Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ต้นกำเนิด "ชีส"

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่



ต้นกำเนิดของชีสมีเรื่องเล่าหลายตำนานแตกต่างกัน ผู้เขียนจึงได้ยกมาเรื่องหนึ่งอันถูกเสริมเติมแต่งเพื่ออรรสรถของผู้อ่าน ประการฉะนี้แล….

***หมายเหตุ : ตำนานเรื่องชีสที่นำมากล่าวถึงนั้นได้มีการเสริมเติมแต่งเพื่ออรรรสในการอ่านเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือกล่าวอ้างให้เกิดความเสื่อมเสียต่อบุคคลหรือเรื่องราวแต่อย่างใด***

.
.

   ‘’กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เซ็ตติ้งที่ทะเลทรายอันแห้งแล้งแถบเมโสโปเตเมีย มีพ่อค้าชาวอาหรับคนหนึ่งเดินทางไปค้าขายที่หมู่บ้านขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปกับอูฐคู่ใจที่พาเขาร่อนเร่ไปทั่วผืนทราย  บนหลังอูฐบรรทุกสัมภาระห่อผ้าหลายขนาด  มุ่งหวังว่ามันจะนำทรัพย์สินเงินทองมากมายมาสู่ตัวเขาและสิ้นสุดความยากลำบากนี้เสียที

ระยะทางและความร้อนทำให้ชายหนุ่มท้อแท้และอ่อนล้า เขาเงยหน้าขึ้นสบเข้ากับดวงอาทิตย์จึงได้ยกมือขึ้นบังแสงแดดที่แยงเข้ามาในดวงตา เขาถอดถอนใจและเอ่ยพึมพำกับตัวเองเบาๆ

‘ร้อนจนจะสุกอยู่แล้ว’

เจ้าอูฐเพื่อนรักคล้ายได้ยินความในใจอันยิ่งใหญ่ของเขา มันขยับหันใบหน้ามามองเล็กน้อยอย่างเวทนา คล้ายจะเอ่ยว่า

‘บ่นมากเหลือเกิน ตนต่างหากที่ย่ำอยู่บนทรายร้อนๆ ยังไม่เอ่ยบ่นสักคำหนึ่ง’

ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอีก มุ่งหน้าเดินทางต่อไปเรื่อยๆ

แดดจ้าเสียจนดวงตาเริ่มพร่ามัว ชายหนุ่มตาลายไม่ทันระวัง บังคับอูฐไปชนเข้ากับก้อนหินที่โผล่พ้นจากพื้นทรายจนเสียหลักพลัดตกจากหลังอูฐ โชคดีที่เขาไม่ได้บาดเจ็บนัก แต่ข้าวของที่บรรจุอยู่ในกระเป๋าหกกระจายเต็มพื้น เขาลนลานวิ่งเข้าไปเก็บมันใส่ห่อผ้าตามเดิม

สายตาเหลือบไปเห็นกระติกกระเพาะแกะที่ตนใช้บรรจุนมไว้ดื่มระหว่างทางกลิ้งอยู่บนพื้น มีของเหลวไหลออกมาจากปากกระติก ชายหนุ่มหน้าเสียวางห่อผ้าในมือลงแล้วรีบเก็บมันขึ้นมา แต่ก็พบว่านมกลับแยกออกเป็นสองส่วนเสียแล้ว

‘อะไรเนี่ย?’

เขารู้สึกสับสนและสิ้นหวัง นมจับตัวเป็นก้อนสีเข้มอยู่ที่ก้นกระติก อีกส่วนกลายเป็นเพียงของเหลวสีขาวเกือบใส ด้วยความทั้งเหนื่อยทั้งหิว คิดในใจว่าคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว ถึงได้ยกขึ้นมาจ่อที่ปาก  ดื่มกินของเหลวนั้น รสชาติแปลกพิกลพอทนแต่ไม่พอยาไส้

พิจารณาอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเทก้อนสีเข้มนั้นใส่มือก่อน สัมผัสไม่แย่นัก แข็งเล็กน้อยแต่พอแตะแล้วก็มีส่วนที่นิ่ม กัดลงไปคำหนึ่งก็ต้องแปลกใจ ตะโกนออกมาเสียงดัง

‘อะไรกันเนี่ย!!!’ 

