Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เมื่ออิฉันได้ทุนไปญี่ปุ่น8วันฟรีๆ กับJENESYS (มีรูปประกอบ)

ตั้งกระทู้ใหม่
     こんにちは!เฮโหลล! สวัสดีจ้า กระทู้นี้เราตั้งขึ้นเพราะอยากเก็บเป็นบันทึกความทรงจำ และอีกหนึ่งเหตุผลคือ อยากบอกเล่าประสบการณ์การแลกเปลี่ยน ณ ประเทศญี่ปุ่น!! โดยเป็นทุนระยะสั้น8วันของโครงการJenesys คือฟรีและอิ่มมากเวอร์!! รวมทั้งได้เเลกเปลี่ยนกับโรงเรียนและนักเรียนญี่ปุ่น! ที่สำคัญคือเรายังได้อยู่ร่วมกับโฮสแฟมิลี่เป็นเวลา 2 วัน 2คืน!!! โอ้วโหจะคุ้มไปไหน แม้พวกเราจะไปกันแค่8วัน แต่มันคือ8วันที่คุ้มค่าของพวกเรามากๆ หวังว่าสิ่งที่เราประสบพบเจอนั้นจะผลักดันทุกคนและสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนในการเรียนภาษาญี่ปุ่น หรือศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นกันนะคะ
      เอาล่ะ...เราจะเล่าละเอียดยิบตั้งแต่ก่อนได้ทุนยันจบโครงการเลย คือแฮปปี้มากกก อยากให้ไปกัน
 
       เราจะแบ่งพาร์ทเป็นตอนๆนะคะทุกคนสามารถกดไปตามลิงค์ข้างล่างได้เลยกระทู้ได้เลย...

ก่อนเข้าสู่story ขอพื้นที่ให้น้องสาระนิดนึง..
      โครงการJENESYS 2017 3nd Batchเนี่ยเป็นโครงการแลกเปลี่ยนเพื่อส่งเสริมความเข้าใจประเทศญี่ปุ่น  ของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้นักเรียนหรือเยาวชนในแต่ละประเทศตามภูมิภาคต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาคเอเชีย-แปซิฟิก อเมริกาเหนือ ยุโรป อเมริกากลางและใต้นั้นได้มาแลกเปลี่ยนกันที่ญี่ปุ่นกันจ้า! (ใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มทักมาได้นะจ๊ะ)
 
      ป.ล. มาเริ่มเรื่องกัน ขออนุญาตใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า "อิฉัน" (อิชั้น)เพื่ออรรถรสของเราคนเดียว ส่วนตอน1กับ2ใส่ลิงค์ไว้เผื่อใครไม่อยากอ่านก็ข้ามไปตอน3ข้างล่างนี้ได้เลย
 
      ตอนพิเศษ1 โอ้โหว! อาหารอลังมากแน่นทุกมื้อกับJENESYS  คลิก!! เร็วๆนี้  

      ตอน
พิเศษ2 ทำไมอิฉันถึงได้ทุนไปญี่ปุ่นกับJENESYS คลิก!! เร็วๆนี้
 
      ตอนพิเศษ3 ก่อนไปญี่ปุ่นกับJENESYSเกิดอะไรขึ้น!! คลิก!! เร็วๆนี้

      ตอน1 ญี่ปุ่นที่รัก อ่านข้างล่าง!!

      ตอน2 ญี่ปุ่นจ๋า-วันที่7งานเลี้ยงขอบคุณและการจากลา คลิก!!

ตอน1 ญี่ปุ่นที่รัก
วันแรก
            อิฉันและเพื่อนๆทยอยกันมารวมตัว ณ จุดรวมพล ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนตัวคนเดียว มาจากทั่วสารทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก คือคละกันหมดเนื่องจากแต่ละคนก็เป็นนักเรียนตัวแทนที่ได้ทุน โรงเรียนละคนเท่านั้น ดังนั้นทุกคนจึงหันหน้าคุยและทำความรู้จักกันอย่างสนุกสนาน ใครได้ทุนนี้ไม่ต้องกลัวเหงาเลยจร้า ได้เพื่อนเต็ม ความพีคอีกประการคืออิฉันกับเพื่อนอีกคนนั้นแก่สุดค่ะ มีม.6มาแค่2คน นับเป็นโชคดีของฉันเหลือเกินแม้อยู่ม.6จวนจบแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนบินลัดฟ้าไปลั้นลา

พอแอบถ่ายปุ๊ปพวกนางหนีกล้องเป็นแถว
 
      จากนั้นเราก็เข้าปฐมนิเทศเพื่อฟังบรรยายคำแนะนำต่างๆก่อนเดินทาง และแนะนำตัวภาษาญี่ปุ่นอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ก่อนจะแบกของขึ้นรถบัสเดินทางต่อยังสนามบินและรอขึ้นเครื่องพร้อมกับความง่วงที่ถาโถมเข้ามา

ถ่ายรูปรวมสักหน่อย


ออกเดินทางงง!!

