Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

Review ตามหัวใจไป #ญี่ปุ่น ฉบับเที่ยว #นางาซากิ #อุโมงค์วิสทีเรีย

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ความรักเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งบนโลก รวมถึงในหัวใจของเรา ตราบเท่าที่เรายังคงเชื่อมั่นในความรัก



สัญญาไว้ในกระทู้รีวิวแนวประจานตน “เมื่อฉันหลงทางในโอกินาว่า” ว่านิลจะรีวิวการเที่ยวคิวชูฉบับเที่ยวด้วยตัวเองไว้นานมากแล้ว แต่พึ่งมีเวลาเขียน เพราะงานพะเรอเกวียนที่มะรุมมะตุ้มรุมรักนิลกันใหญ่เฉพาะในช่วงนี้ (เป็นแบบนี้นานๆ ก็ได้)

ก่อนอื่นขอออกตัวว่าตามปกตินิลเองไม่ใช่สายเที่ยว แม้วัยจะล่วงเลยมาจนขึ้นเลข 3 แล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็ยังคงทำหน้าที่ลูกแหง่ติดแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ละวันทำงานเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ที่อยู่ติดบ้านม้าก มาก เพื่อดูแลคุณแม่ที่เริ่มมีอาการอัลไซเมอร์ รวมทั้งเดินเองเกือบจะไม่ได้แล้ว หลังจากที่ท่านอุทิศตัวเองเลี้ยงดูเราเป็นอย่างดีแม้ต้องอยู่ในสถานะซิงเกิ้ลมัมก็ตาม

แน่นอนว่าด้วยเหตุผลข้อนี้ ทำให้ทุกคนต่างมั่นใจว่า นิลจะต้องมีคานมาเกยอย่างไม่ต้องสงสัย รวมทั้งตัวนิลเองด้วย แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งที่ความรักตามหาเราเจอ อะไรหลายๆ อย่างในชีวิตก็เปลี่ยนไป จากผู้หญิงขี้ขลาดที่ไม่เคยเดินทางไกลเพียงลำพังตัวคนเดียว วันนี้นิลมีความกล้าเพียงพอที่จะออกเดินทางไปตามหาหัวใจของตัวเองได้แล้ว ถึงแม้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ ณ จุดหมายปลายทางข้างหน้ามีคนที่เรารอคอยมาทั้งชีวิตกำลังรอเราอยู่ที่สนามบินก็ตาม

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการเดินทางไปญี่ปุ่น นิลเคยเข็นวีลแชร์พาแม่เที่ยวกับบริษัททัวร์ ในแถบคาวากูจิโกะ โตเกียว เกียวโต โอซาก้ามาแล้ว นั่นเป็นการไปเยือนประเทศในฝันครั้งแรกสำหรับนิล (มีรีวิวในเด็กดีด้วยนะคะ ช่วงซากุระบานพอดี)

ส่วนครั้งที่ 2 ในปีถัดมา นิลก็ได้รางวัลตั๋วเครื่องบินฟรี 2 ที่นั่งจากการตอบคำถามผ่านฟรีแมกกาซีนแนวญี่ปุ่นๆ เล่มหนึ่ง นั่นคือการไปเยือนญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 2 รวมไปถึงเป็นการเดินทางไปตามหาหัวใจครั้งแรกของนิล โดยมีพี่สะใภ้ไปเป็นเพื่อนด้วย (มีรีวิวในเด็กดีเหมือนกันเน้อ เที่ยวคุ้มมาก นั่งรถไฟวันละเกือบ 10 ขบวนก็ทำมาแว้ว ฮาาาา)

ทว่าสำหรับครั้งที่ 3 นี้ นี่เป็นการจองตั๋วเดินทางเองครั้งแรกของนิล เพื่อการเดินทางไกลเพียงคนเดียว โดยมีคุณแฟนรออยู่ที่สนามบินปลายทาง



