Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

การทดลองลับ แอบเข้าโรงบาลบ้า แต่เกือบไม่ได้ออก

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ชาแนล Who Askk นะครับ ตอนนี้คุณอยุ่กับผมอีกครั้ง “ลัก” ครับ
เพื่อนๆ เคยเห็นพวกฉากโรงพยาบาลบ้าในหนังอะไรแบบนี้กันมาแล้วใช่ป่ะ ขนาดแค่ดูยังหลอนเลยเนอะ ไม่ใช่แค่หลอนเฉพาะคนบ้าในนั้นนะ แต่หลอนยันคนคุมเนี่ย ลองคิดดูดิว่าถ้าเราต้องไปติดอยู่ในโรงบาลบ้าจริงๆ แล้วเราบอกกับผู้คุมว่าเราเป็นคนปกตินะ เค้าจะเชื่อที่เราพูดรึเปล่า ไม่มีทางเลยครับ เพราะผู้คุมเค้าต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้วันละเป็นสิบๆ รอบที่มีคนบ้ามาแกล้งบอกว่าตัวเองหาย แต่เอาเข้าจริงก็ยังบ้าอยู่ดี เพราะฉะนั้นต่อให้เราไปบอกจริงๆ เค้าก็ไม่เชื่อแน่นอน เหมือนกับเหตุการณ์การทดลองที่เราจะพาไปดูกันในวันนี้นี่เอง 
สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่านสามารถดูคลิปแทนได้เลยน้าาา : )
.
เรื่องเล่าสุดหลอนนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 1969 นู้นเลยล่ะครับ สมัยนั้นได้มีนักวิจัยรายนึงชื่อว่า ดร.เดวิด โรเซนฮาน แพพยายามจะทำการทดลองที่โคตรจะไม่ธรรมดาชิ้นนึงขึ้นมา ซึ่งแกเรียกการทดลองนี้ว่า “คนปกติในสถานที่ไม่ปกติ”
.
โดยการทดลองของแกครั้งนี้ แกพยายามจะหาคำตอบของคำถามที่ว่า “คนธรรมดาจะเข้าโรงพยาบาลบ้าได้ยากแค่ไหน และจะกลับออกมาได้ยากหรือง่ายกว่ากัน” ซึ่งแน่นอนครับว่าในเมื่อโรงพยาบาลบ้ามันมีอยู่มากมายทั่วโลก แกจะเก็บหลักฐานแค่ที่เดียวก็คงจะตัดสินหรือวัดผลอะไรไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย พี่แกเลยรวบรวมอาสาสมัครสุดใจกล้ามาร่วมทำโปรเจคต์นี้ด้วยกัน 
.
ซึ่งมีอาสาสมัครทั้งหมดอยู่ 8 คนที่เข้ามาร่วมทีมวิจัยกับแก เป็นผู้หญิง 3 คน และผู้ชายอีก 5 คน โดยแต่ละคนก็จะถูกส่งออกไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้าที่แตกต่างกัน
.
และแน่นอนว่าการที่เค้าทั้ง 8 คนจะเข้าไปในโรงพยาบาลบ้าได้ ก็ต้องมีการทำทีเป็นว่าป่วยก่อน โดยเค้าใชกลอุบายบอกกับทางโรงพยาบาลบ้าว่า “พวกเค้าได้ยินเสียงในหัวซ้ำไปซ้ำมาอยู่ 3 คำ คือคำว่า  ว่างเปล่า โง่ และ ตุ้บ” แน่นอนว่ามีอาการทางจิตขนาดนี้ก็ต้องได้ 3 ผ่าน เข้าไปเป็นผู้ป่วยโรงพยาบาลบ้าอย่างง่ายดาย ผ่านปราการณ์ด่านแรกมาได้อย่างแนบเนียน ไม่มีใครเอะใจอะไรเลยล่ะครับ
.
หัวหน้างานวิจัยโรเซนฮานบอกว่า “ตอนแรกก่อนที่เค้าจะเข้าไป เค้าก็กลัวว่าตัวเองและทีมงานจะโดนจับได้ว่าไม่ได้ป่วยจริง แล้วโดนเปิดเผยว่าตัวเองเป็นพวกขบวนการต้มตุ๋น ทำให้การวิจัยครั้งนี้ล้มลงไม่เป็นท่า” แต่พอเอาเข้าจริงๆ นะครับ เหตุการณ์ที่พี่แกกลัวมากที่สุดนี่เรียกได้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเลย เพราะมันแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ว่าเค้าจะโดนจับได้ว่าแกล้งบ้า หรือจะโดนสงสัยแม้แต่นิดเดียว คือแผนของแกผ่านฉลุยสุดๆ
.
เพราะคนในโรงพยาบาลบ้ามีเป็นสิบเป็นร้อยๆ คน แต่ละคนก็ใช้ชีวิตของตัวเองไป ผู้คุมทั้งหลายก็ไม่ได้มาคอยสนใจอย่างแท้จริงว่าใครจะเป็นยังไง ดีร้ายแบบไหน เค้าก็แค่ทำงานแลกเงิน คอยช่วยนู่นช่วยนี่ตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้มาใส่ใจจับผิดว่าคนไหนมีพฤติกรรมอะไรบ้าง แถมคนที่มีอาการทางประสาทแต่ละคนก็จะแสดงกิริยาแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ว่าจะทำตัวยังไงก็ไม่มีใครสนใจแน่นอน 
.
ตรงนี้เลยเป็นเหมือนจุดเด่นให้กับทีมวิจัยของแกได้ทำการศึกษาค้นคว้าผู้ป่วยต่างๆ ไปในตัวด้วยนี่แหละครับ 
