Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

การเตรียมตัว & ประสบการณ์สอบเข้าโครงการช้างเผือก อักษรฯ จุฬาฯ ปี 63

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่าาทุกคนน ;) พี่ชื่อ ซิม นะคะ ตอนนี้สอบติดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ เย้! สำหรับรอบที่เรายื่นนะคะ คือ รอบที่ 2 (รอบโควตา) ชื่อว่า โครงการส่งเสริมพัฒนาสมรรถนะนิสิตทางด้านศิลปะระดับชาติ นานาชาติ นั่นเองค่ะ (ชื่อเดิม: โครงการสู่ความเป็นเลิศด้านภาษาและวรรณคดีไทย)
 
เราก็ขอเกริ่นข้อมูลของโครงการนี้คร่าวๆนะคะ โครงการนี้ เป็นโครงการที่ส่งเสริมความรู้และทักษะทางด้านภาษาไทย นักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกจะต้องศึกษาในเอกภาษาไทย ตลอด 4 ปีการศึกษา ที่สำคัญ โครงการนี้ยังมีทุนการศึกษาให้ด้วยค่ะ เป็นทุนค่าเล่าเรียนตลอด 4 ปีการศึกษา และทุนค่าใช้จ่ายส่วนตัว ปีละ 12 เดือนค่ะ
 
เกณฑ์การรับสมัคร จะต้องมีคะแนน cu-tep 55 คะแนนขึ้นไปค่ะ มีเกรดเฉลี่ยรวม เกรดเฉลี่ยวิชาภาษาไทย และผลงานทางด้านภาษาไทยค่ะ สำหรับเรา เราใช้เกรดยื่นเป็นหลักค่ะ เกรดเฉลี่ยรวม 3.80 ขึ้นไป และเกรดเฉลี่ยวิชาภาษาไทย 4.00 ( ใช้ทั้งหมด 5 เทอมค่ะ) ส่วนผลงานทางด้านภาษาไทย เรายื่นผลงานการอ่านทำนองเสนาะ การแต่งกลอนสุภาพ และการอ่านบทอาขยานค่ะ
 
สำหรับข้อมูลรายละเอียดของโครงการนี้เพิ่มเติม สามารถติดตามได้ทางเว็บไซต์การรับสมัครของจุฬาฯ www.admissions.chula.ac.th หรือทางเพจ FB: เอกภาษาไทยฯ อักษรฯ จุฬาฯ ได้เลยนะคะ
 
มาถึงขั้นตอนที่สำคัญก็คือ การเตรียมตัวสอบเข้าคณะอักษรฯ จุฬาฯ ของเรานั่นเองค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าเรารู้จักโครงการนี้เป็นครั้งแรก ตอนเราติดค่ายงานแง้มประตูดูอักษรฯ ที่ทางคณะอักษรฯ จุฬาฯ จัดขึ้นเมื่อปี 2017 ค่ะ เราก็ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ขอบคุณรุ่นพี่ทุกๆคนอีกครั้งนะคะ ที่จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา ทำให้เรารู้จักคณะอักษรฯมากยิ่งขึ้นจริงๆ ทำให้เราได้รู้จักเพื่อน รุ่นพี่ และอาจารย์ ทุกคนน่ารักกับเรามากๆเลยค่ะ แล้วก็ยังทำให้เราได้แรงบันดาลใจสำหรับการสอบเข้า จนเรารู้ใจตัวเองว่าที่นี่คือความฝันของเรา ที่นี่คือที่ที่เราอยากมาศึกษาต่อ อยากมาเป็นนิสิต และอยากมาเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้ จนตอนนี้เราก็สามารถทำตามความฝันของเราได้แล้วจริงๆ ก็อยากจะบอกทุกคนนะคะ ถ้าเราพยายามเพื่อความฝันของเรา ตั้งใจกับมันจริงๆ ไม่ว่าเราจะต้องเหนื่อยมากแค่ไหน พยายามมากแค่ไหน ไม่ช้าเราจะต้องได้รับผลตอบแทนที่ดีกลับคืนมาแน่นอนค่ะ
 
มาเข้าเรื่องกันเลยเนอะ 55555 สำหรับการเตรียมตัวของเรา เราแบ่งเป็น 2 หัวข้อค่ะ
1.การเก็บเกรดที่โรงเรียน+เก็บผลงาน
2.การอ่านหนังสือ+ทำแบบฝึกหัด
สำหรับการเก็บเกรดที่โรงเรียนนะคะ เราอยากบอกทุกๆคนว่า อย่าทิ้งเกรดเลยค่ะ เกรดโรงเรียน เป็นสิ่งที่เราสามารถเก็บได้ง่ายที่สุดแล้ว อย่างที่ทุกคนทราบนะคะ เกรดที่โรงเรียนจะแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ คะแนนงาน และคะแนนสอบ ถ้าใครไม่ถนัดคะแนนสอบ แนะนำให้เก็บที่คะแนนงานเลยค่ะ เช่น ทำงานส่งตรงเวลา ตั้งใจกับงานที่คุณครูสั่ง เท่านี้เราก็สามารถได้คะแนนดีๆมาไว้ในมือเราจำนวนนึงแล้ว สำหรับคะแนนสอบนะคะ เราต้องตั้งใจเรียนที่ห้อง ฟังว่าคุณครูจะออกข้อสอบเกี่ยวกับอะไร จุดไหนเป็นจุดที่สำคัญบ้าง อย่างเรานะคะ มีบางคาบที่เราไม่ได้ตั้งใจ (อันนี้ไม่ดีอย่าทำตามนะคะ5555) เราก็จะกลับมาทบทวนที่บ้าน ขอยืมเลคเชอร์ที่เพื่อนจดบ้าง สิ่งที่สำคัญคือการทบทวนค่ะ! ไม่ใช่เรียนจบแล้ว คือจบเลยนะคะ ถ้าทำแบบนั้น แน่นอนว่าไม่ช้าเราก็ต้องลืมแน่นอนค่ะ สำหรับเรา เราเป็นคนที่อ่านอย่างเดียวแล้วจะจำไม่ได้ ก็เลยต้องเขียน ทำเป็นสรุป แล้วกลับมาอ่านอีกที อันไหนจำไม่ได้ ไม่เข้าใจ ก็ต้องเขียนจนกว่าตัวเองจะจำได้ (เสียเวลาเราอ่านหนังสือสอบมากๆ แต่ว่าก็ต้องทำค่ะ5555) แล้วก็ใครที่ไม่ถนัดเวลาทำข้อสอบนะคะ แนะนำว่าลองยืมเลคเชอร์ที่เพื่อนจดมาอ่าน หรือถ้าสงสัยตรงไหน ถามเพื่อน ถามครูเลยค่ะ อย่าปล่อยให้ความสงสัยอยู่กับตัวเรานะคะ!
 