 
วันที่สอง
                แม้นสุริยันจะสาดส่องกระทบกับใบหน้าอิฉัน แต่มันก็มิได้ทำให้ฉันตื่นอย่างสดชื่นได้เลย เพราะไม่ได้นอนทั้งคืนแม้จะข่มตาหลับสักเพียงใด พอเครื่องแลนดิ้งลงสนามบินนาริตะปุ๊บ ก๊กอิฉันก็สัมผัสถึงลมหนาวที่พัดกระทบผิวพวกเราทันทีจนสั่นยิกๆไปทั่วตัวระหว่างนั่นรอรอบัสเข้าเมือง ความพิเศษของรถบัสคือมีเข็มขัดนิรภัยรัดทุกที่นั่งเลย คนขับรถพูดจาดีมากและกำชับให้เราคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัย รอไรละคะอิฉันนี่คาดไว้แน่นตลอดเวลาเลย กลัวตายค่ะ55

สนามบินนาริตะ
      มื้อเที่ยง  ในรถบัสฉันตื่นขึ้นมาจากความอ่อนเพลียเมื่อรถหยุดจอดที่ห้างแถบชานเมืองแห่งหนึ่ง คณะทัวร์ก้าวลงจากรถอย่างหนาวเหน็บอากาศเพียง14-15องศาได้ จะหนาวไปไหนคะพ่อคุณ! มื้อแรกที่เขาว่าเป็นมาม่า มันกลายเป็นบุฟเฟต์สเต็ก!! อู้วหูววกินมันเลย กินไม่หมดก็ได้นักกินจุข้างๆเนี่ยจัดการต่อ กินเสร็จก็นั่งรถชมเมืองต่อ ไปเจอTokyo Towerถ่ายรูปเสียหน่อย

เนื้อฉ่ำฟุตๆ

ถ่ายในรถด้วยความรีบเร่ง
 
      จากนั้นก็เข้าอบรมกับนักเรียนทุนฝั่งประเทศลาว เพื่อชี้แจงแผนการดำเนินงานและกิจกรรมของเรา และเข้าเช็คอินที่โรงแรมเราได้นอนห้อง 6 คนคือดี๊ดี ก่อนจะทานมื้อเย็น แล้วรวมตัวกันวางแผนงานทั้งการแสดงโชว์ ทั้งงานพรีเซนต์ และอื่นๆ แล้วจึงแยกย้ายกันนอน

วันที่สาม เที่ยววัดอาซากุสะ วัดโคมแดง และพิพิธภัณฑ์ฟุคะกะวะเอโดะ
      สถานที่แรกคือวัดอาซากุสะ วัดโคมแดง (ทริปนี้พวกเราเดินทางโดยใช้รถบัสเป็นหลักนะคะ) แน่นอนพอไปถึงก็ถ่ายรูปรวมกันก่อนเลยย ที่นี่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่สำคัญแห่งหนึ่งที่นักเดินทางทั้งหลายต่างต้องมาเยือนเพื่อขอพรสักการะและซื้อお守り หรือเครื่องรางกัน อิฉันและทุกคนก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ จากนั้นก็แยกย้ายกันเดินเล่นซื้อของฝากกันอย่างสนุกสนาน อิฉันรู้สึกตื่นเต้นจริงๆได้มายืนในที่แปลกหูแปลกตา ผู้คนหลากเชื้อชาติมากมายที่อยู่รอบวัด เสียงเจี๊ยวจ๊าวของพ่อค้าแม่ค้าที่ตะโกนเรียกลูกค้า いらっしゃいませ~!บรรยากาศคึกครื้นอยู่ตลอดเวลาเชียวล่ะค่ะ

งานรวมตัวต้องมา
 
      ต่อไปเราก็มุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์ฟุคะกะวะเอโดะ เป็นเมืองจำลองสมัยเอโดะขนาดเท่าของจริงเลยค่ะเราเดินเล่นในนั้นหรือเข้าไปในบ้านได้เลยสุดยอดมากๆ ในนั้นเราจะเดินไปโซนต่างๆว่าสมัยเอโดะนั้นมีวิถีชีวิตสภาพความเป็นอยู่เป็นอย่างไร ทำอาชีพ หรือมีเรื่องเล่าอะไรบ้างโดยฟังคำบรรยาย แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เข้าใจเพราะโครงการเรามีล่ามตลอดการเข้าร่วมโครงการค่ะ พี่ๆป้าๆดูแลดีมากheart
ถ่ายจากมุมบน


ข้างในบ้าน มืดหน่อยๆรอไก่ขันถึงสว่าง55

 
*เกร็ดความรู้บางส่วนที่อิฉันได้ก็จะมี
      -บ้านที่มียุ้งฉางเก็บข้าวนั้นจะมีฐานะรวย และจะใช้ปูนปลาสเตอร์ฉาบด้วยเพื่อป้องกันไฟไหม้ ในขณะที่บ้านคนที่มีฐานะยากจนจะสร้างบ้านด้วยไม้แทน
      -ประตูเมืองสมัยเอโดะมีเพื่อ 1.กันขโมย และ2.ใช้ในการโฆษณาต่างๆ
เป็นต้น

