Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

สอบถามพูดคุยแนวคิดที่ว่า ไม่มีชีวิต ดีกว่ามีชีวิตอยู่ [เนื้อหายาว อ่านเวลาว่างก็สนุกดี]

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
อยากจะลองช่วยบ่นกับคนอื่นดู คิดว่าจขกท.คงไม่คิดแบบนี้คนเดียว แต่ก็ไม่เคยไปถามใครเลยรั้งจะไปถามพวกผู้ใหญ่ก็คงมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ พอไปถามเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันก็ถูกหัวเราะใส่ถูกบอกปัดๆว่าน่ารำคาญ

เคยคิดว่าตัวเองมีปัญหาทางจิต แต่กลับกันก็คิดว่าไม่ใช่ อาจจะเป็นที่ทัศนะคติหรืออย่างไรก็ตามแต่ มาร่วมแชร์ความคิดได้นะ



คิดว่ามนุษย์ทุกคนมีความทุกข์อยู่กับตัวไม่ว่าจะเรื่องในชีวิตประจำวัน รูปร่างหน้าตา ความสัมพันธ์กับผู้คน การกินหรือนอนหลับ ไม่ว่าใครก็คงเคยมีปัญหา 


แต่พอพูดถึงเรื่องตอนเกิดมาหรือตอนที่ตายจากไป กลับกลายเป็นปัญหาที่ไม่ค่อยอยากพูดถึงกัน

มีกันเยอะใช่ไหมล่ะ เวลามีปัญหาในชีวิตที่แก้ไม่ได้ จะคิดขึ้นว่า 'อยากตาย' 
แล้วมีคนคิดแบบจขกพ.ไหม ความตายนั้นคืออิสระที่แท้จริง มีเพียงแค่กิเลสที่รั้งไว้ไม่ให้เราตายค่ะ
ถ้าเกิดตายไป ทุกอย่างก็จบ ดับวูบทุกอย่างทั้งความคิดความอยากอนาคตแม้แต่อดีต ทุกอย่างจะดับหมดลงเมื่อชีพจรไม่เต้น



จขกพ.เชื่อว่าในหลายครั้งที่คนเราอยากหนีปัญหา พูดคำว่าอยากตาย ออกมาอย่างง่ายดาย ทั้งๆที่ความจริงแค่อยากหายไปจากสถานการณ์ตอนนั้นแค่นี้เอง


เจ้าของกระทู้คงพูดไม่เต็มปากว่าอยากตาย แต่ก็ไม่อยากอยู่บนโลกนี้เหมือนกัน เรื่องราวข้างล่างจะเป็นเรื่องของจขกพ. ค่อนข้างน่ารำคาญ เพราะเป็นพวกคิดอะไรพออยากสื่อให้คนอื่นรู้ก็บอกจนแทบหมดเปลือก


เคยรู้สึกขยะแขยงเพื่อนร่วมโลกไหม ไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์พืช หรืออะไรก็ตาม
เคยรู้สึกรำคาญเสียงแสงภาพอะไรทำนองนี้ไหม
เคยรังเกียจการสืบพันธ์ของมนุษย์ การป่วย การเจ็บ 
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าที่รู้สึกอะไร แต่กับการที่ต้องตื่นเช้าเพื่อต้องทำหน้าที่ของตัวเองมาใช้ชีวิต ทนต่อสายตาคนรอบข้างมองมารู้สึกทรมาณมาก การต้องยัดข้าวหรืออาหารเข้าปากแล้วรู้สึกอย่างโยนมันทิ้งเพราะความขยะแขยงไหม
ถึงแม้จะเป็นความคิดชั่ววูบ แต่มันก็เคยผุดขึ้นมาในความคิด




เวลามีคนอื่นเข้ามาคุยด้วยก็สามารถพูดคุยได้อย่างปกติ หนำซ้ำยังดูเฟรนลี่ซะจนคนอื่นทักว่าเป็นพวกพูดมาก
แต่กลับต้องพูดประโยคเดิมซ้ำซากไปมา ในแต่ละวัน ทำเหมือนๆเดิมในแต่ละวัน หรือหาสิ่งใหม่ๆทำแต่ก็ยังไม่รู้สึกพอใจ


