สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึง “เกาหลีใต้” หลายคนอาจนึกถึงบรรยากาศการเมืองสุดเข้มข้น หรือบทบาททั้งในภูมิภาคและเวทีโลกที่น่าจับตามอง จึงไม่แปลกที่เกาหลีจะกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ชาวต่างชาติ รวมถึงคนไทย ให้ความสนใจอยากมาเรียน “รัฐศาสตร์” แบบได้เห็นสนามจริงในระยะใกล้
หนึ่งในนั้นคือ “พี่ท็อป – พิมพ์ชนก เปล่งขำ” เจ้าของแอค IG: @topppn และ @KoreanOnTop ศิษย์เก่าแผนการเรียนศิลป์-เกาหลี จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และนักเรียนไทยที่ติดทุนรัฐบาลเกาหลีใต้ GKS-U แบบ Embassy Track เมื่อปี 2020 ไปเรียนต่อ ป.ตรี สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (IR) ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (Seoul National University) ซึ่งขึ้นแท่นอันดับ 1 ของประเทศ และจัดเป็น 1 ในกลุ่ม SKY ที่แม้แต่คนเกาหลีก็สู้สุดใจเพื่อให้ได้เข้าเรียน
ว่าแต่การเตรียมตัวสมัครทุนยังไง? เรียน IR เป็นภาษาเกาหลียากไหม? ใช้ชีวิต 4 ปียังไงให้รอดและได้อะไรกลับมาแบบเต็มกระเป๋า? ตามไปอ่านบทสัมภาษณ์ถาม-ตอบแบบสายฟ้าแลบ พร้อมรีวิวชีวิตเด็กทุนเกาหลีแบบครบจบในบทความเดียวกันค่ะ

โอกาสทอง! ปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา
จดคำถามที่คาใจ แล้วมาคุยแบบ 1:1 กับ "พี่ท็อป" ตัวจริงได้ในวันอาทิตย์ที่งาน Dek-D's Study Abroad Fair นะคะ รอบนี้เราได้รับเกียรติจาก 24 รุ่นพี่เด็กนอกหลายทุน หลายประเทศ ได้แก่ ทุนรัฐบาลไทย ก.พ. และ ทุน UIS, CSC (จีน), GKS (เกาหลีใต้), ASEAN Scholarships (สิงคโปร์), TaiwanICDF (ไต้หวัน), MEXT (ญี่ปุ่น), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), Fulbright TGS (สหรัฐฯ), Chevening (สหราชอาณาจักร), Erasmus+ (ยุโรป), Swedish Institute (สวีเดน), Stipendium Hungaricum (ฮังการี), Australia Awards (ออสเตรเลีย), และทุนจากมหาวิทยาลัย/บริษัทเอกชน

. . . . . . .
1
รีวิวสมัครทุนรัฐบาลเกาหลี
Q: แนะนำตัวสั้นๆ
สวัสดีค่า ชื่อท็อปนะคะ เรียนจบแผนศิลป์-เกาหลี รร.เตรียมอุดมศึกษา เลือกสมัครทุนผ่าน Embassy Track ยื่นคะแนน IELTS 7.5, TOPIK 4 และเกรด 3.91 ค่ะ
ส่วนตัวสนใจภาษาอังกฤษ + ภาษาเกาหลี และชอบเข้าสังคม สนุกที่ได้ทำงานกับคนเยอะๆ เลยคิดว่าสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศน่าจะเหมาะที่สุด และน่าจะเป็นใบเบิกทางให้ได้ทำงานที่ชอบในอนาคตค่ะ



Q: เขียน SOP กับ Study Plan ส่งไปประมาณไหนคะ
- Statement of Purpose หลักๆ เน้นเล่าจุดเด่นตัวเอง เหตุผลที่สนใจเกาหลี ผลงานที่เกี่ยวกับเกาหลีและคณะที่อยากเข้า เช่น ท็อปเคยไปโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นที่เกาหลี เคยเป็นประธานสายศิลป์-เกาหลี ประธานชมรมภาษาเกาหลี เข้าค่ายติวเข้มภาษาเกาหลีที่หาดใหญ่ ประกวดศิลปหัตถกรรม (เล่าเรื่องจากภาพ ได้เหรียญทองตอน ม.4-5) ถ้ายิ่งใหญ่สุดน่าจะเป็นตอนงานประกวดสุนทรพจน์ระดับประเทศ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเลือกให้ได้เข้าพูดคุยกับภรรยาของประธานาธิบดีเกาหลีใต้