27 เมษายน 2560 ในที่สุดวันเดินทางของนิลก็มาถึง แผนอะไรต่อมิอะไรที่เคยคิดไว้เป็นอันได้พับเก็บไปด้วยความสบายใจ ในเมื่อไม่มีสัญญาณหายนะใดๆ บ่งบอกว่าเครื่องบินลำที่นิลจะต้องเดินทางไปโอกินาว่าจะเกิดอาการดีเลย์หรือถูกยกเลิก ทันทีที่บอร์ดดิ้งพาสอยู่ในมือ นั่นก็เท่ากับว่าสัญญาณการผจญภัยครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว



และแล้วช่วงเวลาแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลง นิลไม่ได้เพลิดเพลินไปกับการช้อปและแชะจนลืมว่ามีใครกำลังรอเราอยู่ที่ปลายทาง เครื่องบินของสายการบินพีชแอร์ออกเดินทางตรงตามเวลาในช่วงตี 1 เศษพลอยให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอีกเปลาะ และยิ่งเบาใจเมื่อเครื่องทะยานขึ้นฟ้าอย่างไร้ซึ่งปัญหาและอุปสรรค ต่อให้รอบตัวรายล้อมด้วยความมืด มีแค่เพียงแสงไฟของตึกรามบ้านช่องเบื้องล่าง แต่นิลก็ยังรู้สึกอุ่นใจพอที่จะหลับเอาแรงได้โดยหวังว่าตัวเองจะตื่นมาทันเห็นแสงเงินแสงทองที่เริ่มจับขอบฟ้าในเช้าวันใหม่ แน่นอนว่าเป็นเพราะความตั้งใจอันแรงกล้าทำให้นิลได้ทำตามที่หัวใจเรียกร้อง หลังจากนั้นที่เคยง่วงเหงาหาวนอนก็หายเป็นปลิดทิ้ง นิลนั่งเก็บภาพนอกหน้าต่าง ไปจนกระทั่งเครื่องลงจอดยังสนามบินนาฮะ โอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น ตรงตามเวลาแบบไม่ขาดไม่เกิน





เป็นช่วง 8 โมงเช้าของวันที่ฟ้าครึ้ม ลมแรง จนต้องเดินห่อตัวลงจากเครื่องทั้งที่สวมเสื้อหนาวอยู่ เพื่อนร่วมเดินทางส่วนใหญ่รอรับกระเป๋า แต่นิลมีเพียงเป้สะพายหลังใบเดียว และสามารถผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองรวมทั้งศุลกากรมาได้อย่างสบายๆ ซึ่งคงเป็นเพราะพาสปอร์ตที่ผ่านการเดินทางมาญี่ปุ่นแล้วสองครั้งสองคราวสองสนามบิน มีเวลาอีกชั่วโมงกว่าในการล้างหน้า แปรงฟัน และกินมื้อเช้าที่เตรียมมาจากบ้านรองท้อง เพื่อรอขึ้นเครื่องต่อไปยังสนามบินฟุกุโอกะ



ท่านใดที่ประสงค์จะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ โดยสายการบินพีชแอร์เหมือนกับนิลและเป็นกังวลเรื่องการต่อเครื่อง ขอบอกว่าถ้าเครื่องไม่ดีเลย์เป็นชั่วโมงก็สามารถสบายใจได้อย่างยิ่งยวดค่ะ เนื่องจากเทอร์มินัลของสายการบินต้นทุนต่ำนั้นเล็กมากและแยกตัวออกมาจากเทอร์มินัลใหญ่ของสนามบินนาฮะ รวมทั้งสายการบินพีชแอร์ก็ใช้เคาน์เตอร์เช็คอินร่วมกันทั้งเส้นทางบินในและนอกประเทศแบบคุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ที่เด็ดสุดคือ free wifi ของที่นี่นั้นแรงสุดยอด เข้าตำราเล็กพริกขี้หนูทีเดียวเชียว อย่าได้ดูถูก

