ไปเรียนถึงต้นตำรับ! ‘พี่แองจี้’ รีวิวชีวิต นศพ.แผนจีน 5 ปี (ฝังเข็ม-ทุยหนา) ที่ Shanghai University of TCM เข้มข้นเจาะลึก ฝึกงานฉ่ำๆ

หนีห่าว!สวัสดีค่ะชาว Dek-D มีใครที่กำลังเล็งเรียนต่อ ป.ตรี แพทย์แผนจีนไหมคะ? ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับศาสตร์นี้มากขึ้น ทั้ง ฝังเข็มบำบัด, ทุยหนาจัดสมดุล, ไปจนถึง ศาสตร์ความงาม ที่ใช้เข็มจิ๋วและยาจีนปลุกพลังผิวจากภายในสู่ภายนอก แถมยังมีอีกหลายอาการเลยค่ะที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่าหมอจีนก็ช่วยดูแลได้ด้วยนะ

วันนี้เราเลยจะขอพาไปรู้จักศาสตร์นี้ให้ลึกขึ้น ผ่านเรื่องราวของ พี่แองจี้ – ธนธร ศิระพัฒน์” เด็กทุนรัฐบาลจีน (CSC) ที่บินตรงไปเรียนหลักสูตรป.ตรี คณะแพทย์แผนจีน สาขาฝังเข็มและทุยหนาของ Shanghai University of Traditional Chinese Medicine (SHUTCM) ที่เป็นระดับแนวหน้าของประเทศ บอกเลยว่าหลักสูตรนี้ไม่มีช่วงไหนที่ธรรมดา ทั้งเข้มข้นทั้งอัดแน่นแบบต้นตำรับ ศัพท์จีนจัดเต็มและลงมือจริงตั้งแต่ปีแรก

จะน่าสนใจขนาดไหน ตามไปเก็บข้อมูลและรับพลังบวกจากพี่หมอแองจี้กันเลยค่ะ~

. . . . . . . .

1
รักแรกพบ
ศาสตร์แพทย์แผนจีน

สวัสดีค่า ชื่อ “แองจี้ – ธนธร ศิระพัฒน์”  ได้ทุนรัฐบาลจีน​ CSC ไปเรียน ป.ตรี หลักสูตรแพทย์แผนจีน สาขาฝังเข็มและทุยหนา ของ Shanghai University of Traditional Chinese Medicine (SHUTCM) ก่อนจะกลับมาทำงานเป็นแพทย์แผนจีนประจำคลินิก Xingfu Clinic ค่ะ

นอกจากงานประจำ ตอนนี้ก็กำลังเรียนต่อป.โท สาขาเวชศาสตร์ชะลอวัยที่ ม.แม่ฟ้าหลวง พร้อมทำธุรกิจส่วนตัวและเป็นที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ (Image Consultant) ไปด้วยค่ะ

จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้เริ่มจากเรื่องในครอบครัว

ตอนนั้นที่บ้านอยากมีน้องเพิ่มอีกคน คุณแม่ลองมาหลายวิธีมากจนต้องพักเพราะร่างกายไม่ไหว จนวันหนึ่งอาม่าอากงแนะนำให้ลองไปหาหมอจีนดู เผื่อช่วยได้ ผลคือสำเร็จจริง มีน้องชายเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำใเราเริ่มสนใจศาสตร์แพทย์แผนจีนตั้งแต่นั้นมา

แองจี้มองว่าการแพทย์ทุกแขนงมีข้อดีของตัวเอง ขึ้นอยู่กับการนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับโรคและร่างกายของแต่ละคน ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย แองจี้ติดทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนจีน แต่พอเข้าไปลองเรียนที่หัวเฉียวแล้วรู้สึกชอบเป็นพิเศษ เพราะรู้สึกได้ใช้มือตัวเองรักษาคนไข้จริงๆ มีครั้งหนึ่งที่อาจารย์ฝังเข็มให้คนไข้ไมเกรนที่รักษามาหลายทางแล้วยังไม่ดีขึ้น แต่กลับหายได้จากการฝังเข็มครั้งนั้น แองจี้รู้สึกทึ่งมากและอยากทำให้ได้แบบอาจารย์เลยค่ะ

ช่วงที่เรียนที่หัวเฉียว แองจี้ได้พื้นฐานภาษาจีนติดตัวมาด้วย พอขึ้นปี 3 ก็เริ่มคิดจริงจังว่าอยากไปเรียนต่อสายนี้ถึงประเทศจีน เพราะรู้สึกว่าถ้าได้เรียนที่ต้นตำรับเลยน่าจะได้ทั้งความลึกและความเข้มข้นขึ้นอีก เลยเริ่มศึกษาข้อมูล “ทุนรัฐบาลจีน (CSC Scholarship)” แล้วสมัครผ่านเว็บไซต์ทุนโดยตรง

ทุน CSC จะมี 2 ประเภทคือ

  1. Type A ทุนเต็มจำนวน ครอบคลุมค่าเรียน ค่ากินอยู่ ค่าหอพัก สมัครผ่านสถานทูตจีน
  2. Type B สมัครตรงกับมหาวิทยาลัย เปิดรับราวๆ เดือนธันวาคม - เมษายน ทุนนี้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด อย่างของแองจี้ได้เฉพาะค่าเรียน 100% แต่ก็มี "ทุนบางส่วน" ที่ได้เป็นค่าเรียน 20% เหมือนกัน

ถ้าเป็นทุน Type B จะได้เริ่มป.ตรี เลยโดยที่ไม่มีเรียนปรับภาษาก่อนปีแรกค่ะ ส่วนคนที่สมัครสายแพทย์แผนจีน ตอนนั้นต้องใช้คะแนน HSK ระดับ 5 (แองจี้แนะนำว่าน้องคนไหนมี HSK 4 แล้วมหาวิทยาลัยที่สมัครไม่ได้ตั้งเกณฑ์ไว้สูงมากอาจลองยื่นไว้ก่อน เพราะคณะกรรมการอาจจะดูแพสชันและศักยภาพโดยรวมด้วย)

