Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

หมอ!เราควรคิดใหม่ไหม

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆชาวเด็กดีทุกคน วันนี้เราอยากขอคำแนะนำในการอยากเดินเส้นทางที่จะเป็นหมอ เราอยากเล่าเรื่องราวชีวิตของเราให้ฟังว่าทำไมเราอยากเป็นหมอ แล้วทำไมต้องมาตั้งกระทู้หาคำแนะนำแบบนี้กัน เราจะเริ่มเล่าเลยน่ะ เราสมมติชื่อตัวเองว่าเราชื่อบลูน่ะ เราชื่อบลูเป็นเด็กธรรมดาทั่วไปเราอยู่ใต้สุดของประเทสไทยเลยล่ะ รู้จักกันรึเปล่า? ที่อำเภอเบตงบ้านบลูอยู่ที่นี่ บ้ายของบลูมีฐานะธรรมดาก็คือไม่จนและไม่ได้รวยแค่อยู่ได้ ครอบครัวของเรามีทั้งหมด 10 คน มี พ่อ แม่2คน พี่แม่คนเดียวกับเรา 5คน และคนล่ะแม่อีก 2 คน ปัจจุบันเราอยู่กับแม่ พ่อ น้อง เเละพี่สาวอีก 1 คน แม่เราเป็นแฟนคนแรกของพ่อ และแม่ก็มีน้องสาวก็คือแม่คนที่ 2 ของเรานั่นเอง เราไม่ได้รู้สึกเกรียดที่พ่อมีแม่ 2 คนหรืออะไรใดๆทั้งสิ้น พี่คนแรกของเราแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่กับครอบครัวที่สงขลา คนที่ 2 ก็อยู่กับเราที่บ้านพี่เรียนจบปริญญามานานแล้ว สัก 4-5 ปีได้ แต่ก็กลับมาทำงานที่บ้านเป็นงานเกี่ยวกับหมู่บ้านที่เราอยู่กันยังไม่แต่งงาน แต่กำลังจะหมั้น พี่คนที่สามก็เพิ่งแต่งงานเมื่อไม่นานมานี้เองพี่ก็ย้ายไปอยู่กับแฟนที่สงขลาพี่คนนี้ก็เรียนจบตรีแล้วเหมือนกันแต่ยังไม่รับปริญญาน่าจะรับประมาณกลางเดือนนี้ (ครอบครัวของเราจะส่งลูกไปเรียนสงขลาเพราะไม่ไกลมากเเละบ้านเกิดของพ่อแม่ก็อยู่สงขลาเหมือนกัน) พี่คนที่ 4 (คนล่ะแม่) คนนี้ก็แต่งงานแล้วมีลูกแล้วบลูได้เป็นน้าแล้วบลูก็รักหลานคนนี้มากๆเลย พี่คนที่ 5(คนล่ะแม่)เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน เรารักพี่คนนี้มากเมื่อก่อนเราสนิทกันแต่พอพี่เริ่มมีแฟนเราก็ไม่ได้เล่นกันและแทบไม่ได้พูดกันเลยตอนนี้พี่ทำงานอยู่ที่สงขลา ลูกคนที่ 6 ก็คือ บลูเอง และลูกคนที่ 7 ก็คือน้องของบลูเองเราสนิทกันมากเพราะเราอยู่ดวยกันตั้งแต่ตอนเด็กๆเพราะเราเป็นลูกคนหลังๆเหมือนกัน ตอนนี้บลูเรียนอยู่ที่โรงเรียนในตัวเมืองเป็นโรงเรียนแห่งเดียวที่มีม.