      จากนั้นเเวะกินข้าวกลางวัน ฟังบรรยายและนั่งรถบัสไปเดินชอปปิงที่ห้างชานเมืองกินข้าวเย็นเเละกลับโรงแรมเพื่อคุยงานต่ออย่าเร่งรีบ เพราะพรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางไปแถบคันไซ จังหวัดทตโตริเพื่อไปและเปลี่ยนกับโรงเรียนญี่ปุ่น และอยู่กับโฮส2วัน2คืน และที่สำคัญ มาญี่ปุ่นทั้งที่พวกเราก็อย่างไปเดินเที่ยวย่านชิบุย่า อากิฮาบาระ ชินจูกุ บลาๆกันสักหน่อย แต่เรามีเวลาจำกัดมากๆกว่าจะคุยงานอะไรกันเสร็จ ก็ล่อไปทุ่มกว่าได้กระมัง และย่านที่พวกเราตัดสินใจไปเดินยามราตรีโดยมีครูที่น่ารักดูแลก็คือ "ย่านชินจูกุ"

ย่านชินจูกุ และดองกี้

 
      ไม่รอช้ารีบกันหาข้อมูลถามนู้นนี่รวมพลครบก็ลุยกันเลยจากโรงแรมเราซึ่งอยู่นอกเมืองมากกกเดินทางไปชั่วโมงกว่า ต่อรถไฟสองสาย คือญี่ปุ่นมากค่ะ เดินกันให้ขาลากไปข้างหนึ่งอ่ะค่ะคุณ เราก็ซื้อตั๋วรถไฟช่วยกันจิ้มๆคลิก เมื่อเราถึงสถานีชินจูกุ สิ่งที่ยากที่สุดคือการหาทางออกนี่ล่ะค่ะ เดินตามป้ายก็แล้วถามคนก็แล้ว ถามหาทางออกนี้อยู่ไหนคะ ไม่มีใครรู้เลยแถมพาพวกอิฉันหลงอีก สุดท้ายครูถามเจ้าหน้าที่แต่ให้ตายเราบางส่วนได้ออกประตูอีกฝั่งแล้วค่ะ อู้ววไม่ได้เรามาเป็นคณะก็เลยออกกันหมดด้วยความห่วงใย ติดอยู่ในนั้น30นาทีได้!! OMGออกมาได้ก็เดินตามgoogle mapแปปเดียวถึงก็นัดแนะแยกย้ายกันชอปโดยมีเวลาแค่1.30ชม.เท่านั้น! โถ่เราก็รีบไปหาเป้าหมายเป็นหลัก อิฉันไปดองกี้เลยค่ะเวลาน้อยจริง ร้านค้าหลายส่วนก็ทยอยปิด พวกอิฉันเลยไปเดินเล่นสูดบรรยากาศทะลุซอยเล่นเป็นหลัก รูปมีน้อยจริงๆต้องทำเวลา ก่อนที่อิฉันจะแวะร้านเครื่องสำอางใกล้จุดรวมพลเเละเลทเวลาชาวบ้านเขาจนต้องมาตามรออิฉันจ่ายตังค์ กราบขออภัยจีจียังคงรู้สึกผิดอยู่ และเดินทางกลับตอน23.00 จนถึงรถไฟอีกสายซึ่งเป็นเที่ยวสุดท้ายพอดีขอบคุณพระเจ้า ไม่งั้นพวกเราแย่แน่ และแล้วเราก็มาถึงสถานีแถวโรงแรมและเดินด้วยความเพลียเหน็ดเหนื่อยผสมกับความหนาวยะเยือกกลับโรงเเรม แล้วจัดของเตรียมบินไปจังหวัดทตโตริ อาบน้ำเข้านอนเกือบตีสอง หายนะก็มาเยือนอิฉันเมื่ออิฉันนอนไม่หลับ!! มันทรมานจริงๆค่ะง่วงมากกกเเต่มันไม่ยอมหลับ อาจเป็นเพราะเลยเวลานอนของอิฉันมากก็เป็นได้จนตอนเช้าที่ทุกคนตื่น ฉันก็ยังไม่ได้หลับนอน ดีที่วันต่อมาเราเดินทางไปสนามบินโดยรถบัสทำให้อิฉันหลับเป็นตายได้และไปสลบอีกรอบบนเครื่องบิน

