รีวิว หนังสือ 5 เล่ม ที่พลิกชีวิตให้เทพภาษาอังกฤษ!!!
ก่อนอื่นนั้นต้องบอกก่อนว่าเนื้อหาในกระทู้นี้ได้มาจาก…
1.ประสบการณ์ตรงล้วนๆ ใช้เอง ใช้จริงทุกเล่ม ส่วนเล่มไหนไม่ค่อยได้ ใช้อะไรยังงัยจะสารภาพบาปในเวลาต่อไป ฮี่ๆ
2.ถามความเห็นของคนที่เก่งภาษาอังกฤษแบบ “self-taught” รอบกายโดย คัดคนไปแลกเปลี่ยน, คนจบนอกออก เหยเธอ #คนself-taughtแล้วเก่งที่แท้จริง ยังมี สู้คนจบนอกได้ มันคือความสวยงามของชีวิต เรียนเอง เก่งเอง เป็นลางบอกให้รู้ว่าใครๆก็ทำได้
3.หาข้อมูลว่ามีคนชอบเล่มนั้นๆเหมือนเรามั้ย ทำไมเค้าชอบ คนอื่นๆแนะนำเล่มไหนอีกบ้างเริ่ม!!!
เล่มที่ 1
What : Dictionary Eng-Eng สำนักไหนก็ได้ (เราใช้ของ Longman)
Why : เปิดหัวเล่มแรกมา บางคนจะกดปิด หยุดก่อน! ไม่ได้กวน แต่มันช่วยได้จริงๆ การใช้ Dict Eng-Eng เป็นเล่มเปิดหาศัพท์ มันจำได้นานกว่าจริงๆนะ มือมันได้สัมผัส นิ้วมันได้ไล่ชี้ ตามันเบิกโพรง จมูกมันได้กลิ่นหมึก แล้วคำศัพท์ก็ไหลเข้าหัวเฉย 555 ไม่ต้องอะไร เทียบกับตัวเราเอง ตอนเรียนภาษาอังกฤษใหม่ๆ หลายปีมาแล้ว ตอนนั้นแอปเอยเนตเอยไม่มีหรอก (เขิลจุงแก่ล้าว) ก็เปิดหาจากดิกเป็นเล่มเอา ทำไมมันจ๊ามจำฝังหัว พอสมัยนี้นะ ตัวไหนไม่รู้เปิดแอปหา กลับบ้านมา ลืมซะละ เพราะขั้นตอนมันไวเกิ๊นสมองยังไม่ทันจำ อีกอย่าง พวกแอปหรือเวป แปลพลาดเยอะ โดยเฉพาะที่แปลเป็นภาษาไทย พลาดเพราะบางทีเปิดมามีความหมายเดียวซะงั้น ทั้งที่จริงๆมันมีอีกตั้งหลายความหมายให้เราพิจารณา อีกทั้งการอธิบายศัพท์ก็แห้งแล้ง เจอนี่ก่อน Dict Eng-Eng มาหมดจ้าทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่ Pronunciation, Help with meaning, Examples, Grammar ไปจนถึง Collocation, Idioms & Phrases, Register, Usage และอีกมากมายตามนี้
::: เล่ม 2,3,4,5 ต่อใน comment เน้อ :::
54 ความคิดเห็น
ก่อนที่จะต่อเล่มต่อๆไปนั้น...