- Study Plan เขียนประมาณว่าก่อนไปเกาหลี เราเตรียมตัวยังไงบ้าง ในโรงเรียนมีสอนกี่คาบ เรียนยังไง ได้ทำอะไรบ้าง แล้วถ้าจบ ป.ตรี อยากทำอะไรต่อ ส่วนการเตรียมตัวเรียนภาษา ก็จะอ่านศัพท์สาย IR และพยายามอ่านหนังสือภาษาเกาหลีให้มากขึ้นและ advance ขึ้น
นอกจากปรึกษารุ่นพี่ที่เคยได้ทุนแล้ว ก็ยังมีครูสอนเกาหลีที่โรงเรียนที่ชวนสมัคร ช่วยเหลือทุกขั้นตอน แล้วคอยให้กำลังใจด้วยค่ะ เขาน่ารักมากจริงๆ ㅠㅠ
Tips: เรื่องคะแนนสอบ แนะนำให้เตรียมตัว 1 ปีขึ้นไป เพราะเราอาจต้องอ่านหนังสือหรือเรียนเพิ่ม (แต่ถ้ามีผลสอบแล้วก็โล่งใจไปเยอะ เหลือเตรียมเอกสารเฉยๆ (*อ่านให้ละเอียด เอกสารราชการจะค่อนข้างซับซ้อน ต้องใช้เวลากับขั้นตอนการเอาเอกสารไปแปลและประทับตราด้วย)
Q: เจอบรรยากาศการสัมภาษณ์แบบไหน?
ท็อปเตรียมสัมภาษณ์เป็นภาษาเกาหลีไปหมดเลย แต่พอไปถึงเจอคำถามยากจนคิดว่าจะไม่ได้แล้ว กดดันพอสมควร มีเดดแอร์บ้าง แต่พยายามมีสติและตอบให้ตรงประเด็นที่สุดค่ะ
Q: ตอนสมัคร เลือกมหาลัยไหนไว้บ้าง?
เขาจะมีให้เราลิสต์ 3 อันดับ ท็อปเลยเลือกสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ SNU, Korea และ Yonsei ซึ่งก็คือมหาลัยกลุ่ม SKY ของเกาหลี สรุปก็คือติดทั้งหมดเลยค่ะ เย่ะ!
**สำคัญมากกก ปัจจุบันทุนเปลี่ยนกฎเรื่องการเลือกจัดมหาลัย 3 อันดับของ Embassy Track แล้ว ก็คือเขาจะแบ่งเป็นมหาวิทยาลัย Type A และ Type B เราจะต้องเลือกจาก 2 กลุ่มนี้ผสมกัน โดยมี Type B อย่างน้อย 1 อันดับ
ลองศึกษาจาก ระเบียบการทุน GKS-U ปี 2568 เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น และอย่าลืมดูเงื่อนไขของปีที่น้องๆ จะสมัครให้มั่นใจ เพราะกฎอาจเปลี่ยนอีกก็ได้ค่ะ
ตอนแรกอยากเข้า Yonsei ที่สุดเลยค่ะ แต่พอไปปรึกษาครูเกาหลีที่เตรียมฯ ท่านก็แนะนำให้ลองดู SNU สุดท้ายท็อปดูหลายปัจจัยแล้วเลือกยื่นที่ SNU แทน
จากที่คุยกับรุ่นพี่ เขาแนะนำว่าถ้า Yonsei และ Korea จะเหมาะกับสายจอยๆ อินเตอร์กว่า และตั้งอยู่ในตัวเมืองทั้งคู่ ในขณะที่ SNU จะค่อนข้างไกลจากตัวเมือง และรีวิวจากประสบการณ์ส่วนตัว ท็อปว่าที่ SNU เรียนเครียดจริงๆ วิชาที่เปิดสอนเป็นภาษาเกาหลีเกือบทั้งหมด มีครูต่างชาติน้อย และเข้าไปถึงพบว่าตัวเองเป็นนักเรียนต่างชาติคนเดียวในรุ่น ส่วนมากคนไทยจะมาเรียนต่อ ป.โท หรือ ป.เอก มากกว่าค่ะ
และแน่นอนว่ามีข้อดีที่ประทับใจเยอะเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังตอนรีวิวชีวิตการเรียนแบบจัดเต็ม ~
ปล. ท็อปเข้าไปในรุ่นที่ “พี่แก้ม” ศิษย์เก่าคณะวิศวะ ม.โซล กำลังจะเรียนจบพอดีเลยค่ะ ใครสนใจอ่านรีวิวของพี่แก้มเพิ่มเติม เข้าไปอ่านได้ที่นี่เลยน้า https://www.dek-d.com/studyabroad/62085
Q: เตรียมตัวยังไงก่อนบิน?
