Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

(ชวนคุย) ดึกๆแบบนี้มาเล่าเรื่องผีกันหน่อยดีกว่า

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ชีวิตนี้ธัญก็ไม่เคยเจอผีหรอกค่ะ ได้ยินแต่คนรอบข้างเล่าให้ฟัง แล้วเพื่อนๆล่ะคะเคยเจอประสบการ์ณสยองอะไรกันบ้าง มาเล่าสู่กันฟังหน่อยเร็วเข้า!!

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

TrueLoveKiss 23 ก.ย. 60 เวลา 22:42 น. 1

ตอนม. 4 เคยฝันว่ามีผี จะมาเอาไปอยู่ด้วย (ตอนนี้อยู่ปี. 4 แล้ว เรื่องยาวนะคะ ถ้ามีเวลาอ่านก็โอเค)



ตอนนั้นน่าจะวันเสาร์ค่ะ กลับจากซ้อมวงโยมาเหนื่อยๆ เลยอาบน้ำ กินข้าว เข้านอนไว



ทีนี้ก็ฝันค่ะ


ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงตัวเอง แล้วมีผู้หญิง ใส่ผ้าคลุมยาวๆขาวๆ ผมยาวบังหน้า

นอนอยู่ฝั่งขวามือ ทีนี้นางก็ลุกขึ้น เขย่าแขนเราให้ตื่น แล้วบอกว่า "ส่งเราไปห้องน้ำหน่อย"

เราก็บอกว่า "ไปเองไม่ได้เหรอ? คนจะหลับจะนอน"

นางก็ตอบว่า "ห้องน้ำอยู่นอกบ้าน ข้างนอกมันมืด ไปส่งหน่อย"

(ห้องน้ำจริงๆ ก็อยู่ข้างนอกบ้านค่ะ)

เราก็เลยเออก็ได้วะ ลุกขึ้น นางก็รีบดึงแขนเราไปเลย

พอใกล้ถึงห้องน้ำ นางดันพาเดินตรงออกนอกบ้านซะงั้น

เราก็ถามนางว่า "จะไปไหน? ปวดฉี่ไม่ใช่เหรอ? เลยห้องน้ำแล้วนะ"

นางก็ตอบว่า "ไม่เป็นไร ไม่ปวดแล้ว"

เราก็แบบอะไรของมันวะ

ที่นี้อยู่ดีๆภาพก็เปลี่ยนเฉยเลย จากมืดๆสภาพเหมือนบ่ายสองกว่า

แถมเราไปโผล่ตลาดที่ไหนก็ไม่รู้ คนเยอะแยะแต่ไม่มีใครเห็นเรา

แล้วภาพก็เปลี่ยนอีก กลายเป็นทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้

หลากหลายสีสัน สวยมากๆ เอาแบบเราเคลิ้มจริงๆเลยในฝัน

เราก็ก้มๆดูดอกไม้ แล้วพูดว่า "ที่นี่สวยจัง สวยมากๆ อยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย"

นางก็พูดว่า "งั้นก็มาอยู่ด้วยกันสิ มาอยู่กับฉัน ตลอดไปเลย แค่เราสองคน"

เราก็เงยหน้าหันไปมองทางนาง


ทีนี้เราเห็นนางยืนอยู่ หน้าประตูบานใหญ่ๆที่นางเปิด ข้างในมืดมาก ไม่เห็นอะไรเลย

นางค่อยๆยื่นมือขวานางออกมา

สักพักเราก็เริ่มรู้สึกมึนๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปหานาง

พอใกล้มากขึ้นเราคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ มือขวาค่อยๆยื่นออก

อีกไม่กี่เซ็นติเมตรจะแตะกับมือนาง...



อยู่ดีๆภาพก็กลับมาที่เรากำลังนอนอยู่บนเตียงตัวเอง

แล้วหันขวาไป เราเห็นผู้ชายตัวสูง ใส่ชุดขลุย สวมชฎา บนบ่าซ้ายแบกผู้หญิงที่เราเห็นในฟัน

แล้วอยู่ดีๆก็โยนผู้หญิงคนนั้นลงบนเตียงเรา

แขนนางมาพาดใส่ขาขวาเรา ที่คลุมผ้าห่มไว้จนผ้าห่มยุบ

แล้วผู้ชายคนนั้นก็ชี้ไปที่ผู้หญิง แล้วตะโกนเสียงโมโหว่า...


"ม-ง อย่ามายุ่งกับคนของกู!!! เค้าเป็นคนของกู!!! ม-งมาทางไหน-กลับไปทางนั้น!!!

กูดูแลพวกเค้าอยู่ -มายุ่งกับคนของกูอีก-เจอดีแน่!!!"


แล้วเราก็สะดุ้งตื่นเหงื่อเต็มตัว รีบเปิดไฟเพราะกลัวจริงๆ พอเปิดไฟก้มลงไปมองที่ขาขวา

คือผ่าห่มมีรอยยุบเหมือนมีแขนมาพาดไว้จริงๆ คืนนั้นเปิดไฟนอนเลยค่ะ



(มีอีกเรื่อง แต่อีกเรื่องไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แอบฮาตัวเองในฝันอยู่ จะมาเล่าต่อพรุ่งนี้เช้านะคะ)

2
rattiyaphasamon 23 ก.ย. 60 เวลา 23:31 น. 1-1

ขนลุกเลยค่ะ ตอนมาอยู่ด้วยกันสิ ยิ่งอ่านตอนห้าทุ่มด้วย

0
Jaonai99 23 ก.ย. 60 เวลา 22:42 น. 2

ไม่เคยเจอจริงๆจังๆ เคยแต่ฝันถึงเรื่องที่น่ากลัวสำหรับเรา (แถมเป็นฝันซ้อนฝัน) อาจตะยาวสักนิด เราเคยฝันว่าเรากลับบ้านที่ตจว. ในฝันมันประมาณยุคสมัยก่อนที่เป็นบ้านไม้เก่าๆยกใต้ถุนสูง

ซึ่งไม่ใช่บ้านของเรา(ในความเป็นจริง) พอเราไปถึงบ้านหลังนั้น ก็มีคนมาเรียกให้เราไปหาใครคนนึง(คนที่มาเรียกเอ่ยชื่อคนที่ใช้ให้มาเรียกด้วย แต่เราจำไม่ได้) รู้แค่ว่าพอได้ยินชื่อนั้นแล้วเราขนลุก แล้วรู้สึกไม่อยากไป แต่เราก็เดินตามเค้าไปนะ (บ้าดีแท้5555) พอไปถึงก็เจอบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้ใต้ถุนเตี้ย เป็นเพิงหมาแหงนแบบโรงลิเกสมัยก่อน ทีนี้ก็มีหญิงแก่แต่ไม่มากเท่าไหร่ มวยผมถูกม้วนไปไว้บนหัว ใส่ชุดล้านนาสีดำ ขอบตาลึกโหล หน้าซีดๆตอบๆ ดวงตาน่ากลัว ค่อยๆคลานออกมานั่งตรงริมขอบหน้าบ้าน แล้วกวักมือเรียกเรา แล้วก็พูดว่า "เข้ามานี่สิ เข้ามาใกล้ๆ" เราตอนนั้นคือส่ายหน้า ไม่ไป ให้ตายก็ไม่ไป จำได้ว่าน้ำเสียงเย็นๆ เรียกแบบชัดถ้อยชัดคำมาก แล้วสักพักก็ขึ้นเสียง เค้าพูดว่า "บอกว่าให้เข้ามา!" ตอนนั้นในฝันคือสับเท้าวิ่งเลยอ่ะ แล้วเราก็ตื่น แต่มันยังไม่จบ มันคือฝันซ้อนฝัน เพราะในฝันนั้นเราตื่นแต่ลืมตาไม่ได้ (ยังไม่ตื่น ในโลกความจริงกำลังหลับอยู่) เราจำได้ว่าเรานอนหนุนตักแม่ แล้วปากก็เล่าให้แม่ฟังว่าเจอใคร แล้วแม่ก็เอามือลูบหัวเรา เหมือนแม่เอาพู่กันหรืออะไรสักอย่างจุ่มน้ำแล้วมาเขียนบนหน้าผาก คือรู้สึกว่าเป็นน้ำถูกเขียนบนใบหน้าจริงๆ แล้วเราก็สะดุ้งตื่นจากฝันซ้อนฝันอันนั้น



