Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิว เรียนภาษาจีน ณ ฮาร์บิน มนต์เสน่ห์แห่งเมืองหิมะ

ตั้งกระทู้ใหม่

              หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินชื่อเมือง ‘ฮาร์บิน’ ในฐานะเมืองที่มีเชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว บรรยากาศของบ้านเมืองที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างรัสเซียและจีน รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ อาทิ โบสถ์เซนโซเฟีย หมู่บ้านรัสเซีย และถนนจงยางต้าเจีย ในขณะเดียวกันหากพูดถึงการศึกษาต่อในประเทศจีน เมืองฮาร์บินเองก็คงจะจัดอยู่ใน Top 10 เมืองในใจของใครหลาย ๆ คน ผมเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องการเรียนภาษาจีนที่ประเทศจีน ในครั้งแรกได้เลือกเมืองต่าง ๆ เอาไว้ในการตัดสินใจ และท้ายที่สุดก็มาลงเอยที่ฮาร์บิน เพราะปัจจัยอะไรนั้นนะหรอ ลองอ่านสิ่งที่ผมจะเล่าให้พวกคุณอ่านแล้วอาจจะตัดสินใจมาเลือกเมืองนี้เหมือนกับผมก็ได้นะครับ
              สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวเองอย่างคร่าว ๆ ก่อนนะครับ ผมจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รหัส 55 ซึ่งหลังจากสำเร็จการศึกษาไป ก็ได้ลองผิดลองถูกกับชีวิตนอกรั้วมหาลัยมาพอสมควร มีทั้งที่เป็นไปตามแพลนที่ตั้งไว้และในทางตรงข้าม จนเมื่อผมทำงานได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็ได้กลับมานั่งทบทวนว่าเป้าหมายที่นอกเหนือไปจากการเป็นหนูปั่นจักรทำอะไรซ้ำ ๆ ในแต่ละวัน เราอยากทำอะไร แล้วความฝันตอนสมัยเรียนซึ่งเป็นช่วงที่ไฟในตัวกำลังพุ่งพล่านอยู่นั้นเราอยากเดินไปทางไหน จนได้คำตอบว่า  เราอยากกลับมารื้อฟื้นภาษาจีนที่เราได้ห่างหายไปนานหลายปีตั้งแต่จบมัธยมปลาย จึงเริ่มหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เพจ ต่าง ๆ รวมไปถึงรีวิวต่าง ๆ จนได้รายชื่อเมืองที่ต้องการไปเรียน มีทั้ง เซี่ยเหมิน หางโจว และฮาร์บิน จะเห็นว่าสามเมืองที่เลือกมาสภาพภูมิอากาศและบ้านเมืองค่อนข้างแตกต่างกัน มีทั้งที่อากาศใกล้เคียงไทยและตรงกันข้าม มีทั้งเมืองธรรมชาติและเมืองหลวง ซึ่งหลาย ๆ อย่างลองเปรียบเทียบแล้วทั้งในด้านค่าเรียน สำเนียงภาษา การคมนาคม และค่าครองชีพ จึงตัดสินใจเลือกฮาร์บิน
              ในตอนแรกได้ลองหาข้อมูลในกระทู้ของพันทิปมีคนมารีวิวเกี่ยวกับฮาร์บินพอสมควรซึ่งส่วนใหญ่บอกว่า ฮาร์บินเป็นเมืองที่น่าอยู่ การศึกษาของมหาวิทยาลัยมีความเข้มข้น ไม่มีสำเนียงท้องถิ่น และค่าครองชีพไม่แพงกว่าไทย ผมจึงอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฮาร์บินจึงไปเจอเพจหนึ่งที่แนะนำการศึกษาต่อที่ฮาร์บินนั่นคือเพจ ‘Study in Harbin เรียนภาษาจีนกลาง’ จึงทำให้ได้รู้จักกับพี่เอ็ม พี่เอ็มเป็นนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งของมณฑลเฮย์หลงเจียงและติดอันดับ Top 10 ของจีน นั่นคือ Harbin Institute of Technology (HIT) ซึ่งถูกเรียกสั้น ๆ ว่า ฮากงต้า (哈工大) พี่เอ็มได้ให้คำแนะนำและรายระเอียดของการสมัครเรียนรวมไปถึงคู่มือเบื้องต้นของการใช้ชีวิตในฮาร์บิน Study In Harbin ไม่ได้เป็นบริษัทเอเจนซี่ศึกษาต่อต่างประเทศ แต่พี่เอ็มเขาเป็น representative ของ Harbin institute of technology โดยตรง ซึ่งนอกเหนือไปจากพี่เอ็มก็มีพี่ ๆ ที่ได้รับทุนของรัฐบาลจีน CSC ทั้งที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกคอยให้ความช่วงเหลือกับน้อง ๆ ที่สมัครมาเรียนด้วยตลอด