ปลายที่เป็นโรงเรียนของรัฐจากทั้ง 1 อำเภอ บลูเรียนอยู่ ม.5 ห้อง 2 คือสายวิทย์-คณิต บลูอยากเป็นหมอตั้งแต่เด็กๆตอนเด็กๆบลูเข้า รพ.บ่อยมากเป็นเด็กขี้ไม่สบายบ่วยบ่อยที่สุดในครอบครัวตอนนั้นที่รักษาก็คงได้เจอคุณหมอบ่อยเลยทำให้บลูซึมซับอยากที่จะเป็นหมอมาเองอัตโนมัติพ่อกับแม่ของบลูทะเลาะกันบ่อยมากเมื่อก่อนพ่อเคยด่าแม่ทำแม่ร้องไห้หลายครั้ง เคยตบแม่นั่นทำให้เราเสียใจที่สุด ทำให้เราเกลียดพ่อ โกรธพ่อ แต่ทำให้เรารักแม่มากขึ้น ช่วยย้ำความคิดที่จะเป็นหมอมากขึ้น(แม่เราป่วยไม่ค่อยสบาย) แต่ปัจจุบันพ่อกับแม่ก็ทะเลาะกันน้อยลง แต่เราก็ยังอยากเป็นหมอเพื่อนแม่อยู่ดี ตอนอนุบาลบลูเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้านใช้เวลาเดินทางประมาณ 8-10 นาที ตอนบลูเรียนศูนย์เด็กเล็กบลูเรียนจบก็เข้า อนุบาล 1 และก็ข้ามมา ป.1 เลย เพราะเราอายุเท่าเพื่อน ป.1 แล้ว ตอนนั้นบลูก็ไม่สนิทกับใครๆเพราะทุกคนก็ต่างมีเพื่อนกันหมดแล้วเราก็เลยอยู่กับเพื่อนผู้หญิงที่เรียนพอใช้ได้บลูสนิทกับเพื่อนกลุ่มนั้นจนจบ ป.6 ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเรียนต่อ ตอนนั้นบลูเป็นเด็กที่ไม่เก่งเลยทั้งคณิตที่บวกเลขช้า อังกฤษที่ยังท่อง A-Z ยังไม่ถูก แต่ที่บลูจำได้แม่นคือบลูไม่เก่งวิทยาศาสตร์แต่ตอนที่ลองทำข้อสอบโอเน็ทเก่าของ ป.6 ปีที่แล้วมา บลูได้เยอะรองจากลูกครูที่อยู่ในห้องบลูเลยตัดสินแน่วแน่ว่าจะเป็นหมอ หลังจากจบ ป.6 บลูเข้าเรียน ม.1 เป็นโรงเรียนที่มี ม.ต้นและอยู่ใกล้กับบ้านที่สุดใช้เวลาเดินทาง 30 นาที บลูนั่งรถนักเรียนไปโรงเรียนประจำและในโรงเรียนนั้นก็มีห้องเรียนของแต่ล่ะชั้นแค่ห้องเดียวเพราะเป็นโรงเรียนไม่ใหญ่และในนั้นก็มีเพื่อนเก่าจากตอน ป.6 แต่เป็นกลุ่มที่เราไม่อยู่ด้วยเพราะเขาเรียนเก่ง เราก็สนิทกันเองเพราะมาจากที่เดียวกันชื่อว่ามุก มุกก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆผู้หญิงที่เรียนเก่งมากเพราะมุกได้ทุนภูมิทายาทซึ่งต้องเป็นเด็กที่จะเข้าโรงเรียนนี้และได้แค่ทุนเดียวจากที่เรียนเก่าเราก็ได้รู้จักกันเพื่อนๆมีชื่อว่า เน กับ เปิ้ลพัพพ์ ใน ม.1 เราสนิทกันเราช่วยกันทำการบ้านช่วยกันเรียน ตอน ม.1 เนได้ที่ 1 เนเก่งมากๆ เราได้ที่ 5 ของห้อง