ท็อปเคยไปเที่ยวช่วงสั้นๆ ที่เกาหลี แต่ครั้งนี้ต้องไปเรียนต่อปริญญาตรี 4 ปี (+ปรับภาษาก่อนอีก 1 ปี) แอบกังวลเรื่องเพื่อนและสังคมอยู่เหมือนกัน เลยพยายามเตรียมตัวให้คุ้นกับทั้งภาษาเกาหลีและอังกฤษที่สุด เช่น อ่านหนังสือ ดูเว็บตูน ฟังเพลง ดูหนัง เพื่อให้ค่อยๆ ชินกับประโยคที่คนเกาหลีใช้กันจริงในชีวิตประจำวัน

Q: เรียนปรับภาษามาหนึ่งปี เจอ ป.ตรี ของจริงที่ SNU ทีเป็นไง?
อย่างที่เกริ่นว่าเด็กทุนรัฐบาลเกาหลีจะได้เรียนปรับภาษาก่อน 1 ปี (ยกเว้นคนที่ยื่น TOPIK 5 ขึ้นไป) ซึ่งท็อปเป็นรุ่นโควิดที่เรียนออนไลน์ค่ะ ช่วงนั้นเรียนกับเพื่อนต่างชาติด้วยกัน บรรยากาศเลยสบายๆ และกดดันน้อยกว่า
ตัดภาพมาตอนขึ้น ป.ตรี ช็อกเลยล่ะ! ความยากคือมีคำศัพท์เฉพาะด้านรัฐศาสตร์เยอะมากๆ ถึงจะมีวงเล็บคำภาษาอังกฤษให้ แต่คำอธิบายกับตัวอย่างก็เป็นภาษาเกาหลีอยู่ดี และเนื้อหาก็เข้มข้นจนแม้แต่คนเกาหลีเองยังบอกว่ายาก ช่วงนั้นผ่านมาได้เพราะอดทนเลยค่ะ พยายามปรึกษารุ่นพี่ เตรียมตัวเยอะๆ อ่านหนังสือทั้งก่อน-หลังเรียน ไม่งั้นตามไม่ทันแน่ๆ
ท็อปเองเป็นรุ่นโควิด-19 ปีแรกเจอทำกิจกรรมและเรียนรูปแบบออนไลน์ไปปีกว่าๆ (รวมถึงปฐมนิเทศก็ยังเป็นออนไลน์) กว่าจะได้ไปเรียนออนไซต์คลาสจริง ก็ประมาณปี 2 ปลายๆ ช่วงนั้นทุกอย่างก็เริ่มเข้าลูปค่ะ 555 ระหว่างเรียนมีโอกาสไปออก field trips บ้าง เช่น ไปมิวเซียมหรือกระทรวงต่างๆ (ขึ้นอยู่กับปี/วิชา/อาจารย์/สถานการณ์) เริ่มได้มารู้จักเพื่อนใหม่มากขึ้น
Q: โครงสร้างวิชาประมาณไหนบ้าง
เด็กรัฐศาสตร์ปี 1 จะต้องลงวิชาพื้นฐานของทั้งสองแขนงหลัก นั่นก็คือ Introduction to Politics และ Introduction to International Relations (IR) โดยวิชา Intro. ยังเรียนแบบเลกเชอร์ในห้องใหญ่ร่วมกับนักศึกษาหลายร้อยคน อาจารย์จะสอนตามสไลด์เป็นหลัก ข้อดีคือจะได้เห็นภาพรวมของทั้งสองสาย ก่อนเลือกลงวิชาเฉพาะทางตามความสนใจในเทอมถัดไป
ถ้าเป็นฝั่ง Politics จะโฟกัสเรื่องการเมืองระดับประเทศ เรียนเรื่องโครงสร้างรัฐ ระบบเลือกตั้ง นโยบายพรรคการเมืองของเกาหลี และอาจมีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
ส่วนฝั่งที่ท็อปเลือกคือ IR ซึ่งขอบเขตกว้างและเป็นระดับนานาชาติมากกว่า วิชาเรียนเน้นวิเคราะห์ปรากฏการณ์ระหว่างประเทศ เช่น ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มุมมองแนวคิดร่วมสมัย (อย่าง Realism, Liberalism, Constructivism ฯลฯ) พร้อมกรณีศึกษาระดับโลก เช่น สงครามเย็น ความขัดแย้งภูมิภาค หรือการเปรียบเทียบนโยบายต่างประเทศของรัฐต่างๆ
เราจะได้เรียนทั้ง “วิชาบังคับ” (Core) และ “วิชาเลือก” (Electives) สำหรับวิชาเลือกจะมีหลากหลายและแบ่งหมวดชัดเจน โดยระบุว่าให้ลงวิชาแต่ละหมวดขั้นต่ำกี่หน่วยกิต เราวางแผนได้หมดเลยว่าอยากลงวิชาอะไรในเทอมไหนค่ะ