สำหรับการเก็บผลงาน เราต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองทำสิ่งที่ใหม่ๆค่ะ เมื่อก่อนเราก็ไม่ใช่คนที่รักการทำกิจกรรม การไปแข่งขันขนาดนั้น แต่พอเราเห็นเพื่อนได้ไปแข่งสนามต่างๆ เราก็อยากเป็นแบบเพื่อนบ้างค่ะ [ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเราไม่ถนัด = เราจะทำไม่ได้เสมอไปนะคะ ] อยู่ที่ว่าเราพร้อมที่จะฝึกฝนรึยัง พร้อมที่จะลองรึยัง ไม่มีใครที่จะเก่งตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ อย่ากลัวที่จะแสดงความสามารถของเราออกมา อย่ากลัวที่จะเปิดเผยสิ่งที่เรารักให้กับคนอื่นๆได้เห็นนะคะ สำหรับเราพอเราได้ไปแข่งสนามต่างๆ มันทำให้เรารู้จักฝึกฝน อยากจะพัฒนาทักษะของตัวเองให้ดีมากยิ่งขึ้น ถึงการแข่งเราจะมีทั้งสมหวังและไม่สมหวังบ้าง แพ้หรือชนะบ้าง แต่บทเรียนที่สำคัญที่เราได้รับคือ การพยายาม และการก้าวออกจากกรอบที่เราสร้างขึ้นค่ะ เราเคยกลัวว่าไปแข่งแล้วจะแพ้มั้ย แต่มีคนๆนึงบอกเราว่า ให้เราทำให้เต็มที่ ไม่ต้องไปกลัวว่าผลจะเป็นยังไง ขอแค่เราทำเต็มที่ ตัวเราก็ภูมิใจแล้วไม่ใช่หรอ? ใช่ค่ะ แค่เราพยายาม ทำเต็มที่ให้สุดความสามารถของเรา เราก็ภูมิใจแล้ว สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่เรายึดมาตลอดเวลาที่เราไปแข่งขัน หรือแม้แต่ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยเช่นกันค่ะ ดังนั้น สิ่งที่เราอยากบอกทุกคนก็คือลองเปิดโอกาสให้ตัวเอง ลองลงสมัครแข่งขัน ปรึกษาคุณครูประจำรายวิชาว่าเราอยากลงแข่งด้านนี้ๆ คุณครูสามารถให้คำแนะนำได้มั้ย ที่สำคัญเราต้องลองนะคะ อย่าไปกลัวค่ะ!
 
ต่อมาเป็นการอ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัดนะคะ ต้องขอบอกก่อนว่าเราไม่ได้อ่านเองทั้งหมด เราไปเรียนพิเศษมาด้วย 55555 เราไปเรียนติวตัวต่อตัวกับรุ่นพี่เอกไทย อักษรฯ จุฬาฯ หรือเรียกง่ายๆว่า รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์สอบโครงการนี้โดยตรงนั่นเอง ก็อย่างที่ทุกคนที่อยากเข้าโครงการนี้ทราบดีอยู่แล้วนะคะว่า โครงการนี้จะต้องมีการสอบข้อเขียนและการสอบสัมภาษณ์ และข้อเขียน เขียนเป็นหน้าๆกันเลยทีเดียว (ปวดมือกันไปข้างค่ะ5555 แต่สำหรับเราที่ชอบเขียนอยู่แล้ว ก็ถือว่ายังโอเคอยู่ค่ะ) ส่วนใหญ่ข้อสอบจะมีแค่โจทย์ และเราต้องตอบเอง ไม่มีตัวเลือกให้เหมือนสอบที่โรงเรียนนะคะ! ถือโอกาสใช้พื้นที่ตรงนี้รีวิวที่เราไปเรียนกับรุ่นพี่มาด้วยเลย เผื่อน้องๆคนไหนไม่ถนัดอ่านเอง สิ่งนี้ก็อาจจะเป็นตัวช่วยให้น้องๆอีกทางนึงค่ะ รุ่นพี่ที่เราไปเรียนด้วย ชื่อ พี่เอิงเอย เราขอเรียกสั้นๆว่าพี่เอิงนะคะ (ใครสนใจอยากได้ช่องทางติดต่อรบกวนทักหลังไมค์มาได้เลยน้า5555) ก็พี่เอิงสอนดีมากๆเลย สอนเราทุกอย่างที่เกี่ยวกับภาษาไทย ทั้งหลักภาษา และวรรณคดี จุดไหนที่เราต้องรู้ ควรรู้ หรือศึกษาไว้เฉยๆก็ดี เหมือนย่อทุกอย่างในหนังสือให้เราเข้าใจภายในระยะเวลาไม่นานเลยค่ะ แล้วก็ยังให้เราลองหัดคิดวิเคราะห์เองด้วยว่า ถ้าเจอโจทย์ถามแบบนี้ เราควรตอบยังไงดี เราตอบแบบนี้โอเคมั้ย แบบช่วยเราได้เยอะมากจริงๆค่ะ เราเจอโจทย์หลายแบบมากๆ ถ้าเราไม่ได้พี่เอิงช่วยติวให้ คงทำข้อสอบคณะไม่ได้แน่ๆ 55555
 