ตอนนั้นเรายังสนิทกันไม่มากเท่าไหร่เพราะยังปรับตัวให้เข้ากันอยู่ พอขึ้นม.2 เราก็สนิทกันมากๆ พอจบเทอมเราได้ที่ 3 จนมาม.3เราก็ยังสนิทกันอยู่เราได้ ที่ 1 ของห้อง เกรด 3.98 ตอนนั้นเราก็ดีใจมากๆเพราะถ้าเกรดได้ 3.5 ขั้นก็จะสมัครเข้าเรียนวิทย์-คณิตได้ พอจบ ม.3 เราก็แยกย้ายกันไปเรียนต่อ เนไปเรียนสายอาชีพแผนกบัญชี เปิ้ลพัพพืไปเรียนที่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัดทางภาคอีสาน ส่วนบลูกับมุกก็ไปเรียนที่เดียวกันอีกก็เป็นโรงเรียนเดียวที่มี ม.ปลายที่เราเรียนอยู่ปัจจุบัน ตอนสอบเข้าห้องวิทย์เขาจะแยกเป็นห้องคือ ห้อง1 เป็นห้องวิทย์-คณิต(โครงาการ) ห้อง 2 วิทย์-คณิต ที่เหลือก็ใช้เรียนต่อไปทางแพทย์ไม่ได้เเล้ว โดยห้อง 1 ก็จะสอบก่อน เรากับมุกเเละเพื่อนเก่าอีก 1 คนไปสอบด้วยกันตอนที่เราทำข้อสอบเราทำไม่ได้เลยสักข้อ มันไม่ได้อยากแต่เพราะเราไม่ได้อ่านหนังสือไม่ได้ทำอะไรเพื่อเตรียมตัวเลย ปลออกมาคือเราสอบไม่ติดแต่มุกกับเพื่อนอีกคนสอบได้ ตอนนั้นตอนที่รู้ผลเราร้องไห้เลย(ตอนที่รู้ผลพวกเรายังไม่จบ ม.3 ยังเข้าค่ายลูก-ันอยู่ มีครูจากต่างโรงเรียนถามว่าใครสอบห้อง1บ้างครูก็บอกชื่อเพ่อนมาแต่ไม่มีเรา และตอนนั้นคือตอนรวมกอง )เราจำได้แม่นเลยว่าเราร้องไห้เเบบไม่ได้มองอะไรไม่สนว่าใครจะมองเลย ครูเลยให้ไปพักเพื่อนๆเราก็ปลอบเราก็เริ่มทำใจได้ พอจบเราก็มาสอบโรงเรียนเดิม ตอนนั้นเลือกสอบเข้าให้ได้ห้อง 2 (ห้อง2สอบพร้อมห้อง 3 4 5 6 ไม่แยกเหมือนห้อง 1) ผลออกมาเราได้ห้อง 2 เราดีใจมากๆๆๆๆ ที่เรายังมีโอกาสพอได้เป็นหมออยู่ ตอนนั้นมีเพื่อนจากโรงเรียนเดิมตอน ม.ต้นติดห้องเดียวกันเป็นผู้ชายเราก็ดีใจที่มีเพื่อน จนเปิดเทอมม.4 เราก็ตั้งใจเรียนแต่เราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้ตั้งใจเรียนเหมือนเมื่อก่อนซักเท่าไหร่ เราสนิทกับคนที่เก่งมากๆ เป็นอันดับ 2 ของห้องเพราะบ้านพวกเราอยู่ไกลเหมือนกัน นั่งรถนักเรียนเหมือนกัน ส่วนเราตอนเข้าใหม่ๆเรียน งงมากไม่เข้าใจเลยสักนิด เราเป็นคนรักเพื่อนมาก ชอบต่อรองกับเพื่อนๆเวลาเพื่อนมีปัญหากันชอบทำให้เพื่อนๆที่ทะเลาะกันมาคืนดีกัน  ก็เรียนจนจบ ม.4 มาได้เกรด  3.21 