- หมวดประวัติศาสตร์สังคม
- หมวดการเมือง นโยบายการต่างประเทศ
- หมวดที่โฟกัสแต่ละประเทศ (เรียนแนวกรณีศึกษา)

Q: วางแผนตารางเรียนยังไงให้ไม่หนักเกินไป
ท็อปวาง Roadmap ไว้เลยค่ะว่าในระยะเวลาเรียน 4 ปีนี้คือ
- ปี 1 โดยเฉพาะเทอมแรก จัดให้เบาที่สุดเพื่อโฟกัสการปรับตัวกับการเรียนและชีวิตมหาลัย*
- ปี 2-3 เก็บวิชาเอกให้ครบ
- ปี 3 ลงวิชาไมเนอร์ เคลียร์หน่วยกิตให้มากที่สุด
- ปี 4 ต้องเขียน Mini Thesis ดังนั้นเลยเหลือแค่ Elective ไม่กี่ตัวเองค่ะ
อธิบายเพิ่มเติมคือเทอมแรกท็อปเน้นไปลงวิชา Electives นอกคณะและวิชาที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษ (มีไม่กี่วิชาที่เปิดสอนเป็น Eng) เทอมนั้นมีลงภาพยนตร์และสื่อ ดนตรี กีฬา ปรัชญา วัฒนธรรมเกาหลี ฯลฯ บางวิชามีลงมือปฏิบัติด้วย ฟังดูวิชาพวกนี้เหมือนจะชิลนะ เนื้อหาไม่เครียดเท่าวิชาคณะแต่หน่วยกิตเกือบจะเท่า ถ้าทำได้ไม่ดีก็ฉุดเกรดรวมได้เหมือนกัน
พอขึ้นปี 2-3 เริ่มลงวิชาคณะแบบจริงจัง ต้องอ่านหนังสือทั้งก่อนเรียนและหลังเลิกเรียน ความยากก็เพิ่มขึ้นไปอีก หนึ่งเทอมจะเรียนประมาณ 4-6 วิชา แล้วเราต้องจัดตารางเองทั้งหมดว่าเทอมไหนจะเรียนอะไร เรียนกี่ตัว วางแผนให้ดีว่าเรียนครบและจบทันตามเกณฑ์


Q: ตัวอย่างวิชาเรียน
เช่น วิชา Security & Conflict นี้จะทำความเข้าใจแนวคิดเรื่อง “ความมั่นคง” แบบดั้งเดิม เช่น ความมั่นคงทางทหาร การป้องกันประเทศ หรือการคุกคามจากภายนอก แล้วค่อยๆ ขยายมุมมองให้กว้างขึ้นไปยังประเด็นอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความอยู่รอดของมนุษย์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม หรือแม้แต่ภัยคุกคามในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ เป้าหมายคือทำให้เราเข้าใจว่า “ความมั่นคง” ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องอาวุธหรือสงคราม แต่ยังรวมถึงความเปราะบางในหลายมิติที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับโลกได้
ก่อนเริ่มเรียนทุกคาบ อาจารย์จะให้เราดิสคัสกันก่อนเลยว่า ตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างบนโลก เช่น ข่าวต่างประเทศ หรือความขัดแย้งในที่ต่างๆ แล้วให้ช่วยกันวิเคราะห์ว่า แรงจูงใจของแต่ละฝ่ายคืออะไร และ ในอนาคตจะมีทางออกเป็นไปได้แบบไหน (บางทีเราก็ไม่ได้รู้หรอกว่าตอนจบจะเป็นยังไง แต่ก็มานั่งวิเคราะห์ด้วยกัน)
ตอนเรียนเขามักจะยกตัวอย่างจากประเทศใหญ่ๆ อย่าง จีนกับอเมริกาเป็นหลัก หรือบางครั้งก็มองในระดับกลุ่ม เช่น EU, OECD หรืออาเซียน แล้วดูว่าการรวมตัวกันแบบนี้มีผลยังไงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก
และความสนุกคืออาจารย์จะโยงกลับไปยังเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เช่น สมัยจักรวรรดิโรมัน แล้วให้เทียบว่า ตอนจบของสถานการณ์คล้ายกันมั้ย เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นั้นได้บ้าง แล้วเอามาเชื่อมกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน แล้วอาจารย์ก็จะมีโจทย์ให้ลองคิดเชิงทฤษฎีด้วย เช่น ถ้าเราสวมรอยว่าเป็นนักคิด IR คนนี้ (เช่น Realist หรือ Constructivist) แล้วเราจะวิเคราะห์เหตุการณ์ยังไง มุมมองจะต่างจากนักคิดอีกฝั่งยังไงบ้าง

หรือถ้าเป็นเรื่องเศรษฐกิจระหว่างประเทศ จะมีเรียนวิชา Foreign Aid หรือความช่วยเหลือจากต่างชาติค่ะ เช่น เวลาเกิดภัยพิบัติ หรือประเทศไหนกำลังเผชิญปัญหา เราจะได้เห็นกรณีที่ประเทศมหาอำนาจส่งทรัพยากรไปช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเงิน น้ำ อาหาร หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ // ในวิชานี้ไม่ได้ดูแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่าง income หรือ GDP อย่างเดียว แต่จะพิจารณาผลกระทบทางการเมืองด้วย เช่น ประเทศผู้รับจะได้ประโยชน์หรือเสียเปรียบยังไง ผลต่ออำนาจการต่อรอง หรือการพึ่งพากันระหว่างประเทศเป็นยังไงบ้าง
โดยรวมก็คือวิชาเศรษฐศาสตร์ในมุมการเมืองมากกว่าตัวเลข คือจะดูว่าความช่วยเหลือที่ “ตั้งใจให้” ว่ามีเจตนาเบื้องหลังยังไง มี consequence หรือผลลัพธ์อะไรตามมา แล้วเชื่อมโยงกับแนวคิดพัฒนา เช่น International Cooperation หรือ Development model ต่างๆ ด้วย // วิชาสนุกๆ เยอะมากค่ะ

Q: เรียนเน้นดิสคัสในคลาส ต้องอ่านหนักขนาดไหน?
ที่เจอคืออ่านตาแตกทุกวิชาค่ะ 5555 มีทั้ง Text ภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษ รวมๆ แล้วถ้าเป็นหนังสือก็คืออ่านกันเป็นร้อยหน้า หรือถ้าเป็นงานวิจัยก็จะมาเป็นชุดๆ หลายฉบับ วิธีของท็อปคือพยายามเก็งไว้ก่อนว่าอาจารย์อาจจะโยนประเด็นไหน แล้วเราก็ต้องไปหาอ่านเพิ่มอีก
ปกติแล้วอาจารย์จะให้ Course Syllabus ล่วงหน้า เช่น วีคหน้าเรียนบทไหน ทำให้เรารู้ว่าควรเตรียมอ่านอะไรบ้าง แต่เขาจะให้แบบ free reading เลยค่ะ ไม่ได้บอกตายตัวว่าต้องอ่านเล่มไหนหรือฉบับไหน
ถ้าเป็นวิชาแนวดิสคัสจ๋าๆ อย่าง Political Ideas ก็จะเจอพวก Realism, Marxism, Capitalism หรือปรัชญาการเมืองของนักคิดอย่างอริสโตเติล เพลโต ฯลฯ บางทียังต้องจูนหูแปลด้วย เพราะอาจารย์อ่านชื่อแบบเกาหลี เราก็จะมีแวบนึงว่า “เอ๊ะ เค้าพูดถึงใครนะ?” ต้องนึกแปลกลับเป็นชื่อที่เราคุ้นอีกที !
Q: มีอะไรที่พอจะเตรียมล่วงหน้าได้มั้ย เวลาต้องพูดหรือดิสคัสในคลาส?