*สิ่งที่พวกอิฉันค้นพบใน3วันแรก
       -ถนนฟุตบาทสะอาดจริงๆราบเรียบมีความสุขกับการเดินมากไม่ตกกลัวโดนแจ๊คพอต
     -ร้านอาหารญี่ปุ่นชามนึง หรือเซตนึงคือเยอะมากกก พวกเราพยายามกินกันมากๆเพราะรู้ว่ามีธรรมเนียมเรียกการทานอาหารว่าควรกินให้หมด แต่ไม่ไหวค่ะเขาจะขุนพวกฉันให้อ้วนพลีรึเปล่า เลยต้องทำหน้าตาอิ่มพร้อมกับลูบท้องและพร่ำบอกระหว่ากินว่า 美味しい!(โออิชี่) 
      -อากาศแถบโรงเเรมที่ใกล้ดิสนีย์แลนด์เดินไปหน่อยเจอทะเล แถบนั้นคือหนาวเขียมลมพัดโบกแรงมาก แต่อากาศแถบโตเกียวนั้นเย็นสบายมีแสงส่องให้อบอุ่นสบายย อาจเป็นเพราะกลางโตเกียวที่อิฉันไปมีตึกราบ้านช่องเยอะในขณะที่แถบโรงเเรมนั้นโล่งกว่าและติดทะเลกรมังคะ
      -อาการภูมิแพ้อิฉันดีขึ้นมาก ตอนแรกกังวลว่าอากาศหนาวอยู่ต่างแดนจะทำให้ภูมิแพ้กำเริบง่าย แต่เปล่าเลยหวัดที่มีทุกเช้านั้นหายไปเลย มีแค่ช่วงอากาศเย็นมากเท่านั้นที่มีน้ำมูกไหลแต่มันไม่ใช่หวัดค่ะแค่ไหลเพราะความหนาวเย็น
     -อากาศที่ญี่ปุ่นทุกที่ดีมากสูดได้เต็มปอด เดินแถวฟุตบาทก็ไม่ได้กลิ่นควันรถเลย ยกเว้นกลิ่นบุหรี่ตามจุดที่เขาให้สูบ แรงมากเดินผ่านที่นี่ปิดจมูกก็ไม่มิดวิ่งอย่างเดียว

 วันที่4 เฮโหว! ทตโตริ
       และแล้วช่วงสายพวกเราก็มาเยือนทตโตริเมืองแห่งอูฐ โคนัน และทะเลทราย...
      ที่แรกที่เราไปคือWattaina-kan(เป็นมาร์เกตขายผักโดยตรงจากฟาร์ม)กับTottori Karo Crab Aquarium  ไปชมปูเป็นๆกันเห็นเเล้วน้ำลายสอ อยากกินมั่กๆ เพื่อนส่วนใหญ่ซื้อสตรอว์เบอร์รี่จากมาร์เกตกินกันหวานฉ่ำมากๆ อิฉันก็ไปขอกินฟรี55
ข้างหน้า

เจ้านี่ใหญ่ที่สุดละ ปูจ๋า


สตรอว์เบอร์รี่สดจากฟาร์ม มีลูกใหญ่กว่านี้อีกนา

 
      รอบบ่ายพวกเราไปWork Shopทำกระดาษสาที่AOYA washi studioกัน เป็นกิจกรรมที่ชอบมากกกเพราะได้ทำจริง เห็นขั้นตอนวิธีการผลิตกระดาษ และความใส่ใจของเขาที่ออกมาในกระดาษแต่ละแผ่นนั้นเเสดงถึงคุณค่าของผลงานคือความประณีตผิวสัมผัสของกระดาษสานั้นทำให้กระดาษนั้นราบเรียบ และเเข็งเเรง อยากกลับไปทำอีกถ้ามีโอกาส จากนั้นพวกเราก็เข้าชมผลงานโคมไฟที่ทำจากกระดาษสา แล้วก็ถ่ายรูปผลงานรวมกันและชมทิวทัศน์รอบๆที่มีภูเขาโอบล้อมพวกเรา อากาศวันนี้เย็นสบายเลยไม่ใส่เสื้อโค้ทกัน

ทางขึ้นสตูดิโอทำกระดาษ แกดูวิวสิอู้วว
 

ทำกระดาษสาและตกเเต่งกัน


โคมไฟกระบองเพชรจากกระดาษสา
 
     ตอนเย็นกินข้าวกันที่ห้างAEON  MALL เป็นที่ที่เเวะบ่อยมว๊าาาก ห้างหนึ่งเดียวซึ่งอยู่ระเเวกที่เราพัก พอกินเสร็จงานชอปเดินเล่นห้างก็บังเกิด เดินไปทั่วทุกแผนเสื้อผ้า รองเท้า ร้านขายของจุกจิก ก่อนจะกลับโรงแรมในจังหวัตทตโตริเป็นห้องคู่ และประชุมงานยามดึก ซ้อมการเเสดง บทพิธีกรกันต่อ กลับห้องจัดกระเป๋าสำหรับการพักค้างคืนที่บ้านโฮส โดยที่พวกเรายังไม่รู้ว่าจะได้พักกับใคร

ข้างหน้าห้าง
วันที่5 แลกเปลี่ยนกับโรงเรียนญี่ปุ่น และอยู่ร่วมกับโฮส!!  
    
