ทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงผูกใจอยากให้ลูกหลานตัวเองรับราชการกันคะ
ตั้งกระทู้ใหม่
พอดีว่าเราอยากเรียนเภสัชค่ะ ซึ่งพอพ่อแม่รู้พวกท่านก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แม่เราบอกดีด้วยซ้ำจะได้รับราชการทำงานมั่นคง ไปเป็นเภสัชจ่ายยา ใน รพ. รัฐ
แต่เราก็ยังตะขิดตะควงใจนิดหน่อย เพราะเป้าหมายจริงๆ ของเรา คือเราอยากเรียนสายอุตสาหการ ทำงานในโรงงาน หรือไม่ก็เป็นสายวิจัยคิดค้นยา คือไม่ได้คิดจะรับราชการเลย แต่แม่ก็บอกว่าทำงานโรงงานเอกชนมันลำบาก ชิงดีชิงเด่นกันมหาศาล เจ้านายไม่พอใจนิดหน่อยก็ไล่ออก ฯลฯ มันขนาดนั้นเลยเหรอคะ
สุดท้ายก็เลยต้องยอมลงบริบาลไปตามบัญช---แค่ก ไปตามคำแนะนำของแม่ค่ะ สุดท้ายก็คงไม่พ้นไปจับปิงปองลุ้นว่าจะได้ใช้ทุนที่ไหน เฮ้อม 555 เอาเถอะ มันก็ดีเหมือนกัน
ล่าสุด พอเทียบโอกาสสอบติดตามโปรแกรมคำนวณคะแนน พอแม่รู้ว่าโอกาสติดทันตะ มฟล เรา 50-50 คือพอลุ้นได้ แม่ก็เชียร์ให้เราเปลี่ยนสายมาลงทันตะแทบจะทันทีเลยค่ะ ยอมรับว่าตอนนี้หนักใจมาก เมื่อก่อนเราเคยอยากเป็นหมอก็จริง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ยิ่งเป็นทันตะนี่ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย
พอบอกท่านไปว่าเราไม่ชอบ เป็นหมอมันเรียนหนัก ท่านก็บอกว่าลองให้เราเข้าไปเรียนก่อน เดี๋ยวก็รู้เองว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด (เดี๋ยวนะแม่???) เราก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงให้นุ่มนวล ยอมรับว่าไม่อยากเลือกทันตะ แต่ก็ไม่อยากขัดแย้งกับแม่เหมือนกันค่ะ
ยอมย้ายจากอุตสาหการมาเรียนบริบาลตามแม่ได้ แต่ให้เปลี่ยนจากเภสัชมาเป็นทันตะ...อันนี้เราคิดว่าไม่น่าไหวค่ะ
ปล. เรารอรอบ 4 อยู่นะคะ ตอนนี้ก็กำลังตัดสินใจหนักเลยล่ะค่ะว่าจะเอาไงกับชีวิตดี 555 ตลกเนอะ เป้าหมายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแทบจะตลอดเวลา สี่อันดับที่เลือกไว้ในใจก็โดนเปลี่ยนมาแล้วหลายรอบมากจนไม่เหลือเค้าเดิมที่เราคิดไว้ตอนแรก จนถึงตอนนี้ที่ใกล้ถึงเวลาสมัคร คณะสี่อันดับก็ยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เลย
