มาทำความรู้จัก “ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์” กันเถอะ ;)
ตั้งกระทู้ใหม่
ทำความรู้จักภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หลายๆคนน่าจะมีคำถามเกี่ยวกับภาควิชาสังคมวิทยา และมานุษยวิทยาว่าเรียนเกี่ยวกับอะไร จบไปทำงานอะไร เราจึงขออธิบายง่ายๆเกี่ยวกับภาควิชานี้เพื่อนให้ทุกๆท่านได้เข้าใจกันง่ายขึ้น ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เป็นภาควิชาในคณะสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่นำเอาศาสตร์วิชาทางสังคมศาสตร์ 2 สาขาเข้ามารวมกันคือ 1. สังคมวิทยา และ 2. มานุษยวิทยา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันเข้ามาใช้สอนควบคู่ในหลักสูตรเดียว โดยทั้งสองศาสตร์นั้นศึกษาเรื่องดังต่อไปนี้
“สังคมวิทยา” วิชานี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ คำถามคือศึกษาอย่างไร? หากยกตัวอย่างวิชาวิทยาศาสตร์ที่มุ่งศึกษาวัตถุชิ้นหนึ่งถึงข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับวัตถุนั้น เช่น ในการศึกษา "แกะ" ตัวหนึ่ง นักชีววิทยาก็จะมีประเด็นต่างๆที่มุ่งสนใจศึกษา เช่น แกะนั้นเกิดมาได้อย่างไร (จากการผสมพันธุ์ของพ่อแม่แกะ) แกะนั้นมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร (การทำงานร่วมกันระหว่างอวัยวะต่างๆโดยใช้พลังงานจากอาหารที่แกะกิน) อะไรที่ทำให้แกะแต่ละตัวมีหน้าตาแตกต่างกันออกไป (เงื่อนไขทางพันธุกรรมของแกะ)
ในทำนองเดียวกัน เราอาจเทียบ "แกะ" ของ "นักชีววิทยา" ได้กับ "สังคม" ของ "นักสังคมวิทยา" และมีคำถามที่เกี่ยวกับสังคมมาคอยชี้นำการศึกษา เช่นเดียวกับคำถามเกี่ยวกับแกะอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น สังคมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ดำรงอยู่ได้อย่างไร และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เป็นต้น
เนื้อหาที่น้องๆจะได้พบหลังเข้ามาเรียนวิชานี้ ประกอบไปด้วย
1. ศึกษาสังคมในด้านต่างๆ เช่น ความขัดแย้งทางสังคม (อย่างการใช้อำนาจของรัฐบาลทหาร หรือ ความบาดหมางระหว่างพนักงานในองค์กรธุรกิจ) ระบบความคิดในสังคม (ยกตัวอย่างเช่น ค่านิยมการเข้าศึกษาแพทย์ศาสตร์ในสังคมไทย) หรือการสื่อสารกันระหว่างสมาชิกในสังคม
ตัวอย่างวิชาที่จะได้ศึกษา
- สังคมวิทยาเบื้องต้น
- แนวคิดและทฤษฎีทางสังคมวิทยา
2. ประยุกต์ความรู้ที่ได้มาสะท้อนสภาพสังคมจริงๆ
ตัวอย่างวิชาที่จะได้ศึกษา
- สังคมวิทยาเมือง
- สังคมวิทยาชนบท
3. เรียนวิธีทำการวิจัยสังคม เพื่อใช้หาความรู้เพิ่มเติมนอกจากในบทเรียน
“มานุษยวิทยา” วิชานี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ในด้านต่างๆซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ด้านใหญ่ๆที่จะได้เจอในเนื้อหาการเรียนการสอน
1. มานุษยวิทยาวัฒนธรรม มุ่งศึกษาผลผลิตที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่เป็นวัตถุอย่างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ รวมถึงความเชื่อทางศาสนา วิธีหาอาหาร ตลอดจนบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัยของผู้คน โดยดูสิ่งเหล่านี้ในแต่ละสังคมมีลักษณะอย่างไร และแตกต่างกันอย่างไร
เช่น ลักษณะนิสัยการบริโภคสินค้าราคาแพง หรือความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติของคนไทย เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? และสิ่งเหล่านี้มีผลต่อวิถีชีวิตของคนไทยอย่างไรบ้าง?
