Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

คนเป็นโรคซึมเศร้าจะเป็นหมอได้มั้ยคะ+แชร์ประสบการณ์

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ตามหัวข้อเลยค่ะ
      ตอนนี้จขกท.กำลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและมีปัญหาภาวะความเครียดเรื้อรังอยู่ค่ะ เลยเข้าใจความทรมานของคนที่เป็นโรคนี้ดี จขกท.อายุ17พึ่งรอดจากการฆ่าตัวตายและกำลังเข้ารับการรักษาอยู่ค่ะ

   ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนเลยนะคะว่าคนที่เป็นโรคนี้จะขาดแรงจูงใจทุกอย่างมีชีวิตอยู่ แยกให้ออกนะคะ ระหว่าง 'ขี้เกียจ' 'เบื่อโลก' กับ 'ขาดแรงจูงใจในการมีชีวิตอยู่'
คนปกติทั่วๆไปเมื่อเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคก็จะอดทนและสามารถผ่านพ้นมันไปได้ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากไปให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือเรียกง่ายๆว่าประสบความสำเร็จในชีวิตนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น เราพยายามอ่านหนังสือเพื่อไม่ให้สอบตก จะได้ไม่ต้องมาตามแก้ในตอนปิดเทอมเพราะว่าตัวเองมีจุดมุ่งหมายว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศหลังสอบเสร็จ
เปรียบเทียบกับชีวิตคนเราที่มีจุดมุ่งหมายเป็นของตัวเองนั่นแหละค่ะ นั่นคือสิ่งสำคัญให้คนเรามีความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่ท้อถอย
   แต่สำหรับคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้วพวกเขาไม่มีสิ่งนั้นค่ะ ไม่รู้ว่าจะพยายามต่อไปเพื่ออะไร ยอมทรมานต่อไปแบบนี้เพื่ออะไร พออ่านถึงจุดๆนี้แล้วหลายคนอาจจะคิดว่าอยู่เพื่อดูแลพ่อแม่ตอนท่านอายุมากแล้วเพื่อตอบแทนบุญคุณใช่มั้ยคะ มันก็อาจจะใช่ค่ะ แต่คนเป็นโรคซึมเศร้าก็ถือเป็นคนป่วยคนนึง เขามีสิทธิ์ที่จะอ่อนแอในเรื่องของจิตใจและสภาวะทางด้านอารมณ์ค่ะ เหมือนกับสมัยตอนพวกเราเล็กๆกัน เวลาทำอะไรผิดก็จะมีความคิดนึงแว๊บเข้ามาใช่มั้ยคะว่าจะหนีปัญหายังไงดี คนที่ป่วยก็เหมือนกันค่ะ และความตายคือหนึ่งในทางออกของปัญหาที่พวกเขาคิดได้

   จขกท.เลยรู้ว่า โรคนี้มันทำลายชีวิตของคนๆนึงได้เลย เพราะแต่ก่อนจขทก.ก็เป็นเด็กคนนึงที่อยู่ในเกณฑ์เรียนดีจนได้ทุนมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่โรคพวกนี้ มันไม่เลือกคนหรอกค่ะ โรคก็คือโรค คนป่วยไม่จำเป็นว่าต้องมีชีวิตรันทดเหมือนในละครหลังข่าวแต่อย่างใด และคนเป็นโรคนี้ส่วนใหญ่กว่าจะรู้ตัวก็มักจะขึ้นไปอยู่ในจุดที่ 'พัง' มาแล้ว จากคนชอบเข้าสังคมก็เริ่มเก็บตัว จากเด็กขยันกลายเป็นเด็กขี้เกียจ จากเด็กที่มีสมาธฺดีกลายเป็นเด็กที่จดจ่ออยู่กับอะไรนานๆไม่ได้ จากคนที่พูดและให้คำปรึกษากับคนอื่นได้กลายมาเป็นคนที่ชีวิตพังจนอยู่ในจุดที่รู้สึกว่าไม่เหลืออะไรเลย
และกว่าจขกท.จะรู้ตัวก็ผ่านความตายมาแล้วค่ะ ทำให้รู้ว่าโรคนี้ทำให้ประสิทธิภาพของคนๆนึงลดลงแบบน่าใจหายเลยค่ะ ยิ่งถ้าเป็นในช่วงกำลังสอบแข่งขันอย่างมอปลาย หรือกำลังใช้ชีวิตในวัยทำงานยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่ะว่ามันส่งผลกระทบขนาดไหน จขกท.ก็จากเด็กได้3.5แล้วนั่งร้องไห้ยังกลายมาเป็นเด็กที่แค่ไม่ติดศูนย์ก็ดีใจแล้วค่ะ
   ถึงตรงนี้แหละค่ะที่เป็นจุดที่ทำลายอนาคตเด็กคนๆนึงได้เลย จากเด็กทุนอนาคตไกลสู่เด็กโง่คนนึงที่ต้องเอาตัวรอดไม่ให้สอบตก

