสุดๆ)
พอผ่านการแสดงไป เราก็ยังเขินจนไม่กล้าลงไปกินอาหารเช้าเลยนะคะ เป็นความรู้สึกที่นึกแล้วก็ตลกดี เราได้ตกตะกอนหลายๆ อย่าง และดีใจที่ทำเรื่องท้าทายสุดๆ ในชีวิตได้สำเร็จอีกครั้ง
ครูลูกหว้า
“การพูดวิชาการเป็นภาษาอังกฤษ”
การดิสคัสกันเรื่องวิชาการเป็นภาษาอังกฤษ คือที่สุดของความกดดันเลยค่ะ รู้สึกต้องเตรียมตัวเยอะมากจริงๆ โดยเฉพาะคนที่ไม่มั่นใจเรื่องภาษา แต่ยังไงทุกคนก็มีจุดที่ต้องฝึก พยายามเปิดใจแล้วลุยให้สุด แล้วก็ผ่านมาได้ค่ะ

เมตตา (ก่อนลงเรือ)
“จัดการทุกอย่างในช่วงเวลาจำกัด”
ช่วงก่อนลงเรือ งานค่อนข้างเยอะค่ะ เพราะต้องเตรียมตัวหลายอย่าง ทั้งการประชุมทุกสัปดาห์เพื่อวางแผนและติดตามงานต่างๆ ซึ่งก็เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับงานประจำที่ยังต้องทำอยู่เหมือนเดิม ทำให้ต้องจัดสรรเวลาให้ดีมากๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับทั้งสองฝั่ง
พอขึ้นเรือช่วงแรกก็ยังต้องปรับตัวอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะอาการเมาเรือที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยค่ะ เป็นอะไรที่บั่นทอนความสนุกในการทำกิจกรรมมากจริงๆ ยิ่งช่วงเดินทางจากอินโดนีเซียกลับญี่ปุ่น เมาเรือหนักจนต้องนอนพัก และพลาดกิจกรรมบางอย่างไปแบบเสียดายมาก
และอีกเรื่องคือบนเรือเราต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต เหมือนได้ย้อนยุคไป 20 ปีก่อน 5555 ชีวิตเหมือนหลุดไปอยู่ในโลกที่มีแค่ SSEAYP อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะกังวล คิดถึงบ้าน หรือห่วงงานแค่ไหน ก็ต้องปล่อยทุกอย่างไว้ข้างหลัง แล้วตั้งใจกับสิ่งตรงหน้าให้มากที่สุดค่ะ


จิด้า:
“เรือห้าดาวที่ไม่ต้องปรับอะไรเลย”
ต้องบอกตรงๆ ว่าไม่มีค่ะ 5555 ถ้าไม่เมาเรือ ชีวิตบนเรือก็เหมือนโรงแรมห้าดาว เรือสะอาดมากกกและสิ่งอำนวยความสะดวกครบ แล้วจิด้าก็รู้สึกเข้ากับพี่ๆ ทุกคนได้ดีด้วย!


