เภสัช ทำอะไรบ้าง? สัมภาษณ์การทำงานจริงของเภสัชผลิตยา (Part1)
สวัสดีค่ะ พวกเรา Bonnielight.s เพจที่ให้ความรู้และแชร์สิ่งที่มีประโยชน์ให้เพื่อนๆที่กำลังตามความฝันในการเรียนต่อสายวิทย์สุขภาพ ให้พวกเขารู้สึกไม่โดดเดี่ยว และมีเพื่อนที่จะพร้อมเดินไปด้วยกัน รวมถึงสร้างคอมมูนิตี้ให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนข่าวสารในการเรียนต่อให้คนที่สนใจ ให้พวกเขาเห็นความฝันชัดเจนขึ้นและเดินไปยังความฝันพร้อมกันกับพวกเรา
ในวันนี้ทางเราขอเริ่มต้นด้วยการสัมภาษณ์ คุณเภสัชเรวัต เตียสกุล ปัจจุบันทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า แผนกผลิตยาค่ะ
Interviewer: อยากให้คุณเภสัชแนะนำตนเองหน่อยค่ะ
คุณเรวัต: ชื่อเรวัตนะครับ อยู่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า อยู่แผนกผลิตยา
Interviewer: หน้าที่หลัก ๆ ของคุณเรวัตในหน้าที่เภสัชกรคืออะไรคะ
คุณเรวัต: หน้าที่หลักคือ ผลิตยาให้กับคนไข้ ทั้งในรูปแบบยาทั่วไป และยาในผู้ป่วยเฉพาะราย ที่ไม่มีขายในบริษัทยา หน้าที่รองลงมาคือเป็นเภสัชกรประจำห้องยา หรือเภสัชกรที่ขึ้นหอผู้ป่วยใน และเป็นเภสัชกรที่ดูแลเรื่องการจัดซื้อ
Interviewer: เส้นทางก่อนที่จะมาเป็นเภสัชกร ต้องผ่านอะไรมาบ้างคะ
คุณเรวัต: สำหรับรุ่นพี่นะ เรียนคณะเภสัชศาสตร์ 6 ปี บรรจุมาเป็นเภสัชกรใช้ทุน ฐานะพนักงานของรัฐประมาณ 4 ปีถึงบรรจุเป็นข้าราชการ ส่วนใหญ่เภสัชกรที่บรรจุใหม่จะหมุนเวียนหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อฝึกสกิล ความเชี่ยวชาญ ความคล่องตัว โดยมีงานจ่ายยาผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน และงานฝ่ายผลิต
Interviewer: เภสัชกรมีหลายสายงานใช่ไหมคะ คุณเรวัตพอจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ได้ไหมคะ
คุณเรวัต: ถ้ามองกว้าง ๆ ก็จะมี เภสัชกรประจำโรงพยาบาล ก็แบ่งสาขาออกเป็นหลายๆอย่าง อย่างแรกคือเภสัชกรด้านงานบริการ จ่ายงานผู้ป่วยใน-ผู้ป่วยนอก ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือเภสัชกรสายสนับสนุน ประกอบด้วยงานผลิตยา งานจัดซื้อ และฝ่ายที่ดูแลด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ส่วนนอกโรงพยาบาลก็จะมีหลายลักษณะ เช่น เภสัชทางด้านการตลาด เภสัชอุตสาหการที่อยู่ในโรงงาน เภสัชด้านคุ้มครองผู้บริโภค
Interviewer: คิดว่าในการทำงาน มีแรงกดดันมากน้อย ประมาณไหนคะ
คุณเรวัต: ส่วนใหญ่ก็ทำงานภายใต้นโยบายของที่ทำงาน เช่น ทำงานในโรงพยาบาลรัฐก็จะมีนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข อย่างในสถานการณ์โควิด มันก็จะมีนโยบายของกระทรวงออกมา ก็จะเข้าสู่ระดับจังหวัด และจะถ่ายทอดคำสั่งมายังส่วนของโรงพยาบาล สถานพยาบาลต่าง ๆ ถ้าถามว่ากดดันไหม ก็จะมีบ้าง ในการทำงานของพี่จะมีตัวติดตามกำกับ เรียกว่า KPI (Key Performance Indication) เช่น รายจ่ายจะต้องเท่านี้นะ รายรับจะมีเท่านี้นะ ก็จะเป็นขอบเขตในการทำงานของเรา