ส่วนที่เตรียมสคริปต์ล่วงหน้าได้คือความคิดเห็นของเราเองหลังอ่านเปเปอร์ แต่ที่คาดเดายากมากคือมุมมองของคนอื่น (บางทีเราอาจยกคำพูดคนก่อนหน้ามาอ้างอิง) ท็อปเลยพยายามหาเปเปอร์ที่พูดถึงแนวคิดนั้นหลายๆ มุมไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่ช็อกเวลาเพื่อนพูดสิ่งที่เราไม่ทันนึกถึง และอย่างน้อยจะได้รู้ว่า เออ มันไม่ได้มีแค่เลนส์เรานะ ยังมีคนที่มองเรื่องเดียวกันต่างกันออกไป
ยิ่งถ้าวิชาสูงๆ จะมีตัวที่ทั้งคลาสเรียนกัน 6 คนเองค่ะ ยิ่งน้อยยิ่งหนาวเพราะวนกันอยู่แค่นี้ ต้องพูดทุกคาบแน่นอน แถมคาบนึงยาว 3 ชั่วโมง แต่ละคนต้องไปอ่านหนังสือข้างนอกมาแล้วมาแลกกันคุย รู้สึกเข้าเรียนด้วยความกดดันทุกครั้ง 555
คำที่พูดกับตัวเองบ่อยมาก และอยากฝากถึงน้องๆ ที่กำลังสู้ก็คือ “อดทนหน่อยน้าาา~” มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้วินัยสูงจริงๆ แพลนดีๆ ว่าแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง ขยันอ่านขยันซ้อม เตรียมพูด ค่อยๆ สะสมแล้วถึงจะเริ่มเห็นผลค่ะ

Q: เห็นว่าไปลงวิชาไมเนอร์ด้วย เป็นยังไงบ้างคะ?
เราสามารถเลือกลงวิชาโท (Minor) คณะไหนก็ได้ในมหาลัย ข้อกำหนดแต่ละคณะก็อาจไม่ตรงกัน แต่ถ้าวิชา Major = 36 หน่วยกิต ส่วน Minor = 24 หน่วยกิต ในใบปริญญาก็จะมีระบุด้วย
ตอนนั้นท็อปก็ไปลงไมเนอร์ Family Study & Child Development ลงเพราะความสนใจล้วนๆ คลาสเรียนเล็ก มีชาวต่างชาติเรียนน้อยเพราะไม่ใช่สายอาชีพ คิดว่าน่าจะใกล้เคียงสังคมสงเคราะห์ ผสมจิตวิทยา และแนวคิดสวัสดิการ (Welfare) แต่เจาะละเอียดเลยค่ะ มีความเชื่อมโยงเหตุผล และครอบคลุมตั้งแต่พัฒนาการของเด็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงวัยเกษียณเลยค่ะ
รู้สึกว่าตัววิชาเรียนแล้วสนุกมาก อาจเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว และเนื้อหาก็ไม่ได้เครียดและอ่อนไหวเท่ากับการเมืองด้วย เลยเหมือนได้พักผ่อนจากวิชาคณะที่หนักๆ ค่ะ

Q: ว่าด้วยเรื่อง Mini Thesis (มินิจริงไหม?)
อีกหนึ่งวิชาบังคับคือ Seminar in International Politics ที่เน้นสอนเรื่องการทำธีสิสค่ะ ถึงจะชื่อว่า Mini Thesis ก็จริง แต่บอกเลยว่างานไม่ได้ “มินิ” สมชื่อเลย 555 เพราะต้องเริ่มจากการส่ง proposal ให้อาจารย์ตรวจ แล้วค่อยไปทำเล่มจริงตามมา
ท็อปเลือกหัวข้อเกี่ยวกับ FTA (Free Trade Agreement) ระหว่างไทยกับเวียดนาม ซึ่งค่อนไปทางสาย Political Economy หน่อยๆ เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นอาจารย์ต่างชาติ แล้วเขาเชี่ยวชาญด้านนี้ สรุปก็เขียนธีสิสประมาณ 30 หน้า ฟอนต์ 11 pt. รวม Reference ไปอีก 3 หน้า
หลักสูตรจะกำหนดว่าธีสิสของเรา ต้องมีทั้งการอ้างอิงและการใส่ table หรือ graph ที่เราสร้างเองด้วยค่ะ อย่างท็อปทำกราฟแสดงการเปลี่ยนแปลง การเติบโต และการเพิ่มขึ้น-ลดลงต่างๆ โดยใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้
ส่วนสไตล์อาจารย์ที่นี่ เวลาเขาตรวจงานหรือฟังเราพรีเซนต์ เขาจะให้คอมเมนต์แบบตรงไปตรงมาเลยค่ะ ซึ่งท็อปรู้สึกว่ามันดีมาก เพราะมันทำให้เรากลับไปปรับให้เนื้อหาดีขึ้น ชัดขึ้น ท็อปไม่ได้นอยด์หรือรู้สึกแย่อะไรเลยนะ รู้สึกว่ามันเป็นกระบวนการที่ทำให้เราเติบโตขึ้น แต่ก็เข้าใจค่ะว่าแต่ละคนมีจุดรับความรู้สึกไม่เท่ากัน บางคนอาจฟังคอมเมนต์เดียวกันแล้วรู้สึกจึ้กๆ ก็ได้

Q: ปรับตัวยังไงกับสังคมเรียนหัวกะทิ?