. . . . . . . .
โมเมนต์นี้แหละ!
ประทับใจที่สุดจนลืมไม่ลง?
ฤดู:
บนเรือจะมีสิ่งที่เรียกว่า National Presentation (NP) ซึ่งเป็นช่วงเวลาพิเศษมากๆ ที่แต่ละประเทศจะได้จัดการแสดงวัฒนธรรมของตัวเองแบบเต็มรูปแบบ 75 นาที! ถ้าไม่ใช่วันของประเทศไทย เราก็จะได้เป็นผู้ชม คอยให้กำลังใจเพื่อนๆ จากประเทศอื่น และบอกเลยว่าโชว์แต่ละชาติน่าสนใจมากกกก
อีกอย่างที่ห้ามลืมคือพก NP date ไปด้วยนะ! ใครที่แอบชอบเพื่อนชาติไหน ก็อาจจะใช้โอกาสนี้ชวนเขาไปดู NP ด้วยกัน หรือจะไปกับแก๊งเพื่อนก็สนุกเหมือนกัน ที่น่ารักมากคือการยืมชุดประจำชาติของเพื่อนมาใส่คู่กัน เป็นคอนเซปต์ที่ฮิตมากบนเรือ เพราะใส่ชุดจากหลากหลายประเทศในชีวิตจริงไม่ได้ง่ายๆ นะคะ หนูเองมีโอกาสได้ใส่ชุดประจำชาติตั้งเกือบ 10 ประเทศเลย
ถึงโครงการจะจบแตีมิตรภาพที่ได้กลับไม่จบเลยค่ะ และประทับใจที่สุดคือการได้กลับไปหา Host Mom ที่เวียดนามอีกครั้ง แม่ยังดูแลดีเหมือนเดิม หนูนอนห้องเดิม ไปเยี่ยมที่เดิมๆ มันอบอุ่นหัวใจสุดๆ แม่ถึงขั้นเรียกหนูว่า “ลูก” ไปแล้วค่ะ
หนูยังได้ไปนอนบ้าน roommate ที่สิงคโปร์ ที่ตอนนี้กลายเป็น best friend ไปแล้ว ล่าสุดก็เพิ่งไปเยี่ยมเพื่อนที่ญี่ปุ่น หอบชุดครุยไปด้วย ถ่ายรูปรับปริญญากันให้หนำใจ เป็นมิตรภาพข้ามพรมแดนที่หนูไม่เคยคิดว่าจะได้จากโครงการนี้ และเป็นส่วนสำคัญในชีวิตไปแล้วค่ะ!


พิม:
ประทับใจที่สุดคงเป็น Human Connection บนเรือค่ะ เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้ได้อยู่กับคนตรงหน้าจริงๆ รู้สึกถึงสายใยที่แท้จริง ทั้งกับโฮสต์แฟมิลี่ที่ดูแลเราด้วยใจ กับเพื่อนๆ บนเรือที่ช่วยกันแต่งชุดชาติอื่นให้กันในคืนโชว์ แม้ไม่สนิทมาก่อน แต่มิตรภาพเล็กๆ แบบนั้นอบอุ่นใจมากๆ
ยังจำได้ถึงโมเมนต์ล้ำค่าอย่างการเข้าคาราวะเจ้าหญิงและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น (สำหรับ YL/NL/AYL) รวมถึงความประทับใจเล็กๆ อย่างวิวทะเลที่เปลี่ยนสีจากญี่ปุ่นสู่เวียดนามและอินโดฯ ท้องฟ้าที่เปิดกว้าง พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกที่งดงามทุกวัน ดาวเต็มฟ้ากลางทะเล และจดหมายเขียนมือที่เพื่อนๆ ฝากกำลังใจให้กัน ทุกอย่างคือของขวัญจากการเดินทางครั้งนี้จริงๆ ค่ะ

จิด้า:
โมเมนต์ที่ประทับใจจิด้าที่สุดคือช่วงสุดท้ายก่อนกลับไทย ทุกคนต้องไปพักที่ NYC (National Olympics Memorial Youth Center) ที่โตเกียว
บางคนว่าไม่ชอบ แต่สำหรับจิด้า คือฟีลเหมือนโรงเรียนประจำในฝันเลยค่ะ มีห้องนอนส่วนตัว มีโซนให้เดินหากัน มีห้องนั่งเล่นส่วนกลาง แถมอยู่ใกล้ฮาราจุกุ ชินจูกุ และสวนโยโยกิ คือโลเคชันดีมาก เดินเล่นกับเพื่อนได้แบบชิลๆ ก่อนกลับบ้าน เป็นการปิดจบโครงการที่อบอุ่นมากค่ะ