Interviewer: เมื่อตอนที่โควิดระบาดหนักแล้วยังไม่มียารักษา เภสัชตอนนั้นกดดันหรือเครียดไหมคะ
คุณเรวัต: จริงๆแล้วมันก็มีความกดดันในวิชาชีพ โดยเฉพาะคนที่ทำการวิจัย แต่มันก็ควบคู่ไปกับการพัฒนา เช่น วัคซีน ซึ่งมันต้องอาศัยเวลา พี่คิดว่าคงกดดันกับสถานการณ์การระบาดมากกว่า ว่ามันจะร้ายแรงไหม อย่างไรมากกว่า
Interviewer: คิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นเภสัชกรฝ่ายผลิตยา คืออะไรคะ
คุณเรวัต: หน้าที่หลักแต่เดิมของเราคือ ผลิตยาที่ไม่มีขายในท้องตลาด หรือผลิตยาที่ประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับโรงพยาบาล อันนี้เป็นองค์ความรู้เก่า ๆ แต่ส่วนใหญ่หน้าที่เราตอนนี้มุ่งเน้นไปที่การผลิตยาในผู้ป่วยเฉพาะราย เช่น การผสมยามะเร็งให้ผู้ป่วยรายคน หรือการผสมอาหารทางหลอดเลือด การผสมยาที่ตอบสนองอาการผู้ป่วยรายบุคคล นอกจากนี้ เรายังเน้นทางคลินิก เช่น ผสมยาเคมีบำบัดนี้เป็นอย่างไร จะคอยดูแลผู้ป่วยว่าปลอดภัยจากการรับยาไหม มีผลข้างเคียงหรือไม่ หรือ ให้ยาจบคอร์ส (ครบตามแผนการรักษา) แล้วเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงต้องดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคลด้วย เราต้องผสมยาให้มันปลอดภัย มีประสิทธิภาพที่ดี และมีผลข้างเคียงน้อย ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้แหละ สกิลเราหยุดนิ่งไม่ได้ เราต้องมีการเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่งั้นเราจะล้าหลัง
Interviewer: คิดว่าลักษณะหรือบุคลิกส่วนบุคคลส่งผลต่อสายงานในอาชีพนี้มากมั้ยคะ
คุณเรวัต: ส่วนตัวที่คิดว่ามีผลนะ ในตอนเรียนมันก็จะมีสายงาน 3 กลุ่มหลักๆ กลุ่มคลินิกผู้ป่วย กลุ่มผลิตยา และกลุ่มกึ่งๆคุ้มครองผู้บริโภคและการตลาด ทั้ง 3 สายงานนี้ก็มีสกิลที่โดดเด่นแตกต่างกัน เช่น บางคนชอบดูแลผู้ป่วยก็จะไปกลุ่มงานคลินิก กลุ่มผลิตยาก็จะเรียนและใช้เคมีหนักหน่อย มันก็อาจมีบ้าง แต่เมื่อจบออกมา เราก็จะเป็นเภสัชกร เราทำงานด้านไหนก็ได้ แต่หนีไม่พ้นความถนัดส่วนบุคคลจากสายงานที่เราจบ และอีกอย่างที่สำคัญ คือ อัตรากำลังของที่ทำงาน เช่น เราถนัดผลิตยา แต่สถานที่ที่เราทำงานไม่มีกลุ่มยาด้านนี้ หรือคนเต็ม เราก็ต้องทำงานด้านอื่นแทน
https://www.dek-d.com/board/view/4059027/
1 ความคิดเห็น
สำหรับใครที่สนใจคอนเท้นดีๆ มีสาระ อย่าลืมติดตามพวกเราใน Instagram นะคะ แล้วมาเจอกัน!
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?