สิ่งสนุกๆในแต่วันก็มีเยอะเหมือนกัน แต่มันก็แค่แปปเดียว แปปเดียวจริงๆเหมือนลมพัดมาแล้วจากไปเลย

ไม่กล้าเข้าหาใครก่อน กลัวเขาจะรังเกียจตัวเองบ้าง ทั้งๆที่ลึกๆในใจกลับนึกขนลุกที่จะต้องไปพูดกับคนอื่น


บางครั้งก็หวาดผวาตอนอยู่ต่อหน้าผู้คน บางครั้งก็รู้สึกสนุกเหมือนได้ทำอะไรที่น่าตื่นเต้น
ในตอนกลางคืนพอหลับไปก็วาร์ปมาอีกทีตอนเช้า เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนุกสุดแล้วในวันนั้น แต่ตอนลุกออกจากเตียงมันน่าเบื่อถึงที่สุด 

 

ชอบฟังความคิดเห็นคนอื่นมากถึงมากที่สุด อยากรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรกัน ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่แย่จนเกินเยียวยาหรือดีจนน่านับถือ พวกเขาคิดไม่เหมือนกันมันน่าตกใจนะทั้งๆที่เป็นเผ่าพันธ์เดียวกัน

ทำไมถึงเกิดมา เกิดมาทำไม มีเผ่าพันธุ์ตัวเองไปทำไมกัน สืบพันธ์ทำไม ทำไมต้องหาสิ่งที่อยากทำ ทำไมต้องเกิดความต้องการ ทำไม และทำไม ทำไมถึงมีคำถาม? ทั้งๆที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โคตรช่างสงสัย


แล้วพวกคุณเคยคิดเล่นๆกันบ้างไหม ว่าเกิดมาทำไม หลายๆคนเกิดมาถึงเจอสิ่งที่ชอบ แล้วที่ชอบเกิดขึ้นมาได้ยังไงกัน
ทำไมถึงมีความรู้สึกชอบทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลย คำถามเยอะไปแล้ว น่าเบื่อจริงๆ


ยังไม่เจอสิ่งที่อยากทำจริงๆ แต่ว่าก็มีสิ่งชอบหลายอย่าง แต่ถ้าถามว่าตายเพื่อสิ่งเหล่านั้นได้ไหม คำตอบก็คือไม่
เคยมีเพื่อนยุยงให้ตายดูบ่อยครั้ง หลายครั้งมาก ถ้าเลือกตายได้ก็คงทำไปแล้ว
แต่กลับมีสิ่งที่รู้สึกว่าพวกเขาคงปล่อยไปไม่ได้ อย่างครอบครัวหรือพ่อแม่ ปลาทองที่เลี้ยงไว้ คนที่ไม่มีอะไรแบบนี้อยู่ ก็คงสามารถตายได้ง่ายดายเลย ถ้าไม่มีสิ่งที่ยึดเกี่ยวเอาไว้

 
แต่กลับกัน พอตัดพวกนี้ออกไปก็รู้ว่า พร้อมตายได้ทุกเวลา 


เหงารึป่าว ก็คงใช่ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็คือสามารถมองข้ามความเหงาไปได้ แล้วก็สนุกกับความเหงาโดดเดี่ยวได้เหมือนกัน  นั่งเฉยๆก็สนุกได้ ขนลุกได้ ตกใจได้ ใจเต้นได้ เศร้าได้ แต่กลับร้องไห้ไม่ได้





แล้วพวกคุณคิดกันยังไงบ้างกับชีวิตของตัวเอง อยากจะรู้อีกนั่นแหละ 

 
ยังคงอยู่ หรือ หายไป 
ดีกว่ากัน?