แนะนำหนังสือที่เราใช้อ่านและติวนะคะ เป็นหนังสือที่พวกเราใช้เรียนช่วงม.ปลายทั่วไปเลยค่ะ มีบางเล่มที่เราก็หาซื้อเองบ้าง ไว้มาศึกษาเพิ่มเติมค่ะ
-พาร์ทหลักภาษา-
-พาร์ทวรรณคดี-
(ขอบคุณรูปภาพจากสื่ออินเทอร์เน็ต และขออนุญาตนำรูปมาใช้ประกอบการอธิบายด้วยนะคะ)
 
อันนี้เป็นหนังสือที่เราอ่านทั้งหมดเลยนะ ตอนไปเรียนติวกับพี่เอิงเราก็ใช้เล่มพวกนี้หมดเลย แนะนำว่าควรรู้ทุกอย่างที่อยู่ในหนังสือนะคะ เพราะ มันสามารถนำมาออกข้อสอบได้หมด แล้วก็ยังช่วยให้เรานำข้อมูลในหนังสือไปวิเคราะห์ตอบในข้อสอบได้ด้วย (รู้ไว้ก่อนดีกว่าไม่รู้อะไรเลยนะคะ) ส่วนพาร์ทเรียงความ เราไม่ได้ฝึกเขียนจริงๆจังๆเลยค่ะ จริงๆก็อาศัยบุญเก่าอยู่เหมือนกันนะ5555 แต่เราก็ลองศึกษาหลักการเขียนเรียงความ ตัวอย่างเรียงความมาบ้างเหมือนกันค่ะ ด้วยความที่เราชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ก็เลยช่วยในส่วนของพาร์ทนี้ได้เยอะอยู่เหมือนกัน
 
ทริคเล็กๆน้อยๆของเรานะคะ พี่เอิงก็แนะนำเรามาอีกที 5555 เราคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนอยู่บ้าง ก็คืออยากให้ลองนำโจทย์ในหนังสือ ลองคิดโจทย์ขึ้นมาแล้วตอบเองดูค่ะ (ใช้ได้กับการสอบทั้ง 3 วิชาเลยนะคะ) มันจะช่วยให้เราได้ฝึกคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ถ้าเราตอบไม่ได้ แสดงว่าเรายังไม่แม่นเนื้อหามากพอ เราก็กลับไปอ่านทบทวนใหม่ ถ้าลองตอบแล้วไม่รู้ว่าถูกมากน้อยแค่ไหน ลองให้คุณครูที่โรงเรียนช่วยดูให้ก็ได้ค่ะ วิธีนี้ก็จะเป็นอีกทางนึงที่ช่วยฝึกซ้อมทำข้อสอบ ก่อนไปสอบจริงได้เหมือนกัน
 
ต่อไปก็เป็นประสบการณ์สอบเข้าของเรานะคะ ทั้งสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์เลย มีข้อสอบจริง ที่เราพอจะจำได้อยู่บ้างมาเป็นแนวทางให้น้องๆลองนำไปฝึกทำด้วยค่ะ อาจจะไม่ได้จำมาได้แบบเป๊ะๆขนาดนั้น แต่ว่าข้อสอบก็ออกประมาณนี้เลยค่ะ
 
เกณฑ์การผ่านข้อเขียน คือ ต้องได้คะแนนแต่ละวิชา (หลักภาษาไทย/วรรณคดีไทย/เรียงความ) ผ่านร้อยละ 60 ถึงจะมีสิทธิ์ได้สัมภาษณ์ต่อนะคะ
 
สนามสอบของเราอยู่ที่อาคารมหามกุฎ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เราไปถึงประมาณ 7 โมงกว่าๆ บอกเลยว่าตื่นเต้นมากๆ กลัวไปหมดเลยค่ะ 55555 เราโทรคุยกับรุ่นพี่ที่เราสนิทนานมากๆ เผื่อจะผ่อนคลายความตื่นเต้นลงได้ ก็ช่วยได้เยอะจริงๆ แนะนำว่าก่อนเข้าห้องสอบ ให้น้องๆเข้าห้องน้ำ แล้วก็หาอะไรกินตอนช่วงเช้าให้เรียบร้อยก่อนนะคะ เพราะพอเข้าห้องสอบจริงๆ เราจะรู้สึกตื่นเต้นมากๆเป็นเท่าตัวเลย ถ้าท้องว่างก็อาจจะเป็นลมได้น้าา จริงๆอยากให้ทำใจร่มๆด้วย ทำให้เต็มที่ เราเตรียมตัวมาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องทำได้!
 