   ด้วยเหตุผลนี้แหละค่ะที่เป็นแรงผลักดันให้จขกท.อยากทำสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือการเป็นจิตแพทย์นั่นเอง จขกท.จะถือเหตุผลอย่างนึงค่ะ นั่นก็คือจะไม่ขอโทษถ้าตัวเองไม่รู้สึกผิดจริงๆ และเมื่อก่อนเองจขกท.ก็ไม่อยากเป็นหมอเพราะแค่เงินและอนาคตไกลเหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้เราแค่อยากช่วยคนที่มีรอยแผลในจิตใจเหมือนจขกท.อยากช่วยเด็กคนนึงให้ก้าวต่อไปได้ ไม่ต้องมาพังแบบเราอีก เลยคิดว่าถ้าตัวเองไปถึงปลายทางนั้นไม่ได้ ขอเป็นแค่นักจิตวิทยาผู่ช่วยจิตแพทย์ก็ยังดี
   แต่พอเราไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังก็มีแต่คนคิดว่าเราจะไม่สามารถทำงานในอาชีพนี้ได้ เราเลยอยากรู้ค่ะ ว่า คนที่เป็นโรคซึมเศร้าคนนึง มีโอกาสจะเป็นจิตแพทย์ได้มั้ยคะ
และขอบคุณทุกคนนะคะที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ แม้เรื่องที่เราเล่าจะน่าเบื่อหรือขัดใจใครบางคนไปบ้างก็ขอโทษไว้ด้วยค่ะ

ปล.ขอรบกวนคนที่รู้ว่ามหาลัยไหนมีสาขาอะไรเกี่ยวกับพวกนี้หรือแนวทางการสอบเข้าก็รบกวนบอกเราหน่อยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

 

แสดงความคิดเห็น

12 ความคิดเห็น

kAew Dek-D Columnist 23 ธ.ค. 60 เวลา 21:18 น. 1

น้องเป้นคนเก่งคนึงเลยค่ะ ที่รู้ว่าตัวเองเป้นโรคซึมเศร้า และพยายามรักษา และก็ต่อสู้กับมันมาได้ จริงๆ คนเป็นโรคซึมเศร้ามีโอกาสหายขาดนะ พี่แก้วว่า ถ้ารักษาตัวดีๆ จนหายแล้ว พยายามดูแลตัวเองไม่ให้กลับไปเป็นแบบนั้นอีก น่าจะไม่มีปัญหา (แต่ขอรอผู้เชี่ยวชาญมาตอบจริงๆ ดีกว่าเนอะ)


เอาเป็นว่า ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ต่อให้น้องไม่ได้เป็นจิตแพทย์ แต่เรื่องที่น้องเอามาแชร์ให้ทุกคนเข้าใจในโรคนี้มากขึ้น ก็เป็นประโยชน์มากๆ เลยนะ

0
สู้ๆ 23 ธ.ค. 60 เวลา 21:57 น. 2

อ่านแล้วรู้สึกว่าจขกทมีความคิดดีมากๆค่ะ ยอมรับและต่อสู้ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าเกิดว่าคนเปนโรคนี้เรียนไม่ได้จริงๆ อยากแนะนำว่าจขกทไปรักษาให้หายแล้วมาสอบใหม่ก็ได้นะคะ เพราะคนที่เขาเรียนหมอ มันมีคนซิ่วกันอยู่แล้ว บางคนซิ่มมา3ปีแล้วก็มี เปนกำลังใจให้ค่ะ ขอให้ถึงฝันนะคะ