ไม่รู้จริงๆ










 

แสดงความคิดเห็น

1 ความคิดเห็น

น้ำฝน 10 ก.ย. 60 เวลา 07:05 น. 1

หูยยยย เราอ่านจบแล้วเรารู้สึกว่าตรงกับตัวเราเมื่อก่อนมากเลยค่ะ

เมื่อก่อนเราก็คิดแบบ จทกท เกือบทั้งหมดเลยนะค่ะ

และมีอยู่ช่วงนึงที่เราเบื่อทุกอย่าง เกลียดทุกอย่าง มีปัญหากับเพื่อน

ช่วงนั้นเราพูดว่าอยากตายบ่อยมาก จนเพื่อนก็ยุบอกให้ไปตายเลยค่ะ

พอนานๆวันเข้าเราเริ่มรู้สึกว่าถ้าเราตายไปทุกอย่างคงจบเพราะไม่ได้มีใครมาสนใจอะไรเราอยู่ และการตายคงเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับอิสระและหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ จนในทุกสุดเราก็เลือกที่จะหายไปจากโรคใบนี้ค่ะ

แต่เราไม่ตายนี้สิ555555 ตอนนั้นเรากินยาเพื่อให้ตายๆไป แต่แม่เข้ามาเห็นตอนเรากำลังช็อคพอดีค่ะเลยพาเราไป รพ ทัน หลังจากวันนั้นเราก็ต้องพบจิตแพทย์

หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ ตัวเราก็เปลี่ยนไปเยอะนะค่ะ

แต่ความคิดที่ว่าการตายมันคืออิสระของเราก็ยังคงอยู่ เพียงแค่ถ้าถามว่ายังอยากฆ่าตัวตายอีกไหม

เราตอบได้เลยว่า ไม่ เพราะมันทรมานมาก


พิมมาสักยาว5555

สิ่งที่เราอยากบอก จขกท จริงๆคือ จขกท ลองไปพบจิตแพทย์ดูไหมค่ะ

การที่เราไปพบจิตแพทย์ไม่ได้แปลว่าเราบ้านะค่ะ อยากให้ลองเปิดใจเรื่องตรงนี้

เพราะการที่เราไปพบจิตแพทย์ มันก็ทำให้เราได้แนวคิดใหม่ๆมาเยอะ และมันเหมือนเป็นการระบายสิ่งที่เราทุกข์ให้หายไปด้วยค่ะ

ยังไง จขกท ลองคิดดูนะค่ะ เราไม่อยากให้ จขกท มาถึงจุดที่เป็นเหมือนเรา

6
Na-ze 10 ก.ย. 60 เวลา 13:14 น. 1-1

ค่อนข้างตรงข้ามนิดหน่อยนะคะ55+

ของเราก็รู้สึกสนุกกับการมีชีวิตดีนะคะ แค่ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปทำไม

เราไม่เคยคิดอยากฆ่าตัวตายค่ะ (ฮา) เพื่อนยุให้ตายไป เราไม่ได้สนใจค่ะ เขาไม่ค่าให้เราสนด้วยซ้ำ


เคยเป็นแค่โรคซึมเศร้าค่ะ แต่ว่าหายนานแล้ว เอาเข้าจริง เราเปิดรับโรคซึมเศร้ามากนะคะ ทั้งเคยเป็นแถมคนรอบตัวก็มีแต่คนเป็นโรคซึมเศร้า แม่เราก็เป็นพ่อเราก็เป็น คนในครอบครัว และเพื่อนในโลกออนไลน์ก็เป็นเยอะมากเลยค่ะ


ถึงในเนื้อความมันอาจจะดูสื่อว่าเราอยากตาย แต่ไม่มีประโยคไหนนะคะว่าเราอยากฆ่าตัวตาย เราแค่เกริ่นไปเล็กน้อยว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่


เราคิดอีกว่า การฆ่าตัวตายมันดูสวยงามจริงๆหรอ ทั้งๆที่ดูไม่มีค่าอะไรเลย อาจจะฟังดูเป็นเด็กเบียวๆ ก็ตามแต่ แต่มันคิดจริงๆ