.
แต่ฝันร้ายที่แท้จริงมันไม่ได้อยู่ที่การเข้ามาแบบที่เค้าคิดกัน มันอยู่ที่การจะหาทางออกไปจากที่นี่ต่างหาก เพราะหลังจากเข้าโรงพยาบาลบ้ามาได้ 2-3 วัน เค้าก็ถือว่าบรรลุจุดประสงค์แล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่ตอนออกเท่านั้น โดยทั้ง 8 คนก็ได้บอกกับผู้คุมในแต่ละที่ว่าพวกเค้ารู้สึกหายดีแล้ว พวกเค้าสบายดี พวกเค้าเป็นปกติ 
.
แต่คือ ไม่มีผู้คุมคนไหนเชื่อพวกเค้าเลย เพราะเป็นคำพูดของคนบ้าที่เพิ่งเข้ามารักษาได้ไม่นาน จะเอาอะไรไปหาย ทีนี้แหละครับเรื่องใหญ่แล้ว เข้าได้แต่ออกไม่ได้ ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนบ้าต่อไปอีก ต่อให้จะพยายามยังไง บอกผู้คุมแบบไหนก็ไม่มีใครเชื่อ จนเวลาผ่านล่วงเลยไปนานมาก
.
โรงพยาบาลบ้าบางที่ก็ปล่อยตัวให้ออกมาได้ในวันที่ 7 แต่บางที่นี่ก็เล่นเอาต้องขอร้องอ้อนวอนกันนานถึง 50 วัน กว่าจะยอมเชื่อว่าอาสาสมัครเหล่านั้นเป็นคนปกติจริงๆ ซึ่งมันโหดร้ายมากๆ ลองคิดดูว่าถ้าเราต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนบ้าจริงๆ เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน มีแต่คนอาการแปลกๆ รอบตัว จะออกไปไหนก็ไม่ได้ ติดแหงกอยู่ในสถานที่น่ากลัวแบบนี้ทุกวัน เป็นเราจะทำไง
.
แน่นอนว่ามันกระทบต่อจิตใจโคตรๆ จนอาสาสมัครแทบทุกคนที่ออกมาต้องมีอาการแปลกๆ ติดตัวมาด้วยทั้งสิ้น บางคนนี่เป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็มี บางคนก็เป็นโรคไบโพลาร์ แต่ที่หนักที่สุดคือ มีคนนึงที่เป็นโรคจิตจริงๆ ไปเลยเนี่ยแหละ มันโหดร้ายขนาดนั้นเลยนะโรงพยาบาลบ้าเนี่ย
.
เพราะไม่ว่าเราจะทำตัวปกติมากแค่ไหน ผู้คุมก็จะมองว่ามันเป็นพฤติกรรมของคนบ้าอยู่ดี เค้าจะตีตราว่าเรามีอาการแปลกๆ เสมอ เช่น ถ้าคุณแค่นั่งเขียนไดอารี่จดบันทึกถึงสิ่งที่เจอมาในแต่ละวัน เค้าก็จะมองว่าเราเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ มีอาการกระวนกระวายใจ ทำให้ไม่ปล่อยตัวเราไปง่ายๆ
.
หัวหน้าทีมวิจัยโรเซนไฮม์แกยังบอกอีกด้วยนะว่า อาสาสมัครในทีมแกบางคนยังโดนผู้คุมลวนลามเลย คือมันเป็นสถานที่แย่มากๆ คนที่นี่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อะไรทั้งนั้น ต่อให้คนแกล้งบ้าเหล่านี้จะทำดียังไง ผู้คุมก็ไม่สนใจ ซึ่งโรเซนฮานเรียกประสบการณ์นี้ว่า “ภาวการณ์มองคนอื่นต่ำกว่าตัวเอง หรือมองคนอื่นว่าไม่ใช่คน” 
.
แถมเค้ายังสังเกตเห็นด้วยว่าในโรงพยาบาลบ้าเนี่ยเหมือนจะมีพวกนักวิจัย หรือนักข่าวอะไรพวกนี้แฝงตัวมาทำการศึกษาเหมือนแบบที่พวกเค้าทำอยู่เยอะมากเลยด้วย ซึ่งการทดลองครั้งนี้ก็สรุปได้ง่ายๆ ว่า “โรงพยาบาลบ้าต่างๆ จะวินิจฉัยคนธรรมดาปกติทั่วไปให้เป็นคนป่วยได้ซะอย่างงั้น” แถมยังวินิจฉัยคนป่วยให้เป็นคนปกติได้อีกต่างหาก อะไรจะสับสนอลหม่าน มั่วตั้วเหลงกันขนาดนี้ 
.
ซึ่งสรุปได้เลยก็คือ ในโรงพยาบาลบ้านั้นการจะแยกคนปกติกับคนบ้าออกจากกันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ ซึ่งนี่ก็เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นมากว่า 50 ปีแล้วนะ ป่านนี้โรงพยาบาลบ้าก็คงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ไปเยอะแล้วแหละครับ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

gtchny_sone24 28 ธ.ค. 61 เวลา 02:32 น. 1

แวะมาอ่านค่ะ ถ้าเป็นเราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นก็คงเป็นบ้าไปด้วยเหมือนกันแฮะ แค่นึกก็กลัวแล้ว https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-13.png

0