เป็นเกรดที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เราเรียนมาเลย เราอยากทำให้ดีกว่านี้แต่เราก็ทำไม่ได้ เราขึ้น ม.5 ตอนนี้เรารู้สึกท้อมากกับการที่อยากเป็นหมอ เราอยากเป็นหมอมากๆ แต่เราก็เรียนไม่เก่งสักที เรารู้สึกว่าตอนหลังๆมานี้เราตั้งใจเรียนแต่เราก็ไม่มีสมาธิเท่าไหร่ไม่ได้ตั้งใจเหมทอนเมื่อก่อน ชอบเล่นอินเทอร์เน็ตมากๆ ไม่ชอบอ่านหนังสือเลยอ่านแล้วก็ออกง่วงๆ เบื่อๆ อ่านแล้วไม่สนุกเลยไม่อยากอ่าน ติดซีรี่ส์ตั้งแต่เข้าโรงเรียนใหม่ ติดละคร ถ้าเน็ตล่มวันเดียวก็แทบจะบ้าเหมือนเราติดอินเทอร์เน็ตไปแล้ว เราอยากขอคำแนะนำจากทุกคนว่าเราควรจัดการกับชีวิตเรายังไงเรายังอยากเป็นหมออยู่แต่ดูจากทุกอย่างที่เรามีมันไม่เหมาะสมที่จะเป็นเลย เราอยากรู้ว่าเราควรอ่านหนังสือแบบไหน (พ่อแม่เราไม่ให้ไปที่ไกลๆ เราไม่เคยออกไปติวกับเพื่อนทำงานกลุ่มเราก็แทบไม่ได้ทำเลยเพราะพ่อแม่ไม่ให้ไป) ควรจัดเวลาให้ชีวิตยังไง พ่อแม่ของเราไม่ได้บังคับว่าอยากให้เราจะเป็นอะไร ขอคำแนะนำด้วยเราอยากเปลี่ยนตัวเองแล้วเราไม่อยากเป็นแบบนี้ เราอยากเป็นหมอ!!!! หรือเราควรเปลี่ยนความคิดที่จะเป็นหมอเพราะจากที่ดูๆค่าเทอมหมอแล้วค่าเทอมก็ 20000 อัพ ไหนจะค่าอย่างอื่นอีกหนังสือชุดนักศึกษา ถ้าเราเรียนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆเงินที่แม่ส่งให้เรียนก็จะศูนย์เปล่า (ลูกทุกคนที่เรียนจบแม่เราส่งเงินให้ไม่ใช่พ่อ) ถ้าเราไม่ไหวเราจะทำยังไง เราอยากเป็นหมอจริงๆ อยากเป็นหมอ อยากพยายามมากกว่านี้ ถ้าใครมีคำแนะนำที่จะทำให้เราเปลี่ยนตัวเองได้แนะนำมานะค่ะ ขอบคุณค่ะ

แสดงความคิดเห็น

1 ความคิดเห็น

Shalnark T Diabolus 3 ก.ค. 59 เวลา 21:13 น. 1

พี่จะพูดเป้นข้อๆไปละกัน
1.เกรดม.4ได้3.21แย่ที่สุดที่เคยได้มา น้องอย่าคิดว่าม.ปลายมันสบายเหมือนม.ต้น และอย่าคิดว่ามหาลัยจะสบายเหมือนม.ปลาย ม3กับม.4 ม.6กับปี1 ระดับความยากและความโหดในการเรียนมันไม่ได้เพิ่มแบบทีละ1ขั้นเหมือนม.1ไปม.2หรือม.2ไปม.3ครับ เมื่อมีการเปลี่ยนระดับ ความยากและความโหดมันจะก้าวกระโดด เรื่องเกรดตกมันเป้นเรื่องปกติอยู่แล้ว อย่าเอามาเทียบกันเพราะมันเทียบกันไม่ได้