เราไม่ได้เกลียดอย่างเดียวด้วยนี่สิคะ ทั้งรักทั้งเกลียด

อาจจะฟังดูบ้าๆ แต่เราชอบความเจ็บปวดค่ะ บางทีก็เกลียด ขยะแขยง แต่รู้สึกขาดมันไม่ได้เลย

เหมือนโรคจิตเลยนะคะ แต่เรารู้ตัวเองดีเลยค่ะว่าเป็นปกติสุดๆ

เรื่องไปพบจิตแพทย์เราบอกคุณแม่ไปแล้วค่ะ ว่าอยากลองไปพบเหมือนกัน อยากจะลองเปิดโลกอีกฟากของคนมีความรู้อะไรแบบนี้ ปลายปปีก็คงได้ไปพบค่ะ


บางทีก็นับถือพวกที่ไม่มีอะไรดีในชีวิตแต่ก็ยังมีเป้าหมาย มีบางสิ่งบางอย่างที่ยึดติดและผูกมัดตัวเองไว้ได้

แต่กลับมาที่เรา ไม่มีอะไรยึดไว้เลย จะทิ้งก็ทิ้งได้ง่ายๆ จะเบื่อก็เบื่อเอาได้ง่ายๆ https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-08.png


ก็ประมาณนี้น่ะค่ะ แฮร่ https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-08.png

0
เกย์อักษรฯเอกปรัชญา 10 ก.ย. 60 เวลา 15:38 น. 1-2

มาเล่าประสบการณ์ด้วยคน เราก็เป็นแบบพวกเธอๆเลยล่ะ แต่ตอนนี้เราประสบความสำเร็จในการหาความหมายให้กับชีวิตเราได้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องสร้างให้ได้ด้วยตัวเอง เราโดนทางบ้านกดดันให้เรียนแพทย์ แต่เราดื้ออ่ะ ตอนนี้โตขึ้นมาก็เริ่มสำนึกได้แล้วว่าน่าจะตั้งเป้าเรียนแพทย์ไปก็ดี แต่ตอนนั้นเรามีปัญหาทางใจหนักมากเหมือนกัน มันเป็นเสียงเงียบๆในหัวใจที่ไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้ ตอนนี้เราเรียนปรัชญาที่อักษรฯจุฬา มันช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นมากเลยจริงๆนะ เพราะที่ภาควิชาปรัชญาเนี่ย อาจารย์ใจดีทุกท่านเลย คนเรียนกันน้อยด้วย คลาสนึงมีเรียนกันแค่ 3-4 คนเอง เพื่อนๆคนอื่นๆก็เรียนภาษาต่างประเทศกันหมด อาจารย์ปรัชญาจะให้เราแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่เขียนลงไปเลย 10 กว่าหน้าส่ง ตอนตรวจเปเปอร์ท่านก็ให้ความใส่ใจรอบคอบดูแลทุกตัวอักษรที่เราเขียนเลยจริงๆ ท่านเขียนความเห็นแนะนำ ชี้จุดอ่อนการคิดของเราได้อย่างละเอียดยิบ คุ้มค่ามากๆที่มาเรียนที่นี่ คือมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นอภิชนเลยจริงๆ ตอนช่วง ม.ปลายก่อนเราเข้ามหาวิทยาลัยเราไปพบนักจิตวิทยา แล้วเขาบอกว่าการเป็นเกย์เนี่ยไม่ปกติต้องรักษา แล้วก็พาเราไปบำบัดนั่นนี่ แต่สุดท้ายมันก็ไม่หาย! เพราะมันไม่ใช่โรคอ่ะ พอเรามาเรียนปรัชญา อ.ที่สอนปรัชญารักษาเราหายเลย ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง ทำให้เรารู้ว่าพวกนักจิตวิทยาก็ไม่ได้ถูกเสมอไป พวกนี้ใช้อำนาจในการกำหนดว่าอะไรเป็นโรคและกดขี่คุกคามจิตใจคนที่ถูกคิดว่าเป็นโรค แต่จริงๆแล้วไม่ได้เป็น เพราะอย่างกรณีการเป็นเกย์ไม่ใช่อาการผิดปกติใดๆ นอกจากนี้การเรียนปรัชญายังทำให้เรารู้ว่าการคิดแบบไหนที่ถูก คิดแบบไหนที่ผิด มันไม่ใช่ว่าทุกความคิดจะยอมรับกันได้ ความคิดที่ยอมรับได้ต้องมีเหตุผลมาสนับสนุนแน่นหนามากพอ และปรัชญาทำให้เราตัดสินใจวางแผนทำในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ดีต่อทั้งตนเองและคนรอบข้าง สอนให้เราไม่เชื่ออะไรง่ายๆไม่โดนคนอื่นหลอก สอนให้วางแผนเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆอย่างมีคุณธรรมกำกับ สอนให้รู้ว่าภาษาถ้อยคำที่เราไม่เคยพบเคยเจอเผยให้เห็นถึงสัจธรรมที่จริงเสียยิ่งกว่าจริง เผยให้รู้ว่าผู้คนในสังคมโดนล้างสมองกันอยู่หลายเรื่อง สังคมมีคตินิยมทีเป็นผลเสียต่อทุกๆคน แต่ผู้คนทั่วๆไปไม่รู้ตัวว่าตนเองดำรงไว้ซึ่งคตินิยมเหล่านั้น...