0
มัดหมี่ 24 ธ.ค. 60 เวลา 00:00 น. 3

คุณมีความสามารถ งานเขียนสะท้อนว่าคุณมีกระบวนการคิดที่ดี

เราขอเล่าเรื่องของเรา เราเคยผ่านจุดที่ตอนนั้น เราต้องอดทน และรู้สึกสกิดใจว่าไม่โอเคกับตัวเอง เราไม่สนใจ บอกตัวเอง พยายามมองในแง่ดีว่าไม่เป็นไร ดีที่สุดแล้ว เราต้องอดทนเรื่องนั้นเพราะเราไม่อยากให้คนที่เรารักลำบาก 

มันผ่านไปได้ และสูญเสีย...

แต่พอเราผ่านจุดนั้นเราพบว่า เรารู้สึกเสียดาย ว่า

ทำไมเราต้องอดทน การอดทนมันทำให้เราสูญเสียโอกาส ของตัวเอง โอกาศที่จะค้นพบตัวเอง เรามีความฝัน เราทุกคนมีความฝัน

แต่เมื่อจุดๆหนึ่งพลาด พบว่า มันเหมือนเหลื่อมกันของเหตุการณ์ ทำให้ชีวิตไม่สมูต เราสูญเสียโอกาสนั้น ความชอบของเรา

ได้แต่ถามว่าทำไมวันนั้น ต้องอดทนด้วย ถ้ารู้อย่างงี้จะไม่อดทน จะทำอย่างอื่น


0
Kwanjira Sridaorueang 24 ธ.ค. 60 เวลา 00:22 น. 4

ถ้ารักษาให้หายขาดได้ก็น่าจะมีโอกาสเป็นได้นะคะ

แต่เราก็คล้ายๆกับ จขกท นั่นแหละค่ะ ตอนแรกอยากเป็นทันตแพทย์ แต่ช่วง ม.5 รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ไม่ได้ไปหาหมอนะคะ พอรู้สึกมากเข้าๆก็อยากเป็นจิตแพทย์ เพราะคิดว่าตัวเองเข้าใจเขาดี อยากให้เขาหาย ไม่อยากให้มีคนมาเป็นแบบเรา

แต่พอเรามาคิดๆดูแล้ว เราไม่เหมาะกับจิตแพทย์เลย เราคิดว่าเราอ่อนแอ แค่เราดูซีรีย์เรื่อง SOS เรายังดูไม่ไหวเลย

เราเลยไปนั่งคิดนอนคิดดีๆ คิดว่าทันตแพทย์เหมาะกับเราที่สุดแล้ว

จริงๆเราก็ยังอยากเป็นจิตแพทย์เหมือนเดิมนะคะ แต่เราคิดว่าเราไม่ไหวจริงๆ เราอยากรักษาเขา แต่เราคิดว่าเราไม่สามารถรักษาคนที่อ่อนแอกว่าเราได้ เรากลัวว่าถึงจะสอบติดไป แต่พอได้เป็นจริงๆแล้วมันอาจจะแย่ เพราะเราอาจจะไม่ไหวเองเสียก่อน

ถ้า จขกท สู้ไหวก็ลองสู้ แต่ถ้าสู้ไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะคะ จะยังไงก็ช่างต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนค่ะว่าสิ่งที่เราอยากจะเป็น ในอนาคตเราจะสามารถอยู่กับมันได้จริงๆหรือเปล่า สู้ๆค่ะ