เอกสารสำคัญที่ต้องยื่นมีทั้งเกรด ม.ปลาย จดหมายรับรองจากอาจารย์ 2 ท่าน และ Study Plan ประมาณ 800–1,000 คำ (ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไปนักศึกษาต่างชาติจะต้องใช้ผลสอบ CSCA ด้วย) โดยใน Study Plan ต้องเขียนแนะนำตัว สาขาและมหาวิทยาลัยที่เลือก เหตุผลที่สนใจ ประวัติการศึกษาและประสบการณ์ที่ผ่านมา และเป้าหมายการนำความรู้ไปใช้หลังจบ

นอกจากนี้ยังมีทุนรัฐบาลท้องถิ่น เช่น ทุนรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ หรือ ทุนของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง ที่ให้เป็นรายเดือนเสริม และบางแห่งมีทุนอัดฉีดให้เด็กต่างชาติเรียนดีด้วย เช่น ที่ 1 ของรุ่นจะได้ราว 200 หยวนต่อเทอม ทั้งนี้ ต้องระวังเรื่องการตัดเกรดค่ะ สมมติที่ไทย 80% คะแนนอาจได้ A แต่ที่จีนอาจเป็น B หรือ B+ เท่านั้น

. . . . . . . .

2
เจาะลึกนักศึกษาแพทย์แผนจีน
เรียนอะไรบ้าง? ยากตรงไหน?

เปิดโลกแพทย์แผนจีน ศาสตร์แห่งสมดุลร่างกาย

ก่อนจะเข้าเรื่องเรียน ขอปูแนวคิดของแพทย์แผนจีนก่อนเล็กน้อยค่ะ หลายคนอาจนึกถึงแค่การฝังเข็มหรือกินยาจีน แต่จริงๆ แล้วศาสตร์นี้ลึกกว่านั้นมาก แพทย์แผนจีนจะเน้น “การป้องกันและฟื้นฟู” มากกว่าการรักษาตามอาการ เพราะแนวทางของแพทย์แผนจีนจะมองว่าร่างกายทุกส่วนเชื่อมโยงกันหมด ในการรักษาแต่ละครั้งแพทย์จะวินิจฉัยละเอียดมาก ทั้งด้วยวิธีการมอง ดม ฟัง ถาม และจับชีพจร เพื่อหาต้นเหตุว่าระบบไหนเสียสมดุล แล้วค่อยเลือกแนวทางรักษาที่เหมาะสม บางคนอาจเหมาะกับการฝังเข็ม บางคนใช้ครอบแก้ว หรือบางเคสอาจต้องทำหลายวิธีร่วมกันก็ได้

และเอกลักษณ์อีกอย่างนึงคือหมอจีนจะ “จ่ายเป็นตำรับ (处方 Chǔfāng)” ซึ่งในหนึ่งตำรับอาจมียาถึง 20 ตัว ต้องนำไปต้มรวมกันเป็นยาน้ำเฉพาะของแต่ละคน เพื่อปรับสมดุลภายในตามภาวะของร่างกายค่ะ

หลังจากเข้าใจแนวคิดของศาสตร์แพทย์แผนจีนแล้ว  มาดูกันค่ะว่าชีวิตในรั้วมหา’ลัยของหมอจีนเป็นยังไงบ้าง~

ภาพรวมหลักสูตร

ถ้าเป็นที่ไทยจะเป็นหลักสูตร 6 ปี แต่ที่นี่เรียน 5 ปี (ถ้าไม่มีพื้นฐานภาษาจีนต้องเรียนปรับภาษาเพิ่มก่อน) ซึ่งที่ Shanghai University of TCM แบ่งเป็น 2 ภาคหลักๆ คือ

  1. Chinese Medicine (中医 Zhōngyī) หรือ “จงอี”
  2. Acupuncture & Tuina (针灸推拿 Zhēnjiǔ Tuīná) หรือ “ฝังเข็มและทุยหนา” นวดจัดกระดูกแบบแพทย์จีน แองจี้เรียนสายนี้เป็นภาคภาษาจีนล้วนค่ะ

ทั้งสองสายเรียนพื้นฐานเหมือนกันหมด ทั้งเภสัชยาจีน กายวิภาค ตำราแพทย์โบราณ และฝังเข็ม โดยหลักสูตรจะแบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่  วิชาบังคับของแต่ละปี, วิชาเลือก (เริ่มเลือกได้ราวๆ ปี 3) และวิชาเสริมที่กำหนดหน่วยกิตต่อเทอมไว้ชัดเจน ซึ่งเนื้อหาจะค่อยๆ ไต่ระดับความยากและเจาะลึกขึ้นทุกปี

สิ่งที่ต่างกันคือสายที่แองจี้เรียนจะฝึกงานเยอะมากกก เริ่มตั้งแต่ปี 1-5 เริ่มจากฝึกสั้นไม่กี่เดือน ค่อยๆ ขยับจนฝึกเต็มเทอมในปีท้ายๆ ได้เวียนครบทุกแผนก ทั้งฝังเข็ม ทุยหนา และเภสัชยาจีน ข้อดีคือที่ SHUTCM มีโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ได้ฝึกกับคนไข้หลากหลายเคส ตั้งแต่พนักงานออฟฟิศซินโดรมไปจนถึงผู้สูงอายุที่มาฟื้นฟูสุขภาพเลยค่ะ