ส่วนภาพนี้เป็นร้านค้าในเทอร์มินัลแห่งนี้ สามารถขอคืนภาษีได้ค่ะ แต่ถ้าจะอยากได้ของฝากแบบละลานตาเลือกไม่ไหว ต้องไปเทอร์มินัลใหญ่ของสนามบินโดยตรงนะคะ กระเป๋าฉีกชัวร์




เช่นเคยที่การรอต่อเครื่องเป็นไปด้วยใจระทึก แม้ไม่มีวี่แววของการดีเลย์หรือยกเลิกเที่ยวบินให้รับรู้ล่วงหน้า เป็นอย่างนั้นจนผู้โดยสารทั้งหมดขึ้นเครื่องด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยสมกับที่เกือบ 100% ภายในนั้นเป็นคนญี่ปุ่น และหลังจากที่เครื่องทะยานขึ้นฟ้า นิลก็หลับไม่รู้เรื่องไปพักใหญ่ด้วยความอุ่นใจว่าอีกไม่ถึง 2 ชั่วโมง การรอคอยที่จะได้พบกันของเราสองคนจะสิ้นสุดลงเสียที

เวลาไม่ถึง 1 ปีอาจแสนสั้นสำหรับใครหลายคน แต่กับรักทางไกลแล้ว มันยาวนานมากเสียจนหากใครคนหนึ่งปราศจากซึ่งความมั่นคง ทุกอย่างก็คงเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อวันก่อน จากรอยยิ้มกว้างของเขา นิลรับรู้ได้ถึงความดีใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอก และจากรอยยิ้มกว้างของนิล เขาเองก็คงรับรู้ได้ไม่ต่างกัน แม้ไม่ต้องมีคำพูด เราสองคนก็ยังสัมผัสได้ถึงความมั่นคงที่ไม่คลอนแคลนไปตามระยะทางหรือวันเวลา ขอขอบคุณคุณแฟนไว้ตรงนี้ด้วยค่ะ ที่ยังคงร่วมทุกข์และร่วมสุขมาด้วยกันจนถึงวันนี้ ตอนนี้ ณ เวลานี้ที่กำลังร่างรีวิว และมองดูเขาหลับผ่านวีดีโอคอลไปด้วย

ที่หมายแรกของการเดินทางในครั้งนี้หนีไม่พ้นการหาอะไรรองท้องเป็นมื้อเที่ยง เนื่องจากถึงเวลาที่กระเพาะอาหารของพวกเราจำเป็นต้องย่อยอาหารเลี้ยงร่างกายพอดิบพอดี และเป้าหมายหนึ่งเดียวของเราในเวลานี้ก็คือร้านราเม็งเจ้าประจำของคุณแฟนในโซน Ramen Stadium บนชั้น 5 ของห้างคาแนล ซิตี้ ฮากาตะ ซึ่งนับเป็นโชคดีของเราสองคนมากที่ไปทันได้เห็นน้ำพุเต้นระบำบริเวณลานน้ำพุกลางห้างด้วย ทราบมาว่าจะมีแบบนี้ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ใครผ่านไปก็อย่าลืมไปรอชมกันนะคะ มองจากมุมสูงด้านบนสวยมากๆ

ท่านใดต้องการชมตัวอย่างน้ำพุเต้นระบำ สามารถรับชมได้คลิปที่นิลถ่ายมาได้จ้า





หลังจากอิ่มมื้อกลางวันกันแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางไปเมืองดาไซฟุ จังหวัดฟุกุโอกะ เพื่อเก็บข้อมูลเขียนนิยายวายย้อนยุคกันที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติคิวชู อันเป็นภารกิจแรกของนิล และเป็นจุดประสงค์รองในการเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้ ขอบอกว่าทางเดินไปยังตัวอาคารที่จัดแสดง อลังการปานสนามบิน ส่วนภายในโดยมากจะห้ามถ่ายรูป นอกจากนี้ช่วงที่เราไปยังมีโซนที่จัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุและสิ่งของอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยด้วยค่ะ