0
ppapp 24 ธ.ค. 60 เวลา 01:58 น. 5

อ่าา ก่อนอื่น ขอกอดน้องแน่นๆนะ

อาจจะช่วยอะไรน้องไม่ค่อยได้ แต่ก็อยากแชร์ความคิดเห็นกัน

ตอนนี้พี่เรียนคณะเภสัชอยู่ปี 6

พี่เคยผ่านจุด 'พัง' มาแล้วเหมือนกัน ตอนปีสาม ดีที่รอดมาได้

และพี่ก็ผ่านมาได้ตลอดจนปีนี้

สำหรับพี่นะ พี่คิดว่าการที่น้องมี passion ที่จะเป็นจิตแพทย์ พี่ว่ามันเหมือนเป็นสร้างแรงจูงใจในชีวิตที่ดีเลย

แต่ในทางกลับกัน ในการเรียนพี่เชื่อว่าน้องจะเรียนหนักกว่าพี่ ซึ่งการเรียนอาจทำให้เกิดความเครียดได้ อยากให้น้องคอยหมั่นสำรวจความรู้สึกหรือความคิดตัวเองอยู่ตลอด พี่เชื้อว่าน้องจะผ่านมันไปได้ หรือถ้าเจอทางตัน เราก็แก้ไขมัน

อยากทำอะไร ทำเลย ถ้าเรามั่นใจแล้ว อย่าไปติดอยู่กับคำพูดของคนอื่นที่เค้ามองเรา รู้จักเราแค่ด้านนอก การป่วยไม่ใช่ข้อจำกัดในการทำสิ่งต่างๆในชีวิ ตเรา แต่เราอาจจะต้องดูแลตัวเองมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย 55

กอดแน่นๆนะ :)

สำหรับพี่เนอะที่ผ่านมาได้ เพราะคนรอบข้างที่เข้าใจ และการพยายามดึงสติตัวเองบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้เครียดมากๆ มีอะไรก็คุยกับแพทย์ที่ดูแลเราได้

0
PS56 24 ธ.ค. 60 เวลา 01:58 น. 6

จะบอกว่าเราทั้งคู่มีอะไรคล้ายๆกัน น้องไม่โดดเดี่ยวต่อไปแล้วนะ :)


พี่เป็นนศ.แพทย์ปี 5 สถาบันหนึ่งในประเทศไทย และปัจจุบันป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (Major depressive disorder: MDD) ตอนนี้เข้ารับการรักษาจนอาการดีขึ้นเกือบเป็นปกติ ไปเรียน ไปตรวจคนไข้ เข้าสอบแต่ละวิชาได้แม้เกรดออกมาได้แค่ C, D+ มีช่วงที่แย่ลงบ้างแต่ก็ผ่านมาได้ค่ะ


ภาวะสุขภาพที่บกพร่องไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิต การเรียน รวมถึงครอบครัวเรา น้องคงรู้สึกเสียใจ โกรธเจ้าโรคซึมเศร้าว่ามันพรากโอกาสดีๆในการเรียนต่อของน้องไปใช่มั้ยคะ น้องรู้สึกอย่างนี้ได้ค่ะ และตอนนี้น้องก็กำลังต่อสู้กับเจ้านี่อยู่ด้วยการกินยา การพบจิตแพทย์ เพื่อน้องจะกลับไปมีชีวิตเป็นปกติ มีสุขภาพแข็งแรง เรียนมหาลัยและทำงานที่น้องใฝ่ฝันไง


พี่ขอชื่นชมเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเผชิญกับโรคซึมเศร้าด้วยความกล้าหาญ ความหวัง ความศรัทธาที่จะทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องเองแหละ ^w^


มีคำแนะนำมาฝากคนเก่ง 2 เรื่องนะคะ


1. ความเจ็บป่วยที่น้องเป็นอยู่

1.1) แนะนำให้น้องสังเกตอาการตัวเองว่าอารมณ์จิตใจเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงดีขึ้น/แย่ลง จะได้บอกคุณหมอที่ดูแลน้องเพื่อประเมินผลการรักษาเป็นระยะๆ จดลงปฏิทินหรือสมุด diary ก็ได้ค่ะ

1.2) กินยาสม่ำเสมอ ห้ามหยุดยาเองเด็ดขาด

1.3) หากมีความรู้สึกอยากทำร้ายตัวเอง/ฆ่าตัวตาย รีบบอกคนใกล้ชิดให้ทราบ สำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ ท่านช่วยเหลือดูแลน้องได้