เราว่าพวกแอปไรงี้ เหมาะสำหรับ คร่าวๆ เร็วๆ เฉพาะหน้า ไม่เหมาะกับการพัฒนาภาษาแบบยั่งยืน
เอาหล่ะ ยอมรับก็ได้ว่าปัจจุบันก็น๊านนานเปิดทีแล้วไอเล่มใหญ่ๆเนี่ยะ เพราะปัจจุบัน Web, App ดีๆก็มีเยอะเลย แต่ยังยืนยันว่าที่ภาษาอังกฤษพัฒนาแบบก้าวกระโดดก็เพราะเปิดเล่มนี้จนเปื่อยนี่แหละ มีลูกมีหลานจะให้ใช้แน่นอนสักปีสองปีแรกของการเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ วะฮะฮะฮ่า ออกแนวซาดิสต์
::แถม::
1.Web อย่างเราทุกวันนี้ชอบใช้ merriam-webster ในการหาศัพท์ สวยสะอาดตาดี เหมือนอ่าน Magazine มีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับศัพท์นั้นๆ ให้คลิกต่อเต็มไปหมด เอาเป็นว่า ถ้าใช้เป็นเล่มไม่ได้จริงๆ ขอให้ใช้ Web, App ที่แปลอังกฤษเป็นอังกฤษละกัน ทนหน่อย แต่เก่งขึ้นปี๊ดชัวร์ แต่ก็ยังอยากให้ลองเปิดจากเล่มหนาๆดูนะแล้วจะติดใจ :)
2.ถ้าเป็นไปได้ อยากให้มีสมุดจดศัพท์ จดปุ๊ปก็ลองแต่งประโยคโดยใช้คำนั้นๆดู เอาซี่ ทั้งเปิดค้น ทั้งจด และนำไปใช้ ไม่จำให้มันรู้ไป
เล่มที่ 2
Why : แนะนำ Dict Eng-Eng ใช้หาศัพท์ไปแล้ว ก็อยากแนะนำเล่มนี้ให้ใช้ควบคู่ไปด้วย เป็นหนังสือ Grammar ที่แหวกแนวมาก ไม่ได้เรียงเป็นเรื่องๆ แต่เรียงเป็นคำจาก A-Z เราว่ามันเหมือน Dict เลยแหละ แต่เป็น Dict ที่อธิบายแกรมม่าเป็นประเด็นปังๆไปเลย สงสัยการใช้คำไหน แกรมม่าเรื่องอะไร ก็ค่อยมาเปิดหาเอาเป็นเรื่องๆไป อ่านง่ายเพราะเขียนขึ้นมาเพื่อคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง อีกทั้งยังแจงเป็นประเด็นๆ ย้ำส่วนที่คนชอบสับสน เปรียบเทียบ รวมถึงยกตัวอย่าง ดี๊ดีไม่ต้องมานั่งอ่านหนังสือแกรมม่าเล่มหนาๆ ที่แค่เห็นก็จะสลบ อ่านทีนึงก็ต้องอ่านพรืดดด กว่าจะจบบท ต้องเจอไม่รู้กี่เรื่อง งงไปหม้ด บายยยแอนด์เซไฮทูดีสวัน พูดเลยว่าดิกเล่มหนาๆไม่ค่อยเปิดแล้ว แต่เล่มนี้ทุกวันนี้ยังกลับมาเปิดอยู่ เลิฟฟฟ
::แถม::
หนังสือแกรมม่าที่ฮิตลืมมมอีกเล่ม(จริงๆมาเป็นซีรี่ส์เลย)และคู่ควรแก่การ Honorable Mention นั่นก็คือ Essential Grammar in Use เล่มสีส้ม > English Grammar in Use เล่มสีฟ้า >> Advanced Grammar in Use เล่มสีเขียว เรียงจากความง่ายไปยากเลย โดย 2 เล่มแรกมีแปลไทยด้วย ความดีงามของซีรี่ส์นี้คือ เริ่มด้วยเล่มง่าย ซึ่งอ่านง่ายมากกก อ่านเสร็จมีแบบฝึกหัดท้ายบท ท้าทายความเข้าใจ แต่นี่แหละที่ทำให้เราชอบน้อยกว่า Practical English Usage ก็มันบั่บ ดูเป็นตำร๊าตำรา ต้องอ่านไล่ทีละบท มีสอบด้วย เข้าอีหรอบเดิม