เริ่มต้นด้วยปูพื้นฐาน วิธีวินิจฉัย
เข้าใจร่างกายแบบองค์รวม

ปีแรกๆ จะเริ่มจากการปูพื้นฐานแนวคิดหลักของศาสตร์แพทย์จีน เช่น “หยิน–หยาง (阴阳)” และ “ธาตุทั้งห้า (五行 Wǔxíng)” ที่ใช้มองร่างกายแบบองค์รวม ทุกอวัยวะสัมพันธ์กันหมด หากเข้าใจหลักนี้ เวลารักษาคนไข้จะเห็นภาพรวมของร่างกายได้ชัดเจนขึ้น

ต่อมาจะได้เรียน “วิชาวินิจฉัย (Diagnosis)” ซึ่งถือเป็นหัวใจของแพทย์จีนเลยค่ะ เพราะหมอต้องมองให้ออกว่าร่างกายเสียสมดุลตรงไหนก่อนเลือกแนวทางรักษา เช่น โรคหวัด แพทย์จีนจะไม่จ่ายยาชุดเดียวกันทุกคน แต่จะแยกเป็น “หวัดจากความเย็น (风寒感冒)” “หวัดจากความร้อน (风热感冒)” หรือ “ภาวะพลังพร่อง (气虚感冒)” เพราะสาเหตุและวิธีรักษาไม่เหมือนกัน

ระหว่างเรียนจะเริ่มเห็นความเชื่อมโยงที่คาดไม่ถึง เช่น อาการตาแห้งในมุมแพทย์จีนอาจเกี่ยวกับ “ตับ” เพราะตับกับตาอยู่ในระบบเดียวกันตามหลักธาตุไม้ (木) หรือหาก “ม้าม–กระเพาะ” ทำงานไม่ดี ก็อาจส่งผลต่อระบบย่อยอาหารทั้งหมดได้เลย หมอจีนจึงต้องเข้าใจร่างกายอย่างครอบคลุมและละเอียดมากๆ 

พอขึ้นปี 2 การเรียนจะเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะภาคปฏิบัติที่ต้องฝึก “ดู ดม ฟัง ถาม จับชีพจร” เพื่ออ่านพลังชี่ (气) ของอวัยวะแต่ละส่วนและหาสมดุลของร่างกายให้เจอ แล้วจึงเลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับแต่ละคน ไม่ว่าจะฝังเข็ม ทุยหนา หรือใช้ยาจีน ทั้งหมดล้วนยึดหลัก “การปรับสมดุลของร่างกาย” เหมือนกัน

ในช่วงนี้ยังได้เรียน “ยาแผนปัจจุบัน” ควบคู่กับ “ยาจีน” เพราะบางเคสอาจมีคนไข้ที่ใช้ยาแผนปัจจุบันร่วมอยู่ หมอจีนจึงต้องเข้าใจทั้งสองระบบ เพื่อให้รู้กลไกของยาและป้องกันการจ่ายยาซ้ำซ้อนค่ะ

Photo by Leon Gao on Unsplash
Photo by Leon Gao on Unsplash
Photo by Tang Don on Unsplash
Photo by Tang Don on Unsplash

รู้จักวิธีรักษาแบบหมอจีน
(ไม่ได้มีแค่ฝังเข็มจึ้กๆ)

“ฝังเข็ม” (针灸 Zhēnjiǔ)

เราจะได้เรียน “ฝังเข็ม” แยกหมวดออกมาเลย เพราะถือเป็นศาสตร์หลักของแพทย์แผนจีน เริ่มจากการทำความรู้จัก “เส้นลมปราณ (经络)” ทั้ง 12 เส้น ที่เชื่อมโยงกับอวัยวะภายใน เช่น ตับ ม้าม ไต หัวใจ และยังสัมพันธ์กับสภาพอารมณ์ของคนเรา

หลักการของการฝังเข็มคือ “กระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง” ด้วยเข็มเล็กๆ ที่จิ้มลงในจุดเฉพาะ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงานและเลือดในร่างกาย ถ้าพลังชี่ (气) ไหลเวียนดี สุขภาพก็จะดีตาม แต่ถ้ามีจุดไหนอุดตัน ก็จะเริ่มส่งสัญญาณออกมา เช่น ปวด ตึง หรืออ่อนเพลียได้ และสิ่งสำคัญคือเข็มที่ฝังไม่มีตัวยาเลยค่ะ เป็นการใช้กลไกของร่างกายล้วนๆ หมอจีนจึงมักแนะนำให้ปรับพฤติกรรมควบคู่กันไป เช่น ยืดเหยียด หรือนั่งให้ถูกท่า เพื่อให้สมดุลที่ฟื้นแล้วอยู่ได้นาน

ในมุมวิทยาศาสตร์ก็สามารถอธิบายได้นะ เพราะเมื่อฝังเข็ม ร่างกายจะเกิด reflex ส่งสัญญาณไปยังสมองให้หลั่งสารลดปวด (Endorphin) และสารคลายกล้ามเนื้อออกมา ทำให้รู้สึกเบาขึ้นจริงๆ เรียกว่าเป็นศาสตร์ที่ผสมระหว่าง “กายวิภาคแบบตะวันตก” กับ “เส้นลมปราณแบบตะวันออก” ได้อย่างลงตัว

ช่วงปีท้ายๆ แองจี้ได้ฝึกฝังเข็มกับคนไข้จริงในโรงพยาบาล อาจารย์แต่ละท่านก็มีเทคนิคไม่เหมือนกัน บางคนฝังใกล้จุดเจ็บ แต่บางคนเลือกฝังจุดไกล เช่น คนไข้ปวดหลัง แต่อาจารย์เลือกฝังที่มือหรือเท้า เพราะในมุมแพทย์จีน ปัญหาอาจมาจาก “พลังไตพร่อง” (ไตควบคุมหลังและกระดูก) ถ้าไตอ่อนแรง ร่างกายโดยรวมก็จะอ่อนแรงตาม

(ส่วนคนไข้ฝังเข็มคนแรกในชีวิตของแองจี้คือเด็ก ตอนนั้นฝึกงานปี 2 เด็กเห็นเข็มแล้วกลัวอยู่ครึ่งชั่วโมง สุดท้ายยอมฝังแต่มีเงื่อนไขว่า “ไม่ให้อาจารย์ฝัง จะให้พี่แองจี้ฝังแทน” ตอนนั้นคือตัวสั่นทั้งคู่เลยค่ะ 555 แต่พอฝังเสร็จน้องหันมายิ้มแล้วบอกว่า “ไม่เจ็บเลย” โล่งใจสุดด!)

