Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตม.ปลายที่ผิดพลาด อย่าเป็นแบบเรา!

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เราเรียนจบม.ปลายมาได้ปีนึงแล้วค่ะ แต่ก็ยังคิดทุกวันว่าพลาดอะไรหลายๆอย่างไปมากมายเหลือเกิน เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์ให้น้องๆจะได้ไม่พลาดแบบเราเวลาเรียนจบไปแล้วจะได้ไม่ต้องนึกว่าเสียดายค่ะ

เริ่มต้นเลยค่ะ ช่วงม.4 เป็นช่วงที่ดีที่สุดแล้วที่จะวางรากฐานชีวิตให้มั่นคงที่สุดเราแนะนำอย่างมากเลยว่าไม่ควรเล่นๆไปวันๆในช่วงนี้อย่างมาก หรือไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้างคนรอบข้างเพราะหากเริ่มต้นด้วยการไม่จริงจังกับชีวิตตอนนี้เราอาจจะพลาดหลายๆอย่างไปได้และยากที่จะแก้ไขค่ะ แต่สำหรับใครที่เลยช่วงม.4 มาแล้วก็ยังไม่สายไปนะคะที่จะทำให้ไม่นึกเสียดายช่วงเวลาในตอนม.ปลายนะคะ

เพราะเรามั่นใจว่าชีวิตช่วงนั้นเป็นช่วงที่ดีที่สุด เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะหา "ความสัมพันธ์
ที่มีค่ายิ่งกว่า แฟน รึเพื่อนแล้วค่ะ ความสัมพันธ์นั้นคือคนที่เราสามารถแชร์ความรู้สึกให้กับกันและกันได้อย่างไม่ต้องปิดบังเป็นความสัมพันธ์ของจริงที่ไม่ต้องใส่หน้ากากใส่กัน เพราะแม้แต่เพื่อน หรือแฟนบางครั้งก็ยังมีเรื่องที่บอกกันไม่ได้เช่นกัน แต่จะหาความสัมพันธ์นั้นได้ยังไงควบคู่ไปกับการเรียน 
เราจะแนะนำจากประสบการณ์ของเรานะคะ 

เรื่องเรียนทำยังไงไม่ให้ตก
พูดตรงๆนะคะมันไม่ยากเลยซักนิดค่ะ ถ้าทำได้ตามที่เราแนะนำผ่านแน่นอน 100% ค่ะ

1.ตั้งใจฟังเวลาครูสอน ไม่เข้าใจให้ถามทันทีอย่าอายที่จะถามและอย่าอายที่จะผิดค่ะ
กลับบ้านไปให้ทบทวนเรื่องที่เราเรียนไปแล้วซ้ำด้วยและควรอ่านล่วงหน้าเพื่อนประสิทธิภาพที่มากขึ้นค่ะ

ตอนเราอยู่ม.4 เราเอาแต่เล่นกับเพื่อน ตอนอยู่ในห้องก็เอาแต่คุยกับเพื่อนแทบไม่ได้ฟังครูเลย
ทำให้เราไม่เข้าใจ ประกอบกับเราเป็นคนค่อนข้างขี้อาย พอไม่เข้าใจเราก็ไม่เข้าใจไปทั้งอย่างนั้น
เราไม่กล้าถามครูเพราะกลัวว่าเพื่อนจะล้อเวลาตอบผิด สุดท้ายเราก็สอบตกจนได้

2.พึ่งพา เพื่อนบ้าง พึ่งพาในที่นี้ไม่ใช่การลอกนะคะ -_- แต่เป็นการถามค่ะ บางครั้งครูก็ไม่มีเวลามาตอบเราเสมอไป เพราะงั้นคนที่จะช่วยเราได้ก็คือเพื่อนค่ะ แต่การลอกเพื่อนเป็นผลเสียระยะยาวแน่ๆหากทำจนติดเป็นนิสัย หากเพื่อนมีเวลาว่างจึงควรให้เขาสอนแทนที่จะขอลอกค่ะ