เรื่องที่เล่ามีเท่านี้ ไม่รู้สยองพอไหม 555

1
rattiyaphasamon 23 ก.ย. 60 เวลา 23:34 น. 2-1

หู...ตอน เข้ามานี่อ่ะเห็นภาพชัดมากค่ะ มาทั้งภาพทั้งเสียง ขนแขนสแตนอัพเลย

0
White Frangipani 24 ก.ย. 60 เวลา 03:13 น. 3

ชีวิตนี้ธัญก็ไม่เคยเจอผีหรอกค่ะ ได้ยินแต่คนรอบข้างเล่าให้ฟัง แล้วเพื่อนๆล่ะคะเคยเจอประสบการ์ณสยองอะไรกันบ้าง มาเล่าสู่กันฟังหน่อยเร็วเข้า!!



สวัสดีค่ะ


คุณอาจจะเคยเจอก็ได้ค่ะ แต่คุณไม่ติดใจสงสัย หรือคุณไม่เชื่อเรื่องผี...แบบนั้นหรือเปล่าเอ่ย


เพราะว่าจริงแล้วการเห็นผีเป็นความเชื่อส่วนบุุคคล(คือเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นได้ ทั้งผี และความเชื่อเลยด้วย เจ้าของเม้นต์เข้าใจแบบนั้นค่ะ)


เจ้าของเม้นต์เชื่อ ศรัทธา...เรื่องผี หรือเรื่องของจิตวิญญาณ หรือดวงวิญญาณนะคะ เป็นความเชื่อส่วนบุุคคล(คือความเชื่อนี้เกิดขึ้นได้เป็นธรรมชาติในจิตใจของคน เป็นความศรัทธาแบบนั้นค่ะ รู้ด้วยว่าบางครั้งก็เห็นผีจริงๆ แต่บางครั้งก็หลอกตัวเองไปก่อนเลย...5555 เพราะความกลัวค่ะ เมื่อตอนเป็นเด็กๆนะคะ)


ตอนนี้โตแล้ว ไม่กลัวแล้วค่ะ ...เหลือเพียงความเชื่อ ความศรัทธา...หากผีมาหลอกต้องหาเหตุผลให้ได้ว่านั้นเป็นผีจริงๆ หรือว่าเรานะหลอกตัวเอง เมื่อหาสาเหตุพบ...รู้ได้ว่าผีมาหา มาเยี่ยมหรือทำให้เห็นก็ยินดียิ่งค่ะ คุกเข่าลงกราบ และกรวดนํ้าทำบุญไปให้เขา อธิษฐานให้เขาไปสู่สุขคติ


หรือสำหรับดวงวิญญาณที่ไม่ใช่เกิดจากวาระกรรมเวรที่ต้องดับไปคือยังคงลอยๆคว้างๆอยู่...เขาเป็นอะไรเราไม่ทราบได้...ว่าเป็นเพราะอะไรเขาต้องเป็นแบบนั้น...แต่ก็ตั้งใจอธิษฐานให้เขาจง...สถิต...ต่อไปด้วยความสงบค่ะ


หลายๆครั้งที่รู้สึก สัมผัสได้...จากพลัง...ซึ่งเราๆมนุษยชาติให้ชื่อว่า...พลัง... หรือกระแสของสิ่งที่เคยมีชีวิต(หรืออาจจะไม่มีชีวิต) ซึ่งเราๆเรียกสิ่งนี้ว่า...ผี...นะคะ


หลายๆครั้งไม่เห็นค่ะ แต่สัมผัสได้ เขาเข้าไปปะทะความรู้สึก หรือเข้าไปปะทะที่จิตใจของเรา บางรายชัดเจนมากจนเราสะดุ้ง(ตกใจ ตามมาด้วยขนหัวลุกซู่ๆ)


บางรายรุนแรงมากเป็นพลังปะทะเข้าที่จิตสำนึก(โสตประสาทของเรา) วิ่งเข้ามาปะทะแรงมากๆจนร่างกายของเรามีปฎิกริยา...เช่นกล้ามนี้แขนขากระตุก...แบบนั้นค่ะ เมื่อก่อนๆเป็นคนดื้อรั้น ไม่เชื่อ ไม่เคยเชื่อ ไม่เคยศรัทธา ยังเถียงๆด้วย (ตะโกนด่าผีเลยด้วยค่ะ บอกว่าจะจับผีนะ ส่งลงนรกให้หมดเลยด้วยค่ะ5555)


จนบางครั้งเคยโดนหนักๆจนตนเองต้องลงไปนอนกลิ้งร้องโอยๆเจ็บปวดทั้งตัวและหัวใจ ผู้หลักผู้ใหญ่พาไปโรงพยาบาล(หาหมอ) เพื่อตรวจเช็คว่าเกิดเป็นโรคอะไรกันแน่ เช่น เป็นลมบ้าหมูหรือไม่นะ 555


แต่ก็ไม่พบอาการของโรคแต่อย่างใด และบางครั้งเกิดเหตุขึ้น อาการหนัก...ลงไปนอนร้องโอยยยเจ็บจนตาดำหลบไป เหลือนิดเดียว เหลือแต่ตาขาว(ถูกผีเข้า ผู้ใหญ่เข้าใจแบบนั้น5555) เขาก็นำดอกไม้ธูป และเทียนมาใส่มือให้...และเรียกชื่อเรา...ขอให้ตั้งสติ ขอให้ต่อสู้เพื่อสติ...ของตน...ไม่ว่าจะมีอาการสับสนก็ตามที...เพราะไม่มีอะไร หรือไม่มีใครช่วยเราได้...ทุกคนทำได้คือเพียงยืนดู


คุณยายบอกให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย...พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้จงได้หากเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น...ไม่ว่าจะอยู่ณ.ที่ใด...นั้นที่จะช่วยให้เราสามาถยึด หรือดึงสติของเรากลับมาได้...คือคุณยายสอนให้เอาพระรัตนตัรยเป็นที่พึง หรือเป็นที่ยึดเหนี่ยวของสติ...เมื่อถูกรบกวน...ไม่ว่าจะถูกรบกวนโดยผี หรือโดยสิ่งต่างๆรอบๆตัว แบบนั้นค่ะ


ทั้งหมดนี้คือที่มา...เกิดเป็นความเชื่อ เป็นความศรัทธาซึ่งมีขึ้นในเวลาต่อมา...เมื่อตนหาสาเหตุหลักฐานให้กับตนเองได้ว่า...มีการทักทาย หรือเยี่ยมเยียน หรือเราบังเอิญไปอยู่ในที่ ที่มีจิตวิญญาณ หรือดวงวิญญาณ หรือที่เราเรียกว่าผีนะคะ


พบเจอบ่อยๆ บ่อยๆมากๆ จนตนเองเหนื่อย เพลีย แต่มาวันนี้ลดน้อยลงแทบจะไม่รู้สึกอะไรได้แล้ว...เพราะตั้งใจอธิษฐานให้มันจาง หรือเบาบางลง...และนั้นช่วยได้จริงด้วย แปลกมากเลย



(เข้าใจว่าเมื่อสามารถสื่อได้...ก็เป็นธรรมชาติที่จะสัมผัสได้...ทั้งหมดนี้อาจจะมีสาเหตุมาจากความเชื่อ...ความศรัทธา เป็นตัวขับเคลื่อน เชือแบบนั้นค่ะ)




