Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ชวนเพื่อนๆ ไปพระนิพพานกันค่ะ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
บางคนอาจยังไม่เคยคิดว่า ตายแล้วไปไหน ควรคิดไว้เลย
จริงอยู่ว่า ละชั่ว ทำดี ยังไงก็ได้ไปสวรรค์ แล้วเราไม่คิดอีกสักนิดว่า เราจะไปสวรรค์ชั้นไหน ไปเทวโลก หรือพรหมโลก หรือพระนิพพาน
แต่ถ้าเราไม่รักษาศีล ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ แย่งแฟนชาวบ้าน พูดโกหกเป็นนิจ และกินเหล้าอันเป็นที่ตั้งของความประมาท ขอเตือนไว้เลย ว่าผิดศีลนี้เปิดทางลงนรกได้ง่ายสุดๆ เลยค่ะ

มีคนบอกนิพพานสูญ นิพพานไม่สูญนะ อาจคิดว่าไปนิพพานยาก บอกไว้เลยค่ะไม่ยาก ขอแค่มีความตั้งใจ




มาดูตัวอย่างท่านที่ไปพระนิพพานแล้วกันค่ะ ทั้งสามท่านเป็นฆราวาส

โยมน้อย แก้วแดง
http://www.dek-d.com/board/view/3685617/


ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปอยู่พระนิพพาน
http://www.dek-d.com/board/view/3685619/

หลวงพ่อไปพบลูกศิษย์ตายแล้วไปอยู่ที่พระนิพพาน
http://www.dek-d.com/board/view/3685621/


เราควรตัดอวิชชาที่คิดว่ามนุษย์โลกดี เทวโลกดี พรหมโลกดี มันเป็นของไม่ดีค่ะ มนุษย์ไม่ดียังไง เพราะเกิดเป็นมนุษย์มันทุกข์ค่ะ เกิดก็ทุกข์ อยู่ในท้องแม่อึดอัดมาก หิวก็ทุกข์ แสบท้อง ของหายก็ทุกข์ ไม่ได้ดังใจก็ทุกข์ ป่วยไข้ก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ โลกมนุษย์ก็วุ่นวาย รวมความว่าทุกข์มาก 

เทวโลก พรหมโลก ไม่ดียังไง
ไม่ดีตรงที่ต้องจุติสักวันหนึ่งค่ะ เป็นของไม่เที่ยง ต้องจุติหรือตาย เกิดทำบุญมาเล็กน้อย ทำบาปมาก อาศัยความดีเล็กน้อยไปเกิดชั้นดาวดึงสเทวโลก อาศัยความสุขมากอยู่ในความประมาทไม่บำเพ็ญความดีต่อ แล้วพอจะจุติ พุ่งหลาวลงนรกก็แย่เลยค่ะ
เป็นอันว่า เทวดา นางฟ้า พรหม เราไม่เอาเพราะสุขแค่แปบเดียว แต่ดีหน่อยที่เป็นครึ่งของนิพพานแล้วค่ะ

ถ้าเราตัดอวิชชาคือความโง่นี้ได้ เราจะไปนิพพานกันค่ะ


 
เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน
จาก หนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
          โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี

          ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความรู้สึกว่าการเกิดเป็นคนเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถ้าเราจะเกิดไปอีกกี่ชาติ เราก็จะพบกับความทุกข์อย่างนี้อีก และคิดว่าการตายของเราคราวนี้จะเป็นการตายครั้งสุดท้าย ฉะนั้นทุกคนก่อนจะหลับให้คิดง่ายๆ ดังนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเราอีก การตายคราวนี้เราขอไปพระนิพพาน และก็ภาวนาต่อท้ายสักเล็กน้อยว่า
          “นิพพานัง สุขัง  นิพพานัง สุขัง  นิพพานัง สุขัง
          ภาวนาอย่างนี้สัก ๓ ครั้งด้วยความเต็มใจ การทำอย่างนี้ได้ชื่อว่า เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน เวลาที่ท่านจะตายบุญกุศลทั้งหลายที่ทำแล้วจะรวมตัวทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้ มโนมยิทธิ คืออภิญญาและวิชชาสามควบกัน ก่อนจะหลับเมื่อศรีษะถึงหมอน เอาจิตไปตั้งไว้ที่พระนิพพาน ไปที่วิมานพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือไปที่วิมานของเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก็จะพบท่านทันที แล้วตัดสินใจว่าถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น เพียงเท่านี้ แต่ต้องทำทุกวันนะ ตายเมื่อไรไปพระนิพพานเมื่อนั้น



 

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

Dekthailand 17 ก.ย. 59 เวลา 19:33 น. 1

นี่ผมสมัครสมาชิกมาเพื่อตอบกระทู้ธรรมะโดยเฉพาะเลยครับ ก่อนอื่น ต้องถามก่อนว่า พระนิพพานคืออะไร?

นิพพานคือการดับขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นก็คือ การดับนามธรรมและรูปธรรม

นามธรรมมี จิต เจตสิก
รูปธรรมมี รูป หรือ รูปะ

การจะดับนามธรรมและรูปธรรมได้ ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น และการที่จะเป็นพระอรหันต์ไม่ใช่นั่งหลับตา แต่ด้วยปัญญาที่เฉียบคม ละ โลภะได้ แบบประหารกิเลสได้ทั้งหมด แต่ก่อนอื่นอย่าพึ่งชวนกันไปไกลนะครับ เห็นพระพุทธเจ้าดับขันธ์ และปรินิพพาน ก็จะเอาอย่างบ้าง แต่ไม่รู้อะไรเลยจะไปดับอะไรได้อย่างไร?

การจะดับกิเลสได้นั้น ต้องเริ่มจากการเข้าใจธรรมะซะก่อน คือการเข้าใจสิ่งที่ปรากฎ ณ ขณะนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสรู้ และสอนให้ทำอะไรง่ายๆ ถ้าง่ายๆก็คงไม่ใช่ปัญญาของท่านครับ เริ่มต้นตั้งแต่การฟังธรรม เข้าใจธรรม จริงๆแล้วยาวมาก ไว้มาสนททนากันใหม่ครับ



1
จิ้งจอกอสูร 17 ก.ย. 59 เวลา 19:42 น. 2

ธรรมะเพื่อพระนิพพานของหลวงพ่อฤาษีมีเยอะค่ะ ตามได้ในเฟสบ้าง หนังสือบ้าง เสียงธรรมเทศน์บ้างที่เขาอัดไว้ ที่เอามาลงก็เล็กน้อยค่ะ

เราจะไปพระนิพพานได้ทางไหน

๑. ตัดราคะ ความรักในร่างกายของบุคคลอื่นที่เต็มไปด้วยความสกปรก และเต็มไปด้วยความทุกข์ เห็นร่างกายของชาวบ้าน ร่างกายของเรา มันมีสภาพเหมือนกับส้วมเดินได้

 ๒. ตัดโลภะ ความโลภ ความทะเยอทะยาน เพราะว่าคนรวยเศรษฐีมหาเศรษฐี ทุกท่านตายแล้วแบกอะไรไปไม่ได้เลย

๓. ตัดความโกรธ ความพยาบาท คิดจองล้างจองผลาญกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นปัจจัยบันดาลความสุข เป็นปัจจัยบันดาลความทุกข์ เริ่มโกรธอารมณ์ก็กลุ้ม ถ้าเราไปทำร้ายเขา เขาก็จะทำร้ายเราบ้าง เราจะฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าเราบ้าง มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ในเมื่อเรามีศัตรู ถ้าเราจะคิดให้เขาตาย มันก็ไม่ยาก คนทั้งโลกเราจะแช่งให้ตายเสียทั้งหมดก็ได้ ไม่ต้องไปเรียนวาจาศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน เราแช่งเขาหรือเราไม่แช่งเขาก็ตาย เราต้องการให้เขามีความทุกข์ เราจะบันดาลหรือไม่บันดาล เขาก็มีความทุกข์ ทุกข์เพราะความหิว ความกระหาย ความป่วยไข้ไม่สบาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์เพราะร่างกายของตนจะต้องตาย แล้วก็จะไปนั่งโกรธเขาทำอะไร เลิกโกรธเสีย ใครจะเลวก็เชิญเลว เชิญเลวไปแต่ผู้เดียว ฉันไม่ยอมเลวด้วย

๔. โมหะ ความหลง ปลงลงไปว่าโลกทั้งโลกไม่มีอะไรเป็นของจีรังยั่งยืน สิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต แม้แต่อารมณ์ใจที่เราคิดมันก็ยังไม่ทรงตัวถ้าเราติดอยู่ในโลกียวิสัย โยนมันทิ้งไป ขึ้นชื่อว่าโลกจะเกาะใจเราไม่ได้