เราพลาดมาแล้วเพราะตอนม.4 เราลอกเพื่อนแทบอย่าง ไม่ใช่ว่าเราคิดไม่ได้นะคะ แต่เราขี้เกียจ
จากตอนแรกที่เราทำได้ กลายเป็นเริ่มทำไม่ได้ จนสุดท้ายเราก็คิดไม่ได้จนได้เพราะทำแบบนี้ติดกันเป็นปี
เราพึ่งพาเพื่อนในทางที่ผิดมาโดยตลอด

3.อย่าผลัด วันประกันพรุ่ง อย่าคิดว่าการบ้านอีกนานไว้ค่อยทำช่วงใกล้ๆ deadline ก็ได้ค่ะ เพราะงานมันมาเรื่อยๆในช่วงม.ปลายเนี่ย หากเราสะสมหมกไว้ไม่ทำให้เสร็จแต่เนิ่นๆเมื่อถึงวันศุกร์งานจะกองกันเป็นภูเขาทำทั้งอาทิตย์ก็ไม่หมดค่ะ เพราะฉะนั้นควรจะทำการบ้านเมื่อมีเวลาว่างทันทีค่ะ และแน่นอนไม่ควรลอกการบ้านเพื่อน หากไม่เข้าใจให้ไปถามครูหรือเพื่อนค่ะ ครูเขายินดีตอบเราเสมอแน่นอน แล้วก็ต้องรักษาเวลาด้วยนะคะ

เราพลาดเช่นกันเราแทบไม่เคยส่งการบ้านเลยตอนม.4 ไม่ก็ลอกเพื่อนเอาอย่างเดียว ผลทำให้คะแนนเก็บเราน้อยมาก สุดท้ายเราก็ต้องสอบซ่อมเพราะคะแนนเก็บไม่มี มันสำคัญมากนะคะ คะแนนเก็บเนี่ยแม้จะคะแนนเดียวก็ชี้ขาดเราได้ เราตกวิชาเคมีไป 1 คะแนน เลยต้องทำข้อสอบซ่อมยกแผงแถมได้งานกลับไปทำเพิ่มอีก
เป็นประวัติที่เสื่อมเสียจริงๆทำให้ไม่กล้าเปิดใบเกรดม.4 ให้ใครดูอีกเลย แน่นอนว่าหากคุณตกแล้ว ควรจะรีบซ่อมให้เสร็จทันที ห้ามขี้เกียจ เป็นอันขาดเพราะหากเราขี้เกียจแม้เพียงครั้งเดียวมันจะเริ่มสะสมจนเป็นนิสัยเคยมีเพื่อนเราคนนึงมันดอกสอบซ่อมไว้ตั้งแต่ม.4 จนสุดท้ายดองไปยันม.6 ซ่อม 30 หน่วยตายกันไปข้างเลย

4.รับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่นเวลาทำงานกลุ่มและให้เขามี
ส่วนร่วมเสมอค่ะ การฟังความคิดเห็นเพื่อนในกลุ่มเป็นสิ่งสำคัญมากนะคะ เพราะหากเรายึดแต่ไอเดียของเราเป็นหลักไม่ฟังไอเดียของเพื่อน
จะส่งผลต่อการพรีเซนต์มากค่ะ เนื่องจากเพื่อนคนนั้นอาจจะไม่เข้าใจหัวข้อที่เราจะทำกันสุดท้ายตอนพรีเซนส์ก็ทำได้เพียงท่องตามสคริปส์เท่านั้น พอเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเช่นครูถามขึ้นมา ก็ตอบไม่ได้และโดนหักคะแนนได้ค่ะ