  วันนี้เป็นวันที่พวกเราเฝ้ารอคอยกันมากที่สุด ช่วงเวลาแห่งความฝันและประสบการณ์สุดประทับใจจนมิอาจลืมเลือน พวกเราตื่นเเต่เช้าใส่ชุดนักเรียนไทยซึ่งแตกต่างกันไปตามโรงเรียน และมุ่งหน้าสู่ Tottori Keiai High School อากาศวันนี้หนาวอีกตามเคยลมก็พดแรงเช่นเดิมเสื้อโค้ทมีแต่ก็ยังคงหนาว พอเข้าในอาคารอิฉันก็จัดแจงเปลี่ยนรองเท้าในล็อคเกอร์เป็นรองเท้าสลิปเปอร์ ฉากเหมือนการ์ตูนในหนังญี่ปุ่นเลย แล้วก็เดินเข้าห้องที่เขาจัดเตรียมให้พักมีฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น ไม่อยากออกไปไหนเลยเพราะมันหนาวว
      จากนั้นครูญี่ปุ่นก็เรียกให้พวกเราไปรวมตัวกันในยิม พอเข้าไปคือทุกคนยืนแถบ2ข้างทางของประตูตบมือให้พวกอิฉันเข้าไปข้างในตลอดสาย อิ้อหืออลังไปอีกเหมือนพวกอิฉันเป็นดารา คนดังเดินพรมแดงเข้างานโดยมีผู้คุมมาชื่นชมดูพวกฉันด้วยความประหลาดใจ55 (ในยิมหนาวมากก) จากนั้นก็เริ่มพิธีอย่างเป็นทางการ รวมทั้งมีการนำเสนอจังหวัดทตโตริโดยตัวแทนนักเรียนKeiai ส่วนเราก็นำเสนอประเทศไทยและความเป็นไทยของพวกเราด้วยภาษาญี่ปุ่นทุกคนเต็มที่ ดีใจ และตื่นเต้นจริงๆ พอจบพิธี เราก็เข้าห้องพักเเละแยกกันไปเรียนในแต่ละวิชาที่เขาจัดให้เราเรียน ผู้ชายจะถูกจับไปเล่นกีฬา ผู้หญิงก็ต่างกันไปเรียนเลขบ้าง ญี่ปุ่นหรือวิทย์บ้างอะไรบ้าง แต่จริงๆแล้วเป็นกิจกรรมหมดนะคะจัดขึ้นพิเศษ ไม่ได้นั่งเรียนเครียดๆในห้องเรียน แต่กลุ่มอิสตรีอิฉันพีคสุดคือเราได้เรียนกีฬากันแค่3คนเสียอย่างนั้น แต่ที่สุดคือเดินออกจากโรงเรียนข้ามถนนในสภาพอากาศหนาวกว่าเดิมเพราะฝนตกลงมา พวกเราถูกนำพาไปยิมข้างนอกพร้อมกับเพื่อนๆญี่ปุ่นทุกคนน่ารักให้ความสนใจพวกอิฉันถามชื่อเเส้นู้นนี่ เทคเเคร์ดีheart มารู้ตอนถึงยิมข้างนอกว่าเเบกรองเท้าพละให้พวกอิฉันอีก ประทับจุย พวกเราเล่นกระโดดเชือกกันหลายๆคนละพวกอิฉัน3คนก็เล่นไม่เป็นค่ะ55 ตอนประถมไม่ได้เล่นเลย จากนั้นก็แยกฝั่งกันเล่น2ฝั่งว่าใครจะได้แต้มมากสุด อิฉันจึงแยกไปอีกฝั่งกับเพื่อนไทย เพื่อนญี่ปุ่นก็พยายามอธิบายวิธีเล่น และกระโดดให้ข้ามได้อยู่หลายคราด้วยศัพท์ง่ายๆแล้ารีแอคติ้งให้ฉันเก็ท (รัก) สนุกมากแต่ก็มีกังวลกลัวโดดไม่ได้บ้างเพราะมันต้องโดดเชือกต่อเนื่องหลายๆคน กลัวทำสะดุด แต่มิมีใครว่าอิฉันเลยเเถมยังสอนอีก สนุกฟุดๆ ทีมอิฉันก็ชนะไปแต้มนึงคริๆ (รูปตอนนี้ไม่มีนะคะครูไทยไม่ทราบว่าพวกอิฉันได้ไปเล่นกีฬาณ อีกฟากของความหนาว TT เอาบรรยากาศในห้องเรียนที่เพื่อนบางส่วนอิฉันไปเรียนกันแทนนะ)