ตัวอย่างวิชาที่จะได้ศึกษา
- มานุษยวิทยาเบื้องต้น
- มานุษยวิทยาวัฒนธรรม
2. โบราณคดี คล้ายคลึงกับมานุษยวิทยาวัฒนธรรม คือการศึกษาผลผลิตของมนุษย์ด้านต่างๆ เพียงแต่จะศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตอันไกลโพ้น เช่น วัฒนธรรมสมัยสุโขทัย
ตัวอย่างวิชาที่จะได้ศึกษา
- โบราณคดีเบื้องต้น ( มีลงพื้นที่ศึกษาแหล่งโบราณคดีในประเทศไทย )
3. มานุษยวิทยากายภาพ มุ่งศึกษาลักษณะทางชีวภาพของมนุษย์และอธิบายว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาอย่างไรบ้าง โดยมีประเด็นคำถาม เช่น ทำไมเราจึง "ประหลาด" กว่าสัตว์อื่นๆ อะไรทำให้มนุษย์สามารถสร้างสังคมที่ซับซ้อนขณะที่สัตว์อื่นทำไม่ได้ และมีความเฉลียวฉลาดกว่าสัตว์ทั่วไปอย่างเทียบไม่ติด
ตัวอย่างวิชาที่จะได้ศึกษา
- มานุษยวิทยาชีวภาพ
4. มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ มุ่งศึกษาระบบภาษาของมนุษย์ ที่จะสะท้อนถึงวิธีคิดของผู้คนและสภาพสังคม
ยังไม่มีวิชาที่เปิดสอน
ชื่อหลักสูตร
ปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หลักสูตรปรับปรุงปี พ.ศ.2560
ภาษาไทย : ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
English: Bachelor of Arts Program in Sociology and Anthropology
ชื่อปริญญา
ชื่อเต็ม (ภาษาไทย) : ศิลปศาสตรบัณฑิต (สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา)
ชื่อย่อ (ภาษาไทย) : ศศ.บ. (สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา)
Full Name: Bachelor of Arts (Sociology and Anthropology)
Short Name: B.A. (Sociology and Anthropology)
วิชาเฉพาะบังคับที่เปิดสอนในภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
• สถิติประยุกต์เบื้องต้น (Elementary Applied Statistics)
• สังคมวิทยาเบื้องต้น (Introduction to Sociology)
• การจัดระเบียบสังคม (Social Organization)
• แนวความคิดและทฤษฎีสังคมวิทยา (Sociological Thought and Theory)
• สังคมวิทยาชนบท (Rural Sociology) หรือ มานุษยวิทยาชนบท (Rural Sociology)
• สังคมวิทยาเมือง (Urban Sociology) หรือ มานุษยวิทยาเมือง (Urban Anthropology)
• จิตวิทยาสังคมแนวสังคมวิทยา (Sociological Social Psychology)
• หลักประชากรศาสตร์ (Principles of Demography)
• ระเบียบวิธีวิจัยพื้นฐานทางสังคมศาสตร์ (Basic Research Methods in Social Science)
• การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม (Social and Cultural Change)
• ปัญหาสังคม (Social Problems)
• การพัฒนาชุมชน (Community Development)
• ปฏิบัติการวิจัยทางสังคมศาสตร์ (Social Science Research Practicum)
• การเขียนเชิงวิชาการทางสังคมวิทยา (Academic Writing in Sociology) หรือ การเขียนเชิงวิชาการทางมานุษยวิทยา (Academic Writing in Anthropology)
• การศึกษาค้นคว้าอิสระ (Independent Study) หรือ การศึกษาค้นคว้าอิสระ (Independent Study)