“ทุยหนา” (推拿 Tuīná)

ต่อกันด้วยทุยหนา หรือ “นวดจัดกระดูกแบบแพทย์จีน” ที่พยายามปรับโครงสร้างร่างกายให้สมดุล โดยดูทั้งกล้ามเนื้อและเส้นลมปราณไปพร้อมกัน จุดที่นวดจะสัมพันธ์กับระบบภายใน เช่น คนที่ปวดเมื่อย นอนไม่หลับ หรืออ่อนแรง ก็จะมีจุดที่ต้องนวดต่างกันค่ะ ทั้งนี้ ทุยหนาไม่ใช่การนวดคลายเครียดทั่วไป แต่เป็นการ “ปรับสมดุล” ของระบบไหลเวียนและโครงสร้างร่างกาย เหมาะกับทั้งเด็กที่ติดหวัดง่าย คนวัยทำงานที่ปวดเมื่อยจากท่าทางเดิมๆ หรือผู้สูงอายุที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง

จำได้ว่ามีตอนที่ได้ฝึกทุยหนากับคนไข้จีนจริงๆ แล้วเค้าบอกว่า “ไม่เจ็บนะ” ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่า เอ๊ะ ดีหรือไม่ดีนะ? (เหมือนกับว่าไม่เจ็บ = เราทำไม่ถึงหรือเปล่า) สุดท้ายอาจารย์เฉลยว่าคนไข้บางคนชอบแรงชอบเบาไม่เหมือนกัน ต้องปรับน้ำหนักมือให้เหมาะกับแต่ละคน

“ครอบแก้ว” (拔罐 Báguàn)

เป็นวิธีที่ใช้ไฟอังในแก้วเพื่อสร้างความร้อน แล้วนำไปวางบนผิวหนังจนเกิดสุญญากาศ ดึงผิวและกล้ามเนื้อขึ้นมา จุดประสงค์คือดึงเอาความเย็น ความร้อน หรือความชื้นส่วนเกินออกจากร่างกายค่ะ และหลังครอบจะเห็นเป็นรอยวงกลมบนหลัง สีเข้มหรืออ่อนขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ยิ่งปวดเรื้อรัง สีรอยก็จะเข้มมาก ซึ่งแปลว่าบริเวณนั้นมีการไหลเวียนไม่ดี (แต่ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะรอยจะจางภายใน 3–5 วัน)

“กัวซา” (刮痧 Guāshā)

หรือที่คนไทยเรียกว่า “ขูดเลือดลม” ใช้แผ่นหินหรือแผ่นหยกขูดเบาๆ ไปตามแนวเส้นลมปราณ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและพลังชี่ เหมาะกับคนที่เมื่อยล้า เครียด หรือระบบไหลเวียนไม่ดี

เพิ่มความเข้มข้นและเจาะลึกวิชาเฉพาะทาง

ช่วงปี 3 จะได้ฝึกปฏิบัติจริงแบบเต็มขั้น และเริ่มเลือกสายที่สนใจ บางคนไปทางทุยหนา บางคนเลือกอายุรกรรมผู้สูงอายุ ส่วนแองจี้เลือก “แพทย์แผนจีนด้านความงาม (TCM Aesthetics)”  เพราะตอนฝึกงานในโรงพยาบาลประจำเมืองเซี่ยงไฮ้ แองจี้ได้อยู่กับอาจารย์สายความงามโดยตรง อาจารย์เก่งมากกก แต่ก็ขึ้นชื่อว่าดุมากด้วย 555 สอนละเอียดทุกขั้น ทั้งฝังเข็ม ปรับรูปหน้า ลดบวม บำรุงผิวด้วยยาจีนและทุยหนา ได้ฝึกกับคนไข้จริงตั้งแต่วันแรกเลย แล้วยิ่งเราเข้าไปขอคำแนะนำบ่อย อาจารย์ก็ยิ่งสอนเพิ่ม

แล้วก่อนหน้านั้นแองจี้เคยเรียนวิชา “ฝังเข็มเพื่อความงาม" (Beauty Acupuncture) เช่น ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า บำรุงผิว ฯลฯ แพทย์แผนจีนสายนี้เน้นความเข้าใจทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เช่น คนที่ผิวหมองหรือเป็นสิวจากฮอร์โมน อาจเกิดจากพลังของตับหรือม้ามที่เสียสมดุล การรักษาจึงต้อง “ปรับภายใน” ด้วยฝังเข็มและยาจีนควบคู่กัน เพื่อให้สุขภาพฟื้นจากข้างในก่อน สิ่งที่แองจี้ชอบที่สุดคือเวลาเห็นคนไข้กลับมาหน้าตาสดใสขึ้น~

ความพีคคือปีสุดท้ายเจอโควิดพอดี!

ช่วงปี 5 ต้องกลับมาเรียนออนไลน์จากไทย วิชาปฏิบัติอย่างฝังเข็มหรือทุยหนาเลยต้องให้คนที่บ้านเป็นหนูทดลองของแองจี้ แล้วตั้งกล้องถ่ายคลิปส่งให้อาจารย์ค่ะ 5555

. . . . . . .