บนกระดานมีข้อความภาษาไทยด้วยนาจา


ทำการทดลอง
 
      มื้อเที่ยงคณะไทยเราได้จับคู่บัดดี้ญี่ปุ่นไปนั่งทานข้าวเเละเดินเล่นกันที่Tottori Sand Dunes อิฉันก็บอกบัดดี้ว่าอยากขี้อูฐท่ามกลางทะเลยทรายนะ แต่พอมองไปข้างนอกฝนตกลมแรงตลอด คืออดจ้าาT^T เลยเดินเล่นกันกลางทะเลทรายเป็นเนินเลย ใครว่าญี่ปุ่นไม่มีทะเลทราย...ที่นี่ไงจ๊ะทตโตริจ้าา ลมแรงและหนาวมากอากาศคือติดลบ อุปสรรคใหญ่คือพอลมพัดมันก็นำพาเม็ดทรายสาดมาที่ต้นขาพวกอิฉันแสบมากเหมือนมีคนเอาทรายมาปาใส่ขาอ่ะ เเดงเป็นเถือก เราเดินมาเกินครึ่งทางปากซีดมือชา หน้าชา ทุกอย่างชาหมด ร้องตลอดทาง いたい! 寒い! ヤバイ!3คำนี้ใช้บ่อยมาก สุดท้ายคิดว่าไม่ไหวเลยตัดใจเลิกขึ้นเนินไปดูทะเลอีกฟาก เดินเล่นตรงแอ่งน้ำเอา แต่หลายคนก็ขึ้นถึงนะ แข่งวิ่งขึ้นเนินทรายกระชับความสัมพันธ์ลูกผู้ชายก็มี แล้วก็ซื้อของฝากทตโตริ และไปชมวิวทะเลที่จุดชมวิวค่ะคลื่นแรงมากเพราะฝนตกและลมกระโชก

ลุยย!

แอ่งน้ำกลางทะเลทราย

จุดชมวิวทะเล

ค้างโฮมสเตย์
      บอกลาบัดดี้ให้ของฝากเสร็จก็รอโฮสมารับกันค่ะ อิฉันอยู่กับน้องอีกคน บางคนก็ได้อยู่คนเดียวแล้วแต่ โฮมเสตย์ที่อิฉันอยู่มีจี้จัง(แม่อามิจัง) กับอามิจังค่ะ พวกเราตื่นเต้นมากที่จะได้พบโฮสกัน จนถึงคิวออกพวกอิฉันก็เจออามิจังค่ะ เพราะแม่ยังไม่กลับจากที่ทำงานเลยมารับพวกอิฉัน เราไปบ้านด้วยการเดินไปนี่ละค่ะ30นาทีได้ อามิจังเอาจักรยานมานะคะคงจะใช้ไปโรงเรียนทุกวัน ระหว่างเดินก็แนะนำตัวคุยกันเม้ามอยเป็นคำถามทั่วไปแบบที่เรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียนไทยเลยค่ะ และเขาก็พูดช้าๆให้เราฟังทันด้วยน่ารักมากเลย ได้ฝึกสกิลของจริงก็ตอนนี้ล่ะ แม้บางประโยคจะฟังไม่รู้ความ แต่ก็ช่วยกันพยายามสื่อสารกันจนเข้าใจสนุกมากๆค่ะ พอถึงบ้านก็ขึ้นไปเก็บของ เป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นminimal ที่เราเห็นในหนังกันเลยมีการใช้สอยพื้นที่และจัดระเบียบกันอย่างคุ้มค่ามากๆ พออิฉันและJ (นามสมมุติน้อง) ขึ้นเก็บของเสร็จก็ลงไปช่วยอามิจังทำอาหารเล็กๆน้อยๆ และอิฉันเหลือบไปชำเลืองเห็นบนโต๊ะว่ามีโน้ตข้อความเป็น คำถามที่จะถามเรา ซึ่งเขาก็ถามเราไปแล้ว ตรงนี้ฉันและน้องซาบซึ้งใจมากก เขาเตรียมตัวมาเพื่อจะหาเรื่องคุยกับเรา ในที่สุดโฮสมัมหรือจี้จังก็มาเขาก็คุยกับเราใหญ่เลยครึกครื้นมากๆพร้อมรีแอ๊คติ้งต่างๆที่่กลัวเราไม่เข้าใจ เป็นช่วงเวลาที่สนุกมากเลยค่ะ จากนั้นเขาก็ให้พวกอิฉันวางแผนเที่ยวFree Dayพรุ่งนี้ ก็จัดไปค่ะเอาสะดวกโฮสและเราอยากไป

      ป.ล. ตอนอยู่กับโฮสใช้รูปplain formหรือรููปธรรมดาตลอดเลยนะ ตอนแรกเราใช้รูปสุภาพพูดます(มัส)ลงท้ายตลอด แต่เขาพูดรูปธรรมดา เราเลยเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แม้จะหลุดรูปสุภาพเยอะอยู่บ้างเพราะชินจากที่โรงเรียนไทย