** อย่าลืมเช็คเลขที่นั่งสอบ ห้องสอบ แล้วก็เตรียมหลักฐาน (บัตรประชาชน+บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ) ให้เรียบร้อยนะคะ** ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนมานะ ทางสนามสอบเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ (ดินสอ ปากกา ยางลบ ไม่มีน้ำยาลบคำผิดให้นะคะ)
 
ก็พอถึงเวลาสอบจะมีพี่ๆเจ้าหน้าที่แจ้งค่ะ ว่าให้ขึ้นไปห้องสอบได้ ของเราขึ้นไปก็จะมีตรวจบัตรประชาชน+บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ แล้วก็ติดสติกเกอร์ผู้เข้าสอบค่ะ จะตรวจเข้มหน่อย เพราะช่วงที่เราไปสอบ โควิด-19 กำลังระบาดเลย ต้องใส่หน้ากากอนามัย ถูเจลล้างมือก่อน-หลังเข้าห้องสอบด้วย
 
วิชาเฉพาะที่เราสอบนะคะ จะแบ่งออกเป็น 3 วิชาค่ะ วิชาละ 2 ชั่วโมง *บริหารเวลากันดีๆนะคะ*
1.วิชาหลักภาษาไทย (08.00-10.00)
2.วิชาวรรณคดีไทย (10.30-12.30)
3.วิชาเรียงความ (14.00-16.00)
 
ตอนทำข้อสอบ อ่านรายละเอียดของข้อสอบให้ดีๆนะคะ ว่าสั่งอะไรไว้บ้าง อันดับแรกเราต้องกรอกข้อมูลของเราให้ครบ ห้ามลืมเด็ดขาด! ที่สำคัญต้องเขียนชื่อ-นามสกุล เลขที่นั่งสอบ ที่หัวกระดาษทุกหน้าด้วยนะ แล้วก็อยากแนะนำว่าให้มีสมาธิ ตั้งใจทำข้อสอบมากๆ คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ตัดสินว่าเราจะติดหรือไม่ติด เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา ทำให้เต็มที่ รู้อะไรมาเขียนให้หมดเลยค่ะ เพราะเราจะไม่มีโอกาสแก้ตัวเป็นครั้งที่ 2 แล้ว อย่ากังวลว่าสิ่งที่เราตอบจะผิดมั้ย ไม่มีใครรู้นอกจากอาจารย์ที่ตรวจข้อสอบเราค่ะ ทำให้เต็มที่ไปเลย!
 
หลังสอบเสร็จแต่ละวิชา จะมีเวลาพักให้น้องๆเตรียมตัว เวลานี้เราก็ไปเข้าห้องน้ำ กินอาหาร ดื่มน้ำหรืออ่านหนังสือที่เราสรุปไว้ข้ามเวลาก็ได้ค่ะ
 
หลังจากสอบเสร็จทุกวิชานะคะ ก็ถึงเวลาเดินทางกลับบ้านค่ะ รู้สึกโล่งมากๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย ในที่สุดก็สอบเสร็จสักที!! มีหลายคนที่ออกจากห้องสอบแล้วกังวลว่าจะติดมั้ย จะรอดรึป่าว เราอยากบอกว่าอย่าไปเครียดค่ะ เราทำเต็มที่แล้วจริงๆ ไปพักผ่อนให้สบายดีกว่าเนอะ ของเราสอบเสร็จคือไปหาของกินเลยค่ะ 55555 ยิ่งอะไรหวานๆคือต้องการมาก ตอนนี้คือร่างกายเราต้องการน้ำตาลมากจริงๆ 55555
 
ข้อสอบจริงที่เราพอจะจำได้นะคะ
-พาร์ทหลักภาษา- (11 หน้า)
1.บอกความหมายของคำที่กำหนดให้ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
-คำผสาน
-คำซ้ำ
2.บอกลักษณะของภาษาไทยที่ปรากฎ
2.1 -มีโรคระบาดในจีน
-เกิดความตื่นตระหนกเรื่องโรคระบาด
2.2 -ตั้งแต่เช้าถึงเย็น
-ถึงเขามาขอโทษ ฉันก็ไม่ยกโทษให้
-ฉันถึงโรงเรียน
• บอกข้อบกพร่องของข้อความที่กำหนดและแก้ไขให้ถูกต้อง
ให้มาประมาณ 5 ประโยค เป็นข้อความยาวๆเลยค่ะ ส่วนใหญ่จะผิดพวกใช้คำฟุ่มเฟือย ระดับภาษา หรือใช้สำนวนต่างประเทศค่ะ
• บอกว่าคำที่กำหนดให้เป็นคำอะไร เลือกจากตัวเลือกที่กำหนดให้ พร้อมทั้งอธิบายว่าเกี่ยวข้องกับตัวเลือกที่เลือกมาอย่างไร
1.คำมูล 2.คำประสม 3.คำสมาส 4.คำซ้ำ 5. คำซ้อน
ตัวอย่าง: เล็กน้อย / ไต้ฝุ่น / ช้าหึงนาน / ศาสนูปถัมภ์
• เลือกมา 1 ประเด็นเกี่ยวกับคำซ้อน
เราเลือกอธิบาย ‘’ลักษณะและความหมายของคำซ้อน’’
ทางคณะกำหนดมา 3 ประเด็น มีประเด็นที่ให้บอกประโยชน์ของคำซ้อนด้วย
 
