Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

​ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปอยู่พระนิพพาน

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปอยู่พระนิพพาน
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
คัดลอกมาจาก หนังสือตายไม่สูญ แล้วไปไหน เรื่องที่ 18

 
          "ท่านโยมพัวที่เราจะไปเผาพรุ่งนี้ เราเผาแต่ซากเท่านั้น ตัวจ่าพัวเราเผาไม่ได้เพราะร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความจริงโยมพัวท่านไม่เคยเจริญฌานสมาบัติ ท่านจดหมาย
มาเสมอว่า วิตกเหลือเกินเกรงว่า ตายแล้วจะตกนรก -คนกลัวตกนรก มันตกไม่ได้ เพราะจดหมายทุกฉบับปรารภเรื่องนี้ เป็นสำคัญ อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าท่านทำอะไรไว้บ้าง เมื่อกี้ท่านมานั่งคุยให้ฟังว่า สมัยที่เป็นตำรวจ เอาหนักเหมือนกัน เพราะเป็นมือปราบคนหนึ่ง
          และมีอีกข้อหนึ่งคือว่าภาษาของโบราณ รถไฟ เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ นอกจากปราบแล้วยังมีชีวิตอยู่อยากจะคุย ให้อาตมาฟังมันก็ไม่ถนัด ผมวิตกเรื่องนี้มันหนัก และสมัย ปราบปรามครั้งใหญ่ โจรดังบ้าง บางทีก็จับมาได้ 4-5 คน ยิงตายเลย ปราบจริงๆ และแถมเจ้าชู้จริงๆ เสียด้วย เป็นกรรมหนักที่ท่านหนักใจ แต่ว่าก็อาศัยจิตของท่าน น้อมในกุศลนับตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นมา ที่มาพบอาตมา อย่าง "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" โยมพัวให้เงินค่าพิมพ์ เป็นคนแรก และเคยเขียนจดหมายมาบอกว่า "ท่านเป็นคน ตาเหล่ ไม่เหล่ก็ตาบอด เพราะเวลานี้ไม่เห็นที่อยู่ของท่านเวลาตายไปแล้ว"
          อาตมาก็เป็นแต่เพียงแนะนำบอกว่า "ทำใจให้เป็นสุข ให้มีความมั่นใจ"ท่านก็มีความมั่นใจพร้อมๆ กับความ สะเทือนใจเพราะเกรงว่า -ตัวบาปตัวนี้มันจะเข้ามายุ่ง ตอนบั้นปลายชีวิตของท่านทำทุกอย่างเพื่อหนีบาปตัวนี้ ตอนนี้ตัวจาคะก็เกิดตัดใหญ่ถวายเงินมาที่วัดนี้แสนกว่า ที่วัดอื่นอีก ลูกท่านก็ดีไม่มีใครขัดคอ พ่อจะทำอะไรก็ทำ ตามชอบใจเข้าใจว่าท่านคงจัดทรัพย์สินต่างๆให้ลูกหมดแล้ว ตามส่วนสิทธิที่เขาจะพึงได้
          ท่านก็ทำทุกอย่างในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจ ตัดกายได้ มาในขั้นสุดท้ายท่านป่วยหนัก อาตมาไปเยี่ยม โยมพัวไปครั้งแรก ไปนั่งอยู่ตอนบวงสรวง พระท่านมาเตือนว่า "จะมากักเขาไว้ดาวดึงส์ได้อย่างไร ในเมื่ออารมณ์เขา จะเข้าถึงได้" ก็เลยบอกให้ท่านภาวนาว่า
"นิพพานัง" จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ พอไปเยี่ยมครั้งที่สอง ท่านบอกขึ้นไปได้แล้ว ตอนนี้ตู้โต๊ะในบ้านไม่เอาไว้แล้ว ส่งเข้าวัดหมด จาคะตัวเดียวเป็นสำคัญ ในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจ ตัดกายได้ มาถึงขั้นสุดท้ายป่วยหนักและตายไป เมื่อตายแล้ว ท่านมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ตัวเองป่วยมากใกล้จะตายก็ไม่นึกว่า ตัวเองจะไปไหนได้หรอก ก็นั่งฟังเทปนอนฟังเทป ฟังไปฟังมา อารมณ์ใจค่อยละเอียดไปทีละน้อยๆ เพราะความมั่นใจยังไม่มี จนกระทั่งเวลาใกล้จะสิ้นชีพ อารมณ์ใจรวบรวมหนักเพราะทุกขเวทนามันบีบหนัก จนกระทั่งมีอารมณ์จิตเป็นสุข พอจิตเป็นสุขก็เห็นพระ พระองค์แรกที่โยมพัวเห็นคืออาตมา
          ต่อมาพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมา แนะนำบอกว่า "องค์นี้เป็นพระพุทธเจ้า" เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรัศมีกายผ่องใส สวยสดงดงามมาก จิตที่เกาะอะไรทั้งหมดก็ตัดหมดทันที ท่านโยมพัว ก็เข้าไปกอดพระบาทพระองค์แน่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ไปพระนิพพานกับพ่อไหมลูก" ท่านตอบว่า "ไปครับ แต่ผมกลัวไปไม่ได้" พระองค์ ทรงชี้ให้ดูร่างกายของโยมพัวในเมืองมนุษย์ และตรัสว่า "เป็นทุกข์ไหม" ท่านตอบว่า "ทุกข์ครับ" ตรัสต่อไปว่า "ร่างกายไม่ดีอย่างนี้ยังรักอยู่อีกเหรอ" ท่านตอบว่า "ไม่รักครับ" พระองค์จึงตรัสว่า "งั้นก็ไปนิพพานกับพ่อ" เพียงเท่านี้เอง ท่านก็ทิ้งร่างกายเนื้อตามพระพุทธเจ้าไปอยู่บนแดนพระนิพพานทันที เพราะจิตท่านเกาะเฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียว จึงไม่เกาะร่างกาย
ท่านบอกอาตมาว่า เมื่อเห็นร่างกายหยุดทำงานแล้ว ก็มองดูร่างกายเห็นว่าน่าเกลียดขนาดนี้ อันนี้เป็นปัจจัย สำคัญที่ทำให้ท่านมีความสุขที่สุด คิดไม่ถึงว่าในชีวิต ความสุขใหญ่ขนาดนี้จะมีกับผม คิดแต่เพียงว่า ถ้าอยู่ดาวดึงส์ก็บุญตัวแล้ว ท่านขอบคุณอาตมาที่ช่วยท่าน
เป็นอันว่า เราได้บุคคลตัวอย่างคือ ท่านโยมพัว ชระเอม ก่อนตายท่านมีอารมณ์โปร่ง ท่านเกาะพระ จุดนี้เป็น จุดสำคัญที่สุด

แสดงความคิดเห็น

>