ปลล. อันนี้อีกคำถามค่ะ แม่แนะนำให้เราเลือกเภสัช บูรพาไว้อันดับสุดท้าย แต่เราว่ามันเสี่ยงไปอยากจะเอาเทคนิคการแพทย์ จุฬา แต่ก็เถียงท่านแม่ไม่ได้ แล้วตกลงเภสัช บูรพานี่มันจะเซฟจริงๆ เหรอคะ
(คะแนนเภสัชเรา 195xx นะ ส่วนเทคนิคการแพทย์จะอยู่ที่ 205xx)
15 ความคิดเห็น
ขอตอบแค่ตรงที่ทำไม่ผู้ใหญ่ชอบนะคะ
เพราะเขามองในมุมว่าผ่านมาเยอะแล้ว เหนื่อยแล้ว
เลยมามองว่าราชการเนี่ย มีบำเน็จบำนาน แล้วก็มีสวัสดิการ
การรักษาพยาบาล เป็นผลไปยังญาติพ่อแม่พี่น้อง
แล้วก็ยังเป็นอาชีพที่คนเมื่อก่อนเขาถือว่ามีหน้ามีตาค่ะ
ที่บ้านผม ผู้ใหญ่ก็มองแบบนี้แหล่ะครับ +
พูดตรงๆนะครับ บอกแม่ดูข่าวบ้าง ราชการยุคนี้ตำแหน่งบรรจุโคตรน้อยครับ ที่ทำงานในโรงบาลน่ะไม่ใช่ว่าจะเป็นข้าราชการหมดนะ ส่วนใหญ่เลยละที่เป้นอัตราจ้าง แล้วแถมตอนนี้มีกฏกระทรวงบ้าบอออกมาอีก แล้วอีกอย่างนะครับ "ชิงดีชิงเด่นกันมหาศาล เจ้านายไม่พอใจนิดหน่อยก็ไล่ออก" ราชการนั่นละครับตัวชิงดีชิงเด่น คนต้องการบรรจุมีมหาศาล แต่คนที่จะได้บรรจุมีแค่หยิบมือ แล้วเรื่องไล่ออกอีก เอกชนไล่ออกต้องมีค่าชดเชยตามกฏหมายนะครับถ้าไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเราทำผิดร้ายแรง ราชการนั่นละเกิดไปขัดแข้งขัดขาขัดหูขัดตาพวกผู้อาวุโสในองค์กรจะมีโดนเด้งฟรีดีไม่ดีซวยไปถึงญาติพี่น้องอีก
เรื่องเอกชน จริงๆครับ เอกชนสมมุติ ถ้ามีประชุมวันนี้ตอน 17.00 ถ้าเป็นราชการ พอมีธุระเราก็จะบอกว่าไม่ว่างครับ เดี๋ยวมานะครับ เขาก็จะรอกัน ไม่ว่าอะไร(อาจมีนินทาตามภาษาคนสมัยนี้) แต่เอกชนจะแบบ ต้องเท่านั้นไม่มีข้ออ้าง เพราะเขาจะเลือกใครเข้ามาใหม่ตอนไหนก็ได้ และมันก็แล้วแต่ว่า เจ้านายเราจะใจดีแค่ไหน ถ้าใจดีก็โชคดีไป ครับ
แต่ถ้าเจอแบบงานเป๊ะๆ โอ้ เราก็ต้องเป๊ะตาม เพื่อความอยู่รอด
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลค่ะ^_^/
อย่าซื่อจนเกินไป น้องยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกนาน คนแบบนั้นที่คุณแม่บอกมีทุกวงการค่ะ ไม่ว่าราชการหรือเอกชน น้องเองก็ต้องรู้จักเข้มแข็ง และ สู้เพื่อสิ่งที่เราต้องการบ้าง^^
ชวนคิดเรื่อง ทำงานเอกชน VS การรับราชการ เอาแบบวิถีชีวิตคนปกติส่วนใหญ่ทั่วๆไปนะ