ข้างบนนั้นเป็นความเชื่อ ความศรัทธาส่วนบุุคคลค่ะ




~~~~~~~~~~~





จะเล่าเรื่องที่เคยเห็นสักเรื่องดีกว่านะ หากคุณอยากอ่าน...แลกเปลี่ยนกับเพื่อนคนอื่นๆนะคะ


และก็อาจจะยาวๆมากๆๆๆๆ ด้วยค่ะ


เมื่ออายุประมาณ15 หรือ 16ปี ไปบ้านไร่ซึ่งอยู่ไกลจากความเจริญมากๆ เนื้อที่กว้างมากๆประมาณ200กว่าไร่ (จริงแล้วกว้างมากๆเวิ้งว้างเพราะเป็นป่า และเทือกเขา) หากแต่มีหมู่บ้านอยู่ห่างๆ ห่างมากพอสมควร


และที่แห่งนี้ได้ถูกสร้างเป็นโรงงานในพื้นที่ส่วนหนึ่ง ที่เหลือถูกจัดสร้างให้เป็นบ้านพักตากอากาศ เรา(เจ้าของเม้นต์)รักการขี่ม้ามากๆ จึงขอให้ผู้ใหญ่สร้างคอกม้าและขอให้ซื้อม้าไปไว้ให้ มาเที่ยวเมื่อไรก็ได้ขี่ม้า สนุกชอบมากๆ


ความที่เป็นคนที่ซุกซน ไม่เคยกลัวอะไร ไม่กลัวการเดินทางคนเดียว ไม่กลัวความเปล่าเปลี่ยว ไม่กลัวความมืด ไม่กลัวที่จะแอ็ดเวนเจ่อร์ คือชอบการค้นหา...หรือเดินทางไปในธรรมชาติ...สนุกเพลิดเพลิน ตื่นเต้นชอบแบบนั้นค่ะ


อยู่มาวันหนึ่ง...ก็มีอารมณ์อยากขี่ม้าเพื่ออกเดินทางไปไกลๆ เข้าป่า ขึ้นเขา ลงห้วย ชอบมากๆ เตรียมอาหาร นํ้า จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นกระโดดขึ้นลงม้าคู่ใจแต่เช้าตรู่ (แต่ก็ได้สั่งกับคนงานไว้ค่ะว่าจะออกไปข้างนอกไร่ คือไปป่ากับม้า เป็นอดิเรกที่ทุกคนรู้ว่าเรานะชอบมากๆ)



เดินทางครึ่งค่อนวัน หยุดบ้าง ลงนอนเล่นอ่านหนังสือที่นำไปด้วยบ้าง สนุกมากๆ


เมื่อเวลาคล้อยบ่ายๆก็ตั้งใจจะกลับบ้าน...และไม่อยากให้คํ่ามากนะ เพราะเราเป็นผู้หญิงด้วยเกรงว่าทุกคนจะเป็นห่วง(เดี็ยวถูกดุซึ่งเป็นปรกติเลย เรานะซนมากๆถูกดุเป็นประจำ อยากที่จะลดๆดีกรีความซุกซนนี้ลงบ้าง คิดแบบนั้น)


คิดแล้วก็จัดการบังคับให้ม้าหันหน้าลงเขาเพื่อเดินทางกลับบ้าน


แต่เรานะก็มาไกลมากพอสมควรเลย ก็เดินทางตั้งครึ่่งค่อนวันนี่นะ


บังคับม้าวิ่งลงเขาให้เร็วคล้ายคาวบอยเลยด้วยค่ะ555 คือเร็วมากๆ แต่ก็สนุกนะ (หากไม่ตกจากหลังม้านะ หากตกลงมาและบาดเจ็บยุ่งแน่ๆไปคนเดียวด้วย อีกไม่นานพระอาทิตย์จะตกดิน)


บังคับม้าลงเขามาเรื่อยๆ ควบวิ่งบ้าง ให้เดินเยาะๆบ้าง ในที่สุดก็มาถึงที่ราบ...คือเชิงเขา ใจชื่นขึ้นมาว่ายังไม่คํ่านะ สงสารม้าที่ต้องเดินบ้างวิ่งบ้างโดยมีเรานี่งอยู่บนหลังทั้งวัน หนักม้านะ ความที่เรารักม้าเป็นชีวิตจิตใจ ก็ตบที่ต้นคอของม้าเบาๆคุยกับม้าตามประสาคนที่รักม้าทำเป็นปรกติ


อีกไม่ไกลก็จะเข้าเขตไร่ของเราแล้ว พระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงเป็นสีเหลืองนวลๆ


บรรยากาศยามเย็นนี้ช่างสวยงามจริงด้วยสิ ท้องฟ้าสีฟ้าคราม มีก้อนเมฆสีขาวสะอาดลอยอยู่ห่างๆเป็นจุดๆ แลดูคล้ายปุยฝ้าย หรือสำลีที่ขาวสะอาด


ทั้งหมดนั้นเห็นแล้วทำให้เกิดความรู้สึกสุนทรีย์ คือเป็นสุข สนุกสนาน เพลิดเพลินมากๆ ได้บรรยากาศชอบมากเลย


บังคับม้าเดินๆเยาะๆเพื่อเข้าทาง...ทางซึ่งเป็นทางที่ไม่กว้างนัก แต่ก็ไม่แคบ เป็นทางเดินในป่า สำหรับชาวบ้านห่างไกลซึ่งเขาทั้งหลายใช้เดินเพื่อหาของป่าไปขาย เช่นเป็นผัก เป็นไม้ เป็นฟืน เป็นสัตว์ป่า หรือเป็นหน่อไม้เมื่อฤดูฝนมาเยือน


บังคับม้าเดินเยาะๆ ไม่เร็ว ไม่ช้า บนทางนั้นเรื่อยๆ


บนทางนั้นบางช่วงก็มีกิ่งไม้รกยื่นกิ่งก้านเข้ามาในทาง บางก็โล่ง เป็นเส้นทางที่ดูจะไม่ถูกผู้คนใช้บ่อยนักนั้นเอง ดูจะเป็นทางกลางป่าซึ่งนานๆจึงจะมีคนใช้ทางผ่านเส้นนี้


ขาออกจากไร่ เรานะไม่ออกมาทางนี้...แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าน่าจะเป็นทางที่ต่อเชื่อมเข้าไร่ของเรา และไม่ไกลนัก


พระอาทิตย์ยังคงลดระดับองศาลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่พลบคํ่า แสงสีทองยังกระจ่างและใส สว่างไปทั่ว


แต่...อยู่ๆ ขนหัวของเราก็ตั้งขึ้นมา และเกิดการสะดุ้งสุดตัว...แปลกมากๆ ทั้งที่ไม่ได้คิดอะไรเลย อาการเช่นนี้เกิดขึ้นในฉับพลัน ด้วยความเคยชิน...รู้จักตัวตนของเราดี...ความรู้สึกแบบนี้เเกิดขึ้นกับเราตั้งแต่รู้ความ รู้ว่านี้คืออะไร...


แต่ครั้งนี้...มันรุนแรงมากๆ รุนแรงจนเราตกใจสุดขีด...ทำให้เราเกิดความกลัว...ภายในใจจนควบคุมสติ...ไม่ได้ แทบจะร้องตะโกนออกมาว่า...กริี๊ดดด ช่วยด๊วยยยยยย ทั้งที่ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เราสามารถควบคุมความรู้สึกของตน...ด้วยการตั้งรับ หรือตั้งสติ...ขึ้นมาเป็นฐานต้านทานได้...แต่คราวนี้...รุนแรงเกินกว่าที่เราเคยมีประสบการณ์


เกิดความกลัวสุดขีดขึ้นมาที่จิตใจ(ความกลัวแท้จริงเกิดขึ้นที่ใจเรานะคะ) แต่ก็พยายามเข้มแข็งพยายามสำรวมตั้งมั่นความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีอยู่ แต่ก็ยังคงรู้สึกได้ว่า...พลัง...หรือสิ่งที่เราไม่เห็นได้ด้วยตานั้น...มีพลังแรงมากๆที่จะพยายามสัมผัสจิตของเรา...ซึ่งเขาอาจจะมิได้มาร้ายแต่อย่างใด...แต่พลังของเขานะแรงมากๆ