-พาร์ทวรรณคดี- (8หน้า)
1.ยกตัวอย่างวรรณคดีต่างประเทศ พร้อมทั้งบอกชื่อประเทศและชื่อผู้แต่ง จำนวน 2 เรื่อง
2.บอกวรรณคดีที่มีฉันทลักษณ์หลายรูปแบบ พร้อมบอกรูปแบบคำประพันธ์ จำนวน 3 เรื่อง
3.มีคนกล่าวว่า วรรณคดีไทยควรช่วยส่งเสริมศีลธรรมให้แก่มนุษย์ เห็นด้วยหรือไม่ ยกตัวอย่างวรรณคดีที่เรียนมาในชั้นมัธยมศึกษาประกอบ จำนวน 2 เรื่อง
4.มีคนกล่าวว่า วรรณคดีช่วยให้เข้าใจมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ เห็นด้วยหรือไม่ ยกตัวอย่างวรรณคดีที่เรียนมาในชั้นมัธยมศึกษาประกอบ จำนวน 2 เรื่อง
5.ให้ยกตัวอย่างคุณค่าทางวรรณคดีมา 2 ประเด็น จากวรรณคดีเรื่องใดก็ได้ 1 เรื่อง
6.เป็นส่วนที่ 3 ของข้อสอบพาร์ทนี้ มีบทความมาให้ ความยาวประมาณ 2 หน้ากระดาษได้ แล้วให้เปรียบเทียบอุปลักษณ์กับคำที่กำหนดมาว่าหมายถึงอะไร มีทั้งหมด 2 ข้อ มีคำว่า การจดด้วยปากกา / การจดด้วยดินสอ / พายุฝน / สายลมพริ้ว…ฟ้าใส
ชื่อเรื่องว่า สมุดทดของชีวิต
 
ทุกเช้า
กระดาษขาวแผ่นนั้น
เริ่มต้นวันด้วยความหวัง
โดยไม่รู้เลยว่า
วันนี้
จะมีแดด ฝน ลมแรง
ร้อนแล้ง หรือเฉอะแฉะ
ผู้คนที่ผ่านเข้ามาจะดีหรือร้าย
ปัญหาจะมากมายหรือน้อยนิด
สุดท้าย
กระดาษขาวหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่จะต้องบันทึกบางสิ่งของวันใหม่
ลงไปในความทรงจำอีกแผ่น
เก็บเป็นอีกหนึ่งหน้ากระดาษ
ของสมุดเล่มหนาที่เรียกว่าชีวิต
...
วันนี้
กระดาษขาวแผ่นนั้นเริ่มต้นวันใหม่
หากคาดหวังว่าจะราบรื่น
เจ้าอาจเจออุปสรรค
หากคาดหวังความรัก
อาจเจอความเกลียดชัง
หากคาดหวังเรื่องราวดีๆ
อาจพบเรื่องแย่
แน่นอน ใครก็คาดหวังสิ่งดีๆ ทั้งนั้น
แต่เราควบคุมสิ่งที่พบในแต่ละวันไม่ได้
เหมือนกับฟ้าฝน
เรามักจดสิ่งแย่ๆ ในแต่ละวันด้วยปากกา
และจดสิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นด้วยดินสอ
เราจดจำเรื่องแย่ฝังแน่น
ลบเลือนเรื่องดีๆ รวดเร็ว
ไม่บ่อยหรอกที่เราจะเจอเรื่องดี
ที่ประทับในความทรงจำ
เหมือนเขียนด้วยปากกา
...
บางคนที่มีความสุขบอกว่า
ความสุขมีน้ำหนักเบา
เราต้องจับถือมันอย่างตั้งใจ
มันจางบาง เราจึงต้องเขียนมันซ้ำๆ
การใส่ใจและนึกทบทวนถึงความสุข
ทำให้ภาพความสุขชัดขึ้น
คล้ายเขียนด้วยปากกา
ยิ่งใช้เวลากับความสุขมาก
เรายิ่งมีเวลาคร่ำครวญหวนคิด
ถึงความทุกข์น้อยลง
เปลี่ยนปากกาที่เคยใช้เขียนความทุกข์
มาเขียนความสุขแทน
ให้ความทุกข์จางเหมือนรอยดินสอ
...
ในแต่ละวันมีทุกข์และสุขปะปน
สุขคือพลัง
ทุกข์คือสารละลายพลัง
บางคนพบความสุข
แต่ไม่บันทึกมันใส่กระดาษ
ขยันบันทึกแต่ความทุกข์
จนหน้ากระดาษเข้มไปด้วยสีหม่น
วันนี้
กระดาษเปล่าเริ่มต้นวันอีกครั้ง
เราถือปากกาและดินสอ
เราควบคุมสิ่งที่จะพบเจอไม่ได้
แต่เราเลือกได้
ว่าจะบันทึกความสุขและความทุกข์
ด้วยดินสอหรือปากกา
ทุกวัน
ทุกหน้ากระดาษ
ประกอบกันเป็น
สมุดทดของชีวิต
 
(ขอบคุณบทความจากเพจ FB: Roundfinger ค่ะ)

แสดงความคิดเห็น

1 ความคิดเห็น

simmiiyulann 3 พ.ค. 63 เวลา 22:15 น. 1

-พาร์ทเรียงความ- (6 หน้า) แต่ละเรื่องเขียนประมาณ 30 บรรทัด

1.ลายสือไทย มรดกวัฒนธรรมของชาติไทย

2.ให้บทความมาแล้วให้แสดงความคิดเห็น และตั้งชื่อเรื่องให้เหมาะสม


เหรียญมีสองด้านฉันใด มนุษย์ก็มีด้านมืดและด้านสว่างฉันนั้น


โดย ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม


ในวงสนทนาเราพูดคุยในสิ่งที่สวยงาม บ้างก็ปรับทุกข์แลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องงาน ชีวิต การท่องเที่ยว ถ่ายทอดประสบการณ์จากคนรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง หรือระหว่างเพื่อนฝูงกันเอง