ดูเอกชนก่อน เรียนจบออกมาตอนอายุ 22 เลิกทำงาน 60 = 38 ปี
เงินเดือนเฉลี่ยสัก 50,000 x 12เดือน x 38ปี = 22,800,000 บาท หลังจากหักค่าใช้จ่าย เช่น บ้าน ลูก รถยนต์ อื่น 70% ก็จะเหลือเงินราวๆ 6,840,000 บาท สมมุติตายประมาณ 75 ปี ดังนั้นแล้วเงินที่เหลือหารด้วยเวลาที่เหลืออยู่ 15 ปี จะใช้เงินได้ประมาณ 38,000 บาท/เดือน แต่มีเงื่อนไขว่า ห้ามเจ็บ ห้ามป่วย ไม่ว่าพ่อ แม่ ตัวเอง ลูก ครอบครัว และห้ามมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นในระหว่างมีชีวิต
ดูราชการ เงินเดือนตลอดอายุการทำงาน (กรณีบรรจุได้) เฉลี่ย 40,000 x 12 x 38 = 18,240,000 หักค่าใช้จ่าย 70% เหลือเงิน 5,472,000 บาท เวลาในชีวิตเท่ากัน 75 ปี แต่ไม่ได้เอาเงินเก็มมาใช้ในช่วงอายุ 61-75 รัฐบาลยังจ่ายบำนาญให้เท่ากับเงินเดือนสุดท้าย x 0.8 (แล้วแต่อายุราชการ) สามารถเจ็บป่วยได้เพราะเบิกค่าใช้จ่ายได้อาจจ่ายส่วนต่างเล็กน้อย รวมสิทธิไปถึง พ่อ แม่ ตัวเอง ลูก หากมีเรื่องไม่คาดฝันก็อาจเอาเงินเก็บมาใช้ได้ ค่าเล่าเรียนลูกก็เบิกได้จนถึง ป.ตรี
ไม่ได้บอกว่าแบบไหนดีกว่ากัน แค่ชวนคิด
*หมายเหตุ เงินเดือนเฉลี่ยใกล้เคียงกันเพราะช่วงแรกเอกชนจะเริ่มต้นดีกว่าเล็กน้อย แต่ในช่วง10ปีหลังๆ ราชการจะได้การปรับค่าจ้างที่ดีกว่า ทำให้ช่วงท้ายๆจะสูงกว่า
มันก็จะติดที่ (กรณีบรรจุได้) อะนะครับ อีกอย่าง...คุณพลาดหลายเรื่องเลย
1. จะราชการหรือเอกชนมันก็ไม่Start40-50kอยู่แล้วมั้ย ดังนั้นเท่ากับว่าที่คุณคำนวนมาไร้ความหมายทันที ต่อให้ปลายทางสุดท้ายจะเป้น40-50k แต่จุดเริ่มต้นกับระหว่างทางล่ะครับ ถ้าราชการเริ่มที่10k เอกชนเริ่ม15k แค่นั้นก้สร้างความแตกต่างได้มากนะครับ เช่นสมมุติว่าต้องเช่าบ้านรวมน้ำไฟ5k ราชการจะเหลือให้กิน+เก็บแค่5k ในขณะที่เอกชนเหลือ10k เอกชน10kถ้าระงับความอยากซักหน่อยมันก็กินได้แบบสบายๆเหลือเก็บด้วย หรือถ้าจะลดจำนวนเก็บเอาไสุรุ่ยสุร่ายซักหน่อยก็ไม่เสียหาย แล้วราชการเหลือ5kล่ะครับมันพอกินมั้ย? ถ้าไม่พอแล้วทำไง? ก็ต้องกู้ ดังนั้นถึงแม้ปลายทางราชการกับเอกชนจะไม่ต่างกันมาก แต่ระหว่างทางล่ะครับ ต่างมากพอมั้ย?