รู้สึกได้เลยว่าเพื่อนทุกคนคือยอดมนุษย์ ทั้งเก่งและขยันมากกก เพราะเกรดมีผลต่อการหางานหรือเรียนต่อ สภาพแวดล้อมเลยเต็มไปด้วยความแข่งขันแบบชัดเจน เพื่อนๆ ก็มีความ independent กันสุดๆ ต่างคนต่างจริงจังกับการเรียน แล้ววิชาคณะส่วนใหญ่ก็ยังเป็นงานเดี่ยวล้วนๆ ไม่ค่อยมีงานกลุ่มเลยค่ะ
ช่วงแรกๆ ก็แอบเครียดและท้อบ้าง เพราะเราเป็นต่างชาติคนเดียวในรุ่น ต้องสื่อสารเป็นภาษาเกาหลีล้วน บางทีก็รู้สึกว่า express ความคิดกับตัวตนออกมาไม่สุดเท่าที่อยากให้เป็น แต่ใช้เวลาสักพักก็เริ่มชิน ค่อยๆ ปรับตัวและยอมรับความจริงได้ทีละนิด
สำหรับระบบเกรดที่ใช้จะต่างกันแล้วแต่มหาลัยค่ะ บางที่เต็ม 4.3 บางที่เต็ม 4.5 แต่สุดท้ายมีเกณฑ์กลางสำหรับเทียบเกรดได้ ซึ่งถ้าเกิดใครได้ C ยังสามารถ retake วิชาเดิมได้อีก 1 ครั้ง แต่เกรดสูงกว่านั้นจะลงซ้ำไม่ได้นะ ดังนั้นคนเกาหลีหลายคนที่รู้ตัวว่าจะได้ B เขาก็จะไม่ทำคะแนนให้สูงกว่านั้น จะได้กลับมาลงเรียนใหม่เพื่อให้ได้เกรดที่ดีขึ้นในเทอมหลัง
Q: พัฒนาการภาษาจากตอนแรกถึงตอนนี้?
ก่อนมาเรียนเกาหลี ท็อปเคยเรียนศิลป์เกาหลีที่เตรียมฯ เคยเรียนวัฒนธรรมกับมาแลกเปลี่ยนช่วงสั้นๆ ด้วย ทำให้เข้าใจบริบทของประเทศเกาหลีมาประมาณนึง แต่ว่ายังไม่ค่อยมีโอกาสใช้สื่อสารจริงเท่าไหร่ค่ะ ดังนั้นพอมาถึงช่วงแรกๆ อาจเหนื่อยกับการปรับตัวบ้าง พออยู่มาเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้น เพราะเราได้ใช้ตลอด
ส่วนสกิลการเขียน เวลาเรียนต้องส่งการบ้านเป็นภาษาเกาหลี แล้วข้อสอบก็เป็นแนว Essay ที่ต้องเขียนวิเคราะห์ ก็เลยได้ฝึกจริงจังมากกก ยิ่งเรียนวิชาคณะตอนปีสูงขึ้น เจอศัพท์เฉพาะทางซ้ำๆ ก็เริ่มคุ้นชินและจำหน้าตาได้ 5555
Q: คิดว่าอะไรคือความปังที่สุดของการได้เรียนที่ SNU
จริงๆ ประทับใจเรื่องคอนเน็กชันของ SNU มากกก เขาจะเชิญ Guest Lecture มาบรรยายให้เราฟังทุกวิชาเลยค่ะ ถ้าวิชาฝั่ง IR ก็อาจจะเป็นท่านทูตที่ประจำอยู่สถานทูตไทยในเกาหลี นักวิจัย คนจากองค์กรต่างๆ อาจไม่ได้ตำแหน่งสูงแต่ก็มีประสบการณ์ทำงานฟิลด์นี้ หรืออย่างวิชาโท (Minor) ที่ท็อปลง ก็จะมีอาจารย์มหาลัยต่างประเทศมาพูด (เช่น จากอเมริกา) หรืออาจเป็นนักวิจัยเจ้าของเปเปอร์ที่เราเรียน ลูกศิษย์ของนักคิด นักจิตบำบัด ที่มีประสบการณ์ทำงานโรงพยาบาลในศูนย์ ก็มีมาพูดเหมือนกัน
SNU ยังมีจัดพวกโครงการอบรม แนะนำแนว หรือ Program Matching ที่มีบริษัทมาโปรโมตตัวเองว่าเปิดรับสมัครช่วงไหน ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ฯลฯ ช่วยนักศึกษาเรื่อง Career Path ได้ดีมากค่ะ

Q: ขอ 3 เรื่องที่ประทับใจในเกาหลี
- เจอคนน่ารักเยอะกว่าที่คิด ถ้าจากมุมท็อปที่มาเจอบรรยากาศมหาลัย ไม่เจอการเหยียดหรือคนที่มีทีท่าอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง
- ประทับใจระบบขนส่งมากกกก ไม่ว่าจะอยู่โซลหรือออกไปต่างจังหวัด การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าหรือรถบัสสะดวกมากๆ ใช้งานง่าย แพลนเส้นทางได้ล่วงหน้า เชื่อมถึงกันหมดเลย ไม่ต้องเปลี่ยนวิธีเดินทางให้ยุ่งยาก
- เป็นประเทศที่ take action ได้ฉับไวและชัดเจน อย่างตอนที่ประกาศกฎอัยการศึกษา เค้าจัดการทุกอย่างได้เร็วไม่มีขั้นตอนยืดเยื้อ ไม่มีต้องรอยื่นเรื่องแล้วรอกระบวนการหลายขั้นตอนหลายเดือนค่ะ


. . . . . . .