• 01460497 สัมมนา (Seminar) หรือ 01461497 สัมมนา (Seminar)
• มานุษยวิทยาเบื้องต้น (Introduction to Anthropology)
• มานุษยวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Anthropology)
• มานุษยวิทยาชีวภาพ (Biological Anthropology)
• โบราณคดีเบื้องต้น (Introduction to Archaeology)
• แนวความคิดและทฤษฎีมานุษยวิทยา (Anthropological Thought and Theory)
• ชาติพันธุ์ศึกษา (Ethnic studies)
• มานุษยวิทยาเศรษฐกิจ (Economic Anthropology)
• มานุษยนิเวศน์ (Ecological Anthropology)
• วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Methods in Qualitative Research)
**หมายเหตุ : ทั้งนี้นิสิตยังสามารถเลือกเรียนวิชาอื่นๆที่สนใจนอกภาควิชาได้เป็นวิชาโท เช่น จิตวิทยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ มนุษยศาสตร์ นิเทศศาสตร์ หรือบริหาร
รูปแบบการเรียนในห้อง การลงพื้นที่ภาคสนาม และการสอบ
การเรียนของภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้น เป็นการเรียนแบบฟังบรรยายเป็นส่วนใหญ่ เพราะนิสิตต้องเรียนรู้จากทฤษฎีก่อนแล้วจึงนำความรู้และแนวคิดจากทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ในการทำงานภาคสนามหรืออธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ซึ่งทฤษฎีที่นิสิตในภาควิชานี้ต้องเรียนมีหลากหลายเรื่องแตกต่างกันไปตามมุมมองต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งในสังคม ลักษณะของการเรียนในห้องเรียนจึงไม่เพียงแต่ฟังและจดบันทึกตามบรรยายเท่านั้น แต่ลักษณะการเรียนในห้องของภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาของที่นี่ นิสิตต้องเรียนอย่างมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับอาจารย์อยู่เสมอ ด้วยเนื้อหาการเรียนทางศาสตร์นี้สอนให้เรามีความกล้าที่จะตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ และพยายามหาคำตอบที่เป็นเหตุและผลมาตอบหรืออธิบายข้อสงสัยต่างๆเหล่านั้นให้เกิดความกระจ่าง ซึ่งคำตอบหรือคำอธิบายมักไม่ตายตัวขึ้นอยู่กับมุมมองความคิดเห็นของเรา น่าจะเรียกได้ว่าบรรยากาศในห้องเรียนของที่นี่มีความตื่นตัวทั้งนิสิตและอาจารย์อยู่เสมอ ทั้งนี้ศาสตร์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาคือการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจผู้คน คนอื่นที่อยู่ในสังคมร่วมกับตัวเรา นอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียนแล้วยังมีการศึกษาภาคปฏิบัติ หรือในทางสังคมศาสตร์เรียกว่าการศึกษาวิจัยภาคสนาม ซึ่งนิสิตมักเรียกกันว่า ‘ออกฟิลด์’ ‘ลงฟิลด์’ มาจากคำว่า Field Work นั่นเอง ซึ่งการศึกษาวิจัยภาคสนามนี้ถือเป็นหัวใจหลักของการศึกษาทางด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เนื่องจากนิสิตต้องนำความรู้ที่ได้จากการเรียนในห้อง นำไปประยุกต์ใช้ในการลงพื้นที่จริง