2. การปรับเงินเดือน ทั้งราชการและเอกชนก็คงมีปรับเงินเดือนประจำปีทั้งคู่ละมั้ง จุดนี้ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ที่ต่างคือการปรับแบบก้าวกระโดด สำหรับราชการก็คือการเลื่อนตำแหน่ง ส่วนเอกชนก็คือการสะสมประสบการณ์และย้ายงาน ประเด้นคือ...เอกชนน่ะเราจะย้ายเมื่อไหร่ก็ได้ที่เราอยากย้ายไง แต่ราชการน่ะการจะปรับตำแหน่งต้องมีคำสั่งจากระดับบนลงมา แถมข้อเสียสุดของราชการไทยเลยก็คือชอบคนเก่งเลียมากกว่าเก่งงาน ซึ่งทำให้คนที่เก่งงานแต่ไม่เก่งเลียไม่ค่อยโต
3. สวัสดิการ การที่ราชการมีสวัสดิการมากกว่าเอกชนอย่างมหาศาลน่ะมันเรื่องเก่าเป็นสิบปีแล้วครับ ทุกวันนี้เอกชนพัฒนาขึ้นมากนะเพื่อให้ทัดเทียมกับราชการน่ะ อย่างเช่นการรักษาพยาบาล เอกชนเองก็มีประกันสังคมให้เบิก(ถึงแม้มันจะครอบคลุมแค่ตัวเองไม่ได้รวมไปถึงครอบครัวอย่างราชการก็ตาม) แต่สำหรับเรื่องนี้ประกันสังคมก็เป็นแค่สิทธิทั่วไปตามกฏหมาย เอาจริงๆบริษัทที่ใหญ่และแคร์พนักงานจริงๆที่ทำเกินกฏหมายทำประกันชีวิตหมู่ให้พนักงานพร้อมครอบครัวก็มี(เช่นบริษัทที่พ่อผมเคยอยู่ แม่ผมเป็นไทรอยเป็นพิษ ไปหาหมอทุกเดือนเบิกคืนได้หมดไม่เข้าเนื้อซักบาท ที่สำคัญคือไปรพ.เอกชนตลอดไม่เคยต้องไปต่อคิวรอครึ่งค่อนวันในรพ.รัฐซักครั้ง) หรือหลังเกษียณราชการมีบำเหน็จบำนาญ เอกชนเองก้มีเงินเกษียณจากประกันสังคม แถมถ้าบริษัทใหญ่หน่อยก็จะมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเข้ามาอีก ซึ่งถ้าถามว่าทำไมมันถึงเป้นแบบนี้ ก็ต้องตอบว่าเป็นผลมาจากรัฐนั่นละ เพราะว่ารัฐออกกฏหมายมาบีบเอกชนทำให้เอกชนต้องพัฒนาอย่างไม่มีทางเลือก และในทางกลับกันรัฐกลับเลือกที่จะไม่ออกกฏอะไรที่มันบีบคอตัวเอง ทำให้ระบบราชการมันย่ำอยู่กับที่
4. โอกาสในการพัฒนาSkill งานราชการส่วนใหญ่เป็นงานRoutine พวกงานทำซ้ำไปซ้ำมาก ซึ่งเป็นงานที่ไม่ช่วยในการพัฒนาSkill ซึ่งจะต่างจากเอกชนที่บริษัทต้องพัฒนาตัวเองตลอดเพื่อไม่ให้หลุดวงโคจรของตลาดการค้า ซึ่งทำให้พนักงานต้องพลอยพัฒนาตัวเองตามไปด้วย
แหม มันสบายไงครับ รับราชการ
อำนาจ เงินทอง อิทธิพล สวัสดิการ และอีกสารพัด ที่อำนวยความสะดวก
อย่าให้พูดครับ เดี๋ยวจะดราม่า
เห็นๆกันอยู่ นาฬิกายืมเพื่ออะไรยังงี้ หรือขนมจีนน้ำปลาอะไรอย่างงั้น
ลั่นนน 55555
ขอตอบในฐานะข้าราชการนะครับ