ต้องมนต์เปิดเป็นหลับตล๊อด (ขี้เกียจเด้อ อย่าทำตาม) จึงหยุดอยู่แค่เล่มสอง ผ่านมาหลายปีดีดักยังไม่อ่านไม่จบสักที :p แต่ยอมรับว่าดีจริงไรจริง แล้วซื้อเวอร์ชั่นไหนดี? เคยได้ยินป่ะ “คิดการใหญ่ใจต้องนิ่ง” ซื้อเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษไปเล๊ยยยย แต่ใจร่มๆ ซื้อมาลองอ่านฝึกและทำทีละเล่มนาจา ถ้าไหวค่อยไปต่อ เค้าว่ากันว่าแค่อ่านและทำเล่ม1,2 จบ ก็จะเป็นมนุษย์ที่เก่งภาษาอังกฤษคนนึงของประเทศไปเลย
ผมก็มีเล่มนี้นะแต่ผมชอบเล่มสีแดง ดำ ขาว ของ betty azar มากกว่า ก็แล้วแต่จริตคนด้วยนะว่าชอบอันไหน
ป.ล. betty azar แบบฝึกหัดเยอะมาาาาาาก
Better Azar เคยอ่านๆๆๆ หนังสือในตำนานเหมือนกัน มีหลายซี่รี่ส์ ซี่รี่ส์นึงมีรูปผีเสื้ออีกอันจะเป็นนกนางแอ่น
เล่มที่ 3
What : Graded Readers (หนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับผู้ฝึกภาษาโดยเฉพาะ)
แอบเติม s ตรง Reader เพราะอ่านไปได้เลยรัวๆหลายๆเล่ม เอาเข้าจริงๆเราถืออ่านได้ทีละเล่มโน๊ะ ถือว่ายังไม่ผิดคำพูด "รีวิว หนังสือ 5 เล่ม ที่พลิกชีวิตให้เทพภาษาอังกฤษ!!!" ละกานนนนWhy : พักความวิชาการแพรพ เพราะนี่คือโหมดที่เละเทะได้ บันเทิงดี ดั่งสโลแกน ยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์ เพราะไม่ต้องสอบ แปลผิดได้ เข้าใจผิดได้ อ่านข้ามได้ อ่านตอนไหนก็ได้ จริงมะ แต่เอาจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็น Graded Reader หรอก เป็นหนังสือภาษาอังกฤษอะไรก็ได้ที่เราสนใจ อย่างเราเริ่มอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกเลยคือ Harry Potter (ถ้าไม่นับ Student Weekly แอร้ยแก่จุง เดี๋ยวนี้ยังฮิตกันอยู่มั้ยอ่า) เพราะเล่มแรกอ่านแปลไทยจบภายในสามวัน อุแม่เจ้า ไม่เคยเกิดขึ้นกับเด็กที่ขี้เกียจอ่านหนังสือมาก่อน เล่มสองออกมาเลยลองซื้อเวอร์ชั่นภาษาอังฤษมาอ่าน หวังให้ความเพลินบังคับให้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วยในตัว ได้ผล อ่านจบด้วย นานหน่อยแต่ภูมิใจ
ตอนนั้น ม.3 อ่านแล้วงงงวยมากแต่ก็แถไถจนจบ แรกๆเปิดดิกมือระวิง หลังๆบายยย เดาเอาเห๊อะ ไม่รู้เรื่องจริงๆก็ถามเพื่อนที่อ่านเวอร์ชั่นแปลไทยเอา 5555 จริงๆสาเหตุหลักไม่ใช่อยากพัฒนาภาษาหรอก แค่เห็นรุ่นพี่ที่เพิ่งกลับมาจากโครงการแลกเปลี่ยน เดินถือไปมาเฉิดฉายในโรงเรียน เท่โค๊ดๆ เอามั่งๆ