ขอพิมพ์แค่นี้ก่อนนะ หากอยากคุยกับเราต่อก็ลองชวนเราคุยต่อดูได้นะจ้ะ เดี๋ยวซักพักจะมาอ่านต่อ:D

0
Na-ze 10 ก.ย. 60 เวลา 18:59 น. 1-3

ชอบจังค่ะ///-/// ยินดีด้วยนะคะที่พบความหมายในชีวิต อิจฉาจังเลยค่ะ มีอาจาร์ยที่ใส่ใจขนาดนั้น

เราชอบความปรัชญาการใช้ชีวิตของคนมีความรู้มากๆ

เคยมีประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมาปกติเราก็อ่านหนังสือปรัชญาบ้างอะไรที่มันไร้สาระบ้าง หรืออะไรก็ตามที่นักเรียนปกติไม่ค่อยอ่านกัน พอมีเพื่อนมาเห็น สงสัยเหมือนกันนะคะ ทำไมต้องพูดดูถูก แบบ อ่านอะไรของxึงวะ ไม่เห็นรู้เรื่องบลาๆๆ อ่านแต่อะไรมีสาระชีวิตจะไม่มีความสุขเอานะ

ทำไมถึงคิดว่าคำพวกนี้เหมือนดูถูก คงเป็นเพราะท่าทางของพวกเขาที่ไม่ใส่ใจแล้วยังชอบมองมาที่เราในสายตาที่ดูกดต่ำ มันก็น่าตลกพวกเขาดี ท่าทางที่ทำไปโดยไม่รู้ตัวก็น่าอัศจรรย์ดี ไม่รังเกียจนะคะ ออกจะประทับใจมากกว่า


เรายึดติดกับคำนี้มากค่ะ ความคิดใครความคิดมัน มันเปลี่ยนกันไม่ได้ แต่เรากลับเชื่อว่าสามารถโน้มน้าวความคิดคนอื่นได้ เคยลองทดลองกับใครคนนึงในชีวิตดูแล้ว สามารถเปลี่ยนเขาได้จริงๆ แต่มันไม่ใช่แบบที่คิดสักนิดเลย ทำให้รู้สึกว่าเสียเวลาชีวิตกับการทำอะไรแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เราเริ่มปลีกตัวออกมาจากสังคมในห้องเรียน เรารู้สึกเราเข้ากันกับพวกเขาไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะมุมมอง ความชอบ การเรียน


เราโชคร้ายที่มาอยู่ในห้องที่ตกต่ำที่สุดในสายชั้น(เลือกเข้าห้องนี้เอง แต่คนในห้องนัดกันมาเข้าโดยที่รู้จักกันมาก่อน) ทุกๆอย่างตรงข้ามกันหมด(เป้าหมายการเรียน ความชอบ พื้นฐานมารยาท)