2.น้องบอกว่าน้องเรียนไม่เก่ง เกรดน้อย ก็จริงว่าเกรดเองก็มีผลตอนขอโควต้าหรือสมัครแอดมิด แต่ถามว่าเกรดเป้นตัวบ่งบอกว่าเราเก่งหรือไม่เก่งมั้ย พี่ขอบอกเลยครับว่าไม่ใช่ โรงเรียนไทยแทบทั้งหมดมีการนำคะแนนงานเข้ามามีส่วนในการตัดเกรดอยู่มากพอสมควร ถึงคะแนนสอบโหล่ยโท่ยแต่คะแนนงานดีก้มีสิทธิ์ได้เกรดสวยๆได้ อันนี้ประสบการณ์ตรงจากตัวพี่เอง เพราะพี่ก็เป้นคนนึงที่สมัยม.ปลายเกรดไม่ได้สูงนัก แค่3ต้นๆและจบม.6ที่3.49 แต่ก็ไม่เคยมีอาจารย์คนไหนกล้าพอจะเอาพี่ไปเทียบกับพวกที่ได้4.00 เพราะ...พี่ทำคะแนนสอบไม่เต็มก็เกือบเต็มแทบทุกวิชา ที่เกรดไม่สวยก็เพราะงานต่างๆที่ส่งมันชุ่ยๆตามสไตล์ผู้ชายที่ไม่มีความปราณีตทำ คะแนนงานเลยไม่สวยนักเท่านั้น ซึ่ง...คนที่ได้4.00นั้นงานจะปราณีตกว่าพี่มาก ส่วนคะแนนสอบก็กลางๆค่อนไปทางสูงแต่ก้ไม่ได้ถึงกับคะแนนออกมาโอเว่อแบบพี่หรือพรรคพวกสไตล์เดียวกับพี่อีกหลายๆคน
3.เรื่องติดเน็ท ติดเน็ต ติดเกม ติดซีรี่ ติดฯลฯ มันไม่สำคัญหรอกครับถ้าน้องเรียนรู้เรื่องอยู่แล้ว อย่างที่พี่บอกไปในข้อ2ว่าผลการเรียนพี่เป้นยังไง ถ้าพี่บอกว่าพี่ไม่เคยแตะหนังสือเรียนนอกเวลาเรียนนอกจากตอนทำการบ้านและจัดตารางเรียนเลยแม้แต่ครั้งเดียวน้องจะเชื่อมั้ยครับ คนเราแต่ละคนมีสไตล์การเรียนรู้และสถานการณ์ที่จะเรียนรู้ได้ลื่นไหลต่างกันครับ อย่างตัวพี่ พี่จะบอกตัวเองเสมอว่า... "ต้องรู้เรื่องตั้งแต่ในห้อง เพราะจะไม่มีการอ่า่นทบทวนนอกห้องอีกแล้ว ถ้าไม่เข้าใจมันซะตั้งแต่ในห้อง มันก็จะEndingซะตรงนั้นไม่มีโอกาสจะเข้าใจอีกแล้ว" เพราะงั้นมันไม่สำคัญครับว่าน้องจะติดอะไร มันสำคัญตรงที่ว่า "น้องเข้าใจสิ่งที่เรียนมาดีแค่ไหน"
4.การเป้นหมอคือความฝันของน้อง ทุกคนมีความฝัน อยู่ที่ว่าใครจะทำหรือไม่ทำ แต่พี่อยากให้น้องจำอยู่อย่างนึงครับ "ความฝันที่ขาดการลงมือทำ มันก็เป้นได้แค่ความเพ้อฝัน ไม่มีวันที่จะกลายเป็นความจริง"
5.ข้อนี้สำคัญเลยครับ ถ้าน้องคิดว่าน้องทำไม่ได้ ก็จงหยุดทำซะ เสียเวลาเสียแรงไปเปล่าๆ พยายามในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เชื่อว่าจะทำสำเร็จ ถึงพยายามให้ตายยังไงมันก็ไม่สำเร็จครับ ความพยายามน่ะมันจะมีความหมายก็ต่อเมื่อน้องเชื่อว่าตัวเองสามารถทำสำเร็จได้นั่นละ

0