เพียงเท่านั้นเขาก็กัดเพิ่มอีกคำหนึ่ง จากนั้นก็เพิ่มอีกคำและอีกคำ อร่อยจนวางไม่ลง เพราะถ้าวางก็กินไม่ได้แล้ว แค่ครู่เดียวมันก็หมด

ชายหนุ่มนึกเสียดายเล็กน้อย บรรจุนมมาเต็มกระติก แต่กลับเหลือให้กินได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น เขาส่ายหัวแล้วเก็บกระติกใส่ห่อผ้าและปืนขึ้นหลังอูฐ เพื่อเดินทางไปยังหมู่บ้านอันเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป

คล้อยหลังชายหนุ่มจากไปแล้ว พายุทรายพัดผ่านบริเวณนั้นจนหินที่ซ่อนอยู่ด้านใต้ผิวทรายโผล่ขึ้นมาให้เห็นว่าแท้จริงมันคือหินก้อนใหญ่ ถ้าหากพายุทรายพัดมาก่อนหน้าชายหนุ่มคงสังเกตเห็นและไม่สะดุดเข้ากับมันจนพลัดตกจากหลังอูฐ เขาคงไม่นึกสนใจนมที่จับตัวเป็นก้อนเมื่อไปถึงหมู่บ้านและโยนมันทิ้งไปอย่างไม่ใยดี เรื่องราวการค้นพบอาหารวิเศษที่มีชื่อเรียกว่า ‘ชีส’ ก็คงไม่เกิดขึ้น….” 

.
.

และตำนานก็จบลงเพียงเท่านี้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดชีสหรือก้อนสีเข้มที่อยู่ในเรื่องราวข้างต้น ก็คือ 'เอนไซม์เรนนิน' เรนนินเป็นเอนไซม์ที่อยู่ในกระเพาะอาหารของสัตว์ส่วนใหญ่ที่ทำให้น้ำนมจับตัวกันเป็นก้อน

ตำนานไม่ได้กล่าวถึงอย่างชัดเจนว่าเป็นน้ำนมของสัตว์ชนิดใด   แต่นมของสัตว์แทบทุกชนิดสามารถนำมาทำเป็นชีสได้ ส่วนมากผลิตภัณฑ์ชีสที่เราบริโภคกันทำมาจากนมวัวหรือนมแพะ

ชีสสามารถแบ่งได้ 8 ประเภทหลักๆ ได้แก่ :
1. มอสซาเรลลา (Mozzarella cheese) ต้นกำเนิดจาก อิตาลี
2. เชดดาชีส (Cheddar cheese) ต้นกำเนิดจาก อังกฤษ
3. พาร์มีซานชีส (Parmesan cheese) ต้นกำเนิดจาก อิตาลี
4. ชีสสวิส (Swiss cheese) ต้นกำเนิดจาก สวิตเซอร์แลนด์
5. บลูชีส (blue cheese) ต้นกำเนิดจาก ฝรั่งเศส
6. เกาดาชีส (Gouda) ต้นกำเนิดจาก เนเธอร์แลนด์
7. อิดัมชีส (Edam cheese) ต้นกำเนิดจาก ฮอลแลนด์
8. คอทเทจชีส (Cottage cheese) อีกชื่อคือ ‘ชีสสด’ หรือก็คือชีสในตำนานที่กล่าวถึงนั่นเอง

ในปัจจุบันชีสแพร่หลายและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก แต่ใครเล่าจะรู้ประวัติความเป็นมาอันน่าพิศวงก่อนจะกลายมาเป็นชีสที่ครองใจผู้คนในทุกวันนี้...




ขอบคุณที่ให้ความสนใจในบล็อกของพวกเรา

อ้างอิงประเภทของชีสจาก : https://www.eventpop.me/blogs/eat-8-cheese

อ้างอิงตำนานต้นฉบับของชีสจาก : https://www.oknation.net/post/detail/634f62ea0a8f0890edb50cd3


 

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น