แต่ในช่วงแรกๆ ทุกคนดูสนิทกันไว เกาะกลุ่มเป็นกลุ่มใหญ่ๆ แต่เราไม่มีที่สิงเป็นหลักแหล่ง เพื่อนเก่าก็ไม่มี ย้ายไปเรียนห้องอื่นกันหมด แต่ถ้ามีคนมาทักหรือพูดคุย ก็ทำความรู้จักได้ไว และพูดคุยได้เหมือนคนปกติ ออกจะไปแนวชวนคุยเก่งด้วยซ้ำ การที่ต้องอยู่กับคนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้อึดอัดนะคะ แค่รู้สึกว่า พื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเราเลย เขาก็ไม่ได้ทำท่าไล่เราหรือยื้อให้เราอยู่ แต่กลับอยากออกไปเอง


ในช่วงม.ต้น เราคิดว่า อยากได้เพื่อนเยอะๆสนิทกับหลายๆคนจังนะ แต่มันก็เพ้อฝันชนิดหนึ่ง สุดท้ายเราก็ชอบที่จะอยู่กับคนกลุ่มน้อยมากกว่า อยู่กับคนกลุ่มมากกลับรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว


ทัศนะคติของคนที่เรารู้จักเหมือนความรู้ของเด็กๆที่ชอบมาเกทับความจริงของโลก

ต่อให้เราแนบเอกสารอ้างอิงต่างๆนาๆที่เป็นที่ยอมรับหมดแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะอ่านหรอกค่ะ ความชอบมันฝืนให้อ่านไม่ลง


และสุดท้ายผ่านไปไม่ถึง2เดือน กลุ่มใหญ่ที่ว่าก็แตกย่อยเป็นกลุ่มเล็กมายมาก สุดท้ายที่พวกเขาพยายามผูกมิตรกันในตอนแรกคืออะไร สุดท้ายแม้แค่ตอนพักเที่ยงหน้ายังไม่ยอมมองกัน ตอนเรียนก็ไม่พูดคุยกัน ต่างคนต่างอยู่ในคอกของตัวเอง เหมือนกับว่าต่างฝ่ายต่างแค้นอะไรกัน ทั้งๆที่ไม่มีมูลเหตุอะไรเลย ส่วนเราที่ไม่มีมิตรอยู่ตั้งแต่ต้น ก็รู้สึกชินกับการอยู่แบบนี้(แต่มีเพื่อนอีกคนนึงที่ไม่มีกลุ่มอยู่หลังจากเพื่อนแยกกลุ่มกันมาอยู่ด้วย)


สุดท้ายแล้ว เราก็ยังไม่เข้าใจความคิดมนุษย์จริงๆ ซับซ้อนเกินกว่าจะเสียเวลาไปคิดมันเลยค่ะ บางคนก็ง่ายเหมือนเขาผ่าความคิดมาให้ส่องง่ายๆ บางคนก็เก็บไว้เหมือนเป็นธาตุที่หายากมากๆจนให้ใครดูไม่ได้

0
เกย์อักษรฯเอกปรัชญา 11 ก.ย. 60 เวลา 22:34 น. 1-4

วิชาปรัชญาถือเป็นวิชาการเลยล่ะเธอววว ไม่ได้ไร้สาระอะไรเลยจริงๆ แต่กลับมีสาระมากๆ คือเราจะบอกว่ายังไงดีให้นึกภาพออก คือแบบว่าปรัชญามันไม่ใช่หนังสือที่วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปนะ คือคนเขียนหนังสือหรือให้สัมภาษณ์เขาชอบบอกว่าวิธีคิดเขาเป็นปรัชญาๆๆ แต่จริงๆแล้วปรัชญาวิชาการเนี่ยจะล็อคเนื้อหาสำคัญไว้ว่าจะต้องเรียนอะไร เช่น อภิปรัชญา ญาณวิทยา สุนทรียศาสตร์ ตรรกวิทยาสัญลักษณ์ เป็นต้น หรือหากเป็นงานเขียนทางปรัชญาก็เช่น งานเขียนของเพลโต้ งานเขียนของอริสโตเติ้ล อย่างนี้เป็นต้น เราขอเดาว่าที่เธอบอกว่าเคยอ่านอะไรที่เป็นปรัชญามา เธอคงจะยังไม่ได้แตะหนังสือวิชาการข้างต้นที่เราว่ามาเลยใช่ไหม?

