Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

"พระเจ้าตายแล้ว" - วลีจากนักปรัชญาขวางโลก

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่




"พระเจ้าตายแล้ว" - วลีจากนักปรัชญาขวางโลก

โดย ยูคาริ ณ มอสโคว


 

  ในอนิเมะญี่ปุ่นเรื่อง yōjo senki - Saga of Tanya the Evil (ชื่อไทย : "บันทึกสงครามของยัยเผด็จการ") ตัวละครหลักอย่าง 'ทาเนีย' แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ศรัทธาต่อพระเจ้า แม้ว่าจะได้สื่อสารกับพระองค์ก็ตาม เธอ(?)มีความคิดว่า การเชื่อในพระเจ้าหรือเชื่อว่าพระเจ้าจะคุ้มครองมนุษย์เป็นเรื่องมงายและไร้ความสมเหตุสมผลสิ้นดี
.
สำหรับโลกที่ทุกคนมีจิตศรัทธา การมีแนวคิดแบบทาเนียไม่ต่างไปจากปลาที่ว่ายกระแสน้ำ ที่ถ้าเกิดหมดแรงเมื่อไหร่ ก็มีแต่จะลอยไหลไปตามแรงน้ำเชี่ยวที่พร้อมจะฉีกกระชากร่างให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของลำธาร
.
คนอย่าง'ทาเนีย'ไม่ได้มีแต่ในอนิเมะ นอกจอการ์ตูน ยังมีมนุษย์จำนวนไม่น้อยที่แสดงจุดยืนต้านกระแสสังคม
หนึ่งในนั้น คือชายที่ชื่อว่า ฟรีดริช นิทเช่ (Friedrich Wilhelm Nietzsche) ผู้เป็นเจ้าของวลี "พระเจ้าตายแล้ว"

.

.
นิทเช่ เป็นนักปรัชญาและนักเขียนชาวเยอรมัน มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผลงานของเขาครอบคลุมอยู่ในหลายศาสตร์วิชา ทั้งศิลปศาสตร์, ปรัชญา, ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์ และที่ขาดไม่ได้...ศาสนา
.
นิทเช่ไม่ได้เขียนหนังสือตามขนบ งานเขียนของเขาแฝงมุมมองความเป็นขบฎต่อสังคมอยู่มาก ทั้งบทโจมตีเชิงปรัชญาและบทวิจารณ์วัฒนธรรม งานด้านปรัชญาชิ้นเด่นของนิทเช่ล้วนแต่เป็นบทวิจารณ์สุดโต่งในเรื่องต่างๆ เช่น ความเที่ยงแท้ในแบบมุมมองนิยม (Perspectivism), บทวิจารณ์เชิงวงศ์ตระกูลของศาสนา และศีลธรรมชาวคริสต์ (Christian morality)

.
นิทเช่เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์เกิดมาเพื่อแก่งแย่งกัน ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงจะได้เป็นใหญ่ อำนาจคือแรงขับที่ทำให้มนุษย์ต้องแย่งชิงกันเพื่อที่จะมีอำนาจเหนือกว่าทุกคน ส่วนศีลธรรมและความเมตตาล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติเพื่อเป็นข้ออ้างสำหรับคนที่มีจิตใจอ่อนแอ
.
ด้วยแนวคิดขวางโลกแบบสุดๆ จึงไม่แปลกเลยที่นิทเช่จะกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งสังคม โดยเฉพาะกับแวดวงศาสนา นิทเช่ดูหมิ่นทุกศาสนา เขาเชื่อว่า คนอ่อนแอมักจะพยายามหาทางออกให้กับปัญหาอย่างผิดๆโดยพึ่งความงมงายที่เรียกว่า'ศรัทธา' ศาสนาเป็นเรื่องลวงโลกสำหรับคนขี้ขลาดที่อยากหลีกหนีจากปัญหาเท่านั้น
.
แม้ว่านิทเช่จะจากโลกไป 119 ปีแล้ว แต่วลีสุดคมคายของเขายังคงถูกพูดถึงอยู่ตราบจนทุกวันนี้ ประโยคสั้นๆที่ฟังแล้วสะท้านถึงจักรวาลนั้นกล่าวว่า "พระเจ้าตายแล้ว" ("God is dead" หรือ "Gott ist tot") 
.
วลีนี้เกิดขึ้นได้ เพราะนิทเช่มองเห็นถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โลกยุคใหม่ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยหลักธรรมคำสอน แต่เป็นวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม แม้แต่ศีลธรรมก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่มนุษย์สร้างขึ้น การนับถือพระเจ้าแบบที่ปฎิบัติมาแต่โบราณนั้นเปลี่ยนไปเช่นเดียวกับหลักคำสอนทางศาสนา
นิทเช่จึงกล่าวว่าพระเจ้าได้ตายจากโลกไปแล้ว เพราะเขาตระหนักว่า ต่อจากนี้ โลกจะไม่สามารถกลับไปมีพระเจ้าแบบเดิมได้อีกต่อไป
.
ถึงนิทเช่จะดูหมิ่นทุกศาสนา แต่เราเชื่อว่า หากเขาได้มีโอกาสศึกษาและเข้าถึงแก่นของพุทธศาสนา บางทีเขาอาจจะละเว้นการดูหมิ่นศาสนานี้ เพราะ จริงๆแล้วพุทธไม่ได้สอนให้คนหลีกหนีจากปัญหา ในทางกลับกัน หลักธรรมส่วนใหญ่ยังชี้แนะวิธีการเผชิญและรับมือกับปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน หากไม่นับเรื่องตำนานแฟนตาซี จัดว่าพุทธมีความสมเหตุสมผลและพิสูจน์ได้เช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์
.
อย่างไรก็ดี หากนิทเช่เดินทางมาที่บางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเวลานี้ แล้วเห็นภาพชาวพุทธก้มบูชากราบตัวตะกวดหรือคนในผ้าเหลืองทำเรื่องอาบัติ บางทีเขาอาจจะสิ้นศรัทธาแก่ศาสนาแห่งเหตุและผลยิ่งกว่าศาสนาใดใด
.
ยุคสมัยเปลี่ยนไป
พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว...
.
.
.
อ้างอิง : www.wikipedia.org
.
 

****
แล้วพบกันใหม่ เมื่อใจเราอยากเขียน
-ยูคาริ ณ มอสโคว




 

ป.ล.ตอนนี้เราพึ่งเปิดเพจใน Facebook ใครชอบอ่านเรื่องแนวๆนี้ก็ฝากติดตามด้วยนะ :)
https://www.facebook.com/yukarimoscow/?modal=admin_todo_tour
 

แสดงความคิดเห็น

>