แต่พอโตขึ้น เอ๊า! ชีวิตไม่ต้องลำบากขนาดนั้น มันมีหนังสือที่เรียกว่า Graded Reader ความดีงามก็คือ เป็นหนังสืออ่านเล่นที่เรียบเรียงและถูกออกแบบ เพื่อคนฝึกภาษาโดยเฉพาะ มีการควบคุมเนื้อหา คำศัพท์ และหลักไวยากรณ์ตามระดับของผู้อ่าน มีระดับให้ไต่จากง่ายไปยาก มีหลายเรื่อง หลายแนว ที่สำคัญเพลินลืม ทำให้ไม่ท้อ ไม่อึ้ง ค่อยๆเป็นค่อยๆไป รู้ตัวอีกที เก่งซะละมีขายตาม SE-ED สาขาใหญ่ๆ, Asia Books, Kinokuniya เอาสาขาที่เราเห็นมีขายชัวร์ คือ คิโนะเซ็นทรัลเวิล หนังสือพวกนี้มีหลายสำนักพิมพ์นะ เช่น Penguin readers, Pearson, Oxford, Macmillan reader เป็นต้น เราแนะนำของ Oxford เราว่าอ่านง่ายดี ดูเรียบเรียงมาดี มีเรื่องให้เลือกเยอะ วิธีเลือกก็ไปยืนเปิดๆข้างในดู (มีตั้งแต่ Starter ถึง Stage6) เอาที่พออ่านไหวและเป็นเนื้อหาที่เราสนใจ ส่วนวิธีอ่าน ควรจะอ่านต่อเนื่องโดยไม่เปิดดิก(หวานหมู) ให้เดาจากบริบทข้างๆเอา หนังสือพวกนี้เค้าออกแบบมาดี ศัพท์และแกรมม่าจะเจอซ้ำๆ ที่เราชอบมากคือ ภาษากระชับแต่สละสลวย และเจอพวก Punctuation เยอะดี ด้วยความที่ประโยคมันสั้น เลยเห็นชัดว่าเวลาใช้ ใช้ยังไง ไม่ต้องมานั่งท่อง นั่งจำ บางเล่มมี Audio CD มาด้วย ได้ฝึก Listening ไปอีกก
เราเริ่มจากพวกนี้แหละ จนปัจจุบันลามไปถึงหนังสือที่ชอบจริงๆ เช่น แฟชั่น การออกแบบ ทำอาหาร บลาบลา อ่านยังไงก็ไม่ท้อ(เพราะงงได้ ไม่สอบ) ไม่เบื่อ ได้ภาษาด้วย ฟินเฟร่อ
เล่มที่ 4
What : Test Preparation, ตะลุยโจทย์, คลังข้อสอบ, จำลองข้อสอบ ฯลฯWhy : ออกแนวเกิน 5 เล่มละเนอะ เขิลจัง เอาเป็นว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ควรมีแบบทดสอบที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้นอย่างน้อย 1 เล่ม เช่น เราตอน ม.3 ก็จะมีคลังข้อสอบโรงเรียนดังที่อยากเข้า มาฝึกทำให้อุ่นใจ พอ ม.6 ก็มีคลังข้อสอบเอ็นท์ มาฝึกทำอีก พอจะจบมหาลัยก็ต้องมีจำลองข้อสอบ TOEIC, TOEFL, IETLS อะไรก็ว่าไป หรือ เป้าหมายอาจจะแค่ อยากเป็นคนที่เก่งศัพท์หรืออ่อนVocab ก็มีควรหนังสือตะลุยโจทย์เฉพาะเรื่องศัพท์มาฝึกทำ
เล่มนี้คือความสุด เป็นอีกมิตินึงนอกโลกไปเลย อ่านเยอะแล้วมึนตึ๊บ (เราเป็น) แต่เป็นหนังสือ Writing ที่เนื้อหาดีมากกก ก.ไก่ล้านตัว ชนิดที่ว่าตัวเจ้าของภาษาเอง(ที่อยากเป็นนักเขียน)ยังต้องอ่าน