มื้อเย็นสไตล์ครอบครัวญี่ปุ่น อร่อยมาก
 
       วันที่6 Free Dayเที่ยวทตโตริกับโฮส   
      อิฉันตื่นตอนเช้าด้วยสภาพอากาศหนาวจัดจนอยากนอนแช่อยู่บ้านไม่ไปไหนเลย แต่มาเที่ยวทั้งที่ก็ต้องลากสังขารไปให้ได้ อิฉับกับJและอามิจังช่วยกันทำข้าวปั้นสำหรับมื้อเช้าและมื้อกลางวัน ไส้ก็เป็นของที่เหลือจากมื้อเย็นเมื่อวาน เช่นปลา ที่มื้อเช้ากับกลางวันกินแต่ข้าวปั้นเพราะต้องใส่กิโมโนทั้งวันค่ะถ้ากินเยอะจะจุกแน่นมากเลยจี้จังเเนะนำมางี้
      และแล้วเราก็เลือกสีกิโมโน กับกระเป๋ากัน จี้จังเป็นคนใส่กิโมโนให้พวกเรา3คนค่ะอามิจังก็ใส่เป็นเพื่อนด้วย ระยะเวลาขั้นตอนที่ใส่นานมากและเเน่นโครต ส่วนใส่อะไรลำดับขั้นตอนอย่างไรอิฉันนั้นจำไม่ได้หรอกค่ะรู้แต่ว่าแต่ละอย่างมันพันบนร่างกายอิฉันเยอะมาก แต่งตัวเสร็จอิฉันก็ขอให้อามิจังทำผมดังโงะสไตล์ญี่ปุ่นให้อิฉันแล้วก็เอาปิ่นมาปักผมสวยๆสาวญี่ปุ่นมาก แต่หน้าไม่ให้แค่นั้น55 ส่วนนังJผมสั้นก็หนีบกิ๊บสวยๆน่ารักดี แต่งตัวเสร็จก็จวน11โมงเช้า นานมั้ยละจ๊ะ

กิโมโนจัดเต็ม ฉันไม่ให้เห็นหน้าหรอกความลับอิ๊ๆ

 
    ก่อนไปเที่ยวเดินเล่นและไปพบกับจี้จังอีกครั้งเพื่อไปพิพิธภัณฑ์ ก็นัดแนะว่าจะเจอกันบ่ายโมงเพื่อนั่งรถไปปราสาทและชมพิพิธภัณฑ์ ความตื้นตันใจอีกอย่างคือจี้จังไปหาข้อมูลมาแล้วเขียนเส้นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ว่ายุคญี่ปุ่นนี้ตรงกับช่วงเวลาใดในไทย และเขียนเป็นภาษาไทยด้วยโดยดูจากเเอปแปลภาษา อิฉันกับJเห็นคือไม่รู้จะพูดว่าอะไรเลยอ่ะช่วงเวลากลางคืนที่เราเข้าพักเมื่อวานก็ดึกแล้ว เขายังสละเวลาหาข้อมูลมาอธิบายพวกเราอีกเพื่อให้ไปพิพิธภัณฑ์แล้วเข้าใจบ้าง เรารู้สึกขอบคุณจริงๆอ่ะ
     
      จี้จังขับรถไปส่งพวกเราที่AEONห้างเดิม ตอนเดินเล่นในสภาพที่ใส่กิโมโนเป็นแก๊งค์ก็ธรรมดานะคนญี่ปุ่นมองบ้างไม่มองบ้างแต่เด็กๆมองบ่อยเเล้วพูด かわいい~ น่ารักดีอิ๊ๆ อามิจังก็พาพวกเราไปเล่นเกมเซนเตอร์แล้วก็สอนทริคเราเล่นให้ได้นานๆโดยที่จ่ายแค่คนละ100เยน แต่นั่งเล่นได้เป็นชม. เพราะเล่นเกมนึงเนี่ยเราก็จะได้เหรียญเกมเพิ่มด้วย เช่นเราเล่นเกมจับปลาตัวใหญ่ๆก็จะได้เหรียญเกมเยอะ แต่ถ้าที่ตักปลาขาดก็ต้องเติมเหรียญใหม่เรื่อยๆสนุกดี
จากนั้นก็ไปคีบตุ๊กตา ขนม รถของเล่น อิฉันอยากได้ไมค์มากแต่ก็ไม่มีสกิลจีจี ส่วนนังJเขาอยากได้รถบังคับพยายามแล้วพยายามอีกโดนไปหลายจนยอมตัดใจ อามิจังเป็นคนเดียวที่เล่นตู้คีบแล้วได้ขนมถุงเบ้อเร้อ พอใกล้เวลานัดเราก็ลงไปเดินเล่นชั้นล่างแล้วไปซื้อขนมไส้คัสตาร์ด อร่อยจนอยากพ่นสายรุ้งออกมาา!

อร่อยสายรุ้งง
 
      กินข้าวปั้นมื้อเที่ยงกับสั่งMcDonaldมากินกันบนรถค่ะ อิฉันก็บ้าสั่งชาลิปตันมาดื่มคิดว่าชาเย็นกลายเป็นชาร้อนซะงั้น ดื่มไม่ได้เลยจ้า...และเเล้วเราก็ถึงปราสาทบนยอดเขาที่มีพิพิธภัณฑ์อยู่ข้างใน(อิฉันลืมชื่อ) วิวสวยและดีมาก พอเข้าไปก็ไปชมงาน ประวัติศาสตร์ต่างๆ ถึงเราจะไม่ค่อยเข้าใจคำอธิบาย แต่ดูชิ้นงานและอาศัยจี้จังกับอามิจังอธิบายคำง่ายๆก็ช่วยได้มากเลย แล้วเราก็ไปจุดชมวิวชั้นบนสุดมองเห็นทตโตริกว้างมากๆ แถมยังมีกล้องส่องให้ซูมไปเห็นรถเห็นคนบนถนนชัดเเจ๋วมาก55

