Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ย้ายเมืองหลวง. . .ง่ายจริงหรือ?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

AREA แถลง ฉบับที่ 305/2566: วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน 2566

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4





หลายคนกังวลเรื่องน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะ “โลกร้อน” เลยคิดจะย้ายเมืองหลวง ทำได้จริงหรือ อันที่จริงทำได้ และเคยทำกันมาแล้ว แต่จะทำจริงหรือ และควรทำหรือไม่ โดยเฉพาะสำหรับกรุงเทพมหานคร

การย้ายเมืองหลวงในอดีต ทำกันมามากมาย เช่น ในจีน ก็ทำมาแล้ว เราคงเคยได้ยินเมืองหลวงเก่าๆ ของจีน เช่น ไคฟง ลั่วหยาง นางกิง ซีอาน หรือเฉิงตู เป็นต้น ในญี่ปุ่นก็มีนครหลวงเก่าอย่างนารา และเกียวโต สาเหตุสำคัญของการย้ายเมืองหลวงได้สำเร็จก็เป็นเหตุผลทางการเมืองนั่นเอง แม้แต่ไทยก็ย้ายจากกรุงสุโขทัย มาอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงเทพมหานคร แล้วทำไมจะย้ายอีกไม่ได้

อีกเหตุผลหนึ่งที่ย้ายเมืองหลวงทั้งเมืองได้ก็เพราะการย้ายประชากร อย่างเช่นในสมัยสามก๊ก เมืองหลวงก็ได้แก่เมืองลกเอี๋ยง ต่อมาตั๋งโต๊ะสั่งย้ายไปเมืองเตียงอัน และโจโฉสั่งย้ายไปเมืองฮูโต๋ การย้ายแต่ละครั้งก็มักกวาดต้อนประชาชนและเอาสมบัติต่างๆ จากเมืองเก่าไปด้วย แม้แต่กรุงเวียงจันทน์ของลาว หรือนครธมของกัมพูชา ก็ถูกไทยบุกยึดมาแล้ว พม่าก็ยึดกรุงศรีอยุธยาพร้อมกวาดต้อนผู้คนไป

สำหรับกรุงเวียงจันทน์ก็เคยถูกเผาร้างมาเช่นกัน ตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี และในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีกรณีกบฏอนุวงศ์ ในแต่ละครั้งกรุงเวียงจันทน์ก็ร้างไป มีการอพยพผู้คนชาวลาวมาอยู่ในเขตไทย เช่น สุพรรณบุรี ราชบุรี นครปฐม และทางตอนใต้ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือใกล้กับกัมพูชา เพื่อว่าคนเหล่านี้จะได้ไม่มีโอกาสกลับไปยังกรุงเวียงจันทน์อีก ดังนั้นการย้ายเมืองหลวงได้จะต้องย้ายประชากรไปด้วย แต่ในยุคสมัยใหม่คงเป็นไปได้ยากที่จะย้ายประชากรออกนอกเมืองไป

ในประเทศต่างๆ ก็มีการแยกเมืองหลวงที่เป็นเมืองบริหารออกจากเมืองหลวงทางเศรษฐกิจ เช่น

- แคนาดา: ออตโตวา กับ โตรอนโต

- ไนจีเรีย: อาบูจา กับ ลากอส

- บราซิล: บราซิเลีย กับ เซาเปาโล

- ปากีสถาน: อิสลามาบัด กับการาจี

- ฟิลิปปินส์: เกซอนซิตี้ กับ มะนิลา

- มาเลเซีย: ปุตราจายา กับ กัวลาลัมเปอร์

- เมียนมา: เนปยีดอ กับ ย่างกุ้ง

- สหรัฐอเมริกา: วอชิงตันดีซี กับ นิวยอร์ก

- ออสเตรเลีย: แคนเบอร์รา กับ ซิดนีย์ เป็นต้น

อาจกล่าวได้ว่าเมืองหลวงราชการย้ายได้ แต่เมืองหลวงทางเศรษฐกิจคงย้ายไม่ได้ ยิ่งในกรณีการย้ายกรุงเทพมหานคร มีความเป็นไปไม่ได้อยู่ 2 ประการก็คือ

1. ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีข้าราชการส่วนกลางอยู่ราว ๆ 1.2 ล้านคน การย้ายเมืองหลวงที่ต้องย้ายข้าราชการเหล่านี้ไป คงเป็นเรื่องยาก เพราะหากคูณด้วย 5 (รวมลูกเมียและผู้ที่ไปให้บริการค้าขายด้วย) ก็จะเป็นเมืองขนาด 6 ล้านคน การสร้างเมืองขนาดนี้จึงยากที่จะเป็นไปได้ ในกรณีเมืองนูซันตาราซึ่งเป็นนครหลวงใหม่ของอินโดนีเซียนั้น จะมีการย้ายข้าราชการส่วนกลางไปเพียง 4 แสนคน ทั้งนี้คงเป็นเพราะข้าราชการส่วนใหญ่เป็นส่วนท้องถิ่น แต่ของไทยหนึ่งในสามของข้าราชการอยู่ในส่วนกลาง จึงย้ายได้ยากมาก

2. กรุงเทพมหานครเป็นเมืองโตเดี่ยว (Primate City) ไม่มีเมืองอื่นที่จะมาทดแทนได้ ชัยภูมิก็อยู่กึ่งกลาง บรรดาเมืองในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคใต้ ก็ไม่อาจเป็นศูนย์กลางของประเทศไทย ทั้งนี้ต่างจากประเทศอื่นที่มีเมืองขนาดใหญ่หลายเมือง เช่น อินโดนีเซีย มีเมืองที่มีประชากรเกินล้านถึง 14 เมือง ฟิลิปปินส์ก็มีเมืองขนาดใหญ่หลายแห่ง

ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีผู้แย้งได้ว่า กรุงเทพมหานครต้องย้ายแน่ๆ อสังหาริมทรัพย์คงพังพินาศหมด เพราะระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยจะเพิ่มขึ้นจนกรุงเทพมหานครอยู่ไม่ได้อีกต่อไป มีผลการศึกษาบอกว่าหากน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ละลาย รวมทั้งเหล่าธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นถึง 70 เมตร (https://on.doi.gov/41VtCTx) อย่างไรก็ตามการคาดการณ์ (ส่งเดช) แบบพูดความจริงบางส่วน ให้ผู้คนตกใจแบบนี้ ก็มีผู้คัดค้านมากมายเช่นกัน เพราะมีผลการศึกษาระบุชัดว่า

1. ภายในปี 2593 องค์การนาซาคาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น 12 นิ้ว หรือ 0.3 เมตรเท่านั้น (https://go.nasa.gov/3Ji8W0C)

2. ภายในปี 2643 น้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3-1.6 เมตรจากปัจจุบัน (https://bit.ly/3F64i3b)

3. ภายในปี 3543 (เกือบพันปีข้างหน้า) ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น 4 เมตร (https://bit.ly/2pFEjs3)

ประเทศสิงคโปร์คาดการณ์ว่าน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.32-1.01 เมตรเท่านั้น ณ ปี 2643 (https://bit.ly/3JmJVkI) แสดงว่าในอ่าวไทย และประเทศไทย น้ำทะเลก็คงเพิ่มขึ้นในระดับที่ใกล้เคียงกัน จึงไม่ต้องห่วงใยหรือ “บ้าจี้” ตามพวก “โลกร้อน” จน “ขี้ขึ้นสมอง” นัก

ในขณะนี้มีเมืองริมทะเลที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และยังอยู่ได้ เพราะการสร้างเขื่อนกันไว้ ซึ่งไทยก็อาจเลียนแบบได้เช่นกัน เมืองเหล่านี้ ได้แก่:

- Lammefjord เดนมาร์ก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 7 เมตร

- Zuidplaspolder เนเธอร์แลนด์ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 7 เมตร

- Haarlemmermeer เนเธอร์แลนด์ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 5 เมตร

- Amsterdam เนเธอร์แลนด์ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 2 เมตร เป็นต้น

การย้ายเมืองหลวง (ราชการ) หลายแห่งก็ไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ปุตราจายาของมาเลเซีย ก็มีประชากรไปอยู่น้อยมาก ประมาณ 1 แสน ในขณะที่กรุงกัวลาลัมเปอร์อยู่กันล้านกว่าคน กรุงเนปยีดอก็แทบร้าง ดังนั้นการย้ายเมืองหลวงของอินโดนีเซียน่าจะล้มเหลว และต้องเสียเงินมหาศาลในการสร้าง สู้นำเงินไปพัฒนาประเทศในทางอื่นจะดีกว่า ยิ่งกว่านั้นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปติดต่อเมืองหลวงใหม่จากทั่วประเทศก็จะเพิ่มขึ้นอีก นับเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามการย้ายเมืองหลวงที่ประสบความสำเร็จ พึงดำเนินการดังนี้:

1. ต้องเป็น Smart City มีการวางผังเมืองทุกกระเบียดนิ้ว และเป็นเมืองในแนวตั้ง เช่น สิงคโปร์ มีประชากรประมาณ 8,000 คนต่อตารางกิโลเมตร เช่น ถ้าเราจะสร้างเมืองใหม่ขนาด 6 ล้านคน ก็ไม่ควรใช้พื้นที่เกิน 750 ตารางกิโลเมตร เป็นต้น แต่การสร้างเมืองหลวงใหม่มักสร้างสถานที่ราชการแบบสุดอลังการ ทำให้ความเป็นไปได้มีจำกัด

2. ต้องเป็นเมืองปิด เพื่อไม่ให้เติบโตแบบไร้ทิศผิดทาง (Urban Sprawl) โดยมี “กำแพงเมืองจีน” ในลักษณะที่เป็นพื้นที่กันชนสีเขียว (Green Belt) ซึ่งต้องเวนคืนที่โดยรอบไว้ ห้ามการก่อสร้างใดๆ

3. ต้องมีทางเชื่อมเข้าเมืองหลวงใหม่ผ่านรถไฟ ทางด่วนยกระดับจากเมืองท่าริมทะเลหรือสนามบินนานาชาติของเมือง โดยไม่ให้เกิดการเชื่อมทางเพื่อป้องกันการเติบโตแบบไร้ทิศผิดทางนั่นเอง

สำหรับเมืองหลวงปัจจุบันอย่างกรุงเทพมหานครและกรุงจาการ์ตา ก็ยังต้องพัฒนาต่อไป โดยนอกจากจะมีกำแพงกันน้ำทะเลอย่างในยุโรปแล้ว ยังต้องมีการสร้างรถไฟฟ้าในเขตเมืองกันอย่างขนานใหญ่ ห้ามการสร้างตามชานเมือง เน้นการสร้างแนวสูง จัดผังเมืองใหม่ (Rezoning) แบบในประเทศจีนหลายเมืองที่พอชาวบ้านจากบ้านไปสักปีครึ่งปีก็จำทางเข้าบ้านแทบไม่ได้แล้ว เพราะการจัดผังเมืองใหม่ รวมทั้งการนำพื้นที่การพัฒนาแนวราบ เช่น ชุมชนแออัดมาพัฒนาใหม่ ให้คนได้อยู่ร่วมกันในเมือง แทนการออกนอกเมืองอย่างสะเปะสะปะ

จะย้ายเมืองหลวงใหม่หรือไม่ก็ตาม เมืองก็ต้อง “ยกเครื่อง” ตลอดเวลา จะปล่อยไปตามยถากรรมไม่ได้








ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

แสดงความคิดเห็น

>