3
บทเรียนสุดหรรษา
เรื่องภาษาแสนสาหัส

เนื้อหาและชื่อเฉพาะภาษาจีน

ถึงจะมีพื้นฐานวิทย์ก็ยังตุยได้อยู่ดี ช่วงแรกๆ แองจี้เจอศัพท์จีนเยอะมากและคล้ายกัน ทุกกล้ามเนื้อและเส้นลมปราณล้วนแต่มีชื่อภาษาจีนเฉพาะ บางคำต่างกันแค่เสียงวรรณยุกต์เดียว สุดท้ายเลยหาวิธีจำแบบสนุกๆ ด้วยการนั่งคุยกับเพื่อนๆ ทายศัพท์กันไปมาหรือเล่น flashcard ให้ค่อยๆ ซึมซับจนจำได้เอง

แล้วจะมีบางวิชาที่เป็นหนังชีวิต อย่างเช่น “วิชายาจีน (中药学 Zhōngyào xué)” ต้องจำสมุนไพรกว่าพันตัว ทั้งชื่อจีน ชื่อวิทยาศาสตร์ รสยา ฤทธิ์ยา และผลต่ออวัยวะ เช่น บางตัวขมแต่เย็นใช้ดับร้อน บางตัวเผ็ดแต่ร้อนใช้ขับความเย็น แล้วมีวิชาที่ยากขึ้นมาอีกขั้นคือ “วิชาตำรับยาจีน (方剂学 Fāngjì xué)” เราต้องรู้ว่ายาไหนห้ามใช้ร่วมกัน ยาไหนต้องต้มก่อน-หลังเพื่อไม่ให้ฤทธิ์ตีกัน และต้องดัดสูตรให้เข้ากับร่างกายของแต่ละคนอีกด้วย เพราะสมุนไพรแต่ละตัวมีฤทธิ์ร้อน–เย็นต่างกัน ถ้าคนไข้ร้อนมากก็ต้องลดตัวยาร้อน เพิ่มตัวยาเย็นแทน เพื่อให้ร่างกายกลับมาสมดุลค่ะ

สำเนียงก็เป็นอีกหนึ่งบททดสอบใหญ่!

สำเนียงภาษาจีนของคนละเมืองแต่ละภาคไม่เหมือนกัน ตอนฝึกงานช่วงปลายปีแรกแองจี้ได้ไปโรงพยาบาลประจำเมือง แล้วเราไม่คุ้นเคยกับสำเนียงเซี่ยงไฮ้มาก่อน ก็ช็อกไปเลยค่าา แต่โชคดีอาจารย์ช่วยกระกบ บางครั้งคนไข้ก็ใจดีช่วยพูดภาษาจีนกลางให้เราฟังออก

พอขึ้นปี 2 มหาวิทยาลัยจะมี “วิชาภาษาเซี่ยงไฮ้” บังคับหนึ่งตัว แล้วก็ลงเรียนเพิ่มเองอีกหนึ่งตัวเพราะอยากสื่อสารให้เข้าใจมากขึ้น // สิ่งที่ช่วยได้เยอะคือการเปิดใจ เพราะจริงๆ แล้วสำเนียงคนเซี่ยงไฮ้ฟังเพราะมาก เสียงนุ่ม ขึ้นจมูกหน่อยๆ ไม่พูดเร็วและไม่ค่อยม้วนลิ้นด้วย ให้ฟีล cozy เหมือนเมืองเค้าเลย

มีอยู่วันหนึ่งขึ้นลิฟต์กับเด็กคนหนึ่ง ได้ยินพูดว่า “เย้ะโหล?” = 一楼 (yī lóu) ตอนแรกงงมาก ?__? จนอีกวันถึงเข้าใจว่า “เย้ะ” แปลว่าชั้น 1 หลังจากนั้นก็เริ่มสนุกกับการฟังภาษาท้องถิ่น เด็กๆ ในตึกพอรู้ว่าเราเป็นคนไทยก็มาทักทุกวัน “พี่สาวคนไทย~” แล้วชวนเม้าท์ตลอด น่ารักมากๆ ค่ะ

. . . . . . . .
4
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
เพื่อน อาจารย์ และบรรยากาศที่อบอุ่น

อาจารย์ & เพื่อนร่วมคลาส

อาจารย์ที่นี่เก่งสุดๆ จำได้ว่าตอนเปิดชื่ออาจารย์ที่สอนแล้วรู้สึกคุ้นมาก เพราะมีท่านที่เป็นผู้เขียนตำราที่ใช้เรียนทั้งที่ไทยและจีน! เวลาถามเค้าจะตอบได้หมด อธิบายละเอียดและเข้าใจนักเรียนต่างชาติจริงๆ

หนึ่งในเรื่องที่โชคดีสุดๆ ก็คือเพื่อนค่ะ ตอนแรกคิดว่าการเรียนต่างประเทศต้องเหงาแน่ๆ แต่พอไปจริงกลับอบอุ่นและอยู่กันเหมือนครอบครัว ทั้งปีมีเพื่อนทุนรัฐบาลจีนด้วยกันแค่ 7 คนเอง ช่วยกันอ่านหนังสือ แชร์โน้ต แปลตำรา บางคนอยู่สาย Chinese Medicine บางคนอยู่สายทุยหนา (นวดจัดกระดูก) ปีแรกเรียนรวมกันเกือบทุกคลาส  

เรียนที่นี่เพื่อนๆ ช่วยกันมากกว่าแข่งกันค่ะ  ส่วนหนึ่งเพราะที่จีนไม่ได้ตัดเกรดแบบอิงกลุ่ม แต่ใช้ “เกณฑ์เดียวกันหมด” ใครจะได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจจริงๆ + เรารู้ด้วยว่าถ้าไม่ช่วยกันจะไม่รอดแน่ๆ ก็เลยมีแบบ "ใครได้ A ลากเพื่อนไปด้วย" "ขอล้อง เอาชั้นไปด้วยยย~” ตลอดค่าา 5555

ในห้องเรียนแองจี้เรียนกับเพื่อนต่างชาติหมดเลย โดยเฉพาะเพื่อนจากมาเลเซียที่ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่ ช่วยเยอะมากๆ ตอนแรกคือฟังแทบไม่ออก แต่เพื่อนก็คอยอธิบายทบทวนให้ค่ะ ถ้าเราเปิดใจเข้าไปเล่นไปคุยกับเพื่อนๆ ชีวิตจะสนุกขึ้นเยอะ เป็นเพื่อนที่พากันลุยมาตลอดห้าปีเต็ม

แคมปัสสวย & พิพิธภัณฑ์ยาจีนสุดว้าว!