ความแรงของพลังดังกล่าวนี้...ในความที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อนในระดับนี้...ทำให้เราอ่อนแอ...ทำให้เกิดอาการกลัว...ขนหัว ขนตัวลุก รู้สึกกระอัก กระอ่วน คือเกิดความสพึงกลัว เป็นความทรมานที่สุดในวินาทีนั้น...


โดยธรรมชาติ โดยสัญชาติญาณของคนที่มีชีวิตอยู่...คือเราก็ต้องสู้กับความรู้สึกนั้นเป็นธรรมดา


ความรู้สึกนี้ได้ก่อตัวบังเกิดขึ้นรุนแรงนี้...ในที่สุด คือเมื่อไม่มีทางเลือก...นั้นเอง คือต้องสู้...


และคราวนี้เราจะสู้อย่างไร...ก็ใช่หล่ะคำที่คุณยายเคยบอก...ต้องรวบรวมสติให้จงได้และระลึกถึงพระรัตนตรัย...ให้จงได้ ให้จิตนิ่งสงบให้จงได้ แล้วจะไม่มีอะไรรบกวน ทำให้เราเกิดความกลัวขึ้นมาได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนๆ


ทั้งที่พยายาม...นิ่งๆภายในโดยการตั้งเอาลมหายในในวินาทีนั้นเป็นที่ยึด...เพื่อเข้าสู่การมีสติ...แต่ก็ไม่ง่ายเลย...เพราะเรากลัวมาก ต้องต่อสู้กับความกลัว ต้องรวบรามพลังกายพลังจิต เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียว(เพราะเมื่อพลังแห่งความกลัวบังเกิด ความกลัวจะทำให้พลังกายอ่อนแอปวกเปียกเป็นธรรมดาอีกด้วยนะ)


และตอนนั้นเราหรือก็นั่งอยู่บนหลังม้าด้วย...และเป็นอะไรที่คนขี่ม้าจะรู้ดีว่า...เมื่อไรก็ตามที่ผู้ที่บังคับ ควบคุม หรือผู้ที่นั่งบนหลังมัน...มีอาการตื่นกลัว หรือสับสน...ม้ามันจะสัมผัสผ่านเราได้ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(เป็นธรรมชาติที่มหัศจรรย์ของม้านะ)


ความที่เรากลัวไม่นิ่ง เราอาจจะสั่น ม้ามันรู้สึกได้...มันก็ยกขาหน้าขึ้นสองขาขึ้นสูงตะกายอากาศส่งเสียงร้องโหยหวลแทนเราเลยด้วย เกิดเป็นเหตุการณ์ที่ยํ่าแย่ลงไปอีก ยิ่งทำให้เราตื่นกลัว และตกใจมากขึ้น


ในที่สุดก็พยายามสงบความรู้สึกของตนลงได้...


รู้แล้วว่านี้...คือ...ผี...นี้คือดวงวิญญาณที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว...


เมื่อสงบลงทั้งม้าทั้งคน...ตนเองจึงก้มลงไปกอดคอม้าและกอดมันไว้แน่นๆ(คุยเบาๆบอกมันว่าไม่มีอะไร ไม่มีอะไรน่ากลัวนิ่งๆนะ)เพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่นกับมัน เพื่อให้มันสงบลง


ในช่วงวินาทีนั้นแม้เราและม้าจะสงบลงได้บ้างแล้ว...แต่พลังดังกล่าวซึ่งเราเองสัมผัสได้นั้นยังไม่...ลดดีกรีลง...


ยังคงสามารถสัมผัสได้ชัดเจนมากๆ เป็นพลังอะไรสักอย่าง...ที่ทำให้เราต้องหยุด ต้องกลัว รู้สึกสงสัย ต้องสับสน ต้องเหลียวมองหน้ามองหลัง


ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นหลายๆครั้ง มันเข้าไปปะทะที่จิตใจที่โสทประสาท เป็นอะไรที่แปลกมากๆ


ยังคงพยายามคับให้ม้ายืนอยู่กับที่เพื่อตนจะพยายามตั้งใจรวบรวมสติ และกายใจให้เป็นสิ่งเดียวกัน ขอเวลาสักสองหรือสามนาทีคงจะสำเร็จ(คิดแบบนั้น) เพื่อความมีสติมั่นคงที่จะขับไล่ความกลัว หรือไล่ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นออกจากจิตใจเรา


พยายามสำรวม...ตั้งจิตให้มั่น ให้จงได้ ไม่อย่างนั้นหากเราตื่นกลัวเราไม่สามารถบังคับม้าได้...ม้ากลัว คนกลัว สติเราหลุดเมื่อไร ม้าจะพาเราวิ่งเข้าป่าไม่เป็นท่า...เตลิดเปิดเปิง ม้าจะตกใจกลัว วิ่งรอดต้นไม้น้อยใหญ่จะพาเราไปชนด้วยแรงอัด ติดค้างต้นไม้ อันตรายมากๆ


เพราะฉะนั้นต้องตั้งสติเพื่อไล่ความกลัวออกไปให้ได้ เพื่อเราจะได้เดินทางผ่านจุดนี้ไปให้ได้ด้วยความปลอดภัย...คิดแบบนั้น


เมื่อคิดเร็วๆได้แบบนั้นก็พยายามตั้งสติ...หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ อยู่สักสองสามนาที ความรู้สึกกลัวได้ลดลงบ้าง แต่มันก็ยังคงอยู่...แปลกมากๆเลย ไม่เคยพบเจอแบบนี้มาก่อนเลย


ไม่กล้ากล่าวคำแผ่เมตตา(ทั้งที่หากกล่าวขึ้นมาจะเป็นอะไรที่ช่วยได้มากในเหตุการณ์แบบนี้)...เพราะเกรงว่าดวงวิญญาณนั้นจะโกรธ หากเขาไม่ต้องการ จะยิ่งทำให้พลังของเขารุนแรงยิ่งขึ้น กลัวๆ ไม่กล้าแผ่เมตตา (เป็นเพราะอะไร???เราจึงฉุกคิดขึ้นมาแบบนี้...รู้จักคิดแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อไรกัน???เราก็ไม่รู้ได้ แต่ความคิดนี้ก็บังเกิดขึ้นมา แปลกมากๆ)


พยายามบังคับม้าให้ยืนนิ่งๆตรงนั้นเวลาทั้งหมดนี้...ก็หลายนาทีด้วยกัน


ในที่สุดก็กลั้นใจ...ฝีนใจ...บอกม้าว่าเราต้องไปต่อ(ดึงสายบังคับให้ตึงขึ้นนิดหนึ่ง และแนบสองขาเข้าหาตัวม้าแน่นขึ้นเพื่อบอกมันว่าเราไปต่อ...(ทั้งที่ยังกลัวอยู่บ้างนะ)


ม้ามีอาการตื่นกลัว...ทำเสียงฟืดฟาด เป็นเหตุที่ทำให้เราไม่สงบได้ในวินาทีนั้น แต่ก็พยายามบังคับมันให้เดินต่อ...


ม้าพาเดินมาตามทางไม่กี่ก้าว...และความรู้สึกแปลกประหลาดทั้งหลายนั้นก็ยังคงอยู่ที่จิตใจเรา...ด้วย ทรมานมากๆ