อย่างที่บอกไปหนังสือเล่มนี้ เป็นอีกมิตินึงไปเลย เหมือนแบบ ต้องกล้าแกร่งในภาษาอังกฤษพอสมควร ถึงจะอ่านแล้วมันส์ ตามชื่อหนังสือเลย เขียน(ภาษาอังกฤษ)อย่างมีstyle เอิ่บเดี๋ยวนะ อาจตายก่อนมีสะตายเด้อ บางคนบอกเขียนให้ได้สักครึ่ง a4 ก่อนมั้ยอ่ะ ก็จริงงงง แต่ความดีงามของเล่มนี้คือ เป็นการสอน Writing ที่แหวกแนว(อีกแล้ว) คือส่วนมากหนังสือสอน Writing จะมาแนวแบบ ให้เขียนทีละประโยค เกี่ยวกับตัวเรา โรงเรียน สิ่งแวดล้อม แล้วค่อยๆเพิ่มความซับซ้อนของประโยคขึ้นเรื่อยๆ เล่มนี้โนจ่ะ ออกแนวเขียนยังไงให้เก๋ ถ้าเขียนแบบนี้แปลว่าเน้นส่วนกรรมของประโยค ถ้าจะเน้นประธานต้องเขียนยังงัย เทียบกันประโยคต่อประโยค มันเป็นความลึกซึ้งของวิธีเขียนบ้านเค้า(แต่บอกก่อนนะว่าบางข้อก็เป็นไสตล์ผู้แต่ง ฝรั่งคนอื่นอาจไม่นิยม) ส่วนความรู้ที่ได้จากเล่มนี้ นอกจากเอาไว้ตั้งสเตตัสบนเฟซบุคแล้วเราก็ไม่ได้ใช้ทำอะไรอีกเลย 555 อ้อ! แต่จริงๆแล้วก็ทำให้อ่านภาษาอังกฤษแตกขึ้นเหมือนกันนะสาเหตุที่ปลื้มก็เพราะว่า อ่านเป็นหนังสืออ่านเล่นเลย ไม่เคยซีเรียสกับมัน จำได้ก็เอาไปใช้ คุ้นๆงงๆก็กลับมาอ่านใหม่ แต่ขอบอกส่วนมากไม่ได้ตั้งใจจำ พอจะใช้ ผุดขึ้นมาในหัวเองซะงั้น นี่แหละน้า อ่านเล่นๆมักจะเป็นงี้ อ่านตะบี้ตะบันก่อนสอบไม่เคยจะจำได้
::แถม:: Longman Academic Writing Series
ตามที่บอกไป Series นี้ดีงามมม จิมๆ เหมาะกับคนที่อยากเก่งการเขียนแบบทางการ/วิชาการ ใช้ในการเรียน การทำงาน มีเลเวลให้ไต่ แต่ก่อนยังเป็น 4 เลเวล หน้าตาวิชาก๊ารวิชาการอยู่เลย (ตอนโน้นที่เราใช้ชื่อ Lv1 Fundamentals of Academic Writing, Lv2 First Steps in Academic Writing และไม่อ่านจบ ฮี่ๆ) แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็น Longman Academic Writing Series แล้ว หน้าตาไฉไล มี 5 Level ตามนี้ 1.Sentences to Paragraphs 2.Paragraphs 3.Paragraphs to Essays 4.Essays 5.Essays to Research Papers หลู่เหลื่องงง เริ่มจากการเขียนประโยคเลยทีเดียว มีเนื้อหา ตัวอย่างและแบบฝึกให้เขียนตาม ถ้าจะให้ดีควรมีคนช่วยตรวจจ้า ถือเป็นเรื่องราวดีๆที่จะได้ใกล้ชิดรุ่นพี่ หุหุ
จบแล้ว 5 เล่ม(หราาาา) ซึ่งเป็นหนังสือที่พลิกชีวิตเราจริงๆ แต่จะเห็นได้ว่าเราค่อนข้างชอบหนังสือที่ถึก และไม่ค่อยชอบแบบที่แปลไทย คือ ถ้าให้ย้อนกลับไปอาจจะไม่เอาเหมือนกัน แต่ตอนโน้นนน คือไฟท์สุดอะไรสุด ทุลักทุเลแต่ก็ผ่านมาได้ ถ้าไงก็ลองเลือกในหมวดเดียวกัน แต่เป็นเล่มที่ง่ายขึ้นหน่อยที่แนะนำไว้ละกันน้า แล้วอย่าลืมมาแชร์ว่าชอบเล่มไหนกัน คิดเหมือน-ต่างยังไง หรือไปสอยมาใหม่ก็เอามาอวดกันด้วยเด้อออที่ร.ร.ของหนูก็ใช้ Longman สอนค่ะ ตอนนี้หนูอยู่ม.2 ก็ใช้เล่ม 2 แล้ว แต่ก็ยังงงๆอยู่เลย(คือมันยากกกกกก)
หนูอยู่โรงเรียนอะไรลูกกกก อนาคตสดใสแน่นอน อดทนหน่อยนะ
เราซื้อมาละแต่มันไม่มีเฉลยหรอ???