หลังการพูดคุยกันอย่างฉันมิตร การได้เปิดอกระบายปัญหา อย่างน้อยช่วยให้ความเครียดลดน้อยลงไปบ้าง

เมื่อมนุษย์อยู่ในสังคมหนึ่ง พึงต้องปฏิบัติในสิ่งที่เป็นกฎเกณฑ์ดีงามของสังคมนั้นๆ แต่ยามที่ปลีกวิเวกมาอยู่คนเดียว สลัดพันธนาการจากสายตารอบตัว เราก็มักแปลงตัวเป็นเด็กทำตัวขบขัน แลบลิ้นปลิ้นตาใส่กระจก ตะโกนร้องเพลงลั่นห้อง

เพราะเราอยู่คนเดียว เราจึงกล้าทำอะไรบ้าๆ บอๆ โดยไม่อายผู้คน แต่การอยู่ร่วมกับสังคม จำต้องวางตัวให้น่าเคารพ เป็นที่นับถือ หากเป็นธรรมชาติของคนนั้นก็เป็นเรื่องปกติ สำหรับคนที่ไม่ใช่ตัวตน อาจต้อง “เสแสร้ง” ให้ดูดี น่ายกย่อง

ภาพลักษณ์ เป็นสิ่งสำคัญ ไม่เฉพาะมนุษย์ องค์กรธุรกิจ ยังต้องมีสถาบันคอยตกแต่งเสริมบุคลิก ด้วยราคาหลักสูตรหลักสิบล้านร้อยล้าน ใครสร้างความประทับใจก็ได้ใจไปกว่าครึ่ง

ปัจจุบัน งานโฆษณาหลายชิ้น ไม่เน้นเนื้อหาสินค้า ขอแค่สร้างความประทับใจให้ผู้ชมก็เพียงพอสำหรับการจดจำในสินค้านั้น

คงเพราะเราๆ ท่านๆ ต่างอยากเห็นสิ่งสวยงาม รับรู้เรื่องราวแต่ความสุข มากกว่าความทุกข์ที่ฟังแล้วหดหู่

กระนั้น ในโลกที่แก่งแย่งกัน ยังมีพื้นที่ความดีเล็กๆ ให้เห็น เมื่อมีผู้เสียสละ มีจิตสำนึกสาธารณะ จำนวนไม่น้อยดั้นด้นช่วยคนยากไร้ให้มีสุข

การแบ่งปันความสุขในโลกที่ผู้คนต่าง “เห็นแก่ตัว” สะกดคำว่าน้ำใจไม่ถูก จึงเป็นสิ่งที่ควรเพาะรักษาให้งอกงาม

ถ้ามนุษย์ส่วนใหญ่เป็นคนดี โลกใบนี้ก็คงสงบสุขไม่น้อย

แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งสมมติ ทุกสังคมถึงได้มีกฎเกณฑ์ กติกาออกมากำกับให้มีหลักยึด มีบทลงโทษสำหรับคนไม่ดี ที่ฝ่าฝืน

มนุษย์ต่างมีสีดำมืดอยู่ในตัว ไม่มีใครเป็นผ้าขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยความดี ทุกคนต่างมีอดีตที่หลงผิดตามแต่ประสบการณ์ บ้างก็มีจุดดำ บ้างก็สีเทา บ้างก็ลายม้าลาย อยู่ที่ว่าใครจะปกปิดตัวตนได้มากกว่ากัน

หลายคนมีชื่อเสียง เป็นดารา ผู้นำสังคม ผู้นำในประเทศ กระทั่ง ญาติมิตร หรือเป็นหัวหน้าเรา ที่สร้างชื่อระบือไกล ทว่าเมื่อประวัติด้านมืดของเขาถูกแฉออกมา แม้จะเพียงเล็กน้อย ก็มีพลานุภาพพอที่จะทำลายคนคนนั้นลงในพริบตา ทั้งที่ด้านมืดนั้นเป็นเพียงอดีต และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

แม้เราจะหลงแบบหัวปักหัวปำ และจำนนกับความจริงเป็นคนสุดท้าย แต่เราก็พร้อมที่จะหลงรักเขาต่อไปโดยไม่สิ้นศรัทธา

เพราะเราอยากจดจำอยู่กับความรู้สึกที่ดีงามต่อไป

เราจึงไม่อยากเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น และไม่เชื่อว่า “เขา” คนนั้นจะมีอดีตหรือด้านมืดอย่างนั้น

แต่มนุษย์ก็คือ มนุษย์ที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ท่ามกลางกิเลสตัณหายั่วยวนอยู่รอบตัว โอกาสที่จะหลงทาง หรือเต็มใจให้หลง ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ถ้าจิตใจไม่แกร่งพอที่จะต้านไม่ให้อำนาจดิบในร่างกายเอาชนะสำนึกแห่งศีลธรรม

คนที่ร่ำเรียนมาสูง จบดอกเตอร์รู้ผิดชอบชั่วดี ถ้าใช้ในทางบวกก็เป็นคนฉลาดรู้ และได้รับการยกย่อง

ถ้าไม่ใช้ความรู้ในด้านสว่าง แต่มาใช้กับด้านมืด ก็ไม่ต่างกับ “ฉลาดแกมโกง”

หลายคนบอก “เอาน่า...ฉันรู้ว่า ฉันทำอะไรอยู่ ถูกหรือผิด ไม่ต้องห่วง” แต่น่าแปลกใจทำไมคนที่ประกาศดังๆ ว่า “ฉัน รู้” กลับทำสิ่งผิดอยู่นั่น

หมายความว่า ความรู้ไม่ได้สอนให้เป็นคนดี หรือเห็นแก่ประโยชน์สังคม หรืออาจเพราะการศึกษา-ความรู้ กับคำว่าศีลธรรม นับวันจะเป็นเส้นขนานในโลกที่มีแต่แก่งแย่งเอาเปรียบ?