เก็บข้อมูลเรียบร้อยโดยใช้หน่วยความจำในสมอง เราก็เดินเที่ยวกันต่อในอาณาบริเวณอันร่มรื่นของศาลเจ้าดาไซฟุเทนมังกุ ที่อยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ชนิดเกือบเป็นรั้วเดียวกัน ศาลเจ้าที่เชื่อกันว่าเด่นมากในเรื่องอำนวยอวยพรให้สติปัญญาดีและสอบผ่าน แต่เราสองคนก็เชื่อเช่นกันว่าหากผู้ขอพรไม่ช่วยเหลือตัวเองก่อนแล้วล่ะก็ คงไม่มีเทพเจ้าองค์ไหนทรงเมตตาประทานพรแก่คนขี้เกียจที่วันๆ เอาแต่หวังลมๆ แล้งๆ เป็นแน่ การที่เราได้สิ่งที่ต้องการมาด้วยมือของเราและความพยายามของเราเองนั้น นั่นคือสิ่งที่ควรภาคภูมิใจที่สุดค่ะ แต่ต้องได้มาด้วยวิธีที่สุจริตเท่านั้นนะ









คืนนั้น เราสองคนเข้าพักโรงแรมในซากะเพื่อย่นระยะทางในการเดินทางไปนางาซากิในวันรุ่งขึ้น แต่ทว่านิลก็ก่อเรื่องจนได้ เพราะไม่ได้ปรับเปลี่ยนเวลาในโทรศัพท์มือถือ มิหนำซ้ำยังตั้งเวลาปลุกเป็นเวลาของประเทศไทยอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ตื่นก่อนเพราะแสงแดดแยงตายังเป็นคุณแฟน ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้กินข้าวแกงกะหรี่ฟรีของโรงแรมเป็นมื้อเช้า ก่อนจะออกเดินทางด้วยขบวนรถไฟ Limited express Kamome ไปยังนางาซากิ โดยร่วมมือร่วมใจกันหลับตลอดทาง

(่อ่านต่อที่คอมเมนท์นะคะ หนทางยังอีกยาวไกลแท้...)


 

แสดงความคิดเห็น

2 ความคิดเห็น

พลอยนิล-อะเมะยูคิ 4 ส.ค. 60 เวลา 03:43 น. 1




ถึงนางาซากิประมาณ 10 โมงกว่า เราเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมที่จะเข้าพักคืนนี้ ซึ่งสามารถขอบัตรส่วนลดค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และค่าขึ้นกระเช้าได้ด้วย หลังจากนี้ก็ถึงเวลาตะลุยเที่ยวนางาซากิกันแล้ว ภาพด้านบนเป็นทิวทัศน์บนสะพานลอยบริเวณสถานีรถไฟ JR นางาซากิค่ะ ดอกไม้สวย บ้านเราน่ามีแบบนี้บ้าง




อีกหนึ่งไฮไลท์เด็ดภายในสวนสันติภาพแห่งนี้ คือมีทั้ง วิสทีเรียและซากุระพันธุ์บานช้านาม Kikuzakura ให้เราได้ชมกันด้วย ใครผ่านมาช่วงปลายเดือนเมษายนก็อย่าลืมแวะชมกันนะคะ




ริเวณเสาสีดำคือ จุดที่ระเบิดนิวเคลียร์ตกลงมา สร้างหายนะให้กับผู้บริสุทธิ์จำนวนมากที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิกทำสงครามกันด้วยอาวุธอันตรายพวกนี้ เดี๋ยวเราจะไปขุดคุ้ยเรื่องนี้ที่พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิกันต่อ จากสวนสันติภาพสามารถเดินต่อไปได้เลย ไม่ต้องขึ้นรถรางอีก ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัวค่ะ โดยพิพิธภัณฑ์นี้จะจัดแสดงเกี่ยวกับอันตราย และผลกระทบอันร้ายแรงของระเบิดนิวเคลียร์ จำนวนระเบิดที่แต่ละประเทศยังคงสะสมอยู่ จำนวนครั้งที่ทำการทดลอง รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้และรูปถ่ายเมื่อครั้งเหตุการณ์นางาซากิถูกถล่มราบ น่าสลดหดหู่มาก