1.4) ไม่ต้องคิดว่าที่เราเคยพยายามฆ่าตัวตายเป็นความผิด บาป เพราะความคิดอยากฆ่าตัวตายเป็นอาการหนึ่งของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองผิดปกติ

1.5) ไปพบคุณหมอตามนัด


2. เส้นทางสู่การเป็นจิตแพทย์

จิตแพทย์ คือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรค ภาวะการเจ็บป่วยทางจิตใจ เป็นสาขาเฉพาะทาง น้องจะต้องผ่านการเรียนหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต 6 ปีจบเป็นแพทย์ทั่วไปก่อนจึงจะสามารถมาเรียนต่อเป็นจิตแพทย์ได้ค่ะ พี่ขอเล่าเป็นภาพรวมคร่าวๆนะตะ

การเข้าศึกษาคณะแพทยศาสตร์ มีหลายช่องทางได้แก่

- รับตรง กสพท. รับทั่วประเทศ

- โครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (CPIRD) หรือโควตา

- โครงการผลิตแพทย์ 1 อำเภอ 1 คน (ODOD) *ให้ทุนการศึกษาจนจบ

- โครงการพิเศษอื่นๆ ตามแต่ละสถาบัน

ง่ายที่สุดคือค้นในเว็บเด็กดีเลย ตามห้องกระทู้เรียนต่อ

เมื่อน้องสามารถผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนแพทย์ได้แล้ว ระบบการเรียนในคณะเป็นดังนี้

- ชั้นเตรียมแพทย์ (ปี 1) เรียนวิชาทั่วไปของมหาลัย มักจัดให้เรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลขด้วย

- ชั้นปรีคลินิก (ปี 2-3) เรียนวิชาคณะเต็มตัว โดยที่

>> ปี 2 เรียนร่างกายมนุษย์ปกติ ผ่าอาจารย์ใหญ่ กายวิภาคสรีรวิทยาระบบต่างๆ

>> ปี 3 เรียนความผิดปกติ โรคต่างๆ พยาธิวิทยา (พะ-ยา-ทิ = ผิดปกติ) เภสัชวิทยา กลไกยา

- ชั้นคลินิก (ปี 4-6) เรียนตามแผนกต่างๆ+ขึ้นปฏิบัติงานในโรงพยาบาล **เหนื่อยมาก**

>> อายุรกรรม: โรคระบบต่างๆ ใช้ยารักษาเป็นส่วนใหญ่

>> ศัลยกรรม: โรคต่างๆ ที่รักษาด้วยการผ่าตัด มีเข้าห้องผ่าตัดช่วยอาจารย์ด้วย

>> กุมารเวชกรรม: โรคของเด็กถึงวัยรุ่น 15 ปี

>> สูติ-นรีเวช: โรคสตรี ดูแลหญิงตั้งครรภ์ แม่และเด็ก ทำคลอด

>> กระดูกและข้อ (ออร์โธปิดิกส์): กระดูกหัก ข้อเสื่อม ให้ยา+ผ่าตัดด้วย

>> หู คอ จมูก: โรคเฉพาะทางหู คอ จมูก เช่น ได้ยินเสียงไม่ชัด ก้อนในจมูก เป็นต้น

>> จักษุ (ตา): โรคตา ผ่าต้อ ทำเลสิค

>> เวชศาสตร์ครอบครัว: ออกเยี่ยมบ้าน ให้การดูแลต่อเนื่อง การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย

>> เวชศาสตร์ชุมชน: ลงชุมชน ทำโปรเจคสร้างเสริมสุขภาพ ได้ไปออกรพ.ชุมชน ดูการบริหาร

งานรพ.ด้วย

>> เวชศาสตร์ฉุกเฉิน: อยู่ห้องฉุกเฉิน ดูแลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินต่างๆ รอรับอุบัติเหตุ

>> นิติเวช: ชันสูตรพลิกศพ เขียนใบรับรองการตาย

>> รังสีวิทยา: การอ่านภาพ X-ray, อัลตราซาวด์ เป็นต้น

>> เวชศาสตร์ฟื้นฟู: ดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยหลังรักษา/ผ่าตัด การบริหารร่างกาย