มหาวิทยาลัยสวยมากและมีครบทุกอย่าง โดยเฉพา “พิพิธภัณฑ์ยาจีน” (Shanghai TCM Museum)  ที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดระดับ 1-2 ของประเทศจีน จัดแสดงได้อลังการและละเอียดสุดๆ มีตั้งแต่ตัวอย่างสมุนไพรกว่าพันชนิด (ที่บางอย่างไม่คิดว่าจะได้เห็นของจริง) ไปจนถึงห้อง Anatomy จำลองร่างกายให้เห็นว่าจุดฝังเข็มแต่ละจุดอยู่ตรงไหน

ที่พีคคือเขาไม่ได้แค่โชว์ภาพหรือของจริง แต่ให้ดมกลิ่นสมุนไพรสัมผัสของจริงได้ด้วย! เหมือนได้เรียนผ่านประสาทสัมผัสครบเลยค่ะ เปิดโลกมากโดยเฉพาะตอนเห็นสมุนไพรดิบก่อนจะนำไปต้มเป็นยา  แล้วจริงๆ คนทั่วไปก็สามารถเข้าชมได้นะคะ แค่ซื้อตั๋วเข้า บรรยากาศข้างในคือสะอาด เรียบหรู และให้ความรู้แน่นมาก เหมือนแหล่งเรียนรู้ที่รวมทั้งศาสตร์และศิลป์ของแพทย์จีนไว้ในที่เดียว

ก้าวสู่ตำแหน่งท่านประธาน
(สมาคมนักเรียนไทยในเซี่ยงไฮ้)

ตอนแรกได้ยินว่าที่จีนเรียนโหดมากๆ ปีแรกเลยแทบไม่เข้าร่วมกิจรรมอะไรของมหา’ลัยเลยเพราะกลัวเรียนไม่รอด แต่พอมาคิดทีหลังรู้สึกว่าถ้าแข็งใจลองออกไปเปิดโลกตั้งแต่ตอนนั้น คงได้คอนเน็กชันและใช้ชีวิตมหา’ลัยได้เต็มที่กว่านี้อีกเยอะ

แต่พอขึ้นปี 2 ชีวิตเริ่มต่างจากปีแรกมากเลยค่ะ ตอนนั้นเพื่อนในคณะส่วนใหญ่ก็รู้จักกันหมดแล้ว ถ้าเกิดไม่ขวนขวายเองคงไม่มีโอกาสเจอคนใหม่ๆ อีกแน่นอน ก็เลยตัดสินใจสมัครเข้าร่วมสมาคมนักเรียนไทยในเซี่ยงไฮ้ ตอนแรกเข้าไปแบบทีมงานกลางๆ ช่วยจัดงานนู่นนี่ไปเรื่อยๆ

โดยปกติแล้วสมาคมจะมีงานใหญ่ร่วมกับ สถานกงสุลไทยประจำเซี่ยงไฮ้ เป็นประจำ เช่น งานลอยกระทง สงกรานต์ หรืองานเทศกาลไทยต่างๆ ทำให้เราได้เจอพี่ๆ เด็กไทยในเซี่ยงไฮ้เยอะมาก จนรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเลย แล้วพอหมดวาระก็มีการคัดเลือกคณะกรรมการรุ่นใหม่ สุดท้ายแองจี้ก็ได้เป็น “ประธานฝ่ายกิจกรรมของสมาคมฯ” ตอนนั้นมีโอกาสทำงานร่วมกับ หอการค้าไทยในเซี่ยงไฮ้ จัดกิจกรรมต้อนรับเด็กไทยรุ่นใหม่ พาเด็กๆ ไปเรียนรู้วัฒนธรรมจีน และดีลงานกับผู้ใหญ่จริงจังเป็นครั้งแรก ได้ฝึกพูด ฝึกแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และใช้ภาษาจีนในสถานการณ์จริงหลายรูปแบบค่ะ

. . . . . . . .

5
เส้นทางหลังเรียนจบ
และโอกาสทำงานต่อที่จีน

ต่างชาติที่เรียนจบแพทย์แผนจีน
มีโอกาสทำงานต่อที่จีนมั้ย?

คำตอบคือได้ แต่ต้องสู้กับข้อจำกัดเยอะ เพราะกฎหมายที่จีนอนุญาตให้ชาวต่างชาติทำงานได้เฉพาะในบางเขตเท่านั้น อย่างเขตที่แองจี้อยู่ถือว่าเปิดกว้างหน่อย มีชาวต่างชาติมาทำงานในโรงพยาบาลหรือคลินิกได้ แล้วก็มีรุ่นพี่ที่ได้ทำงานในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนที่ประเทศจีนจริงๆ