              ในขั้นตอนแรกพี่เอ็มได้ส่งรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการสมัครเรียน ซึ่งผมได้เลือกสมัครเรียนระยะเวลา 1 ปี ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมยืนยันว่าพี่เอ็มไม่มีเก็บเพิ่ม ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นไปตามที่แจ้งมาจากไทย และไม่มีค่าดำเนินการต่าง ๆ  อีกทั้งยังช่วยประสานงานกับมหาวิทยาลัยทำให้นักเรียนไทยมีความสะดวกในการลงทะเบียนเรียนวันแรก ผมเห็นได้ชัดว่านวันลงทะเบียนเรียนนักเรียนจากประเทศอื่นจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่านักเรียนไทย ทั้งการกรอกเอกสาร และเข้าแถวมอบเอกสาร แต่ด้วยความที่พี่เอ็มจัดการเอกสารให้ทั้งหมดแล้ว พวกเราจึงไปแค่ยื่นเอกสารลงทะเบียนและสอบวัดระดับชั้น
              ก่อนวันเดินทางได้มีการจัดแบ่งกลุ่ม กับคนที่เดินทางไฟร์ทเดียวกันใน wechat และพี่เอ็มจะคอยสแตนบายให้ความช่วยเหลือน้อง ๆ ตลอด ตั้งแต่การออกจากประเทศไทย ต่อเครื่องระหว่างการเดินทาง จนถึงเดินทางถึงสนามบินฮาร์บิน



              กลุ่มของพวกเราได้เดินทางด้วยเที่ยวบินที่ CZ606 ของสายการบิน China Southern Airline เวลา 05.45 กรุงเทพ-ฉางซา หลังจากนั้นรอพักที่ฉางซาเพื่อต่อเครื่องไปฮาร์บิน ระหว่างที่พวกเรารอเที่ยวบินไปฮาร์บินที่ฉางซา ด้วยความที่มีระยะเวลาในการรอที่ค่อนข้างนาน และหิวพร้อมอยากออกไปเดินสำรวจภายนอก จึงได้วีแชทไปหาพี่เอ็ม พี่เอ็มจึงช่วยคุยกับพนักงานภาคพื้นให้จนเขาพาเราไปเข้าพักที่โรงแรมเพื่อพักผ่อนพร้อมมีรถรับส่งโรงแรม-สนามบินทั้งไปและกลับโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย รู้สึกแฮปปี้มากเราไม่ต้องนั่งเหี่ยวเฉาในสนามบินแล้ว