เพื่อเก็บข้อมูลจากคนหรือกลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น ตามความสอดคล้องกับเรื่องและประเด็นที่เราต้องการจะศึกษา โดยอาศัยกระบวนวิธีการศึกษาชุดหนึ่งคือ วิธีแบบ Emic View และ Etic View ที่เป็นวิธีการศึกษาวิจัยภาคสนามผ่านมุมมองของ “คนใน” (Emic: ยูนิตหรือสิ่งที่กำลังศึกษา ซึ่งรวมถึงการเข้าไปสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมของเหล่านักมานุษยวิทยา) กับ “คนนอก” (Etic: จากมุมมองของคนนอก ทฤษฎี อคติ หรือก็คือตัวผู้ศึกษาเองในฐานะที่เป็น “คนอื่น”) (อ้างอิงจาก ปรีชภักดิ์ ทีคาสุข , มองวิชาสิทธิมนุษยชน(และอื่นๆ)ผ่านคำย้ำเตือนในการศึกษาภาคสนามทางสังคมวิทยา-มานุษยวิทยา ) ซึ่งสิ่งที่เราได้รับจากการศึกษาภาคสนามนอกเหนือจากข้อมูลแล้ว เรายังได้ประสบการณ์การทำงานเป็นทีม และได้ประสบการณ์ที่อาจเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเราอีกด้วย ส่วนนี้จะทำให้เรามีมุมมองต่อปรากฏการณ์ทางสังคมที่กว้างขึ้น และสร้างอัตลักษณ์ติดตัวให้แก่คนเรียนสาขาวิชานี้ให้เป็นที่ช่างคิด ช่างสังเกต รู้จักตั้งคำถามและเปิดกว้างต่อทุกมุมมองเคารพต่อทุกความคิดเห็น
เมื่อผ่านการเรียนจากการฟังบรรยายในห้องและการศึกษาวิจัยภาคสนามมาแล้ว ต่อไปก็จะเข้าถึงกระบวนการสอบ โดยการสอบของสาขานี้ ข้อสอบเป็นลักษณะอัตนัย (เขียนตอบ) ทั้งสิ้น เพื่อให้เราได้ใช้ทักษะการคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์สิ่งที่เราได้เรียนรู้ ผ่านการเขียนตอบออกมาเป็นคำตอบ ทั้งนี้ยังเป็นการฝึกกระบวนการเรียบเรียงข้อมูล สิ่งที่เราคิดได้ในขณะนั้นว่าจะเขียนออกมาอย่างไรให้อาจารย์อ่านแล้วเกิดความเห็นด้วยหรือเข้าใจในความคิดความเข้าใจของเราที่เราต้องการสื่อถึงเรื่องนั้นๆ โดยการสอบดังกล่าวแบ่งออกได้เป็น2ช่วง คือช่วงสอบกลางภาค (Midterm Examination ) และช่วงสอบปลายภาค (Final Examination) ซึ่งแต่ละวิชาของสาขานี้มีการกำหนดการสอบไว้ คือ วิชาหนึ่งอาจมีทั้งการสอบทั้งสองช่วง และอีกวิชาหนึ่งอาจมีแค่การสอบปลายภาคเท่านั้น เช่นเดียวกับการตัดเกรด ที่มี 2 รูปแบบ คือ ตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์ หมายถึง การตัดเกรดตามคะแนนที่นิสิตทำได้จากคะแนนที่อาจารย์กำหนด ไม่มีคลาดเคลื่อนไปจากลำดับคะแนนที่วางไว้ กับอีกรูปแบบคือ ตัดเกรดแบบอิงกลุ่ม หมายถึง การตัดเกรดโดยอิงค่าเฉลี่ยของคะแนนที่กลุ่มนิสิตกลุ่มหนึ่งลงเรียนวิชานั้น ส่วนใหญ่แล้วในหลายวิชาของสาขานี้ตัดเกรดแบบอิงเกณฑ์มากกว่า
มุมมองที่จะได้รับจากการศึกษาในภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
การเรียนสาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยานั้น ทำให้ผู้เรียนมีทัศนคติในการมองปรากฏการณ์และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยมุมมองที่เปิดกว้างมากขึ้น รู้จักการอธิบายและการให้ความหมายอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทั้งยังทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของสังคมมนุษย์จนถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัวมนุษย์ เปรียบเสมือนการมองภาพสังคมผ่านเลนส์หลายรูปแบบ ทัศนคติมุมมองที่เปิดกว้างดังกล่าวจะช่วยลดความนิยมในชาติพันธุ์ของตัวหรือลดความอคติ (Ethnocentrism) ของมนุษย์ในสังคมต่างๆ คือ การมองโลกโดยผ่านเลนส์แคบๆผ่านวัฒนธรรมของตัวเอง หรือผ่านสถานภาพทางสังคมของตัวเอง เปลี่ยนเป็นมองสิ่งที่อยู่นอกจากตัวเราเองมากขึ้น (อ้างอิงจาก บ้านจอมยุทธ, บทความประโยชน์ของมานุษยวิทยา)
ประโยชน์ของสาขาวิชาและการประยุกต์
หลักสูตรประกอบด้วย สาขาวิชาย่อยของทั้งด้านสังคมวิทยาและด้านมานุษยวิทยา เช่น โบราณคดี มานุษยวิทยาวัฒนธรรม การจัดระเบียบสังคม การพัฒนาสังคม สังคมวิทยาชนบท หลักประชากรศาสตร์ และวิชาอื่นๆ อีกทั้งผู้เรียนยังจะได้รับการฝึกทำวิจัยภาคสนาม โดยเป็นการผสมผสานใช้ความรู้ทั้งวิธีการทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมาประกอบกัน โดยประสบการณ์ที่ได้รับจากการฝึกภาคสนาม ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท จะช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะ ความสามารถในการเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสู่วิชาชีพที่ตรงสาขาในอนาคต เช่น การเป็นนักวิจัยทางสังคมศาสตร์ ที่ปรึกษาในหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน (อ้างอิงจาก ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , ประวัติภาควิชา)
คำแนะนำจากรุ่นพี่
สวัสดีครับ พี่เป็นนิสิตสัง-มา รุ่น 46 นะครับ (ปีการศึกษา 2557) เข้าเรื่องเลยนะครับ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้นสำหรับการอ่าน พี่จะขอแยกประเด็นเป็นหัวข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้นะครับ
1) สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต่างกับที่อื่นอย่างไร
ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ที่นี่เป็นเพียงภาควิชาเท่านั้น ซึ่งอยู่ในคณะสังคมศาสตร์ ดังนั้น วุฒิที่จบมาจึงเป็นเพียง ศิลปศาสตรบัณฑิตเท่านั้น ในการเรียน 4 ปี น้องๆจะต้องเรียนหลักสูตรทั้งสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาควบคู่กันไป ไม่มีการแยกสายเรียน แต่บางวิชาสามารถเลือกได้ว่า จะเรียนทางสังคมหรือมานุษ Ex. สังคมวิทยาเมือง และมานุษยวิทยาเมือง ซึ่งเป็นวิชาที่ให้น้องเลือกเรียนตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากมธ.ที่เปิดเป็นคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเลย อีกทั้งในชั้นปีที่สูงขึ้น น้องๆสามารถเลือกได้เลยว่าจะเรียนทางด้านไหนระหว่างสังคมวิทยา กับ มานุษยวิทยา
2) เรียนภาคนี้จบมาทำอะไร