ครูลูกหว้า:
สิ่งที่ชอบที่สุดคือการไม่มีสัญญาณโทรศัพท์บนเรือ ไม่มีใครก้มหน้าเล่นมือถือ ทุกคนเงยหน้าคุยกัน ถ่ายรูปกัน หัวเราะกัน มันทำให้ทุกโมเมนต์เป็น “ของจริง” แบบไม่มีตัวกรอง ไม่มี Distractions จากโลกออนไลน์เลยค่ะ
เมตตา:
โมเมนต์ประทับใจที่สุดของเมตคือการได้เอาชุดครุยขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือ Nippon Maru ค่ะ เป็นความฝันตั้งแต่อายุ 18 แล้วเกิดขึ้นจริงในอีก 10 ปีต่อมา ตอนนั้นคิดในใจว่า “ฝันไกลแค่ไหนก็ไม่เกินจริง ถ้าเรายังไม่หยุดพยายาม” เป็นโมเมนต์เล็กๆ ที่เมตภูมิใจในตัวเองสุดๆ เลยค่ะ

แล้วเมตยังคว้าตำแหน่ง Miss Arphone Lao 2024 จากการประกวดบนเรือที่จัดโดย LPY (Lao Participating Youth) รุ่น 48 ทีมไทยแลนด์คว้าชัย ดีใจที่ได้ทำหน้าที่เพื่อทีมด้วยความเต็มใจ

และหนึ่งในกิจกรรมที่ตราตรึงใจที่สุดคือ การโยนริบบิ้นจากบนเรือให้ Host Family ด้านล่าง ตอนเรือแล่นออก ริบบิ้นก็ค่อยๆ ขาด เหมือนสื่อถึงการจากลา มันทั้งสวยงาม ทั้งเศร้า และไม่มีวันลืมเลยค่ะ

อาซี:
มีหลายโมเมนต์เลยค่ะ แต่ที่ประทับใจจริงๆ คือ ตอนเห็นภูเขาไฟฟูจิจากกลางทะเล วันนั้น Admin บอกว่าจะเห็นใกล้มาก ทุกคนเลยตื่นเต้นตั้งแต่เช้า รอลุ้นกันทั้งวัน พอเห็นจริงๆ คือสวยแบบพูดไม่ออก บังเอิญวันนั้นมีสัญญาณอินเทอร์เน็ต เลยได้วิดีโอคอลหาครอบครัวด้วย เป็นโมเมนต์ที่เรียบง่ายแต่อบอุ่นมากค่ะ
อีกช่วงที่ชอบคือการถ่ายรูปบนเรือ เพราะทุกมุมคือสวย ท้องฟ้าเปลี่ยนทุกวัน เมตเองพาชุดกากีกับสูทมหา’ลัยมาถ่ายด้วย เพื่อนบางคนเอาชุดรับปริญญามา เลยจัดแฟชั่นโชว์กันเองบนดาดฟ้าเรือเลยค่ะ
ก๊อตจิ:
สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้จากโครงการนี้เลยคือรู้สึกรักประเทศไทยและคนไทยมากขึ้นครับ ระหว่างที่อยู่กับเพื่อนจากหลายประเทศ ได้เห็นความตลก ความช่วยเหลือกันของคนไทย รู้เลยว่าเรามีเสน่ห์ในแบบของเรา และประเทศไทยคือบ้านที่อยู่สบายจริงๆ ครับ

. . . . . . . .
เรื่องพีคที่ไม่มีใครคาดคิด?
จิด้า:
โอ้โห พอมาถึงญี่ปุ่นก็เริ่มเลอ วันแรกเป็นวันฟรีเพราะยังไม่เริ่มทำกิจกรรมอะไร ก็เลยออกไปเที่ยวในเมืองกับพี่คนไทยอีก 2 คน ตอนกลับเราก็เดินไปที่สถานีรถไฟโดยมีพี่ที่เคยมาแลกเปลี่ยนพาไปค่ะ แต่ขากลับปักหมุดแผนที่ผิดโรงแรม (ชื่อเดียวกันแต่คนละที่) เราก็เครียดมากเพราะช่วงนั้นมีเคอร์ฟิวตอน 5 ทุ่ม เลยรีบวิ่งไปเปลี่ยนสายรถไฟเปลี่ยนชานชาลา จำได้ว่าถึงสถานีแถวโรงแรมตอน 22:50 แล้ววิ่งไปโรงแรมแบบไม่คิดชีวิต ถึงประมาณ 22:48 เช็กอินทันพอดี
ตื่นเต้นจนลืมไม่ลงเลย แต่ย้อนไปคิดก็สนุกดีนะ 5555 ส่วนวันที่สองก็ไม่เบาเหมือนกันเพราะทำคีย์การ์ดโรงแรมหาย โชคดีมีประกันเลยไม่ต้องเสียค่าปรับค่ะ