เราเคยมาแล้ว ตอนม.5 เราได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม 5 คน มีเพื่อนสนิทเรา 2 คน อีก 2 คนเป็นผู้ชาย
แน่นอนล่ะ เรื่องงานกลุ่มหากมีผู้ชายในกลุ่มส่วนมากผู้หญิงจะเป็นคนทำทั้งนั้น ตอนนั้นทำโปรเจควิชาอังกฤษ
เป็น Business English ครูให้สร้างบริษัทพร้อมเสนอข้อมูลต่างๆ เราเสนอไอเดียไปว่าจะทำเกี่ยวกับสนามบิน
โดยไม่ได้ถามเพื่อนแม้แต่น้อย เนื่องจากเห็นว่าพวกนั้นดูไม่ได้สนใจอะไรเลยตอนทำงานเหมือนจะไปได้สวยนะคะ เพื่อนทำงานหาข้อมูลให้ได้ด้วยดี แต่ผู้หญิง 2 คนในกลุ่มเราพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ผู้ชาย 2 คนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมสิคะ เขาไม่เข้าใจเนื้อหาของงานแม้แต่น้อย หน้าที่ก็มีแค่พรีเซนต์โดยการอ่านสคริปส์ที่เราทำให้เท่านั้น พอถึงวันพรีเซนต์ก็อ่านตามที่ท่องจำกันมา ผลคือครูฝรั่งถามคำถามค่ะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น
มันก็ตอบไม่ได้กันและโดนหักคะแนนยกกลุ่ม คือตรงนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดของ 2 คนนั้นเลยค่ะ แต่เป็นความผิดพลาดของเราเต็มๆในฐานะหัวหน้ากลุ่ม เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นหัวหน้ารึลูกน้องควรมีส่วมร่วมในการออกไอเดียและทำงานเสมอค่ะ

ความสัมพันธ์ของจริง เพื่อนหาไม่ยากแต่เพื่อนจริงๆสิหายาก
ถัดมาจากเรื่องเรียนก็อยากเล่าเกี่ยวกับเรื่องสังคมชีวิตม.ปลายค่ะ เรื่องนี้ถือเป็นหัวใจของชีวิตช่วงนี้เลย
คือม.ปลายนี่เป็นวัยที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเด็กและผู้ใหญ่แล้วการจะพูดหรือทำอะไรควรจะตัดสินใจคิดให้ดีเสมอหากไม่อยากเป็นแบบเราที่สุดท้ายตอนม.6 กลายเป็นพวกโดดเดี่ยวไปในที่สุด

1.คิดถึงความรู้สึกผู้อื่นเสมอ เราจะไม่เข้าใจเลยค่ะว่าคนอื่นคิดยังไงหรือรู้สึกยังไงหากเราไม่มองในมุมมองของเขาบ้าง และการไม่ใส่ใจความรู้สึกผู้อื่นก็อาจเป็นปัญหาในภายหลังได้ค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรเพียงเพระาแค่มันสนุกควรคิดให้มากๆเสมอ

ตอนม.4 เราเคยแกล้งเพื่อนคนนึงในกลุ่มเราค่ะ มันสนุกที่ได้ดูปฏิกริยาของเขาหัวร้อน โมโห มันดูตลกในสายตาเรากับเพื่อนมาก แต่ว่าในจิตใจของเขาจริงๆมันเจ็บปวดนะคะที่ถูกเพื่อนแกล้งแล้วยังหัวเราะใส่เหมือนเป็นตัวตลก แล้วเหมือนกับผลของการกระทำมันย้อนกลับเราแกล้งเพื่อนคนนั้นจนเขาไม่มาโรงเรียนไปเลย
จนอาจารย์ห้องปกครองมาเรียกเรากับเพื่อนไปพบ เขาก็บอกให้ฟังว่าเพื่อนคนที่เราแกล้งไม่อยากมาโรงเรียนแล้วเพราะกลัวว่าจะโดนแกล้งอีก แล้วเขาก็ถามขึ้นมาว่าใครเป็นคนต้นคิด ถ้าไม่บอกจะโดนไม้เรียว