ภาควิชานี้มีลักษณะของสาย “วิชาการ” ซึ่งก็คือ ไม่ได้จบมาแล้วทำงานเฉพาะทางโดยตรงเลย ต่างจากสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นสาย “วิชาชีพ” มากกว่า การเรียนภาคสัง-มา คือการเรียนวัฒนธรรม สังคม และมนุษย์ ดังนั้นเมื่อจบมาสามารถทำงานได้หลากหลายขึ้นอยู่กับว่าเราจะ Adapt ไปทางไหน เช่น เป็นฝ่าย HR แม้กระทั่งจบแล้วเป็นแอร์โฮสเตสก็มี เป็นไกด์ก็ได้ หรือถ้าตรงสายหน่อย ก็ทำด้านพัฒนาสังคม เป็นนักวิจัย หรือหากเรียนต่อสูงๆหน่อยก็เป็นนักวิเคราะห์สังคมได้
3) เข้ามาแล้วจะมีเพื่อนมั้ย มีพี่น้องมั้ย แล้วมีระบบ SOTUS อยู่อีกไหม
ในคณะสังคมศาสตร์มักมีการทำกิจกรรมระหว่างกันอยู่เสมอ ทำให้เราจะพบหน้ากันบ่อยมาก ยิ่งคนในภาคไม่ต้องพูดถึง เพราะได้เจอหน้ากันเกือบทุกวัน เวลาเรียนเสร็จ เรามักจะไปรวมตัวกันที่ซุ้มสัง-มาเพื่อนนั่งคุยเล่นระหว่างเพื่อน พี่ และน้องๆกันเสมอๆ (ในคณะสังคมจะมีซุ้มของแต่ละภาคไว้นั่งพักผ่อนตามอัธยาศัยกัน ซุ้มเราอยู่ใต้อาคาร2 มีพัดลม มีล็อคเกอร์ให้ใช้ ดีจะตาย 555) อีกทั้งเรายังมีกิจกรรม เช่น การจับสายรหัส การออกค่ายเพื่อพัฒนาโรงเรียนและฝึกลงพื้นที่ เป็นต้น ซึ่งทำให้พวกเราสนิทกันมากทั้งพี่ น้อง และเพื่อนๆ สำหรับพี่การเรียนที่นี่เหมือนไม่ได้แค่มาเรียนอย่างเดียว แต่มาเพื่อเจอกับเพื่อนๆ น้องๆ ด้วย ส่วนเรื่อง SOTUS นั้น เป็นเรื่องที่ล้าหลัง ในปัจจุบันระบบการรับน้องรูปแบบนี้มันจางหายไปเยอะมากแล้ว ยิ่งในภาควิชาไม่ได้มีระบบนี้แล้ว ภาคเรารู้สึกว่าการทำกิจกรรมสานสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องมีการว๊าก แต่เน้นการทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นสิ่งที่ทำให้เราสนิทกันมากขึ้นโดยไม่ต้องว้าก
4) เรียนยากไหม
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะแต่ละคนก็มีความถนัด และความชอบไม่เหมือนกัน พี่ว่าถ้าเราตั้งใจเรียน อะไรๆก็ไม่ยาก รู้จักแบ่งเวลา เรียนก็ตั้งใจ ตั้งแต่เนิ่นๆ เกรดที่ออกมาจะไม่แย่เลย
5) เรียนภาคนี้ต้องลงภาคสนามจริงไหม แล้วหนักมากไหม
การเรียนสัง-มา ก็คือการเรียนสังคมที่มีความหลากหลาย ดังนั้นการเก็บข้อมูลได้ก็ต้องมีการลงพื้นที่จริง ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้หนักอะไร เหมือนฝึกเรารู้จักเข้าหาคนให้มากขึ้น ฝึกไหวพริบในการตั้งคำถาม แก้ปัญหาเฉพาะหน้าซึ่งป็นสิ่งที่ควรมีในทุกๆคนนะ
สำหรับพี่ก็ไม่มีอะไรแนะนำเพิ่มเติม มากไปกว่าขอให้น้องค้นหาตัวเองให้เจอ และขอให้น้องๆเลือกเรียนจากภาคเป็นหลัก อย่าเลือกเรียนเพียงเพราะชื่อมหาลัยฯ แต่พี่อยากให้น้องได้อยู่กับสิ่งที่น้องๆรัก ถ้าน้องรู้จักพัฒนาศักยภาพตัวเอง ไม่ว่าน้องจะอยู่ที่ไหน สภาพแวดล้อมอย่างไร พี่คิดว่าน้องสามารถผ่านไปได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่เพียงเพราะชื่อมหาลัยฯ ขอให้ประสบความสำเร็จในการหนทางที่เลือกนะครับ ^^
2 ความคิดเห็น
คณะนี้รับวุฒิGEDหรือปล่าวคะ
แล้วปริญญาโทสาขาวิชานี้ของ มก. เป็นอย่างไรบ้างครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?