หลักๆ กำแพงใหญ่คือเรื่อง “ภาษา” เพราะแพทย์จีนต้องสื่อสารกับคนไข้ให้ได้ชัดจริงๆ ระดับที่เข้าใจสำเนียงท้องถิ่น 100% ซึ่งไม่ใช่แค่ฟังออก แต่ต้องพูดให้ได้แบบที่คนไข้รู้สึกเชื่อมั่นด้วย ดังนั้นถ้าจะทำงานต่อที่จีนแนะนำให้วางแผนแน่นหนาตั้งแต่ตอนเรียนเลยค่ะ เช่น เลือกฝึกงานในเมืองที่เปิดรับชาวต่างชาติไว้ก่อน หรือหาคอนเน็กชันกับอาจารย์และโรงพยาบาลที่มีสาขานานาชาติ

เสริมภาคต่อของแองจี้หลังเรียนจบ 

หลังเรียนจบรู้สึกมั่นใจขึ้นว่าอยากเจาะลึกด้านสุขภาพและความงามจากภายใน เลยตัดสินใจกลับไทยมาเรียนต่อ ป.โท สาขาเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Medicine) ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิทยาเขตอโศก พร้อมกับทำงานเป็นแพทย์แผนจีนในคลินิกไปด้วย

ตอนนี้แองจี้ใช้ความรู้จากแพทย์แผนจีนเรื่องสมดุลธาตุ ผสมกับศาสตร์สมัยใหม่ของแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งเรื่องฮอร์โมน โภชนาการ และการฟื้นฟูเซลล์ เพื่อให้ผลการรักษาเห็นผลจริงและยั่งยืน เช่น การฝังเข็มหน้าใส ปรับรูปหน้า ลดสิว ฝ้า รอยดำ ควบคู่กับการปรับสมดุลตับ ม้าม หรือไตให้สมดุลก่อน เพราะถ้าข้างในไม่บาลานซ์ ต่อให้ทำภายนอกยังไงก็ไม่ยั่งยืนค่ะ (ตอนนี้ค่าฝังเข็มความงามจะอยู่ราว 900 บาท ส่วนฝังเข็มแก้ปวดเมื่อยประมาณ 700 บาท ถ้ามียาจีนเสริมก็จะปรับตามอาการค่ะ เพราะหมอจีนจะดูทั้งระบบของร่างกายก่อนเสมอ)

นอกจากนี้ก็ไปอบรมเพื่อหาความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมของทางฝั่งแพทย์แผนจีนอยู่ตลอดค่ะ เพราะแองจี้มีพี่ที่เคารพอยู่มากๆ ท่านนึง เค้าพูดเสมอว่า “ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอ เมื่อไหร่ที่หยุดเรียนรู้ หรือหยุดอ่านหนังสือ เมื่อนั้นน้องก็ไม่ได้เป็นหมอแล้วนะครับ” ก็เลยจำขึ้นใจและไม่กล้าหยุดเรียนรู้เลยค่ะ

(หลายคนมักจะถามว่า “หมอจีนเรียนเวชศาสตร์ชะลอวัยแล้วทำอะไรได้บ้าง?”  จริงๆ แม้กฎหมายไทยยังไม่เปิดให้หมอจีนดริปวิตามินโดยตรง แองจี้กลับมองว่านี่ไม่ใช่ข้อจำกัด แต่เป็นโอกาส เพราะเมื่อเข้าใจร่างกายลึกขึ้น ก็จะให้คำแนะนำคนไข้ได้รอบด้านกว่าเดิม)

กรณีกลับมาทำงานต่อที่ไทย 
ต้องทำยังไงบ้าง? 

พอจบออกมา ถ้าอยากกลับมาทำงานในประเทศไทย ตอนนี้ตลาดบ้านเรากำลังเติบโตเร็ว ทั้งสายสุขภาพ ความงาม และชะลอวัย มีทั้งคลินิกเอกชน โรงพยาบาล และ Wellness Center ที่เปิดรับหมอจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และขั้นตอนกลับมาทำงานในไทยก็ไม่ซับซ้อน แค่เตรียมเอกสารให้ครบ เช่น Transcript, ใบจบ, หนังสือรับรองการเรียนครบ 5 ปี แล้วนำไปแปลและประทับตรารับรองจากกงสุลจีน ก่อนยื่นต่อ “กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก” เพื่อสมัครสอบใบประกอบโรคศิลปะได้เลย

การสอบใบประกอบแพทย์แผนจีน  ใช้ข้อสอบตัวเดียวกันทุกประการกับนักศึกษาไทย โดยการสอบจะมี 3 หมวด (สอบวันเดียวกัน ถ้าปีนั้นสอบผ่านแค่บางหมวด ก็สามารถเก็บคะแนนไว้ได้ 5 ปีค่ะ)

  • พื้นฐานแพทย์แผนจีน – ข้อสอบแบบปรนัย
  • ภาคปฏิบัติ (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นข้อเขียน) – ได้โจทย์เป็นโรคคนไข้พร้อมประวัติ ให้เรา “วินิจฉัยและวางแนวทางรักษา” เช่น ถ้าเป็นหมอฝังเข็มต้องระบุจุดฝัง วิธีฝัง หรือสั่งยาตามหลักแพทย์จีน
  • กฎหมายแพทย์แผนจีน – ข้อสอบแบบปรนัย

รีวิวประสบการณ์สอบใบประกอบฯ

อย่างแรกที่ต้องจูนหนักๆ เลยคือเรื่องภาษาค่ะ ตอนเรียนที่จีนใช้ภาษาจีนตลอด แต่พอกลับมาสอบที่ไทย ข้อสอบทั้งหมดเป็นภาษาไทย 555 ตอนเตรียมสอบช่วงท้ายคือหนักมาก อ่านอัด 3-4 เดือนเต็มๆ เพราะโครงสร้างประโยคและคำศัพท์ต่างจากตอนเรียนเยอะ เช่น ชื่อยาบางตัวที่แปลเป็นไทยแล้วงงสุดๆ พอไปเปิดข้อสอบเก่าก็แบบ หืมมม ชื่อนี้คือยาตัวนั้นเหรอ? วิธีของเราคือต้องนั่งแปลศัพท์ใหม่แทบหมด เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ก็มานั่งช่วยกันอ่านแปลศัพท์แล้วทำสรุปกันไว้ค่ะ

แล้วในทุกปี กระทรวงสาธารณสุขจะประกาศลิสต์โรคที่ใช้ในการออกข้อสอบประมาณ 40 โรค เช่น โรคกลุ่มระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ ภาวะเลือดและพลังพร่อง ฯลฯ ซึ่งผู้เข้าสอบต้องรู้ทั้งแนวคิดแบบแพทย์จีนและการเทียบกับโรคตามแนวแพทย์แผนปัจจุบัน

. . . . . . . .