ทุกคนชี้มาทางเราค่ะ เราแบบเห้ย พวกเธอก็แกล้งด้วยไม่ใช่หรอทำไมมาโทษเราคนเดียว แล้วความสัมพันธ์ก็เปลี่ยนไปเลยค่ะ เราเริ่มถูกแกล้งโดยเพื่อน 2 คนนี้บ้าง แต่เราก็ฝืนทำตัวตลกกลบเกลือนความโกรธไปแทน
จนสุดท้ายมันหนักขึ้นคือโดนเอาลิกขวิดมาเขียนโต๊ะเราเละเทะไปหมด ตอนนั้นแหละค่ะเราถึงคิดได้ 
แต่อะไรๆก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เราโกรธจนไปทำร้ายเพื่อน 2 คนนั้นแทน โดนห้องปกครองไม่พอโดนโดดเดี่ยวออกจากกลุ่มอีกแบบมองหน้ากันไม่ติดไปเลย

2.อย่าพูดโกหกเพราะมันจะทำให้เกิดความสัมพันธ์ของปลอม! อะไรคือความสัมพันธ์ของปลอมเพื่อนมันมีปลอมกันได้ด้วยหรอ เราบอกเลยว่ามีค่ะ เพื่อนปลอมๆก็คือคนที่เสแสร้งมาเป็นเพื่อนกับเราเพื่อหาผลประโยชน์บางอย่าง คนพวกนี้จะไม่แสดงความรู้สึกที่แท้จริงให้กับเรา แต่จะปั้นหน้าโกหกเราเหมือนกัน 
เพราะงั้นอย่ากลัวที่จะพูดความจริงค่ะ แม้ความจริงบางครั้งมันจะทำร้ายเพื่อนก็ตามแต่การโกหกเป็นการทำร้ายกันที่แย่ยิ่งกว่า การพูดความจริงแม้จะไม่น่าฟังแต่มันเป็นการแสดงความจริงใจต่อกันค่ะ 

ตอนม.4 เช่นเดิม เราเป็นคนขี้โม้มากๆค่ะโม้ไปทั่ว โม้ว่าลุงเราเป็นนายพล โม้ว่าบ้านเรารวย(มีฐานะแต่ไม่รวย)
โม้ว่าคนนั้นคนนี้รุ่นพี่คนนั้นชอบเรา โม้ว่าเราแน่กล้ามีเรื่องกับคนนั้นคนนี้สารพัดค่ะ 
สิ่งที่เราได้มาจากการโกหกเพื่อให้ได้มีหน้ามีตาคือสังคมจอมปลอม ความสัมพันธ์ของปลอมที่ไม่มีใครในกลุ่มแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเลย ทุกคนคบหากับเราเพราะเงิน ไปไหนมาไหนเราเลี้ยงตลอด แต่พอเรามีไม่พอบ้างกลับไม่มีใครให้ยืมเลย ตอนนั้นเราแต่งตัวเชยมากติ๋มมาก แต่เพราะคำโกหกต่างๆนาๆนี่ล่ะ
สังคมจอมปลอมที่เราสร้างขึ้นมันก็ได้เล่นงานเรา เพื่อนเราไม่มีใครบอกซักคนว่าเราแต่งตัวแย่มาก
มีแต่คนชม คือมันเป็นคำโกหกที่ทำให้เรารู้สึกดีทั้งนั้น สุดท้ายพอเจอคนพูดความจริงคือพี่ชายเรา
เราเคยใส่เสื้อแขนยาวที่คนรุ่นป้าชอบใส่ กับรองเท้าของยายไปเดินสยามมาแล้ว มันเสี่ยวมากถึงมากที่สุด
แต่เพื่อนว่าดีนี่เนอะ จนพี่ชายเรามาบอกนี่ล่ะ โคตรห่วยและว่ะ แต่งอะไรเนี่ยนั่นล่ะค่ะ ตาสว่างหลุดออกจากภาพมายาเลย

3.รู้จักสังเกตคนรอบข้างเสมอ สังเกตในที่นี้ควรรู้ว่าเพื่อนของเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร จะได้ตัดสินใจในการกระทำแต่ละอย่างให้ถูกและเหมาะสมค่ะ หากเรารู้ว่าเพื่อนเราไม่ชอบเวลาเราทำแบบนี้ เราก็ไม่ควรทำเพราะหากเราเป็นเขาเราก็ย่อมไม่ชอบเช่นกัน การสังเกตพฤติกรรมและนิสัยของเพื่อนจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่จริงใจให้กับเราได้และมีชีวิตม.ปลายที่สมบูรณ์ค่ะ