งานราชการ ค่อนข้างสบาย เเละยืดหยุ่นครับ มีงานหนักเป็นบางช่วง เเต่ส่วนใหญ่สักบ่ายสามครึ่งเป็นต้นไปว่างเเล้วครับ ดูยูทูป ดูหนัง หรือเเม้เเต่อ่านหนังสือสอบสบายมากๆ ชั่วโมงการทำงานเเค่8ชม. ไม่มีประชุมดึก(หรือมีก็นานๆที) หรือตามงานวันหยุดเหมือนเอกชน ไม่ต้องง้อลูกค้าเหมือนเอกชน อืดๆเฉื่อยๆได้ตราบไดที่ยังอยู่ในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ช่วงระหว่างวันเเวบออกไปทำธุระส่วนตัวได้
อีกอย่างมีหน้ามีตาในสังคมครับ ไปไหนมาไหนเวลาคนถามว่าลูกทำงานอะไร ถ้าบอกว่ารับราชการ มันดูได้หน้าอ่ะพูดง่ายๆ
ท้ายที่สุด จขกท.คิดว่าข้าราชการมีเเค่เงินเดือนจริงๆหรอ......... ฝากไว้ให้คิด
เงินใต้โต๊ะสินะ -_-
ไหนๆก็เป็นข้าราชการเอาเวลาว่างไปช่วยพัฒนาประเทศด้วยนะไม่ใช่ทำงานแต่ในกรอบประเทศอยู่นิ่งไม่ไปไหนสักที เอาเวลาว่างไปคิดค้นอะไรใหม่ๆเหมือน ตปท บ้าง
เจ็บป่วย เบิกได้ค่ะ ครอบครัว กับพ่อแม่เบิกได้
ประกันสังคมได้แค่ตัวเอง
เป็นคนนึงที่ขยาดกับวงการนี้มาก คนดีก็ดีไปนะ ต้องมีเส้นถึงจะโต ตำแหน่งนึงกี่แสน ต้องซื้อนู่นซื้อนี้หมดตังไปเท่าไร ต้องมีเจ้านายคุ้มหัวถึงจะอยู่รอด ถ้าไม่มีก็จะย้ายไปนู่นนี่ คือต้องมีเส้นอะ เรื่องใต้โต๊ะ โกงกิน มีเห็นให้ทั่วไป ประจบประแจงมีทุกที เบื่อหน่ายถึงขั้นเอียนมาก
ตรงประเด็นเลยงานสบาย ทำตอนไหนก็ได้ ถ้าไม่ใช่งานนายเร่ง บางคนทำงานเดิมๆตั้งแค่บรรจุจนเกษียนไม่ต้องพัฒนามากมายอะไร ไม่ต้องคิดเรื่องใหม่ๆเพราะทุกคนไม่ชอบต้องตื่นตัวมาเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ยังติดภาพพจน์จากรุ่นพ่อแม่เป็นข้าของแผ่นดิน ทำเพื่อความสุขประชาชน แต่วันนี้ไม่ใช่แลัว เพื่อปากท้องเยอะประชาชนบ่นกันเยอะ เงินเดือนก็น้อย แต่สวัสดิการเพียบ ทั้งทุนเรียน อบรม เจ็บป่วย มาสายบ้างกลับเร็วบ้างถ้านายเชียร์ก็ไม่เป็นไร เอาใจนายถูกใจนายก็ใหญ่โตแน่ บางคนเบ่งเรียกร้อง...ได้ด้วย สรุป คุณภาพเราด้อยลงเรื่อยๆ ติดทำงานสบาย เอาใจคนอย่างเดียว ลุแก่อำนาจว่ามีกฎหมายอยู่เหนือคนธรรมดาทั่วไป ไม่น่าภูมิใจเหมือนร่นประวัติศาสตร์มาถึงพ่อแม่เรา วันนันมีแต่ความภูมิใจจริงๆ
ป๊าผมเคยสบถบ่อยๆ "รู้งี้ป๊าสอบเข้าทหารตั้งแต่ตอนนู้นซะก็ดี"...ป๊าเคยพาไปกินข้าวกับเพื่อนๆที่เป็นทหาร ตำรวจ ที่จบ มัธยมรุ่นเดียวกันบ่อยๆ ..บางคนพลตรีแล้ว บางคนเป็นเสธ ..พันเอกอะไรก็มี..ป๊าบอกดูดิ..บางคนที่บ้านตอนเด็กๆจนกว่าบ้านปู่อีก ..ตอนนี้อยู่สบาย เงินเดือนพอๆกับป๊าเลย..ค่าปีก ค่าตำแหน่ง ค่าโน่นนี่นั่น...รวมๆเดือนนึงหลักแสน(เงินเดือนน่ะไม่เท่าไหร่) มีบ้านพักประจำตำแหน่ง รักษาพยาบาลฟรี มีบำนาญกินยันแก่ตาย.....ส่วนป๊าหยุดทำงานเมื่อไหร่ก็หยุดรับเงินแล้ว...