ในเสีียววินาที...ก็มีคนปรากฎตัวขึ้น...ยืนอยู่กลางทางพอดิบพอดี(คล้ายจะขวางทางเรา)ซึ่งเรามองไม่เห็นหน้าได้...สาเหตุเพราะพระอาทิตย์คล้อยตํ่าลงมากแล้ว และใบหน้าเขาก็อยู่ตรงลำแสงของพระอาทิตย์ซึ่งสาดส่องผ่านช่องของใบไม้ กิ่งไม้...มาปะทะตรงใบหน้าของเขาพอดี


โดยสัญชาติญาณรู้ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น...ม้าอาจจะรู้มันยกสองขาหน้าขึ้นตะกายอากาศแผดเสียงร้อง...


แต่มาวินาทีนี้รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คน...พลังที่มีอยู่รอบๆบริเวณนี้...แท้จริงเป็นของเขา...แม้เราจะไม่ผ่านมาพบเข้า...มันก็จะอยู่ตรงนี้...แบบนี้...ตราบใดที่เขา...สิ่งที่เราเห็นนั้นมีพลัง...เข้าใจได้ในทันที


ผี...บอกตัวเอง...เป็นผีที่ทัพลังมจิตที่แรงมากๆ อาจจะเป็นผีที่ติดอาฆาตรพยายาท ซึ่งด้วยสาเหตุใดนั้นเราไม่รู้ แต่ที่รู้ๆผีตนนี้...มีพลังติดลบ...เป็นพลังของความทุกข์ทรมานมานแสนสาหัส...เราสามารถสัมผัสได้ (บอกกับตัวเองแบบนั้น)


เมื่อรู้แจ้งแล้ว...ความกลัวก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันที...มีพลังตั้งใจสติเกิดขึ้นสว่างใสวในทันที...ดึงม้าให้นิ่งๆแนบขาสองข้างเข้าหาตัวมันเพื่อส่งสัญญาณให้มันรู้ว่าไม่ต้องกลัว...ฉันเป็นเจ้าของ...และฉันไม่กลัวแล้วนะ (ม้าเป็นสัตว์ที่มีสัมผัสที่มหัศจรรย์มากๆ มันรู้ได้ผ่านสัมผัส)


เมื่อรู้จริงว่าเกิดอะไรขึ้นตามที่ตนเข้าใจ ก็พยายามสำรวมเพื่อแผ่เมตตา คือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้รู้สึกว่าต้องทำ และส่งผ่านลมหายใจ ผ่านกระแสจิต...พร้อมหลับตาลง...ในท่านั่งหลังตรงๆบนหลังม้านั้น เวลาผ่านไปเร็วราวสายฟ้า...เรานะสงบได้แล้ว จึงลืมตา...


แต่ร่างนั้นยังคงยืนอยู่...และคราวนี้เกินที่เราจะพึงคิด หรือคาดฝัน เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์


ทันทีที่ลืมตา...ร่างนั้นวิ่งเร็วมากๆคล้ายลูกลมฝุ่นตลบ..วิ่งเข้ามาชนทั้งม้าทั้งเราเสียงดังตึก...เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากๆ


คล้ายเขาวิ่งผ่านเราไป...แต่เราหรือก็มองตามรวดเร็ว...แต่ก็ไม่เห็น เห็นแต่ความว่างเปล่า...


แต่เหตุเกิดขึ้นที่จิตใจเรา...ในหัวใจเรา...เกิดอะไรขึ้น...ความสับสนวุ่นวาย มากมายพัลวัน ความกลัวหรือไม่ใช่... ความสับวน หรือก็ไม่ใช่...แต่ที่เรารู้คืออะไรๆปนเปไปหมด เราควบคุมมันไม่ได้...เกิดอะไรขึ้นที่จิตใจเรา...


และที่แย่ๆ กล้ามเนื้อที่แขน ขา ของเรามันเกิดมีชีวิต...มันกระตุก มันลื่นได้...คล้ายๆลูกหนูตัวเล็กๆทั้งตัวเลย


ในวินาทีนั้น...พอจะมีสติรู้ว่าโดนอะไรเข้า...เราโดนผีป่า หรือผีพลายชนิดร้ายแรง หรือผีตายโหง...ซึ่งผีเหล่านี้...มีพลังติดลบที่รุ่นแรง หลอกหลอน...รู้ตัว รู้ได้...แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้...


แต่เราต้องไม่ทัก ต้องไม่พูด เคยได้ยินคุณตา คุณยายบอกเล่ามาว่าต้องไม่ทักร่างที่เราเห็นไม่ชัดเจน


วินาทีนั้น...ชีวิตทั้งชีวิตตกอยู่ในวินาทีที่ทรมานแสนสาหัสในความรู้สึก..(นี้คืิออะไร...นี่คือ กรรม หรือว่าเป็นอีกธรรมชาติหนึ่ง ที่เราสามารถรับรู้ และสัมผัสได้ โอ้พระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธื์ช่วยลูกด้วยเถิด...คิดได้เพียงลางๆลึกๆอยู่ภายใน)


ในที่สุดก็ปล่อยเสียงร้อง...สุดเสียงว่าช่วยด้วย ผีหลอก ฮื้อออ...จำได้เพียงแค่นี้เราก็หน้ามืดไป...ตายหรือเป็นไม่รู้...ได้


มารู้สึกตัวอีกที...ก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาล


หลายวันต่อมา....อาการเราดีขึ้นจากอาการช็อค ลุงคนดูแลไร่(เป็นคนเก่าแก่)บอกว่า...ลุงออกไปตามหาตั้งแต่ช่วงบ่ายๆเพราะเป็นห่วง แต่ลุงใช้เท้าเดิน...ลุงก็ตามไม่ทัน หรือไม่ง่ายที่จะเจอ เพราะป่าเขาก็กว้างใหญ่...แต่เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน...ลุงรีบวิ่งไปที่ที่เกิดเหตุ...


ลุงก็พบจริงๆ คือพบเจ้าของเม้นต์นอนหลับคอมอยู่บนหลังม้าไม่ได้สติ...


ปลุกเท่าไรไม่ยอมตื่น...หลายคนลงความเห็นว่าควรจะนำตัวส่งโรงพยายาบาล


เป็นคำบอกเล่าของลุง...


เมื่อลุงเล่าว่า...เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน...ลุงจึงวิ่งไปที่เกิดเหตุ...นั้นหมายความว่าอย่างไร???ฟังแล้วคล้ายลุงจะรู้ หรือลุงจะบอกอะไร???


จึงถามลุงว่า...เคยมีใครตายในจุดที่เกิดเหตุ หรือในจุดที่ตนหลับอยู่บนหลังม้านั้นหรือไม่...


ลุงมองหน้าอยู่นานๆพักหนึ่ง และก็ตอบว่า...มี เขาถูกฆ่า ชนิดโหดร้ายทารุณ เขาเป็นคนดี คนยากจน เขาไม่ใช่คนที่นี่ เขามารับจ้างทำงานไร่(ไร่อื่นซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป) เขาไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า เป็นคนรักลูกรักเมีย