>> วิสัญญีวิทยา: ดมยาสลบ การระงับความรู้สึกก่อนผ่าตัด

ก่อนจะไปทำงานจะต้องสอบใบประกอบวิชาชีพ (national license) ให้ได้ก่อนนะ สอบ 3 ขั้น

ขั้น 1 Basic science สอบตอนปี 3

ขั้น 2 Clinical science สอบตอนปี 5

ขั้น 3 สอบปฏิบัติ (OSCE+MEQ+long case) สอบตอนปี 6

เมื่อผ่านจะได้เลขที่ใบประกอบวิชาชีพ หรือเลข ว. เป็นหมอจริงๆ ไม่ใช่หมอเถื่อน อิอิ

หลังจากนั้นจะต้องไปปฏิบัติงานชดใช้ทุน 3 ปี (เรียนแพทย์มีการทำสัญญารับทุนรัฐบาลอยู่แล้ว แต่ได้ในรูปแบบการเสียค่าเทอมถูกลง จ่าย ~ 20,000.-/เทอม) ผ่านการฝึกเพิ่มพูนทักษะ (intern) เสร็จแล้วก็สามารถสมัครเรียนต่อสาขาเฉพาะทางต่างๆได้

การเรียนต่อสาขาจิตเวชศาสตร์ใช้เวลาเรียน 3 ปี จะเรียกเป็นแพทย์ประจำบ้าน (resident)

เมื่อเรียนจบก็ต้องสอบใบวุฒิบัตรแสดงความรู้ความสามารถ (สอบบอร์ด) >> เป็นจิตแพทย์เต็มตัว

รวมระยะเวลาเป็น 10 ปีกว่าจะถึงฝั่งฝัน พี่เชื่อว่าน้องสามารถไปถึงได้ค่ะ :)


ส่วนนักจิตวิทยา พี่ทราบคร่าวๆว่าเรียนระดับปริญญาตรี 4 ปี ก็ทำงานได้เลย เรียนต่อป.โท ป.เอกเพิ่มพูนความรู้ต่อไปได้ ลองสืบค้นข้อมูลดูเพื่อความถูกต้องนะคะ


หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่น้องคนเก่งที่สู้กับโรคซึมเศร้า และน้องคนอื่นๆที่ผ่านมาในกระทู้นี้ค่ะ





2
วันอิรฟาน 7 มิ.ย. 61 เวลา 00:20 น. 6-1

สวัสดีครับพี่ ผมสามารถคุยกับพี่เปนการส่วนตัวได้ไหม ขอไอดีไลน กรือเฟส ก้อได้นะคับ

0
วันอิรฟาน 7 มิ.ย. 61 เวลา 00:25 น. 6-2

คือผมเปนผู้ป่วยโรคซึมเศร้า อยากปรึกษาเรื่องการเรียนครับ ขอบคุนครับผม

0
CoCoo 24 ธ.ค. 60 เวลา 02:53 น. 7

ถ้าสามารถประคับประคองไปได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ เพราะว่าจขกท.จะเข้าใจความรู้สึกของคนไข้ได้ดี เราว่าถ้าร่างกายกลับมาทำงานปรกติแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหามากนะคะ

0
kw_xibia 24 ธ.ค. 60 เวลา 03:37 น. 8

ถ้าน้องเป็นโรคซึมเศร้าและทานยารักษาอยู่ แนะนำลองสอบถามปรึกษาจิตแพทย์ที่ดูแลน้องอยู่เลยค่ะ ..แต่ถ้ายังไม่ได้ไปพบจิตแพทย์แนะนำให้ไปพบและรักษาเถอะค่ะ เพราะเรื่องการสอบมันขึ้นอยู่กับศักยภาพของตัวน้องเองในตอนนี้ว่าอยู่ในขั้นที่รับความเครียด ความกดดันจากการสอบ และการเรียนหนัก ๆ ได้มั้ย...คุณหมอจะให้คำปรึกษาได้ดีที่สุดค่ะ...