กิเลส-ตัณหา มันเหมือนปีศาจ มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรง ขนาดนักบวชหลายพรรษา ที่มีศีลเคร่งครัดคอยกำกับ ยังต้องจิตแกว่งเพราะข่มด้านมืดในตัวไม่ลง

“คนดี” รอบตัวเรา จึงผสมผสานกันไป ดีแท้กับดีเทียม ที่สร้างภาพลวงพรางน่ากลัว

แต่มีอีกหลายคนที่อยากจะสารภาพดังๆ ให้รู้ไปเลยว่า “ฉันเคยทำไม่ดีมาก่อน” “ฉันเคยมีรอยตำหนิในชีวิต” เคยโกหก เคยโกงเวลา เคยโกงข้อสอบ เคยเจ้าชู้ เคยติดยา เคยขโมยของตอนเด็ก ฯลฯ

ถ้าโพล่งตรงๆ ให้รู้กำพืดก่อนมาคบค้าสมาคม จะมีใครกล้ามายุ่งกับเราไหม

ในสังคมที่ต้องปั้นหน้าเข้าหากัน ถ้าเราเผยตัวตนให้เห็นก่อนเพื่อความบริสุทธิ์ใจ กล้าที่จะบอกความจริงว่า ทำอะไรไม่ดีมาบ้าง คนอื่นจะได้ไม่ต้องมาคาดหวังกับภาพความดีที่เห็น เขาผู้นั้นก็อาจเป็นคนแปลกแยกที่ไม่มีใครอยากคบด้วย

เพราะเราชอบคนหล่อ สวย รวย ดูดี มีเสน่ห์ มีชื่อเสียง และจะไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ ที่ขัดกับความรู้สึก เราจะไม่เชื่อว่า “เขา” เคยทำผิด ทั้งที่ชีวิตทุกคนต่างเคยทำพลาด หลงผิดโดยไม่ตั้งใจ

กระทั่ง พ่อแม่บางคนก็ยังไม่รู้จักลูกตัวเองดี มารู้อีกที ก็ตกเป็นข่าวว่าติดยา หนีไปเป็นเด็กสก๊อย เข้าร่วมขบวนการก่อการร้าย ฯลฯ

เผื่อใจกับความมืดของเขาไว้บ้าง เหมือนที่เราเคยทำผิดแต่ไม่มีใครเห็น


(ขอบคุณบทความจากโพสต์ทูเดย์ เขียนโดย คุณชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม ค่ะ)


จบไปแล้วนะคะกับส่วนของข้อสอบที่เราพอจะจำได้บ้าง อย่างบทความ จริงๆเราจำไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็อาศัยจำจากคำที่เราพอจะจำได้ แล้วนำมาค้นหาอีกทีนึง หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับน้องๆนะคะ


ระหว่างรอถึงวันประกาศผลผู้มีสิทธิ์สัมภาษณ์ เราเป็นสายธรรมะหน่อยๆ สวดมนต์ทุกวันเลยค่ะ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งทางจิตใจของเรา ก็ลุ้นมากเหมือนกันว่าจะผ่านมั้ย 55555 สำหรับเราแล้วข้อสอบนี้ก็ถือว่ายากพอตัวเลย แล้วก็เพื่อนๆแต่ละคนที่มาสอบก็เก่งๆกันทั้งนั้น แต่ก็ทำเต็มที่แล้วแหละเนอะ


ต่อมาถึงวันที่รอคอยวันประกาศผลผู้มีสิทธิ์สัมภาษณ์ เราเป็น 1 ในผู้ที่ผ่านข้อเขียน และมีสิทธิ์ได้สัมภาษณ์ต่อค่ะ เย้! ดีใจมากๆจริงๆ อย่างกับสอบติดแล้วเลย 55555 ปีนี้จะไม่ได้สัมภาษณ์ที่คณะนะคะ ของเราสัมภาษณ์ทางออนไลน์ค่ะ ก็ก่อนวันสัมจริง จะมีทดลองระบบบ้างเล็กน้อย เพื่อป้องกันความผิดพลาดค่ะ


พอถึงวันสัมภาษณ์ ต้องบอกเลยว่าตื่นเต้นมากจริงๆค่ะ ตื่นเช้ามากๆ ทั้งที่เราได้คิวสัมคนสุดท้าย 555555 ก็อาจารย์ทุกคนน่ารักมากๆเลยค่ะ ตอนแรกเราก็เกร็งๆหน่อย แต่อาจารย์ก็พยายามทำให้เราผ่อนคลายให้มากที่สุด แนะนำว่าให้เป็นตัวของตัวเองนะคะ ทำให้เต็มที่เหมือนกัน ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว อีกนิดก็ใกล้จะสำเร็จแล้วค่ะ :) สำหรับการสัมภาษณ์นะคะ อาจารย์ก็ถามทั่วๆไปเลย แนะนำตัวเอง ทำไมถึงอยากเข้าเอกไทย มีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง ประมาณนี้ค่ะ