5
จากสมาคมท้องถิ่น 
สู่เครือข่ายระดับประเทศ

พอกลับไทยช่วงโควิด ทุกอย่างหยุดนิ่งหมด ตอนนั้นนักเรียนไทยในจีนกลับประเทศไม่ได้หลายพันคน แองจี้กับเพื่อนๆ เลยรวมตัวกันตั้ง สมาคมนักเรียนไทยในจีน (รุ่นก่อตั้ง) เพื่อประสานกับหน่วยงานไทย ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ การบินไทย และคมนาคม ช่วยพาคนไทยกลับจีนได้จริงกว่า 6 เที่ยวบิน

พวกเราคิดระบบ “กักตัวสองต่อ” (ไทย-จีน) ประสานโรงแรมเองทุกอย่าง เพื่อให้รัฐบาลจีนมั่นใจว่านักเรียนไทยปลอดภัย และหลังจากสถานการณ์ดีขึ้น สมาคมก็ปรับบทบาทมาทำกิจกรรมแทน เช่น China Fair และ Open House ที่ Cloud by KBank เปิดให้น้องๆ ที่อยากเรียนต่อจีนได้เจอรุ่นพี่ตัวจริงจากหลายทุน รวมถึงทุนรัฐบาลจีน (CSC) ด้วยค่ะ

จนถึงตอนนี้ที่สถานการณ์โควิด กลับสู่ปกติ ทุกคนสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้โดยที่ไม่ต้องกักตัวแล้ว แต่พวกเรา สมาคมนักเรียนไทย-จีน ก็ยังดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และได้มีการจับมือร่วมกับ สมาคมนักศึกษาและนักวิจัยจีนประจำประเทศไทย (全泰学联)。ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ทั้งร่วมกับทางสถานเอกอัคราชทูตจีนประจำประเทศไทย และร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ อยู่ตลอด เพราะเราเชื่อว่าเยาวชน คืออนาคตของความสัมพันธ์ไทย-จีน และ จีน-ไทย ใช่อื่นไกล แต่เป็นพี่น้องกันค่ะ

. . . . . . . .

6
ปิดท้ายด้วยรีวิวชีวิตนักเรียนไทย
ในมหานครเซี่ยงไฮ้

  • ถ้าพูดถึงเซี่ยงไฮ้ แองจี้อยากบอกเลยว่าที่นี่คือเต็มไปด้วยโอกาสค่ะ แม้จะมาในฐานะนักศึกษา แต่ถ้าขยันและเปิดใจจะได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะมากๆ
     
  • เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองใหญ่ที่ทันสมัย เทคโนโลยีก้าวหน้า ทุกอย่างคือ Smart Life หมดแล้ว เป็นสังคมไร้เงินสด 100% จะซื้อของ ขึ้นรถ หรือกินข้าว ทุกอย่างจ่ายผ่านมือถือได้ทั้งช่องทาง Alipay, WeChat Pay หรือแอปของธนาคารจีน ใช้ชีวิตสะดวกมากแบบไม่ต้องพกเงินสดเลย
  • เซี่ยงไฮ้ถือเป็นเมืองที่ปลอดภัยระดับต้นๆ ของจีน มีกล้องวงจรปิดแทบทุกสี่แยก ระบบระเบียบเข้มงวดแต่คนก็ให้ความร่วมมือสุดๆ จนเมืองที่เคยเต็มไปด้วยขยะ กลายเป็นเมืองสะอาดแบบแทบไม่มีขยะให้เห็นเลย! กฎบางอย่างอาจดูโหด เช่น ถ้าไม่แยกขยะอาจโดนปรับถึงวันละ 2,000 หยวน แต่คนที่นี่จะพูดเหมือนกันหมดว่า “เพราะรักประเทศ ถึงยอมทำเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น” ซึ่งฟังแล้วอบอุ่นใจมากค่ะ
     
  • คนจีนที่เจอทั้งน่ารักและจริงใจ ถึงเราจะพูดภาษาจีนยังไม่ชัดหรือออกเสียงเพี้ยน เขาไม่เคย judge เลยนะคะ แค่พูดคำว่า “หนีห่าว” เขาก็ยิ้มแล้วชมว่า “พูดเก่งมาก!” 555 บางทีเสียงนุ่มๆ ของคนไทยก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเราน่ารัก เป็นมิตร แล้วอยากคุยด้วยตลอ

    แองจี้เองมีเพื่อนจีนเยอะมาก ไปจีนทีไรเพื่อนจะพาไปเลี้ยงข้าวตลอด ชวนไปลองอาหารพื้นเมืองแปลกๆ หรือพาเดินเล่นริมแม่น้ำหวงผู่ ทุกครั้งที่ได้กลับไปก็จะรู้สึกว่าจีนเปลี่ยนเร็วจริงๆ แต่ความอบอุ่นของผู้คนยังเหมือนเดิมเสมอค่ะ~

. . . . . . . .

แล้วแพทย์แผนปัจจุบัน เรียนกันยังไงนะ?
ชวนอ่านรีวิวจากพี่หมออู๋ MBBS ที่ Fudan กันต่อค่ะ

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น