กลับไปพักกินข้าวเที่ยงนิดหนึ่งที่สถานีรถไฟ JR เพื่อเติมพลัง หลังจากนั้นเราก็ไปตะลุยนางาซากิกันต่อ เริ่มต้นโปรแกรมยามบ่ายด้วยการเดินทางไปยังศาลเจ้าจินเซอิ ไทฉะ สุวะ ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1625 และถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งโชคลาภทางทะเล มีหินผูกดวงและรูปปั้นสำหรับหนุ่มสาวที่ต้องการอธิษฐานและเสี่ยงทายเรื่องความรักด้วย แต่เราไม่ได้ไปทำอะไรแบบนั้นค่ะ ก็เพราะว่าความรักมันขึ้นอยู่กับคนสองคนต่างหาก ไปขอกับเทพเจ้าได้ยังไงล่ะ

ใกล้ถึงงานเทศกาลวันเด็กผู้ชายแล้ว ที่ศาลเจ้ามีธงปลาคาร์พเต็มเลยค่ะ




จากศาลเจ้าสุวะ (Suwa Shrine) เราขึ้นรถรางต่อไปยังสะพานแว่นตา เพื่อตามหาหินรูปหัวใจที่ว่ากันว่ามีตั้ง 20 กว่าก้อน เป็นประติมากรรมธรรมชาติที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น นับว่ามหัศจรรย์มากๆ ค่ะ หาดูกันเพลิดเพลินเลยทีเดียว ซึ่งที่นี่ก็นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้ของนางาซากิด้วย






มาถึงจุดหมายถัดมาของเรา อันเป็นจุดหมายเกือบสุดท้ายแล้วสำหรับวันนี้ ท่ามกลางเวลาที่กระชั้นชิดขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนรีบมุ่งหน้าไปยังสวนโกลฟเวอร์ เพื่อตามหาหินรูปหัวใจหน้าคฤหาสน์กันอีกสักที่ แต่ดูเหมือนว่าเราจะหาเจอหลายก้อนเกินไปหรือเปล่า ฮาาาาา ที่นี่นับเป็นจุดชมวิวชั้นเยี่ยมของนางาซากิอีกแห่งค่ะ แต่ยังสู้สถานที่ชมวิวแบบ 360 องศาที่สุดท้ายของเราไม่ได้ อากาศช่วงนี้ก็กำลังสบาย ยิ่งสูงยิ่งหนาวได้ที่เลยทีเดียว แต่มาสองคนคงไม่ต้องกลัวหนาวแน่ๆ





สถานที่สุดท้ายในนางาซากิที่พวกเราตั้งใจว่าจะต้องไปให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน นั่นก็คือ จุดชมวิวบนยอดเขาอินาสะค่ะ ทันทีที่ลงจากรถรางก็จำเป็นต้องไปถามทางจากเจ้าของประเทศ ไม่อย่างนั้นคงไปไม่ถูกแน่ๆ เพราะค่อนข้างไกลจากสถานีรถรางพอสมควร และไม่เห็นป้ายบอกทาง เวลาพระอาทิตย์ตกดินก็ใกล้เข้ามาทุกที พอเห็นสถานีกระเช้าอยู่ไม่ไกลเท่านั้นล่ะ ก็จูงมือกันวิ่งหน้าตั้ง ดีที่เฟอะฟะอย่างนิลไม่จับกบอวด แต่ก็ถือว่าคุ้มมากๆ ค่ะ ได้ใช้พลังงานจากมื้อกลางวันที่กินเข้าไป ฮาาา