เปิดช่อง Korean on Top
แจกศัพท์ & อัปเดตข่าว & เล่าวัฒนธรรม
ส่งตรงจากเด็ก IR ม.แห่งชาติโซล!
จริงๆ ก่อนหน้านี้ท็อปเคยเปิดเพจ KoreanOnTop ไว้แล้ว เพราะมีรับสอนพิเศษด้วย แล้วก็เริ่มลงคอนเทนต์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เกร็ดความรู้ และอัปเดตสถานการณ์บ้านเมืองเกาหลี
จากนั้นก็เปิดตัว X: @KoreanOnTop ตอนที่มีประเด็นเรื่องกฎอัยการศึกของประธานาธิบดีเกาหลีคนก่อน ท็อปสังเกตว่าข่าวนี้ในโซเชียลยังค่อนข้างกระจาย เลยอยากสร้างสักช่องทางนึงที่อัปเดตข่าวสารแบบ real-time รวมไว้ให้ทุกคนติดตามด้วยกัน หรือล่าสุดก็มีทำ Thread ฤดูเลือกตั้งประธานาธิบดีของเกาหลีด้วย
ความตั้งใจของท็อปคืออยากใช้ความรู้ IR มาช่วยแปลข่าวให้ได้อรรถรสขึ้น พร้อมกับแทรกเกร็ดวัฒนธรรมที่น่าจะช่วยให้น้องๆ เก็บคำศัพท์หรือเนื้อหาที่อาจเจอในข้อสอบ A-Level ภาษาเกาหลีไปในตัวด้วยค่ะ ถ้าใครสนใจเรื่องเกาหลี ลองแวะมาติดตามกันได้นะคะ~

ติดตามคอนเทนต์ Korean on Top ที่นี่เลย~
∟ FB Fanpage: Korean on Top
∟ IG: koreanontop
∟ X: koreanontop
. . . . . . . .
[ You are all Invited. ]
โอกาสปรึกษาฟรีกับ 24 รุ่นพี่ทุนดีกรีสุดปัง
พบกัน 4-5 ต.ค. 68 ที่ไบเทคบางนา
เคลียร์คิวให้พร้อม เพราะ Dek-D's Study Abroad Fair จะคัมแบ็กแบบเล่นใหญ่! พาว่าที่เด็กนอกเริ่มก้าวแรกเตรียมพร้อมออกเดินทาง เพื่อพิชิตฝันเรียนต่อต่างประเทศให้เป็นจริง
- 40+ บูทสถาบัน/เอเจนซี/มหาวิทยาลัย จาก 20+ ประเทศฮิตทั่วโลก
- ปรึกษาฟรี 1:1 กับ 24 รุ่นพี่เด็กนอกตัวจริง
- แจกฟรี! Planner & Timeline วางแผนเรียนต่อนอก 2026
- IELTS Mock Test ฟรี (Reading & Writing) โดย British Council IELTS
- Alumni’s Talk #ทอล์กเด็กนอก แชร์ประสบการณ์เรียนต่อกว่า 20 หัวข้อ
- โปรแกรมทดสอบความรู้ 10 ภาษา
- จัดพร้อม Dek-D’s TCAS Fair งาน Open House เรียนต่อมหาวิทยาลัยในไทยที่ใหญ่ที่สุด มางานเดียวคุ้ม ได้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ
0 ความคิดเห็น