ปฎิรูปความคิดตัวเองช่วยแก้โลกร้อนก่อนจะสายเกินไป
ตั้งกระทู้ใหม่
เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนเตี้ยนหมู่ ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมาก ส่งผลให้ในโซนภาคเหนือ,ภาคกลาง, ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประสบภัยน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก ร่วมกว่า 30 จังหวัด ประชาชนและเกษตรกรได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ทั้งบ้านเรือนและพื้นที่ทำกิน
หากมองผิวเผิน นี่คงเป็นแค่พายุเข้าฝนตกหนัก จึงทำให้เกิดน้ำท่วม แต่ถ้ามาวิเคราะห์กันแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างจากโลก ขณะที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ส่งผลให้น้ำในทะเลสูงขึ้น สภาพอากาศแปรปรวน น้ำท่วมก็เช่นกันจะหยิบยกตัวอย่างให้ได้ทราบกัน ดังนี้
กรณีที่ 1 น้ำป่าไหลหลาก หรือการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน มักเกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มใกล้ภูเขาต้นน้ำ เกิดจากฝนที่ตกหนักเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสะสมน้ำในปริมาณมาก จนพื้นดินและต้นไม้ดูดซับไม่ไหวจึงไหล่ลงสู่ที่ราบต่ำ
การวิเคราะห์ : ในปัจจุบันการลักลอบตัดไม้ในประเทศไทย รวมถึงการเผาป่าหรือไฟป่า มีจำนวนมากขึ้น ทำให้พื้นที่ป่าลดลง, ดินเสื่อมสภาพ จึงไม่สามารถกักเก็บดูดซึมน้ำได้ อีกทั้งควันจากการเผาป่า ทำให้เกิดเป็นมลพิษทางอากาศอีกด้วย
กรณีที่ 2 น้ำท่วม หรือน้ำท่วมขัง เกิดจากการสะสมปริมาณน้ำจำนวนมาก ไหล่จากแนวระนาบจากพื้นที่สูงสู่พื้นที่ต่ำ ส่งผลให้ไร่นาเสียหาย หรือน้ำท่วมขังในเมือง ที่เกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่อง การระบายน้ำไม่ดี มีสิ่งของอุดตันกีดขวาง
การวิเคราะห์ : ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร เกิดน้ำท่วมขังขณะฝนตกหนัก เนื่องจากมีขยะอุดตันในท่อระบายน้ำ ดังที่เรามักเห็นภาพเศษขยะตามริมฟุตบาทจากการทิ้งขยะไม่ถูกที่ หรือร้านอาหารริมทางที่ทิ้งเศษอาหารลงท่อระบายน้ำโดยไม่คัดกรองออก เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุที่ทำให้น้ำขังและระบายได้ช้าลง จะทำอย่างไรให้มนุษย์ได้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้
จากสองกรณีที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของมนุษย์ ที่ยังคงมักง่ายและบางคนอาจจะยังไม่มีความรู้ความเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น เมื่อหลายวันก่อนได้มีโอกาสฟังการ เวทีเสวนา ‘Thailand’s Race to Net Zero in Action: อนาคตยั่งยืนแบบไทย สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ ทำได้จริงหรือเพ้อฝัน’ ส่วนหนึ่งของ THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2021: The Great Reform โดยมีคุณวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับนโยบายบางช่วงบางตอนในเรื่องนี้ โดยเห็นว่าเรื่อง Climate change หรือทรัพยากรธรรมชาติเป็นเรื่องที่ต้องมีอยู่ในกระทรวงต่างๆ ทุกภาคส่วน เช่น
กระทรวงอุตสาหกรรม ให้มีการหารือกับผู้ประกอบการ ในการลดการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง, ใช้เทคโนโลยีหรือไลน์การผลิตให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ฯลฯ
กระทรวงคมนาคม ผลักดันการใช้ไฟฟ้า 100% เช่น รถบัสไฟฟ้า เรือไฟฟ้า และรถไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มมีการนำมาใช้บ้างแล้ว
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ทำความเข้าใจกับพี่น้องเกษตรกร ในเรื่องการดำเนินการ
กระทรวงศึกษาธิการ ปลุกระดม เรื่องความรู้ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม เข้าสู่ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย และทำให้ครูเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเฉพาะแค่หลักสูตร
จากสิ่งที่คุณวราวุธฯ กล่าว เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับการนำเรื่อง Climate change หรือทรัพยากรธรรมชาติ เข้าสู่องค์กรต่างๆ รวมถึงเข้าสู่หลักสูตรการเรียนรู้ตั้งแต่อนุบาล เพื่อเป็นการปลูกฝังความคิด ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ และทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เช่น การทิ้งขยะแยกประเภท, การใช้วัสดุจากธรรมชาติ, การเข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ปลูกป่า เป็นต้น และเชื่อว่าจะทำให้บุคคลในองค์กรเริ่มเปลี่ยนแปลงนิสัย และส่งต่อสิ่งนี้ไปสู่คนใกล้ชิดหรือคนภายในครอบครัวได้
แสดงความคิดเห็น