ฤดู:
ส่วนหนูติดไข้หวัดใหญ่บนเรือค่ะ ต้องถูกกักตัวอยู่ในโซนโรงพยาบาลของเรือถึง 5 วันเต็มๆ เสียดายมากเพราะพลาดกิจกรรมสำคัญหลายอย่าง แต่ก็ได้เห็นอีกมุมของการดูแลที่อบอุ่นจากทีมแพทย์และเพื่อนๆ ด้วย
อาซี:
พอพูดถึงเรื่องไม่สบาย ก็อยากแชร์ว่าความพีคคือเราเป็นคนไทยคนแรก และเป็นคนแรกของโครงการที่ใช้บริการห้องพยาบาลบนเรือ เนื่องจากติดไข้หวัด ทั้งที่ก็ฉีดวัคซีนและพยายามป้องกันตัวเองมากที่สุดแล้วนะคะ TT เลยเป็นช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับตัวเอง เพราะห้องพยาบาลจะอยู่ชั้นล่างของเรือ และมีมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็ได้เห็นมิตรภาพที่อบอุ่นจากเพื่อนๆ มีเขียนการ์ดให้กำลังใจ มีขนม มีของกินมาให้ โทรมาคุยแก้เหงาด้วย แถมยังอีกความท้าทายคือมีนักแสดงหลักที่ป่วยก่อนวันแสดง NP จนทำให้เราจากตอนแรกที่เป็นนักแสดงประกอบ ได้มาเป็นนักแสดง (จำเป็น) มีระยะเวลาท่องจำบทกับจำบล็อกกิงแค่ 1-2 วันก่อนแสดงเท่านั้นค่ะ

. . . . . . . .
Before & After
นี่แหละการเปลี่ยนแปลงใหญ่
รู้สึกได้หลังกลับจาก SSEAYP
ฤดู:
ตอนแรกก็รู้สึกตัวเองเปิดกว้างพอสมควรแล้ว แต่พออยู่กับเพื่อนจากหลายประเทศจริงๆ ถึงรู้ว่าโลกเรายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ ทั้งวัฒนธรรม ศาสนา อาหาร หรือวิธีคิดและการใช้ชีวิตที่ต่างกัน
สิ่งที่เรียนรู้และทำให้เราเติบโตขึ้นมากที่สุดคือ “การไม่ตัดสินคนอื่นก่อนจะเข้าใจเขาจริงๆ” (learn to be non-judgmental) แค่เราเปิดใจก็จะได้เห็นมุมใหม่ๆ ที่เราไม่เคยคิดมาก่อนค่ะ

พิม:
ในอีกมุมหนึ่ง สำหรับพิม ก่อนหน้านี้เป็นคนขี้กังวล ค่อนข้างจริงจังกับชีวิต เพราะเราก็เข้าสู่วัยทำงานมาสักพักแล้ว แต่โครงการนี้เหมือนทำให้เรากลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง
รู้สึกว่าเรายังสนุกกับชีวิตและลองทำอะไรใหม่ๆ ได้อีกเยอะ ถึงแม้ว่าอะไรไม่เป็นไปตามที่เราคิด การล้มบ้างก็ตลกดีเหมือนกันนะ

จิด้า:
ตอนแรกลังเลมากกก เพราะถ้าเลือกไปจะต้องลาพักเรียนเลยค่ะ แต่พอไปถึงรู้สึกคุ้มและกลายเป็นเรื่องภูมิใจมากในอายุ 18
จิด้าได้เติบโตขึ้น ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับคนจากหลายหลาก background ได้มิตรภาพดีๆ รู้จักคนเก่งๆ และเปลี่ยนจากคนที่ขาดความมั่นใจ ได้มารับพลังบวกจากพี่ๆ ที่คอย Cheer up ก็ทำให้เราอยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึัน และอยากส่งพลังนี้ถึงคนอื่นด้วยเหมือนกัน
ถ้าย้อนเวลาไปได้ก็ยังเลือกจะสมัครโครงการนี้แน่นอนค่ะ~