เขาทำงานเก็บเงินเพื่อส่งไปให้เมียให้ลูกของเขา แต่คนพื้นที่นักเลงหัวไม้ คนเลวทั้งหลาย ผู้ที่ตกตํ่า เมาหยำเป ไม่เป็นผู้เป็นคน เห็นคนดี คนสงบ เป็นสุขก็อิจฉาเหลือใจ พาลเขา ก่อกวนเขา รังควาญเขา


เมื่อเขาตอบกลับบ้างก็โกรธ...จนในที่สุดพวกมันก็เห็นเขาเป็นเงาซึ่งทิ่มแทงจิตใจที่ชั่วร้ายของพวกมัน...ที่พวกมันไม่สามารถที่จะเห็นต่อไปได้


ในที่สุดเขาก็ถูกพวกคนเลวดักทำร้าย...และมันช่วยกันรุมจับเขาทั้งฟัน และแทงเขาด้วยมีด...เขาตายด้วยความเจ็บปวดทรมาน บาดแผลเต็มตัว...น่าอนาถมาก เหตุการณ์เกิดมานานแล้ว เขาและลุงนะคนรุ่นๆเดียวกัน ลุงเคยพบเห็นเขา เคยทักทายเขา เขาเป็นคนอัธยาศัยดี


และยังมีผู้คนเล่าลือว่าวิญญาณเขานะดุร้ายมากๆ หลอกหลอนน่าดูเลย ลุงก็เคยถูกหลอก แต่ไม่หนักหนา ได้ยินคล้ายเขาหยอกเล่นคล้ายมีคนเอาก้อนหินปาลงพื้นดิน...ได้ยินเสียงดังตุบคล้ายก้อนดินตกลงพื้น


แต่บางครั้งเห็นเป็นฝุ่นกระจาย...ไม่มีสาเหตุ...ลุงเชื่อว่าเมื่อที่เขาตายนะเขารับบาดมากเจ็บทั้งกายและใจ และเขาอาจจะห่วงลูกเมียของเขา เกิดเป็นดวงวิญญาณที่สับสน ทำให้เขาติดค้างอยู่ที่นี่


ทั้งหมดเป็นคำบอกเล่าของลุง เป็นเพราะอะไรนะเราจึงทายเหตุการณ์ได้ถูกต้องเมื่อเกิดเหตุ ก่อนที่ลุงจะเล่าด้วยซํ้า เป็นเพราะอะไรกัน (เป็นกรรมของเราหรือ สงสัยและสับสน)


ลุงถามกลับมาว่า...แล้วหนูเห็นอะไรตรงนั้นหรือเปล่าล่ะ



ทันทีที่ลุงเอ่ยถาม...นะปล่อยโฮ โฮออกมาเลย...บอกด้วยว่า...เจอ และน่ากลัวมากๆ กลัวด้วยว่าเขาจะยังติดร่างเรามาด้วย...เพราะเขาวิ่งเข้าชนและเมื่อเขาชนร่างกายมีปฎิกริยาด้วย


เมื่อลุงฟังจบลงเบิกตากว้าง...ถามกลับมาว่า หนูรู้หรือว่าผีสิงคน หรือเข้าคนได้ ก็ตอบว่าไม่เชื่อ ไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ก็กลัว หากเป็นเช่่นนั้นจะทำอย่างไร (บอกลุงด้วยว่าเรื่องการสนทนาของเราสองคนอย่าบอกให้ใครรู้ คุณพ่อ คุณแม่ก็บอกไม่ได้ เขาทั้งหลายจะเห็นว่าเราเพ้อเจ้อ)


ลุงบอกว่าก็ต้องใช่ คือต้องไม่บอก ที่กล้าบอกลุงเพราะเห็นว่าลุงเป็นคนธรรมะ ธรรโม เป็นคนที่ศรัทธาเรื่องแบบนี้...ด้วยก็ถือโอกาสระบาย และขอความช่วยเหลือ


เวลาต่อมา...ก็ป่วย ป่วยมีอาการมึนๆ เวียนหัวเจ็บปวดไปทั้งตัว ไม่อยากกินอาหาร มีอาการซูบผอม หมดแรง ไปหาหมอ หมอก็บอกว่าร่างกายปรกติดี เป็นหวัดก็ไม่น่าใช่


และอีกไม่กี่วันก็จะต้องกลับ...จึงบอกลุงว่า...น่าจะมีสาเหตุมาจากอาการช็อค คือมีอะไรติดค้างที่ใจเราอยู่ แต่ก็อยากที่จะกลับไปในที่เกิดเหตุ...ขอให้ลุงช่วย ช่วยทำข้าวดำ ข้าวแดง นํ้า อาหาร ทำธงขาว ดอกไม้ธูปเทียน...ไปด้วยเพื่อที่จะไปบอกกล่าวให้จิตวิญญาณนั้นหลุดจากตรงนั้น...หลุดจากที่เขาติดอยู่...


แม้เขาจะไปที่ไหนต่อ...หรือจะไปหาลูกหาเมียของเขา...ก็ตามที แต่อยากให้เขาหลุดจาก...ความเจ็บปวดที่เขาติดอยู่...ในป่าที่มืดมิดนั้น...ตลอดไปแบบนั้น...เพราะสงสารนะ


อธิบายให้ลุงฟังว่า...เพราะเชื่อ เพราะศรัทธา และจากหลักฐานที่บังเอิญมีอยู่จริง...ตนจึงอยากที่จะทำให้ลุล่วงตามหน้าที่...ของผู้ที่ได้พบเจอ...ได้หายข้องใจ เพื่อความสบายใจของตนเท่านั้น เพราะเข้าใจว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจนะ


ลุงพาเตรียมของทั้งหมดและพากลับไปในที่เกิดเหตุกลางวันแสกๆ ให้ความรู้สึกดีมาก...ลุงช่วยทำพิธีเรียก ด้วยอาหาร ดอกไม้ ธูปเทียน และธงสีขาวเล็กๆหลายๆอัน ปักบนกองทราย และแผ่เมตตา กรวดนํ้าและชี่้ทาง...ให้ดวงวิญญาณนั้น...บอกด้วยว่าเขานั้นทุกข์ทรมาน...ให้เขารู้ ให้เขาหลุดพ้น...ซึ่งมีผู้ที่เห็นและสัมผัสได้


ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้กลับไปที่นั้นอีกเลย...แต่ลุงไปที่บ้าน และเล่าให้ฟังว่า...มาวันนี้ในเขตไร่สวนดังกล่าวถูกนายทุนกว้านซื้อจัดเป็นที่ดินล๊อก(จีดเป็นแปลงๆขายหมดแล้ว คือเจริญหมดแล้ว บ้านเมืองเจริญเร็วจริงด้วยสินะในวันนี้)


ลุงยังเล่าด้วยว่า...หลังจากที่เราไปทำพิธีส่งวิญญาณผีตายโหงนั้น...ก็ไม่เคยได้ยินข่าวลือว่า...ใครถูกหลอกหลอนในจุดนั้นอีกเลย


ทั้งหมดนี้...ยังคงเป็นเหตุการณ์ที่ค้างคาในจิตใจ...เพราะไม่มีหลักฐานที่จับต้องได้...แต่ก็ยากเกินที่จะไม่พูดว่า...ศรัทธา...เรื่องแบบนี้ด้วยเช่นกันค่ะ


เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่รุนแรง


ในเวลาต่อๆมา ตลอดเวลาของชีวิตเคยกล่าวบอกบ่อยๆเมื่อมีโอกาสไปวัดทำบุญด้วยว่าขอบคุณ...ที่ทำให้เห็น...ทำให้เกิดเป็นประสบการณ์ ขอให้เขาหลุดไป...สู่ที่ชอบๆ ไปสู่สุขคติเทอญ


และประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เรามีภูมิต้านทาน...และเข้าใจเหตุการณ์ซึ่งคล้ายๆกันเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ต่อๆมาได้ง่ายขึ้น...และสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้กับธรรมชาติตัวนี้...ได้อย่างสงบ...เพราะยํ่าเกรง เชื่อ และศรัทธาค่ะ