              หลังจากที่พวกเราพักผ่อนที่โรงแรมจนถึงใกล้เวลา check-in ก็ได้กลับไปยังโรงแรมเพื่อนั่งรถมาสนามบิน พวกเรารู้สึกตื่นเต้นปนความเหนื่อยล้านิด ๆ ใกล้จะได้ถึงฮาร์บินแล้ว พวกเราเดินทางด้วยเที่ยวบิน CZ6272 เวลา 18.25 ฉางซา-ฮาร์บิน
              หลังจากที่นอนหลบอย่างสงบเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมก็ลืมปรับเวลาให้เป็นเวลาแบบจีน เพราะที่จีนจะเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ตอนนั้นแบบรู้สึกผิดมารีบวิ่งลงไปหาพี่ ๆ ที่พักอยู่ที่พักเดียวกันเพื่อเดินทางไปหาพี่เอ็มซึ่งรออยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย Meeting Point ของพวกเราคือ KFC และประตูซีหยวน วันนั้นถือเป็นวันที่รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเป็นวันที่หิมะตก อุณหภูมิประมาณ -26 ชีวิตที่ผ่านมายังไม่เคยสัมผัสอากาศแบบนี้เลยฮ่า ๆ เรียกได้ว่าหนาวแข็งเลยทีเดียว
              หลังจากที่จัดการเรื่องเอกสารและเงิน ๆ ทอง ๆ กับพี่เอ็มเรียบร้อยผมก็ได้เพื่อนใหม่เป็นกลุ่มคนไทยที่เดินทางมาด้วยกันและพักห้องใกล้เคียงกัน พวกเราก็ได้ไปผจญภัยฮาร์บินด้วยกัน ไปโบสถ์เซนโซเฟียซึ่งถือว่าเป็นจุด land mark ของฮาร์บินเลยก็ว่าได้ รวมถึงเดินเที่ยวถนนจงยางต้าเจีย ถนนสายสำคัญและแหล่งช็อปปิ้งของฮาร์บิน ในช่วงที่พวกเราไปติดกับช่วงหยุดยามของเทศกาลตรุษจีนพอดีจึงทำให้ผู้คนไม่ค่อยแออัดมากนัก
               เมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้งในฮาร์บิน ถนนจงยางเป็นอีกหนึ่งก็แลนด์มาร์คที่สำคัญ ถนนจงยาง หรือ 中央大街 ได้ถูกสร้างขึ้นในค.ศ. 1898 มีระยะทางประมาณ 1.45 กิโลเมตร โดยมีจุดเริ่มต้นจากจัตุรัสซินหยางทอดเส้นทางยาวไปจนถึงอนุสาวรีย์น้ำท่วม ซึ่งในอดีตถนนเส้นนี้ได้ถูกใช้ในเพื่อเป็นเส้นทางเชื่อมต่อของการค้าทางเรือ ถนนจงยางได้ถูกพัฒนาและเก็บรักษารูปแบบดั้งเดิมยาวนานกว่า 300 ปีไว้จนมาถึงปัจจุบัน ถนนสายนี้นอกจากจะเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญแล้วยังเป็นแหล่งที่เก็บรวบรวมศิลปะแนวตะวันตกจากรูปแบบสถาปัตยกรรมสองข้างทางไว้อีกด้วย ทำให้เมื่อผู้คนเดินทางมาท่องเที่ยวถนนสายนี้จะได้สัมผัสกับกลิ่นอายของความเป็นยุโรปผสมผสานกับความเป็นจีน ยิ่งในช่วงฤดูหนาวนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรยากาศที่โรแมนติกท่ามกลางหิมะโปรยปราย พร้อมด้วยการตกแต่งสีสันของถนน และรูปปั้นแกะสลักจากน้ำแข็ง นอกจากนี้ถนนจงยางยังอยู่ใกล้กับโบสถ์เซนโซเฟียที่อยู่อีกฝั่งหนึางของถนนอีกด้วย หากได้มาลองสัมผัสบรรยากาศในช่วงฤดูหนาวของถนนจงยาง ดูวิถีชีวิตของผู้คน รับชมสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จูงมือกับคนที่คุณรัก จะทำให้คุณหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของเมืองฮาร์บินอย่างแน่นอน 