วิชาในคณะอักษรฯที่เราเรียนจะได้เรียนเกี่ยวกับเนื้อหามนุษยศาสตร์ล่ะ คือนอกจากเรียนภาษาแล้วเนี่ย ยังต้องเรียนปรัชญา ประวัติศาสตร์(ที่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ด้านเดียวแบบในโรงเรียนแต่เป็นการตีความ การอภิปรายอย่างลึกซึ้งรอบด้าน) วรรณคดี(ซึ่งก็ไม่เหมือนในโรงเรียนอีกแล้ว เรียนเพื่อแสดงมุมมองจุดยืนของตัวเองโดยการประกอบเหตุผลด้วยองค์ประกอบศิลป์ในวรรณคดี) ภาษาศาสตร์(หลายคนพอฟังคำนี้จะชอบคิดว่าเป็นการเรียนหลายๆภาษาพร้อมกันซึ่งผิดถนัด ภาษาศาสตร์คือการศึกษาภาษาในฐานะปรากฏการณ์คล้ายๆปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์)


อันที่จริงอย่างชื่อกระทู้นี้ที่ว่า "ไม่มีชีวิต ดีกว่ามีชีวิตอยู่" หากให้เราศึกษาข้อความนี้ว่ามันจริงไหม ก็คงตอบว่าไม่จริง แต่เราไม่อยากจะปฎิเสธใส่แรงๆอ่ะนะ เพราะเรารู้ว่าโทนเสียงและใจความสำคัญของกระทู้ก็คือคนตั้งอยากจะระบายความในใจหรือหา soul mates เพื่อนร่วมชะตาชีวิต อย่างนั้นเสียมากกว่า

เราเลยเลือกใช้ภาษาถ้อยคำที่แสดงออกทางอารมณ์ แสดงความอ่อนไหว เพื่อให้เราๆในนี้กล้าเปิดใจคุยกันได้


เรื่องโน้มน้าวมันก็ไม่ใช่การพูดอะไรครุมเครือครอบจักรวาลแล้วไปหวังผลลมๆแล้งๆว่าพฤติกรรมของคนที่เราไปพูดด้วยมันจะเปลี่ยนไป คือมันไม่ใช่แบบนั้นอ่ะนะ! การโน้มน้าวในที่นี้คือการกล่าวประพจน์ทีละหนึ่งประพจน์แล้วประกอบเหตุผลว่ามันจริงหรือเท็จ หรือมันถูกศีลธรรมหรือผิดศีลธรรม ต้องบอกก่อนว่าแค่ 1 statement ที่มีคนเห็นด้วยไม่ได้เท่ากับเป็นการทำให้คนที่เห็นด้วยเปลี่ยนพฤติกรรมโดยรวมนะ เธอลองนึกว่าข้อกฎหมายหนึ่งมาตราที่มีคนเห็นด้วยเนี่ย มันเปลี่ยนนิสัยใจคอคนไปได้มากสักเท่าไหร่ อย่างเช่นถ้าเธอเห็นด้วยว่าห้ามละเมิดสิทธิคนอื่น การที่เธอเห็นด้วยนี่มันจะทำให้นิสัยของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนสังเกตได้อะไรขนาดนั้นเลยหรอ!? บ้าป่ะ!? (เราเริ่มแรงแระ โทษทีๆ แต่เราอยากให้เธอเห็นประเด็นว่าการเรียนปรัชญามันไม่ใช่ว่าเรามีคำพูดวิเศษเปลี่ยนคนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จะมาหวังอะไรอย่างนั้นไม่ได้)