ครูลูกหว้า:
ส่วนลูกหว้าเอง พอมาเห็นกระบวนการทำงานของเพื่อนๆ น้องๆ ในทีมแล้วขนลุกมากกก ทุกคนมืออาชีพสุดๆ บางคนยอมลาออกจากงานมาเพื่อโฟกัสโครงการนี้เลย
หลังจบลูกหว้านำหลายอย่างมาประยุกต์ใช้กับงานสอน มั่นใจกับการสอนและสื่อสารภาษาอังกฤษมากขึ้น กล้าลงสมัครโครงการต่างๆ แล้วทำเต็มที่ทุกครั้ง ไม่กลัวความผิดหวัง และถึงมีพลาดก็ไม่เสียใจ เพราะรู้ว่าจะต้องมีสักเวทีที่เป็นของเรากำลังรออยู่ค่ะ
เมตตา:
อีกมุมที่ลึกขึ้นคือการไปทำหน้าที่นี้ เหมือนไปเป็นหน้าตาประเทศค่ะ ป้ายชื่อที่มีรูปธงชาติไทยจะคอยย้ำเตือนเสมอว่าทุกการแสดงออกของเรา สะท้อนภาพลักษณ์ประเทศ ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเราค่ะ


อาซี:
สิ่งที่สัมผัสได้ชัดอีกอย่างคือ หลังจบหลายคนบอกว่าอาซีดูมั่นใจขึ้น กล้าตัดสินใจขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้ตัวเองกับสังคม
เราได้แรงบันดาลใจที่อยากส่งต่อพลังบวกนี้ให้คนรอบข้าง ให้พวกเขาลองเปิดใจทุกความรู้จักโครงการนี้ และหากใครอยู่บนเส้นทางนี้ เราก็พร้อมจะให้คำแนะนำและช่วยเหลือเต็มที่
// รู้สึกอยากให้มีโครงการนี้ไปอีกนานๆ ในอนาคตถ้ามีโอกาสก็อยากเป็นโฮสต์แฟมิลี่ประเทศไทยด้วยค่ะ

ก๊อตจิ:
สุดท้าย สำหรับผมรู้สึกเติบโตขึ้นมากในเรื่องการทำงานกับผู้คนครับ ทั้งกับคนไทยเองที่สไตล์การทำงานแตกต่างกัน หรือคนจากต่างประเทศ ได้รู้ว่ามีจุดแข็ง-จุดอ่อนยังไงบ้าง และควรปรับยังไงให้เข้ากับบริบทนั้นๆ

. . . . . . . .
ถึงกิจกรรมจะอัดแน่นคุณภาพ
แต่ก็มีเวลาให้ relax ได้ใช่มั้ยนะ~
ฤดู:
มีแน่นอนค่ะ! ช่วงไหนว่างคือออกสิคะ 555~ โชคดีมากที่มีเพื่อนๆ JPY (Japan Participating Youth) คอยพาเที่ยวแบบจัดเต็ม ทั้ง Shibuya, Shinjuku, Asakusa ช้อป ถ่ายรูป กินร้านเด็ด บอกเลยว่าคือ พักผ่อนจริงๆ หลังจากกิจกรรมสุดแน่น เป็นช่วงเวลาที่รีชาร์จทั้งกายและใจได้ดีมากเลยค่ะ

อาซี:
คล้ายๆ กันเลยค่ะ อาซีได้เที่ยวค่อนข้างเยอะ เพราะช่วงนอกเวลาโครงการ PY ก็จะนัดกันไปเดินเล่นตามที่ต่างๆ อย่างมีจังหวะ เช่นในเมือง หรือสถานที่ที่เราอยากไปเอง
ที่ประทับใจมากคือมีคืนดูดาวบนเรือด้วย! กัปตันมาอธิบายดาวแต่ละกลุ่มให้ฟัง เป็นคืนที่สวย สงบ และอบอุ่นมากๆ ค่ะ
ครูลูกหว้า:
มีค่ะ! ลูกหว้าเน้นแนว “เธอไปไหน ฉันไปด้วย” 555~ สนุกมากค่ะ เวลาเพื่อนนัดชวนไปเดินเล่นหรือทำกิจกรรมด้วยกันก็คือพร้อมเสมอ ไม่ปล่อยให้โมเมนต์ดีๆ หลุดมือเลย