 ***สำหรับใครที่อ่านรีวิวจากหลาย ๆ คนที่ได้เขียนไว้เกี่ยวกับผับรัสเซียที่นักศึกษาต่างชาติเข้าฟรีไม่ต้องเสียเงินและดื่มฟรีขอบอกว่าตั้งอยู่ในโซนโบสถ์เซนโซเฟียนี้แหละ เกาหลี รัสเซีย เยอะมาก ๆ ***

             กลายคืนเป็นคนบาปตอนเช้าก็เป็นคนดีหน่อยนิดนึง สถานที่อีกหนึ่งที่ที่รู้สึกประทับใจมาก ๆ คือวัดจี๋เล่อ 极乐寺 ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาฮากงเฉิง คือไปไหว้พระขอพร เหมือนแต้มบุญที่สั่งสมมาทวีคูณและส่งผลทันตาหลังจากนั้นก็ได้พบรักกับเขาคนหนึ่งที่ต้องนี้กำลังคุย ๆ กันอยู่ แต้มบุญส่งผลทันตาไหมละ ถ้ามาฮาร์บินอย่าลืมมาไหว้นะพวกเธอ

              และนี่ก็เป็นการขึ้นรถเมล์ครั้งแรกของทุกคน ค่ารถเมล์ที่จีนคือ 1-2 หยวนตลอดสาย 1 หยวน คือรถที่ไม่มีเครื่องฮีทเตอร์ แต่ถ้ามีก็ 2 หยวน การขึ้นรถเมล์คือขึ้นทางด้านหน้า ลงรถทางด้านหลัง
              สำหรับการขึ้นรถไฟใต้ก็เช่นเดียวกัน ค่าบริการเริ่มต้น 2 หยวนเช่นกัน แอบเหลือบตามองบนนึกถึงรสไฟฟ้าที่ไทย

              การคมนาคมในเมืองฮาร์บินถือว่าไม่เลวร้ายเท่าเมืองใหญ่ ๆ ในไทย เพราะมีทั้งแท็กซี่ รถเมล์ รถไฟใต้ดิน ซึ่งทุกอย่างราคาถูกกว่าไทยมาก แท็กซี่เริ่มต้นที่ 8 หยวน
              และแล้วก็มาถึงวันลงทะเบียนเรียน พวกเราก็ต่อแถวยื่นเอกสารพร้อมสอบพูดเพื่อวัดระดับชั้น ก่อนที่จะต้องสอบข้อเขียนอีกรอบ ผมเคยเรียนภาษาจีนสมัยที่เรียนห้องศิลป์-จีนตอนมัธยมปลาย แล้วหลังจากนั้นจนเรียนจบและทำงานก็แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษาจีนเลย แต่ในใบสมัครเขียนว่าให้สอบเข้าระดับ B ตอนแรกก็กังวลว่า B จะยากไปไหม เพราะอยากเริ่มต้นใหม่ที่ A แต่ก็ไม่อยากไปนั่งท่อง โบ โพ โม โพ ฮ่า ๆ มีความย้อนแย้งในตัวเองสูงมาก
              จนถึงวันสอบก็สอบวัดระดับเสร็จเรียบร้อยก็เป็นไปตามที่คาดว่าได้อยู่ระดับ B จะขออธิบายการเรียนภาษาของฮากงต้า ที่นี้จะมีระดับชั้นตั้งแต่เริ่มต้นไปถึงขั้นสูง A B C D E F G
              การเรียนของแต่ระดับชั้นจะแตกต่างกัน ของผมได้เรียนห้อง B4 จะมีวิชา 综合เรียนเกี่ยวกับไวยากรณ์口语เรียนการพูด听力เรียนการฟัง ในห้องมีนักเรียนทั้งหมด 9 คน เป็นคนไทย 4 คน รัสเซีย 3 คน และเกาหลี 2 คน ด้วยความหลากหลายทำให้ได้ยินสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป อย่างรัสเซียก็จะพูดเร็ว ๆ เกาหลีจะออกเสียงสั้น ๆ และพี่ไทยของเราด้วยความที่ภาษาไทยเหมือนเสียงดนตรี ก็จะมาหมดเลยจ้า สามารถออกเสียงแบบจีนได้แต่ก็มีแบบขั้นกว่าของจีนด้วย ถือเป็นความสนุกสนานในห้องเรียนอย่างหนึ่ง ฮ่า ๆ