ส่วนที่ตัดคะแนนจริงๆ คือ เกณฑ์ที่ทางคณะแจ้งให้เราก่อนวันสัมนั่นเองค่ะ มีทั้งหมด 4 หัวข้อ

1.คำถามเชิงวิชาการ [60]

2.ความสามารถพิเศษทางภาษาและวรรณคดีไทย และแฟ้มผลงาน (portfolio) [20]

3.ทัศนคติต่อการเรียนด้านภาษาและวรรณคดีไทย [10]

4.การใช้ภาษาไทย [10]

ที่เราวงเล็บไว้ด้านหลังคือค่าน้ำหนักของคะแนนนะคะ จะเห็นได้ว่าส่วนที่มีน้ำหนักเยอะ ได้แก่ หัวข้อที่ 1 และ 2 เราก็ต้องเต็มที่กับส่วนนี้มากกว่าส่วนอื่นนิดนึง แต่ไม่ใช่ว่าส่วนอื่นไม่สำคัญนะคะ ทุกหัวข้อสำคัญหมด เพราะ อาจารย์สามารถนำมาใช้คิดคะแนนได้ทั้งนั้นค่ะ ส่วนเกณฑ์ผ่านคือร้อยละ 60 ทุกหัวข้อเลย


คำถามเชิงวิชาการที่เราได้ จะแบ่งเป็น 2 พาร์ท คือด้านหลักภาษาไทย และด้านวรรณคดีไทย ส่วนนี้จริงๆแล้วต้องจับฉลากเลือกนะคะ แต่ว่าเราได้คิวสัมคนสุดท้าย คำถามก็เหลือชุดเดียวพอดี ไม่ต้องจับฉลากเลือกค่ะ55555 เราจำคำถามคร่าวๆได้ประมาณนี้นะคะ


1.คำถามด้านหลักภาษาไทย: คำยืมคืออะไร สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร

2.คำถามด้านวรรณคดีไทย: มีคนกล่าวว่า ตัวละครในวรรณคดีสะท้อนให้เห็นถึงการริดรอนสิทธิของสตรี เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พร้อมยกตัวอย่างประกอบ


จบไปแล้วนะคะกับการเตรียมตัวแล้วก็ประสบการณ์สอบเข้าโครงการนี้ของเรา หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่อยากสอบเข้าโครงการนี้นะคะ เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เศวตไอยรา ๒๘ ก็อยากเชิญชวนทุกๆคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเอกไทยนะคะ ถึงเราจะยังไม่เคยได้สัมผัสการเรียนกับทางภาควิชาโดยตรง แต่เราสัมผัสได้ถึงความรัก และความอบอุ่นของอาจารย์และรุ่นพี่ทุกคนที่มอบให้เรามาค่ะ เราสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ไม่เสียใจจริงๆที่เลือกสมัครโครงการนี้ แล้วก็รู้สึกดีใจมากๆที่ได้รับโอกาสดีๆจากอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทยทุกๆท่าน ให้เราได้มาเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้ ขอบคุณพี่เอิงที่ให้คำแนะนำต่างๆกับเรา ทำให้เรารู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ฟังเรื่องราวชีวิตในเอกไทย และเราก็หวังว่าจะได้สัมผัสความรู้สึกนั้น เหมือนที่รุ่นพี่เคยได้สัมผัสเช่นกันค่ะ ขอบคุณทุกๆคนที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในครั้งนี้ด้วยน้าา สู้ๆนะคะน้องๆว่าที่เศวตไอยราทุกคน ความฝันของน้องๆไม่เกินเอื้อมแน่นอนค่ะ แล้วมาเป็นครอบครัวเอกไทย อักษรฯ จุฬาฯ ด้วยกันนะคะ :) ️

6
ภัก 23 ก.ย. 63 เวลา 19:29 น. 1-1

สวัสดีค่ะ เราสนใจสอบถามว่าติวกับติวเตอร์คนไหนหรอคะ พอทิ้งรายละเอียดได้ไหมคะ

0
simmiiyulann 27 ก.ย. 63 เวลา 13:02 น. 1-2

ได้เลยค่า รบกวนทักไอจีเรามาหน่อยนะคะ ig: simmiiyulan

0
anatorwhale 12 เม.ย. 65 เวลา 22:18 น. 1-3

รบกวนตอบรับคำขอใน IG ได้ไหมครับ จะสอบถามเรื่องครูเอิงเอยครับ;-; ขอบคุณครับ

0
Magenta 17 พ.ค. 65 เวลา 13:01 น. 1-4

สวัสดีค่ะ รบกวนตอบรับคำขอติดตาม IG หน่อยได้ไหมคะ อยากสอบถามเรื่องติวเตอร์เช่นกันค่ะ

0
simmiiyulann 18 ก.ค. 65 เวลา 00:20 น. 1-5

สวัสดีค่า เราได้ตอบกลับไปทางกล่องข้อความของช่องทางนี้แล้วนะคะ ต้องขอโทษที่ตอบล่าช้าด้วยนะคะ T-T

0
simmiiyulann 18 ก.ค. 65 เวลา 00:24 น. 1-6

สวัสดีค่า รบกวนทักมาใหม่ได้มั้ยคะ ทางเราไม่ได้รับข้อความเลยค่ะ ต้องขอโทษที่ตอบล่าช้าด้วยนะคะ T-T

0