กำลังหาหนังสือแกรมมาร์ดีๆพอดีเลย
เริดเฟ่ออออ
ขอบคุณมากค่ะที่มารีวิวให้ กำลังจะสอบielts แต่รุ้สึกตัวเองยังไม่หลุดแบบแตกฉานจริงๆ สักที บางอันพอไม่ใช้ก็ลืม ทุกวันนี้มีอ่าน ฝึกทำตลอด ชอบดูหนังซาวแทร็ค ซับอิ้ง อันนี้ช่วยเรื่องฟังมากกก เพราะเดี๋ยวนี้บางเรื่องไม่ต้องเปิดซับแล้ว ฟังข่าวก็ได้แล้ว แต่ก็จะศัพท์ยากกว่าอีกขั้น ตอนนี้มีปัญหา reading academic หาคำศัพท์ symnomys ไม่เคยทัน 555 ไม่เคยซื้อ grand readers เลยอะ ปกติไปคิโนะวิ่งไปซื้อแผนกนวนิยายอังกฤษตลอด นี่เพิ่งรุ้ว่ามีเพื่อคนฝึกโดยเฉพาะด้วย :) เก็บหมดนี่ทำไรเนี่ย 555 เด่วต้องทยอยลองหาดู อยากหลุดบ้าง ขอบคุณมากค่ะ
ล็อกอินมาเพื่อกราบขอบพระคุณจขกท.ล้วนๆเลยค่ะ ฮืออออ คือกำลังสับสนขั้นรุนแรงพอดีว่าจะอ่านเล่มไหน ขอบคุณสำหรับกระทู้นี้มากจริงๆค่ะ
ว้าววว น่าสนใจมากเลยค่าาา ขอบคุณจขกท.มากเลยน้า แปะไว้ก่อน ฮี่ๆ
เป็นกระทู้ที่ดีมีสาระมากเลยค่ะ มีประโยชน์มากๆจะลองนำไปใช้นะคะ เลิฟๆจขกทมากๆ
แนะนำดีมีสาระมากเลย คือดีงาม จขกท เริดมากค่ะ
จะลองหามาอ่านบ้างค้าาาาา
ดีมากๆค่ะ ชอบบบบ จะไปลองหาสอยมาอ่านบ้างค่ะ เราเป็นอีกคนที่พยายามฝึกภาษาจากการอ่าน(นิยาย)แบบเรื่องยาวๆ ประมาณวรรณกรรมเยาวชนไรงี้ค่ะ เป็นพวกอ่านหนังสือเรียนไม่รู้เรื่อง แต่อ่านนิยายรู้เรื่องอ่ะค่ะ 5555555 งงตัวเอง
เป็นเหมือนกันเลย เข้าใจมากจุดนี้ เราหนักกว่า ชอบหนังสือที่ภาพเยอะๆ ฮาาา
ขอบคุณมากเลยนะคะสำหรับกระทู้ดีๆๆ
อยากรู้ว่าพี่ใช้เวลาฝึกทั้งหมดนี่นานมั้ยอ่ะคะ ;-;
ขอบคุณเช่นกันจ้าที่เข้ามาอ่าน ดีใจ
ส่วนเวลาในการฝึก เอาจริงๆที่จากง่อยๆมาเป็นทอปภาษาอังกฤษของห้อง ก็ 2 ปีจ้า แต่ปีเดียวก็เก่งขึ้นผิดหูผิดตาเลย แค่เปิดดิกอังกฤษอังกฤษรัวๆ ลองดูนะ
มีเหมือนกันเกือบทุกเล่มเลย 555 ยกเว้น writing กำลังหาอยู่พอดีเลย ขอบคุณ จขกท. มากๆ นะ ^^