              ถ้าเราเหนื่อยล้าจงเข้า食堂หรือโรงอาหาร อาหารที่นี่ถือว่าไม่แย่เท่าที่คิดไว้ รสชาติก็พอดี ไม่ได้ทำให้รู้สึกอาหารไทยมากนัก ที่นี้จะใช้บัตรอาหารในการจ่ายเงิน ซึ่งอาหารส่วนมากจะไม่เกิน 20 หยวน เท่าที่กินทุกวันก็มื้อละ 8-9 หยวน ค่าข้าว อาหารแต่ละอย่างที่จีนขอบอกเลยว่าให้เยอะมาก ช่วงแรกก็กินไม่หมดหรอกนะ แต่อยู่ไปอยู่มาหมดซะงั้น อย่างไรก็ตามไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะที่นี้การเดินคือการเดินทางที่ดีสำหรับทุกคน ฮ่า ๆ มาอยู่แล้วจะรู้ว่าวัน ๆ นึงเราเดินไปเยอะมาก

              ร้านข้าวมันไก่ สวรรค์ของคนคิดถึงรสชาติไทย ๆ
              หลังจากจัดการเกี่ยวกับขั้นตอนการเรียนและทราบห้องเรียนแล้ว คนที่มาเรียนหนึ่งปีก็ต้องไปสถานีตำรวจเพื่อเปลี่ยนวีซ่าอีกรอบหนึ่งเพื่อให้สามารถเข้า-ออกจีนได้หลายครั้ง โดยต้องใช้ใบตรวจสุขภาพ การเดินทางก็มีพี่ทีมงาน Study in Harbin พาและช่วยคุยกับเจ้าหน้าที่ให้โดยไม่มีค่าำเนินการอีกเช่นเดียวกัน 

              สำหรับใครที่กังวลเรื่องการจ่ายเงินว่าจะโดนโกงไหม ประเทศจีนถือว่าเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัวแล้ว ดังนั้น ช่วงเวลาที่อยู่ในฮาร์บิน เพียงแค่ไปเปิดบัญชีธนาคารจีนแล้วเอาเงินไปฝากในนั้น หลังจากนั้นใช้แค่ Application WechatและAlipay ก็จะทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ที่สำคัญคือใน Alipay จะมี Option อังเปา เราสามารถเก็บอังเปาตามร้านหรือที่ต่าง ๆ ได้เพียงแสกน QR Code ก็จะได้ส่วนลดไว้ใช้ พูดเลยว่าบางครั้งไปกินอาหารตามร้าน เราก็ได้อังเปาส่วนลดไปร้อยกว่าบาทแล้ว หรือจะเป็น App สั่งอาหาร ซื้อของ Taobao ต่างก็มีอังเปาไว้ให้เป็นส่วนลดตลอด
              นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังได้มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้นักศึกษาต่างชาติเข้าร่วมมากมาย ที่สำคัญคือฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น สัปดาห์ที่ 2 หลังจากเปิดภาคเรียน ทางมหาวิทยาลัยได้พานักศึกษาไปพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย และพิพิธภัณฑ์ศิลปะจงยางต้าเจีย

              แล้วถ้าเราเดินมาสุดทางของถนนจงยางก็จะเป็นอนุสาวรีย์น้ำท่วม ซึ่งในช่วงที่ไปนั้นน้ำในทะเลกลายเป็นน้ำแข็งและเป็นช่วงเทศกาลพอดี จึงเห็นผู้คนออกมาฉลองด้วยการจุดพลุกันเป็นจำนวนมาก