ปราสาท

วิวที่มองจากข้างบนติดภูเขา


ฉันอยากใช้ชีวิตที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติจุง

 
      เราเเวะกันไปซื้อของละก็ได้สาลี่มา Jอยากกินสาลี่มากคือมาทตโตริเนี่ยผลไม้ก็ต้องなし(สาลี่)อ่ะ เรากับมาที่บ้านก็เย็นละเปลี่ยนชุดกันก็ไปซุกห้องนั่งเล่นตรงที่กินข้าวกันนั่งแหละมันหนาว555 -ที่ใส่กิโมโนร่อนไปมาคือหนาวนะแต่อยากสวยจำทน อิฉันกับนังJก็คุยวางแผนกันว่าจะให้ของฝากโฮสนะคือเอามานานละเเต่ยังไม่มีโอกาสให้สักทีเลยจะให้หลังมื้อเย็น พวกเรานั่งเเช่คุยเล่นกันตอนนี้เป็นRelax Time วางแพลนว่าจะพูดขอบคุณอำลาเขาพรุ่งนี้แต่ด้วยความภาษาญี่ปุ่นพอถูไถงูๆปลาๆเลยพูดสดไม่ได้เพราะมิสามารถบรรยายความรู้สึกได้หมด เลยจะคิดสิ่งที่พูดแล้วแต่งประโยคเอาพรุ่งนี้จะได้พูดสิ่งที่อยากพูดได้ ตอน19.45น.เราก็ไปกินซูชิกันอิฉันกับนังJสวมเสื้อหนาวกับกางเกงอามิจังไปเพราะมันหนา เสื้อผ้าพวกเรานั้นก็บ๊างบางสไตล์อากาศร้อนประเทศไทย พอไปถึงเป็นซูชิสายพานหมุนๆราคาขั้นต่ำจานละ100เยน มันมีช่องใส่จานถ้ากิน10จานแล้วจะมีเกมให้เล่นชนะจะได้กาจาปอง อร่อยมากจะหยิบจากสายพานหรือจะจิ้มสั่งที่หน้าจอเมนูก็ได้ เมนูของหวานที่อิฉันชอบมากสุดก็คือ โยเกริต์สตรอว์เบอร์รี่ข้างในก็เป็นไส้สตรอว์เบอร์รี่อีกที่ อร่อยมว๊ากกกอิฉันกินไปหลายถ้วยเลย ซูชิก็เริ่ดมีหลายหน้าหลายปลาเลยอิฉันจำชื่อได้ไม่หมดหรอกอาศัยดูจากรูปเอาว่าน่าจะอร่อย พออิ่มแปล้อิฉันก็พูดขอบคุณจี้จังที่เลี้ยงไป

ของโปรดดด
 
      พอกลับบ้านก็นั่งกินสาลี่ที่ซื้อกันมาอร่อยเพลินๆ รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว55อามิจังชอบร้องเพลงแล้วก็ร้องเพลงเพราะมากพาเอาคนชอบฟังเพลงอย่างอิฉันไม่กล้าร้องพร่ำเลย เพราะเสียงหลง55 อิฉันกับJก็หาโอกาสไปหยิบของฝากมาเซอร์ไพรส์ Jคือเอามาเยอะมาก รวมกันก็มีผ้าขาวม้า2 ป้ายแขวนลายเรือจักรีThailand มะขามพอกขัดหน้า กล้วยตากแห้ง2 กระเป๋าช้าง กระเป๋าผ้าบลาๆ ทั้งจี้จังอามิจังดีใจกันมาก ตอนอามิจังอาบน้ำคือเอามะขามไปพอกหน้าแล้วโชว์ว่างเป็นไง ขำมากหน้านชคือดำ เเต่หลังใช้อามิจังก็บอกว่าหน้าเด้งนุ่มนะ
      เราขึ้นนอนกันดึกมากอิฉันเเละJก็ไปแต่งบทญี่ปุ่นต่อให้เสร็จบนห้องนอนเพื่อวันพรุ่งนี้ วันที่เราต้องจากลากัน...

วันที่7 งานเลี้ยงขอบคุณและการจากลา..
มาเเล้วคลิกลิงค์ข้างล่างเลยย!
ตอน2 ญี่ปุ่นจ๋า-วันที่7งานเลี้ยงขอบคุณและการจากลา คลิก!!
 
     
 

แสดงความคิดเห็น

4 ความคิดเห็น

1234567890 4 ม.ค. 63 เวลา 20:23 น. 4

มีค่าใช้จ่ายที่ต้องออกเองไหมครับ? แล้วค่าใช้จ่ายที่ต้องออกเองเท่าไหร่ครับ?

0