ที่เธอว่าบางคนมีความคิดหมือนผ่าให้ส่องง่ายๆเนี่ย ก็ไม่ใช่แล้ว เธอไม่ได้ไปเห็นข้อมูลในสมองของเขาทั้งหมด เธออาจจะถูกหลอก หรือเขาพูดแสดงออกมาไม่หมด แล้วรู้ไหมความเงียบนี่ก็เป็นภาษานะ เขาเงียบเพื่อป้องกันตัว เขาเงียบเพื่อปกปิดข้อมูล เขาเงียบเพื่อชี้นำให้เธอคิดกับเขาไปอีกทาง แบบนี้ก็มี หรือบางคนแสดงท่าทางเป็นมิตรสุดๆแต่ลึกๆแล้วแค่ตัวเขาเองคนเดียวที่รู้ดีว่า "มันก็แค่การแสดง" นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมคนเราพอแต่งงานกันแล้วก็ได้หย่าร้างกัน ก็เพราะคนเหล่านี้คิดตื้นๆคือคิดว่าคบหาดูใจกันใช่แล้วมันจะต้องใช่สุดๆไม่ผิดแน่ แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่ เพราะธาตุแท้มันต้องดูกันยาวๆถึงจะเผยให้เห็น


เราเห็นความคิดที่เธอโฟกัสกับเรื่องเพื่อนๆในห้องแล้ว เราก็รู้แล้วล่ะว่าเธอมีความคิดเป็นเด็กๆอ่ะนะ คือตอนนี้เราคงต้องแรงแล้วพูดออกมาเลย

0
Na-ze 12 ก.ย. 60 เวลา 20:23 น. 1-5

อื้อออ ไม่เป็นค่ะ เราก็รู้ตัวว่าเด็กจริงๆ ก็เด็กจริงๆนั่นแหละ 5555+ เราถึงชอบการพูดคุยกับคนอื่นไงคะ เพราะจะได้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกบ้าง ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองถูก แต่ในช่วงกลางๆข้อความ พี่พูดเข้าใจยากนะคะ แทบไม่เข้าใจเลย แต่พออ่านรวบๆก็พอเข้าใจแค่นิดเดียว---- แค่ก

ขอบคุณนะคะ ที่มาคอมเม้นคุยเล่น /////-//////

ถึงจะบอกว่าอ่านก็เถอะ แต่เราไม่อ่านอะไรที่ปรัชญาจริงๆนะคะ ถ้าอ่านจริงๆมีหลับค่ะ อ่านที่ว่าคงเป็นตามเน็ตมากกว่า อะไรสนุกก็อ่าน

ส่วนข้อความว่าผ่าให้เห็นเนี่ย เราพูดก็เกินจริงไปนั่นแหละค่ะ พอกลับไปอ่านเออ ก็คิดนะ เราพิมพ์อะไรลงไป555555555555555555+ เปลี่ยนใครบางคนไปเราไม่ได้เปลี่ยนไปอะไรแบบนั้นนะคะ คงประมาณว่า แค่ลองเปิดโลกของเขาให้รู้จักโลกของเราความชอบของเราเฉยๆน่ะค่ะ 5555555+

เราเหงาจริงๆนั่นแหละค่ะ เพราะพูดอะไรทำนองนี้กับคนอื่นไม่ได้เลย 555555555+


0
Na-ze 12 ก.ย. 60 เวลา 20:30 น. 1-6

แล้วก็ ตอนนี้เรามีอยู่แค่สังคมเดียวค่ะ คือสังคมโรงเรียน เราเลยไม่รู้จะพูดอะไรกับใครทีไหนแล้ว รอบตัวก็มีแค่เพื่อนค่ะ นี่ขนาดแค่สังคมเล็กๆเรายังจัดการไม่ได้ ก็เลยรู้สึกเศร้านิดหน่อยน่ะค่ะ /////-////

0