พิม:
บนเรือจริงๆ ก็มีเวลาว่างบ้างนะคะ ตารางไม่ได้แน่นตลอดเวลา พิมชอบใช้ช่วงนั้นเขียนโปสการ์ดให้เพื่อน หรือไม่ก็นั่งรับลมดูวิวบนดาดฟ้าเรือ
แต่ก็มีบางวันที่ต้องเลือกเลยว่าจะ รีดผ้า หรือ งีบดี ส่วนเวลาลงแต่ละประเทศจะเป็นตารางของ host country แล้วเราอยู่กับโฮสต์เลย ไม่ค่อยได้มีจังหวะเที่ยวเองเท่าไหร่ค่ะ

เมตตา:
สำหรับเมต ช่วงที่รู้สึกผ่อนคลายจริงๆ คือช่วงที่ได้อยู่กับ Host Family ค่ะ เพราะแต่ละบ้านจะพาเราไปทำกิจกรรมตามสไตล์ของเขา เช่น เที่ยว ชิมอาหารพื้นเมือง หรือพาไปเดินชมเมืองเล็กๆ ถือว่าได้ relax พร้อมเรียนรู้วัฒนธรรมไปในตัวด้วย
ในตารางเดินเรือจะมีช่วง Free Time ที่สามารถทำอะไรก็ได้ แต่เอาเข้าจริง ส่วนใหญ่ใช้เวลานั้นเตรียมงานหรือซ้อมซะเยอะค่ะ
จิด้า:
จิด้ามีเวลาว่างบนเรือเยอะเลยค่ะ เพราะไม่ได้อยู่ในคอมมิตีของเรือ ส่วนพี่ๆ ที่มีบทบาทอย่าง GL หรือ PL Seminar อาจประชุมเยอะหน่อย แต่ก็สนุกในแบบของเค้า
แต่ละคนจะมีเวลาของตัวเองที่ต่างกัน บางคนใช้เวลา relax คนเดียว บางคนก็จะใช้เวลาไปสนิทกับเพื่อนใหม่ๆ ผ่านการทำงานร่วมกัน
ก๊อตจิ:
ส่วนผมกลับรู้สึกมีเวลาพักน้อยครับ 5555 อาจเพราะตารางกิจกรรมแน่นจริงๆ แต่ก็มีบางช่วงที่ได้ออกไปสูดอากาศ หรือนั่งดื่มกับเพื่อนๆ แบบชิลๆ ตอนหมดวัน ถือว่าเป็นการพักผ่อนเล็กๆ ที่ได้ชาร์จพลังในแบบของเราเอง
. . . . . . . .
ฝากอะไรถึงรุ่นน้องที่ลังเล
ฤดู:
ฤดูก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน เข้าใจดีเลยค่ะ ตอนที่สมัครรุ่น 47 แล้วไม่ผ่าน บอกตรงๆ ว่าเสียใจมาก TT แต่ก็ใช้เวลานั้นลุกมาพัฒนาตัวเอง ศึกษาโครงการเรือฯ ให้มากขึ้น คุยกับรุ่นพี่หลายคน และค่อยๆ ตกผลึกใหม่ว่าเราต้องการอะไรจากการแลกเปลี่ยนนี้ และจะ contribute อะไรให้ทีมไทยแลนด์ได้บ้าง
ใครที่ลังเลเพราะกลัวว่าคุณสมบัติไม่ถึง กลัวเรื่องความปลอดภัย หรือกังวลเรื่องภาษาอังกฤษ อยากบอกว่ากลัวได้ แต่ห้ามหยุดค่ะ ลองสมัครดูก่อน เพราะแค่การเตรียมตัวสมัครก็ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้ว ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แค่จริงใจกับสิ่งที่เราเชื่อและพร้อมจะเรียนรู้ไปด้วยกัน ก็เพียงพอที่จะเริ่มก้าวแรกแล้วค่ะ
พิม:
เรื่องภาษาอังกฤษไม่ใช่อุปสรรคเลย เพราะมีเพื่อนหลายชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ทุกคนเข้าใจจุดนี้และพยายามสื่อสารกันให้เข้าใจที่สุด หรือแม้กระทั่งใครที่รู้สึกตัวเองไม่เก่งพอ โครงการนี้มีหลาย role ให้เราเลือกทำ แล้วจะได้รู้ว่าไม่มีใครเก่งไม่พอ มีแต่เก่งคนละแบบ เราจะดีใจและเห็นคุณค่าตัวเองมากขึ้น
ปล. โครงการเรือฯ เป็นทุนแรกในชีวิตที่พิมสมัครเลยนะคะ แล้วปรากฏว่าเรือพาเรามาไกลกว่าที่คิดมากกก ถ้าใครลังเลอยากให้ลองดู อย่าตัดสินว่าตัวเองเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เพราะนั่นเป็นหน้าที่กรรมการ ส่วนหน้าที่ของเราคือทำให้เต็มที่ที่สุดค่ะ
เมตตา:
โครงการนี้เปิดรับตั้งแต่อายุ 18–30 ปี ถ้าภาษายังไม่แข็งแรงก็ยังมีเวลาฝึกนะคะ เพราะภาษาอังกฤษใช้เยอะจริง แต่ฝึกทันแน่นอน~ ส่วนเรื่องความปลอดภัยไม่ต้องกังวลเลย เพราะนี่คือโครงการที่รัฐบาลไทยร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น เปิดโอกาสให้เราได้พบผู้นำระดับประเทศ และเพื่อนๆ จาก 10 ประเทศในอาเซียน ซึ่งเป็นคอนเน็กชันคุณภาพที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต // ถ้าพร้อมอยากให้คว้าโอกาสนี้ไว้ อย่ารอจนอายุเกินแล้วเสียดายทีหลัง
จิด้า:
ใครอยากสมัครก็สมัครเลยน้าา อย่ากลัว ถึงไม่ติดก็แค่ลองใหม่ครั้งหน้า แล้วก็ไม่อยากให้สบประมาทตัวเองค่ะ ทักษะบางอย่างที่เราอาจคิดว่าไม่สำคัญ จริงๆ อาจขาดไม่ได้บนเรือลำนี้ มั่นใจในตัวเองเข้าไว้และเป็นตัวของตัวเองที่สุดเสมอ แล้วมาเป็น SSEAYP Family ด้วยกันนะคะ
ครูลูกหว้า:
ลุยค่ะ ไม่ลองไม่รู้!
อาซี:
อยากเป็นกำลังใจให้น้องๆ ที่สนใจโครงการนี้นะคะ หาแรงบันดาลใจที่ทำให้เรามีพลังอยากเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ หรือไม่ก็ลองพาตัวเองไปใกล้ๆ รุ่นพี่ที่เคยไป รับรองว่าจะโดนป้ายยาหนักมากแน่นอน!
ที่สำคัญคือเชื่อในตัวเองเข้าไว้ และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ อย่ากลัวการเริ่มต้น ทุกคนล้วนเคยเริ่มจากศูนย์เหมือนกันค่ะ
ก๊อตจิ:
สำหรับผม โครงการนี้เหมาะกับช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตมากๆ เพราะเราจะได้เจอทั้งคนใหม่ ประสบการณ์ใหม่ และมุมมองใหม่ ที่สำคัญคือไม่ลองไม่รู้จริงๆ ครับว่าเราคลิกกับโครงการนี้หรือเปล่า บางทีเราอาจไม่รู้เลยว่านี่คือโอกาสที่คู่ควรได้รับครับ