เอกชนหรือราชการดี มันขึ้นกับบริบทหลายอย่างครับ เอกชนรายได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสำคัญของงาน คิดดูว่าหากเราเป็นเจ้าของกิจการ การจะให้เงินค่าตอบแทนขึ้นอยู่กับความสำคัญของงานและขีดความสามารถของบุคคล โดยใช้ผลที่ได้เป็นตัวตั้ง เช่น ผลประโยชน์ที่คุณทำได้ใน 1 ปีคิดเป็นเงิน 10 ล้าน ผมจะจ้างคุณเดือนละ สองแสนก็ได้ผมยังได้กำไร ไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ต้องการ โดยเอารายได้มาเป็นตัวตั้ง หากเมื่อไรผลตอบแทนที่คุณทำได้ไม่คุ้มกับค่าจ้าง แน่นอนผมคงไม่จ้างคุณต่อไป มันจึงขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวบุคคล ในสายงานอาชีพที่คุณเรียนมากับผลประโยชน์ที่คุณทำให้
งานราชการจะเป็นงานประจำ ไม่ได้อยู่ที่ผลประโยชน์ตอบแทนทำมากทำน้อยได้เงินเดือนเหมือนเดิม เงินเดือนขึ้นทุกปีช้าหน่อยแต่ชัวร์ เป็นระยะยาวเมื่อมีอายุมากขึ้นไม่รวยหรือจนพออยู่ได้ ยกเว้นทุตจริตตามที่เป็นข่าว
อะไรจะดีกว่าตอบยากครับ ขึ้นอยู่กับคุณค่าของตัวเราเอง เช่น เป็นหมอ วิศวะ หรือเป็นสาขาที่สำคัญตลาดแรงงานต้องการมาก แน่นอนว่าเอกชนต้องดีกว่า เรื่องรายได้อาจจะแตกต่างเป็น สิบเท่า ดังนั้นในการเรียนของนักเรียนมันจึงขึ้นอยู่กับสาขาที่เราเลือกเรียน หากสาขาใดผลตอบแทนมากคนก็เรียนมากการแข่งขันสูง โอกาสที่จะได้เรียนก็น้อยลง บางที่สาขาที่เราชอบอาจเป็นสาขาที่ไม่ต้องการของตลาดแรงงาน หัวอกคนเป็นพ่อแม่คงคิดแล้วว่ามันดีที่สุดสำหรับลูก แต่ลูกบางคนก็อาจไม่เข้าใจอยู่ดี คิดให้ดีและหันหน้าพูดคุยกับหาเหตุหาผลมาคุยกันครับระหว่างพ่อแม่และลูก
อยากให้มองว่ามีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน
ข้อดี คือ ทำงานสบาย , ไม่ถูกไล่ออก , มีหน้ามีตา , มีบำนาญตอนแก่
ขึ้นอยู่กับคนอะครับ เพื่อนผมบางคนก็อยากไปรับราชกาล เพราะ มันไม่ชอบดิ้นรน
แต่เราก็ไม่ชอบเหมือน จขกท (ที่พิมพ์มาไม่ได้เชียร์ให้รับราชกาลนะ)
สรุป ดูที่ข้อดีข้อเสียของ การทำงานเอกชน กับ รับราชกาล
เปรียบเทียบว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากกว่าก็แบบนั้น
แม่พูดผิดหรือเปล่า ไม่น่าจะใช่ไม่ยากอย่างที่คิด น่าจะเป็น”ยากกว่าที่คิด” 55555
ราชการสบายกว่าเเละไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องตลอดชีวิต ประชาชนส่งเงินเลี้ยงดูจนเสียชีวิต
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?