              สำหรับบัตรนักเรียนสามารถนำไปเป็นส่วนลดเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น หมู่บ้านรัสเซีย เทศกาลน้ำแข็ง รวมไปถึงใช้เพื่อเข้าห้องสมุด สระว่ายน้ำ ของทางมหาวิทยาลัยได้ด้วย เห็นเพื่อนคนจีนบอกว่าที่นี้ต้องเปลือยหมดตอนอาบน้ำเดี๋ยวจะลองไปพิสูจน์ดู ฮ่า ๆ


              ตอนนี้ผมได้อยู่ที่จีนมาจะครบหนึ่งเดือนแล้ว รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกที่เลือกมาเรียนที่นี้ ด้วยการสอนที่เข้มข้น และการบ้านมากมาย ทำให้เราต้องขยันมากขึ้น อีกทั้งสภาพแวดล้อมที่ภาษาจีนคือภาษาหลังทั้งในห้องเรียนและนอกห้อง การคิดเริ่มเปลี่ยนจากการคิดเป็นภาษาไทยก่อนแล้วแปลงเป็นภาษาจีน ตอนนี้เริ่มคิดเป็นภาษาจีนแทนภาษาไทยแล้ว อีกทั้ง พี่เอ็มและพี่ ๆ ทีมงานคอยดูแลตลอด ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรพี่เอ็มแสตนบายช่วยเหลือตลอด รวมไปถึงให้คำปรึกษาเรื่องการศึกษาต่อ และสถานที่ท่องเที่ยวอีกด้วย ขอย้ำว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นไปตามที่แจ้งจากที่ไทย และไม่มีค่าดำเนินการอื่น ๆ เก็บเพิ่ม สุดท้ายนี้ ถ้าใครยังลังเลว่าจะเลือกเรียนภาษาจีนที่ไหนดี อยากฝากฮาร์บินไว้เป็นอีกหนึ่งเมืองในทางเลือกด้วยนะครับ ไม่ได้จะโฆษณาอะไรแต่บอกเลยว่าถ้าไม่ดีจริงคงไม่เล่าเรื่องราวมากมายให้ฟัง ฮ่า ๆ หากมีเวลาว่างหลังจากเรียนอย่างหนักเช่นวันนี้ จะกลับมาเล่าเรื่องราวหลังจากนี้ให้อ่านนะครับขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้
ขอส่งท้ายด้วยรูปบรรยากาศของเมืองฮาร์บินนะครับ

ถือได้ว่าการมากับ Study in Harbin เป็นจุดเริ่มต้นของการเที่ยวและเรียนภาษาจนที่เมืองหนาว บรรยากาศยุโรป 1 ปีเต็ม ด้วยงบที่ไม่แพง แบบไม่ง้อเอเจนซี่ที่ดีเชียวหล่ะ
***哈工大我来了***

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

oohnuthin 4 เม.ย. 61 เวลา 23:44 น. 1

เมืองฮาร์บินเป็นเมืองที่น่าไปมากจริงๆค่ะ ทั้งหลายๆเหตุผลรวมถึงเป็นเมืองที่มีอาชญากรรมกรรมน้อยจนแทบไม่มี

ตอนนี้ก็มีแพลนว่าจะไปต่อป.ตรีที่นี่ด้วย กำลังหาข้อมูลอยู่

แต่ที่สงสัยคือถ้าไปเรียนป.ตรีที่นู่นพวกกิจกรรมจะเหมือนกับคนที่ไปศึกษาแบบสามสี่เดือนหรือปีนึงหรือเปล่าคะ ก็ตั้งเป้าว่าจะสอบ HSK5 ให้ได้แล้วไปเรียนที่นู่น 2 ปีจบ!! อย่างน้อยตอนนี้ก็มี HSK4 แล้วล่ะ≧﹏≦

0
ping 3 ต.ค. 61 เวลา 18:08 น. 3

อยากได้ข้อมูลของเจ้าของกระทู้ครับ เพราะมีแพลนจะไปปีหน้า เลยอยากทราบเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย

0