เราจูงมือกันวิ่งหน้าตั้งไปขึ้นกระเช้า มุ่งหน้าสู่ยอดเขาอินาสะ จุดชมวิว 360 องศาที่สวยที่สุดของนางาซากิ ทันวินาทีสุดท้ายที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน บนกระเช้ามีการอธิบายภาษาญี่ปุ่นตลอดทางด้วย นิลเองภาษาญี่ปุ่นกระท่อนกระแท่นเหลือเกินจนไม่สามารถจับใจความใดๆ ได้ แหะๆ ขออภัยนะคะ


ด้านล่างนี้ เป็นวิวระหว่างที่กระเช้าพาเราขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดเขาค่ะ ส่วนสปอยล์ถัดไปเป็นภาพยามค่ำคืนบนยอดเขาอินาสะ เนื่องจากกล้องมือถือของนิลถ่ายภาพในที่มืดออกมาไม่สวย เลยขอเก็บภาพเป็นคลิปวีดีโอแทน






วันต่อไปกับคิตะคิวชู ไปชมวิสทีเรียสวยๆ กันค่ะ ขอเชิญติดตามผ่านคอมเมนท์ถัดไปด้านล่างนะคะ


0
พลอยนิล-อะเมะยูคิ 4 ส.ค. 60 เวลา 03:48 น. 2


เช้าวันใหม่มาเยือนอีกครั้ง คราวนี้นิลไม่ยอมพลาดเรื่องเวลาปลุกให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอย เราตื่นเช้ารับวันใหม่กันตั้งแต่ตี 4 เพราะต้องไปขึ้นรถไฟตอน 6 โมงเช้า เพื่อให้ทันเข้าชมสวนวิสทีเรียรอบก่อนบ่ายโมง หลังจากนั้นเราสองคนก็อำลานางาซากิ ด้วยการจับมือกันหลับบนรถไฟตลอดทางเช่นเคย ฮาาาาา เลยไม่ได้เก็บภาพข้างทางสักภาพค่ะ


จากสถานีนางาซากิ เราต้องลงรถไฟที่สถานียาฮาตะ และต่อรถตู้ฟรีที่ทางสวนจัดมารับบริเวณจุดรอรถประจำทางด้านซ้ายมือหลังเดินออกจากสถานีมาประมาณ 100 เมตร ซึ่งมีประมาณชั่วโมงละคัน โดยคันที่มารับเราและผู้เข้าชมคนอื่นๆ อีกกว่า 10 คนนั้นมาช้าจนเกือบจะต้องเสียเงินขึ้นแท็กซี่แล้ว ใครมาช้าก็ต้องรอเที่ยวต่อไปด้วยเน้อ แต่ถึงจะช้าก็คุ้มค่ะ เพราะระยะทางค่อนข้างไกลมาก ตลอดทางเป็นทางขึ้นเขา วิวทิวทัศน์สวยงาม มีเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำด้วย ส่วนวิสทีเรียแม้จะยังบานไม่มาก แต่ก็นับว่าประทับใจ ไม่เสียเที่ยวที่ไปเลยค่ะ ส่วนการจองตั๋วนั้นนิลจองจากตัวแทนในประเทศไทย แต่เมื่อไปถึงสวนก็พบว่ามีการจำหน่ายตั๋วหน้าสวนด้วย สวนแห่งนี้ไม่ได้มีแค่วิสทีเรียนะคะ แต่เปิดเฉพาะช่วงวิสทีเรียบาน กับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเท่านั้นค่ะ




หลังออกจากสวนวิสทีเรียที่คิตะคิวชู โดยมีรถตู้ของสวนพากลับมาส่งยังสถานียาฮาตะเช่นเดิม เราสองคนก็ขึ้นรถไฟสาย JR ไปยังเมืองโคคุระกันต่อ เพื่อเยี่ยมปราสาทโคคุระและพิพิธภัณฑ์ภายในปราสาท (ด้านบนปราสาทเป็นจุดชมวิว 360 องศาเช่นกันค่ะ) เพื่อเก็บข้อมูลในการเขียนนิยายเพิ่มเติม เราพักกินมื้อกลางวันกันก่อนที่สถานีโคคุระ ซึ่งมีบูทขายสินค้าและอาหารของโอกินาว่ามาจัดด้วย หลังจากเติมพลังกันแล้วก็ถึงเวลาไปปราสาทโคคุระ โดยการเดินจากสถานีโคคุระไปแบบสบายๆ โดยมีสัญลักษณ์ปราสาทบนบล็อกตามทางเดินคอยนำทาง ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายในฤดูใบไม้ผลิ และเวลาที่ยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ นี่ยังไม่ใช่จุดหมายสุดท้ายของเราในวันนี้ค่ะ