เล่าๆ ยาวๆ เรื่องผีๆ เรื่องความเชื่อ ความศรัทธาในส่วนบุุคล ขอให้เพื่อนๆอ่านด้วยการใช้วิจารณญาณด้วยนะคะ







8
rattiyaphasamon 24 ก.ย. 60 เวลา 03:20 น. 3-1

เชื่อค่ะ เชื่อมาก กลัวมาก และไม่อยากเจอด้วย เผอิญเป็นคนจิตอ่อนค่ะ

0
White Frangipani 24 ก.ย. 60 เวลา 03:50 น. 3-2

สวัสดีค่ะ



ไม่เจอสิ่งที่เราไม่ต้องการเจอ...นั้นก็นับว่าดีแล้วค่ะ สงบดีเนาะ55555


แต่คุณชอบอ่านเรื่องผีๆหรือคะ ไม่กลัวหรือคะ


ที่เล่ามานั้นยาวมว๊ากกก คุณจะอ่านไหวหรือเปล่าเอ่ย https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-01.png



0
rattiyaphasamon 24 ก.ย. 60 เวลา 15:35 น. 3-4

กลัวค่ะแต่ชอบ ชอบอะไรผีๆนะ แต่เวลาจะนอนมันก็แว็บเข้ามาในสมอง นอนไม่หลับไปค่อนคืน กว่าจะหลับได้บางคืนปาไปตี2 - ตี3

0
White Frangipani 24 ก.ย. 60 เวลา 17:03 น. 3-5

สวัสดีวันใหม่ค่ะ เจ้าของกระทู้



"กลัวค่ะแต่ชอบ ชอบอะไรผีๆนะ"....คุณเป็นคนที่แปลกมากเลยค่ะ กลัวแต่ชอบ5555 ชอบอ่านในเรื่องที่ตนเองกลัว...แบบนี้ไม่เกร็ง ไม่เหนื่อยหรือคะ (ที่ถามนี้อยากเก็บประสบการณ์ เพื่อเรียนรู้เพิ่มขึ้นนะคะ)


เจ้าของเม้นต์นี้จริงแล้วเรื่องผีๆ เรื่องของจิตวิญญาณนะคะตั้งแต่จำความได้ ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ไม่ยอมจริงนะคะ เพราะตนเองศรัทธาศาสตร์วิทยาศาตร์ค่ะ ชอบๆตามๆอ่าน ชอบแกะ ชอบอ่าน ชอบดูการทดลอง...สิ่งที่สามารถจับต้องได้


หากแต่ศรัทธาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกันเหนือสิ่งอื่นใด เพราะเห็นๆเป็นหลักฐานได้ว่าคำสั่งสอนของท่านเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่น ธรรมชาติของคน หรือสัพสิ่งซึ่งมีชีวิตบนโลกนี้...มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เป็นต้นค่ะ



และเหตุเหล่านี้เป็นความจริง...จึงศรัทธาคำสั่งสอนของพระศาสดา...ทั้งหมด



เช่น


มรรคมีองค์8


อริยะสัจ4


หรือแม้ พรมวิหาร4


เชื่อ และศรัทธา ด้วยว่า...องค์ความรู้...เหล่านี้...สามารถบังเกิดขึ้นได้...และเกิดเป็นผลลัพธ์ได้...ดังที่ถูกจาลึกไว้...ซึ่งศาสดาค้นพบ...เหล่านี้ เชื่อว่าเป็นความจริงทั้งหมดค่ะ


สำหรับเรื่องผีๆนี้เป็นอีกเรื่องนะคะ เป็นวัฒนธรรม เป็นความเชื่อ...ซึ่งจริงแล้วเป็นความเชื่อส่วนบุุคคล คือเกิดขึ้นได้จากประสบการณ์ของใครของเขา...และเกิดความเชื่อตามๆกันมา แบบนั้นค่ะ




" แต่เวลาจะนอนมันก็แว็บเข้ามาในสมอง นอนไม่หลับไปค่อนคืน กว่าจะหลับได้บางคืนปาไปตี2 - ตี3"...แบบนี้ไม่ดีเลยค่ะ คุณคงจะต้องพยายามหลบเลี่ยงสิ่งที่คุณกลัว...สิคะ


สิ่งที่เรากลัว...เกิดเป็นความสับสน เกิดเป็นพลังลบ...ยังจะทำให้เราฟุ้งซ่านได้อีกด้วย ทั้งหมดเป็นธรรมชาติของความกลัวจริงนะคะ


หากคุณกลัว...คือจิตใจของคุณไม่เข้าใจในแก่นสาร...ของเหตุนั้นๆได้นั้นเอง


และเหตุดังกล่าวนั้น จะทำให้คุณคิดมาก สับสน คุณจะเหนื่อย และไม่หลับนอน จะเกิดเป็นการที่พักผ่อนไม่เพียงพอ คุณจะเหนื่อยเพลีย จะเกิดอาการเครียดตามมาอีกด้วย


จะนำมาด้วยการเกิดเป็นโรคซึ่งเกี่ยวกับจิตใจ และอารมณ์ไม่ดีนะคะ (อันตรายนะคะ ด้วยความห่วงใย จากเพื่อนร่วมบอร์ดค่ะ)


หากคุณชอบอ่าน หรือชอบฟัง เรื่องของพระพุทธเจ้าน่าจะดีกว่าไหมคะ


ฟังแล้ว อ่านแล้วเป็นสุข สงบ(ตื่นเต้นด้วยค่ะในบางตอน) ปริ่ม อิ่บเอิบ อิ่มเอม จะช่วยให้หลับง่าย และหลับสบายอีกด้วยค่ะ


เช่นนิทานชาดก...มีอยู่มากมายสนุกมาก คุณลองฟัง หรือไปอ่านดูไหมคะ


รูปแบบการอ่าน...ค่ะ


http://www.thaifable.com/



และ รูปแบบการฟัง...ค่ะ




สำหรับรูปแบบการฟัง...นี้มีอยู่มากมาย หากคุณอยากจะลองฟังหลายๆบท คุณสามารถค้นหาได้ค่ะ


เป็นกำลังใจให้คุณค่ะ



https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-big-04.png





0
rattiyaphasamon 25 ก.ย. 60 เวลา 02:22 น. 3-6

ตอนฟังเดอะช็อคหรือตอนอ่านนี่เฉยๆค่ะ จะมีขนลุกเป็นบางช่วง(ไม่รู้ว่าเพราะหนาวหรือกลัว)

แต่จะกลัวจริงๆก็ตอนนอนค่ะ เสียงมันจะดังก้องอยู่ในหูข่มตาไม่หลับ

0
White Frangipani 25 ก.ย. 60 เวลา 04:35 น. 3-8

สวัสดี ค่ะ


แนะนำว่า คุณก็อย่าอ่าน อย่าดู อย่าฟัง เรื่องราวที่เป็นสื่อซึ่งเป็นต้นเหตุให้คุณมีอาการ...ตามที่คุณเสพเข้าไปค่ะ


คือคุณต้องเลิกค่ะ


คุณก็บอกมาว่า...กลัว...แต่คุณก็ยังติดที่จะชอบดู ฟัง หรืออ่าน ซึ่งไม่ดีนะคะ


เพราะสื่อที่คุณเสพเข้าไปนั้นอาจจะรุนแรงเกินไปสำหรับคุณก็เป็นได้ค่ะ



ไม่อย่างนั้นจะมีการห้าม...ในระดับอายุต่างๆ ในสิ่งบันเทิงต่างๆ เช่น 7-8 ขวบ หรือ11+ 12+ 15+ 18+(adult -สำหรับผู้ใหญ่ ) หรือคะ


สาเหตุเป็นเพราะ สื่อความบันเทิงสามารถทำร้าย...สุขภาพจิต ได้นั้นเอง


หากรุนแรงเกินไปสำหรับผู้ที่รับไม่ได้ค่ะ