. . . . . . .
ถ้าสมัครแล้วได้ไป
ควรเตรียมตัวเตรียมใจกับอะไรก่อนบิน?
ฤดู:
เตรียมเมมให้พร้อมทั้งในมือถือและในหัวใจเลยค่า~ บนเรือจะมีโมเมนต์ให้ถ่ายรูปและวิดีโอเยอะมาก และเป็น “ช่วงเวลาครั้งเดียวในชีวิต” เรือแล่นไปข้างหน้า ไม่มีวันย้อนกลับ อยากให้เก็บทุกความทรงจำไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะคะ
ที่สำคัญสุดๆ คือสุขภาพค่ะ แนะนำให้เริ่มออกกำลังกายสะสมไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทาง และ พกยาประจำตัวกับวิตามินให้พร้อม เพราะกิจกรรมบนเรือแน่นมาก อาจต้องนอนดึกบ่อย ถ้าไม่ดูแลตัวเองอาจป่วยแบบหนูได้ TT
พิม:
สำหรับหนู อยากชวนให้เตรียมตัวเท่าที่ไหว ที่เหลือปล่อยจอยหน้างานค่า อยากลองทำอะไรทำเลย บางโอกาสผ่านแล้วผ่านเลย สนุกกับเรื่องราวปัจจุบันตรงหน้าให้เต็มที่
จิด้า:
ถ้ารู้ว่าติดก็เตรียมลาเรียนลางานก่อนเลยค่ะ 555 อย่างจิด้าที่สมัครตอนแรก ไม่คิดว่าจะได้ พอติดจริงก็เลยต้องทำเรื่องและคุยกับคณะพอสมควร ถ้าใครยังเรียนแนะนำให้ปรึกษาอาจารย์/ห้องทะเบียนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้วางแผนการเรียนต่อดีๆ ค่ะ ไม่ให้กระทบมากค่ะ
ครูลูกหว้า:
ร่างกายต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง! เตรียมร่างก่อนเลยค่ะ สุขภาพแข็งแรง วัคซีนครบ ยาสามัญพร้อม เพราะถ้าป่วยเมื่อไหร่ ความสนุกลดลงเยอะจริงๆ
เมตตา:
อยากให้เตรียมสุขภาพให้แข็งแรงตั้งแต่เนิ่น มันคือ once-in-a-lifetime experience! ถ้าป่วยแล้วพลาดกิจกรรมไหนจะรู้สึกเสียดายมากกกก อยากให้เต็มที่กับทุกวันและทุกกิจกรรมจริงๆ ค่ะ
ก๊อตจิ:
เห็นด้วยสุดๆ เตรียมร่างกายให้แข็งแรงครับ บนเรือป่วยง่ายมาก! 5555
อาซี:
- สำหรับสายราชการ แนะนำให้ปรึกษาหัวหน้าไว้ก่อนเลยค่ะ เพราะการขออนุมัติไปราชการแต่ละหน่วยงานอาจใช้เวลาดำเนินเรื่องไม่เท่ากัน เตรียมให้เร็วไว้คือดีที่สุด
- ศึกษาวัฒนธรรมและภาษาของประเทศที่จะไป จะช่วยให้สนุกกับกิจกรรมโฮมสเตย์มากขึ้น
- ตรวจสุขภาพ + ฉีดวัคซีนให้พร้อม
- เตรียมเสื้อผ้าให้หลากหลาย เพราะอากาศแต่ละประเทศต่างกันมาก
- พกของฝากเล็กๆ น้อยๆ ติดไปด้วย จะช่วยสร้างความประทับใจให้โฮสต์ได้ค่ะ
- และที่สำคัญที่สุดคือเตรียมใจให้พร้อมรับทุกสิ่งที่กำลังจะเข้ามาในชีวิตหลังจากนี้ เพราะมันจะไม่เหมือนเดิมอีกเลย และไปในทางที่ดีมากๆ ด้วย~
. . . . . . .
แล้วปีก่อนๆ ล่ะเป็นยังไง?
ตามไปอ่านกัน!
บทสัมภาษณ์ “พี่มอมแมม – ณัฐพร อุณหบัณฑิต” หนึ่งในลูกเรือโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ (Ship for Southeast Asian and Japanese Youth Program) รุ่น 47

0 ความคิดเห็น