ที่หมายเกือบสุดท้ายของวันสุดท้ายที่จะได้เที่ยวดัวยกันมาถึงจนได้ เรากลับมาที่ฟุกุโอกะเพื่อเก็บกระเป๋าที่โรงแรมย่าน นากาสึ 1 ใน 3 โรงแรมที่เราเข้าพักซึ่งค่าห้องนั้นแพงขึ้นมาอีกเท่าตัว เพราะเป็นช่วงโกลเดนท์วีคแล้ว แต่ก็นับว่าการเดินทางจากโรงแรมไปยังสถานีรถไฟใต้ดินค่อนข้างสะดวกค่ะ และแม้จะจองได้ห้องแบบสูบบุหรี่ได้ แต่พอฉีดน้ำยาปรับอากาศ พร้อมกับเปิดแอร์ กลิ่นบุหรี่ที่เหลืออยู่บ้างก็หายไปหมด




กว่าจะได้ออกจากโรงแรมก็ปาเข้าไป 5 โมงกว่าแล้ว แวะเก็บภาพบ้านพักรับรองสไตล์ฝรั่งเศสแถวโรงแรมเล็กน้อย ส่วนเป้าหมายสองสามที่ที่ตั้งเป้าไว้ก็ถูกทำให้เหลือเพียงที่เดียว นั่นคือสวนโอโฮริ สวนสาธารณะใจกลางฟุกุโอกะ ซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่ 2-3 สถานีเท่านั้น ขอบอกว่าร่มรื่นและอากาศดีมาก ทั้งที่เมืองนี้ก็เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของคิวชูแท้ๆ รักญี่ปุ่นจริงๆ ค่ะ อยากให้ประเทศไทยของพวกเราเป็นแบบนี้บ้าง สักครึ่งก็ยังดี





30 เมษายน 2560 มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทางจนได้ เราต้องออกจากโรงแรมแต่เช้า เพราะนิลต้องขึ้นเครื่องจากฟุกุโอกะกลับไปโอกินาว่า (เพื่อต่อเครื่องกลับไทย ด้วยสายการบินพีชแอร์) คราวนี้เครื่องออกจากฟุกุโอกะเวลา 10.30 น. และจะออกจากโอกินาว่าพานิลกลับประเทศช่วง 3 ทุ่มเศษๆ ค่ะ สามารถติดตามการหลงทางในโอกินาว่าของนิลได้จากกระทู้รีวิวโอกินาว่านะคะ

ปิดท้ายกันด้วยภาพฟุกุโอกะยามเช้า ช่วงโกลเดนท์วีคค่ะ





ว่ากันว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็ว ถึงอย่างนั้นก็จะติดอยู่ในความทรงจำของเราตราบนานเท่านาน มาถึงตอนนี้เราสองคนซาบซึ้งกับประโยคแทงใจดำประโยคนี้มากจริงๆ ค่ะ ได้แต่ท่องไว้ว่าอีกไม่กี่เดือนก็ได้พบกัน เมื่อสัญญาในการทำงานของเขาสิ้นสุดลง


ขอบคุณที่อ่านการเดินทางท่องเที่ยวของเราสองคนมาถึงตรงนี้นะคะ ท่านใดมีข้อสงสัยต้องการสอบถาม ติดต่อได้ทั้งคอมเมนท์และหลังไมค์เลยค่ะ แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้า ขอให้ทุกท่านมีความสุขในทุกๆ ย่างก้าวของการเดินทางนะคะ


พลอยนิล.


0