เป็นอันว่าเราตัดโลภะ ตัดราคะ ตัดโทสะ ตัดโมหะได้ ได้มากได้น้อยก็ช่างมัน ตัดมันทุกวัน ไม่ช้ามันก็หมด ภูเขาลูกใหญ่เราใช้ค้อนมีกำลังสักครึ่งตันไปนั่งทุบทุกวัน เราไม่เลิกทุบ ในที่สุดภูเขามันก็พัง ฉันใด กิเลสทั้งหลายที่มีในใจก็เหมือนกัน

          นี่ถ้าบังเอิญท่านไม่ภาวนาเลย ท่านพิจารณาอย่างนี้ทุกวันทุกลมหายใจเข้าออก ผมจะพอใจมาก ถ้าย้อนมาถามว่า ทำไมถึงพอใจ ก็จะตอบได้ทันทีว่าท่านกำลังจะเป็นพระอรหันต์ หากว่าจิตใจของท่านอารมณ์อย่างนี้ละก็ ท่านไม่ต้องไปนั่งคอยพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี สิ่งที่จะเข้ามาถึงท่านเร็วที่สุด ก็คือความเป็นพระอรหันต์
0
Dekthailand 17 ก.ย. 59 เวลา 21:04 น. 3

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่าการกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็น อารมณ์ของมหาบุรุษ ซึ่งในสมัยนี้ไม่มี

การเข้ากรรมฐาน กำหนดลมหายใจ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อต้องการหลุดพ้น แต่ ในสมัยครั้งพุทธกาล ผู้ที่ ปฎิบัติสมถะภาวนา เป็นผู้ที่เห็นโทษของกิเลส ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ซึ่งมีปัญญาเฉียบแหลมมาก จึงกำหนดลมหายใจเข้าออก หรือที่เรารู้กันว่านั่งสมาธิ เข้าฌาณกัน

พอสมาธิแนบแน่นขึ้น ก็เป็นฌาณขั้นต่างๆ ไปจนถึง อรูปฌาณ เนวสัญญษนาสัญญายตนะฌาณ เมื่อ ตอนสิ้นชีวิต ฌาณไม่เสื่อม ก็ไปจุติ และปฎิสนธิในพรหมโลก

หลังจากที่อายุของพรหมหมดลง บางทีนานเป็นพุทธธันดร ก็กลับมาเป็นแบบนี้อีก

ฌาณไม่ได้ประหารกิเลสทั้งหมด แต่ทำให้ดับกิเลสได้ชั่วคราว

สำคัญที่ปัญญาที่ฟังธรรมที่ถูกต้อง เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฎทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าใจก่อนว่าไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล ครับ

อนุโมทนา

1
^__^ 18 ก.ย. 59 เวลา 12:02 น. 3-1

แหม๋ ท่านผู้รู้ อย่าทำให้นิพานป็นของยากเกินที่คนจะทำได้เลย หลวงพ่อฤษีท่านสอนให้ภาวนนา “นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง” ก่อนหลับ มันก็ไม่ใช่ของยากอะไร ถ้าทำแล้วสามารถไปนิพานได้ก็ดี หรือทำแล้วไปนิพานไม่ได้ ก้ไม่เป็นไร ถือเป็นการสร้างความตั้งใจที่ดีเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่า จะได้ตื่นขึ้นมาอีกหรือปล่าว

0
Dekthailand 21 ก.ย. 59 เวลา 15:53 น. 4
เพราะการสนทนาธรรม เป็นกุศล ในครั้งพุทธกาล เมื่อมีการสนทนาธรรมกัน ในลักษณะนี้ ต้องตกลงกันก่อนว่า จะไม่มีการตู่กัน (โกหก) จะต้องไม่มีการบิดเบือน หรืออื่นๆ และต้องเป็นผู้ตรงในสิ่งที่ตัวเองบอกว่ารู้ และตัวเองไม่รู้นะครับ...อันนี้ตกลงกันก่อน

อย่างนั้นต้องถามว่า นิพพาน คืออะไรครับ?

แล้วขณะที่พระพุทธองค์ ไปนิพพาน พระพุทธองค์ ทำอย่างไรครับ?

รอฟังคำตอบครับ
0