แนะนำให้คุณพยายามอย่าอ่าน อย่าฟัง อย่าดูก่อนนอนน่าจะดีที่สุดค่ะ


คุณน่าจะลองเสพสิ่งบันเทิงที่ละมุนละไม สนุกสนาน น่าจะดีกว่านะคะ


เช่น...นิทานชากด...ที่ส่งมาให้คุณในเม้นต์ก่อนหน้านี้ ก็ดีค่ะ มีมากมายหลายๆตอน ถึง500ตอนให้คุณอ่านหรือฟังอีกด้วยค่ะ


คุณลองหลบเลี่ยงเรื่องราวที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดีหลังเสพดูนะคะ https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-01.png


0
TrueLoveKiss 24 ก.ย. 60 เวลา 07:58 น. 4

มาต่ออีกเรื่องค่ะ



เรื่องนี้ก็ฝันช่วงมอ.4 เช่นกัน


คือตอนที่ฝันมันเป็นช่วงวันหยุด นอนไวเหมือนกัน

ทีนี้ก็ฝันว่าตัวเองเดินๆอยู่ในโรงเรียน หน้าห้องวงโยของตัวเอง (ห้องวงโยโรงเรียนอยู่หลังๆโรงเรียนเลยค่ะ)

แล้วอาจารย์ก็สั่งว่า "มิมๆ ไปคุยกับอาจารย์อ้อยที่ห้องนาฏศิลป์ให้หน่อย"

ก็ค่อยๆเดินไป ผ่านตึกบุรีรัตน์ (ข้างล่างตึกเป็นโรงอาหาร ชั้นสองเป็นห้องคอม ชั้นสามเป็นหอประชุม)

อยู่ดีๆในฝันก็มีภาพพุ่งเข้ามาในหัว

เป็นภาพนักศึกษา กำลังเดินข้ามถนนหลังมช. เชียงใหม่

อยู่ดีๆก็มีรถเก๋งสีบรอนด์พุ่งมาชน ตายคาที่เลยค่ะ แล้วเหมือนๆว่าคนที่โดนชนก็เรียนใกล้จบแล้ว

แล้วภาพก็กลับมาที่เรา กำลังเดินเข้าไปใต้อาคาร 4

(ห้องนาฏศิลป์อยู่ใต้อาคารสี่ แต่ต้องตรงไปจนสุดอาคารค่ะ)

พอเดินเข้าใต้อาคาร ก็เห็นผู้หญิงคนนึง ใส่ชุดนางรำ สวมชะฏากำลังรำๆอยู่หน้าห้องนาฏศิลป์

ในใจก็คิดว่าเค้ารำสวยดี พอเดินใกล้ขึ้นๆ ภาพก็มาอีก

ประมาณว่าตอนเค้าอยู่มัธยมก็เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน

เป็นคนชอบเต้นชอบรำ หน้าตาสวยมากกกกกก

ภาพก็กลับมาที่เราอีก แต่ที่นี้ผิวผู้หญิงเริ่มซี๊ด ขาว แบบมากๆเลย

พอเดินใกล้ถึงห้องนาฏศิลป์ เค้าก็รำเข้ามาใกล้ขึ้นแต่หันหลังให้อยู่

สักพักเค้าก็ค่อยๆ หมุนตัวหันหน้ามาทางเรา

ตัวซี๊ดขาว หน้าขาวมากกก ตาดำทั้งลูกตา ไม่มีตาขาวเลย

แล้วทีนี้เราเห็นเด็กสองคนนั่งเล่น BB อยู่ตรงบันไดทางขึ้นตึก หัวเราะคิกคักกันดังเลย

บันได มันจะอยู่หน้าห้องนาฏพอดี

เราก็เลยหันไปถามว่า "น้องๆ เห็นผู้หญิงที่ยืนรำอยู่ตรงนี้มั้ย?" พร้อมชี้นิ้วไปด้วย

น้องคนนึงก็ตอบว่า "ใครรำเริมอะไรที่ไหน ไม่มี บ้ารึเปล่า"

เราก็ว่า "ก็นี่ไง รำๆอยู่ตรงนี้อ่ะ" พร้อมหันหน้าไป แทบช็อคเลย

ตอนหันไป หน้าพี่แกอยู่แทบจะติดหน้าเรา คือหน้าห่างกันแค่ 1 ฝ่ามืออ่ะ

แถมตาก็มีเลือกแดงแบบเข้มๆข้นๆไหลออกมาเยอะมากๆ จากตาทั้งสองข้างของเค้า

แล้วพี่แกก็พูดว่า "น้องช่วยพี่ด้วย น้องช่วยพี่ด้วย"

เราก็ถาม "ช่วยอะไรพี่? อาจารย์สั่งให้หนูรีบมาคุยกับอาจารย์อ้อย หนูช่วยอะไรพี่ไม่ได้นะ"

เราก็ค่อยๆเดินเข้าห้องนาฏศิลป์ พี่แกก็ยังคงพูดคำนั้น


พอเดินเข้าห้องนาฏศิลป์ปุ๊บ มันจะมีตู้เหล็กใส่แฟ้มเอกสารใหญ่ๆตั้งอยู่

พี่ก็วาร์ปไปนั่งอยู่บนนั้นเลย แต่อยู่ในชุดนักศึกษาตอนที่โดนชน

เนื้อตัวมีแต่รอยจ้ำ รอยช้ำจากที่ถูกชน มีเลือดไหลออกเป็นที่ๆ เยอะสุดที่ตา

พี่แกก็เริ่มร้องไห้ เสียงสั่นแล้วก็พูดคำเดิม "น้องช่วยพี่ด้วย น้องช่วยพี่ด้วยนะ"

สักพักในฝันเราก็เริ่มสั่น สั่นหนักมาก น้ำตาเริ่มไหล

พนมมือขึ้นมาแล้วร้องไห้เลย "พี่ หนูขอจริงๆหล่ะ หนูช่วยพี่ไม่ได้จริงๆ เลิกตามหนูเถอะนะ

ขอนะพี่ หยุดเหอะ หนูช่วยอะไรพี่ไม่ได้ หนูต้องรีบไปคุยกับอาจารย์จริงๆ"

ในฝันสั่นหนักมาก ตอนขอเค้าก็ร้องไห้เสียงสั่น

คือทั้งเราทั้งพี่แกตอนนั้นเหมือนแข่งกันร้องไห้ 5555



พอพูดเสร็จพี่แกก็หยุดร้องเลย แล้วพูดว่า "ก็ได้ พี่ไปแล้วนะ"

แล้วเราก็สดุ้งตื่น ตาขวามีน้ำตาค่อยๆไหลลงมา

แล้วเราก็ไม่ได้ทำบุญหรืออะไรให้จริงๆ เพราะคิดว่าเป็นแค่ฝัน




แล้วส่วนตัวคิดว่าเคยโดนผีหลอกครั้งนึง ตอนนั้นกำลังขึ้นม.2 ได้ไม่กี่เดือน

เราอยู่วงโยเนาะ แล้วตอนนั้นจะมีงานแสดง Concert ของวงโยเราเนี่ยแหละ

เลยต้องขึ้นไปจัดสถานที่บนหอประชุมบุรีรัตน์ ขึ้นไปตั้งแต่เลิกเรียน

ยันทุ่มกว่าๆ แล้วทีนี้ก็มีเพื่อนคนนึงชวนเราไปนับกล่องทรอมโบน ว่าเค้าเอามาครบแล้วรึยัง

เราก็เดินไปด้วย เค้าวางตั้งไว้ข้างหน้าเวที พอกำลังนับๆอยู่

อยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงหัวเราะ เสียงใหญ่ๆ ก้องๆ แล้วได้ยินแค่หูข้างเดียวด้วย

เราได้ยินแค่ข้างซ้าย ข้างขวาเหมือนดับไปเลย

หัวเราะแบบน่ากลัวมาก

เราแบบสั่นเลย เผลอหลุดกรี๊ดออกมาด้วย น้ำตาไหลเลย

แล้วคนที่อยู่บนหอประชุดด้วยหันหน้ามามองเราหมด

เพื่อนที่ชวนมานับกล่องทรอมโบนก็ถามว่าเป็นอะไร

เราก็ถามกลับ ไม่ได้ยินเหรอ? เสียงใหญ่ๆหัวเราะอ่ะ ดังด้วยนะเว้ย

หันไปถามคนอื่นด้วย ไม่มีใครได้ยินอะไรสักคนเลย

ตอนที่โดนประมาณทุ่มกว่าๆ นี่คือทำอะไรต่อไม่ได้เหมือนลุดไปนิดๆ

รุ่นพี่ก็เลยโทรให้พ่อเรามารับเรากลับบ้าน คืนนั้นนอนแทบไม่หลับ

0