ส่วนเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่น่ามีปัญหาอะไรค่ะเพราะโรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคต้องห้ามในการสอบเข้าอยู่แล้ว น้องจะสอบเข้าคณะไหนก็ได้ไม่มีปัญหา...

0
MaprangBLOOKY 24 ธ.ค. 60 เวลา 08:37 น. 9

ได้คะ ถ้าเป็นจิตแพทย์ได้ก็จะเข้าใจผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้มากขึ้นด้วยคะ สู้ๆนะคะ


ปล.หนูก็เป็นโรคซึมเศร้าอยู่เหมือนกันคะ

0
เพื่อนร่วมโรค 24 ธ.ค. 60 เวลา 22:35 น. 10

เรียนได้นะ คือเราเองก็เป็นโรคซึมเศร้า รอดจากฆ่าตัวตายมาเหมือนกัน คือแกมีความคิดอะไรเหมือนเรามากๆเลยอ่ะ คือที่เขาจะไม่รับให้เข้าไปเรียนอ่ะ คือโรคจิตเวชที่ส่งผลเสียให้กับผู้อื่นอ่ะ แต่ถ้าเราแค่จมอยู่กับความทุกข์เวลาอยู่คนเดียว แต่ทำให้คนอื่นรอบข้างเรามีความสุขมันก็เรียนได้ ไม่มีปัญหาเลย

0
เพื่อนร่วมโรค 24 ธ.ค. 60 เวลา 22:38 น. 11

ถ้าเป็นแก แกต้องเป็นจิตแพทย์ที่ดีได้แน่ๆเลย แกมีความเข้าใจในโรคนี้ดีหว่าคนอื่น และแกมีประสบการณ์ที่สามารถแชร์ให้ผู้ป่วยได้ แล้วถ้าแกผ่านมันไปจนเรียนจบอ่ะ คนป่วยที่มาฟังเรื่องประสบการณ์จากแกคงมีกำลังใจอ่ะ ส่วนแกเองก็คงจะมีความสุข แล้วก็รู้ว่าตัวเองมีค่าด้วยนะ

0
muisun 26 ธ.ค. 60 เวลา 10:09 น. 12

สุดยอดเลย ได้รู้ต้นเหตุของสมุฐานโลก เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้รู่จักต้นเหตุ เพราะจิตดวงเก่าดับไปแล้วจิตดวงใหม่เกิดขึ้น ไม่มีเรา ไม่มีเขา แค่เราใส่ความรู้ทันไปตามต้นเหตุที่เป็น จะคิดดับๆ จะเบื่อดับๆ จะเผลอดับๆ จะขี้เกียจดับๆ แล้วจะเข้าใจต้นเหตุของจิตและวิญญาณ จะมีความสุข สนุก ขยัน มีชีวิตที่ที่มีคุณค่าทุกลมหายใจเข้าออก ทุกเวลานาทีมีแต่ความประทับใจในผลงานที่ผลิต


โรคซึมเศร้า เบื่อหน่ายโลก คิดฆ่าตัวตาย ชิดซ้ายไปได้เลย เพราะจะรู้สึกว่าทุกเวลา ทุกนาทีนั้นมีคุณค่า จะเสียดายเวลาที่บ้ายึดถืออยู่กับถาม ตอบ ชอบ ชัง เฉย รู่ทันจะคิดดับๆ ก็สุข สวย รวย ดี ไม่ต้องติดหนี้เวรหนี้กรรมข้ามชาติ


จากแอบดี สายสืบนิสัยศาสตร์

1
เรโกะ จิทาคุ 27 ธ.ค. 60 เวลา 14:57 น. 12-1

จิ้มๆๆ เขาให้มาให้คำตอบว่าคนเป็นโรคซึมเฟศร้าจะเป็นจิตแพทย์ได้ไหม อันนี้ไม่เกี่ยวนะเฮ้ย ไปกับคนนั้เลย white frangipini อ๊ากกกกกกกกกก หนูเขียนชื่อพี่ไม่เป็น ไปดูแปป โอเค เจอแล้ว...


White Frangipani คนนั้เลยพี่

0