ปล. เราเริ่มอ่านตั้งแต่ ม.4 วิธีคล้ายกับ จขกท. เลย ไม่ได้เรียนพิเศษ จากที่โง่อังกฤษมาก จนได้ GAT (รอบ 1/59) 295 คะแนน อาจใช้เวลานาน แต่ได้ผลจริง
มีlongman dict กับ serie grammar in use เหมือนกันเลยครับแนะนำเลยครับการอ่านdict eng-engจะช่วยให้เราจดจำศัพท์ได้มากทำแบบฝึกหัดพวกvocabถ้าติดก็เปิดlongman dictดูคราวนี้จะเกิดปัญหาจากการที่เราสะสมศัพท์พื้นฐานไม่มากพอเวลาอ่านdictก็จะเจอปัญหาอ่านไม่ได้เพราะคำอธิบายก็อังกฤษสามารถแก้โดยท่อง3000คำlongmanแบบแปลไทยครับรับรองอ่านdictสบายเลยที่นี้
มานะไปอีกกกก
ขอรบกวนหน่อยนะคะ อยากทราบว่า3000คำlongmanแบบแปลไทยนี่หาได้จากที่ไหนหรอคะ ขอบคุณค่ะ ^^
อย่าเพิ่งหงอย สู้ๆๆ
ถ้าเลเวลยังไม่กล้าแกร่ง มี 2 เล่ม ที่อ่านได้จ้า
1.Grade Reader : LV starter ไปหาดูนะ ถือว่าเป็นการ์ตูน อ่านๆไป ไม่าเข้าใจก็เปิดดิก เล่มบางนิวเดียว อ่านจบแน่นอน อ่านสักสองรอบ รอบที่สามค่อยมาเปิดดิก นะ
2.Grammar in use เล่มสีส้ม สำหรับคนเริ่มต้นเลยจ้า เริ่มตั้งแต่ I am a student งี้เลย อ่านได้แน่นอน ค่อยๆไต่ระดับไป
ขอบคุณมากค่ะ >3<
อยากให้ จขกท. แนะนำวิธีเรียนภาษาอังกฤษสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนน่ะค่ะ อยากรู้ว่าต้องเริ่มเรียนตั้งแต่ตรงไหน เพราะตั้งแต่เรียนมาได้พื้นฐานไม่ดีเลยค่ะ T^T
หาซื้อได้จากร้านไหนบ้างอ่ะคะ
ศูนน์หนังสือจุฬา, SE-ED สาขาใหญ่ๆ, Asiabook, Kino จ้า
Dictionary Eng-Eng ของ longman มีแต่ภาษาอังกฤษ ไม่ได้แปลไทยให้หรอค่ะ เห็นมันเขียนว่า eng-eng พอดีอยากได้ dictionary ซักเล่ม ใช้แอพแปลแล้ว กลับบ้านมาก็ลืมT_T
ใช่จ้า เป็น ดิก eng-eng ลองเริ่มหัดใช้นะ ลองไปเปิดดูในร้านหนังสือดูก่อนก็ได้
ต้องไปตามเก็บซะแล้ววว
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?