เรื่องที่เราจะเล่านี้ถือเป็นสุดยอดความอับอายของเราเลยค่ะแต่ไม่อยากให้ใครผิดพลาดแบบเราอีกแล้ว
ตอนม.4 เช่นเคย ช่วงปลายเทอม 1 มีกิจกรรมประกวดวงดนตรีค่ะ เราพอเล่นกีตาร์เป็นอยู่บ้าง
เห็นเพื่อนผู้ชายในห้องดูอยากจะลงประกวดกันมาก เราก็เลยไปชวนตั้งวงค่ะ ซึ่งตอนที่เราชวนเหลือเวลาอีก อาทิตย์เดียวก่อนปิดรับแล้วแข่งเลย ซ้อมไม่ทันกันแน่นอน แล้วผู้ชายห้องเราขี้อายมากตอนแรกก็บอกไม่เอาๆ
ฝีมือก็ห่วยยังจะลงแข่งแถมเวลาซ้อมก็ไม่มี แต่เราไม่ฟังค่ะ คะยั้นคะยอตื้อจนยอมลงกันจนได้
และก็เป็นอีกครั้งที่เราโกหกเราเป็นของปลอมกับเพื่อนของเรา เพื่อนเราพึ่งหัดเล่น 3 เดือนดีดคอร์ด ตีกลองกันได้นิดเดียวจริงๆ แต่เราอวยซะเว่อเหมือนกับว่ามันเล่นเทพกันแล้ว เอาเพลงยากๆมาเล่นกัน

เราก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมมันถึงยอมลงแข่งกันทั้งๆที่ไม่พร้อมแบบนั้นไม่รู้เหตุผล เราทำตามใจตัวเองที่อยากเด่นอยากดังจนกระทั่งวันแข่งเพื่อนเรามือกลองมันบอกว่าไม่ไหว คนเยอะแบบนั้นมันไม่กล้าเล่น มันไม่ชอบคนเยอะๆถอนตัวเถอะ แต่กลายเป็นว่าเราบังคับมันลงค่ะ ผลที่ออกมาก็คือเพื่อน Panic กันทั้งวง ซ้อมไม่พอ+ขี้อาย ยิ่งเจอสาวกรี๊ดใส่มือสั่นกันหมดค่ะ สุดท้ายก็เล่นกันได้อย่างห่วยมากถึงมากที่สุด มือกลองตีพลาดไม้ปลิวไปหาคนดูโดนหัวเราะอับอายกันทั้งวง เราก็เป็นคนที่แย่ที่สุดไปต่อว่ามือกลองอีกว่าทำไมไม่กล้าๆหน่อยว่าหนักมากด้วย สุดท้ายมารู้ความจริงว่าที่เพื่อนมือกลองตัดสินใจตั้งวงกับเราเพราะมันแอบชอบเรา ไม่หมดแค่นั้นมือเบสมันก็ชอบเราด้วยเพื่อนมือกีตาร์อีกคนมาบอกกับเรา เราก็บ้าเอาไปพูดกับ 2 คนนี้ ผลออกมาคือเละค่ะ 2 คนนั้นต่อยกัน เพราะหาว่าหักหลังกันหรอ จริงๆแล้วพวกเขาไม่ผิดเลย เราผิดเองเต็มๆ เราไม่เคยสังเกตเพื่อนเลยไม่รู้ว่าแต่ละคนรู้สึกยังไง และชอบอะไรไม่ชอบอะไร เราบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ชอบแถมยังทำลายความรู้สึกเขาอีก ผลสุดท้ายจบลงด้วยวงแตก เรามองหน้า 3 คนนั้นไม่ติดอีก เราย้ายไปอยู่อีกกลุ่มนึง แล้วก็จบลงด้วยการแกล้งกันทะเลาะกันมองหน้ากันไม่ติดอีกอย่างในข้อที่ 1 

เราจากตอนแรกที่เป็นสาวฮอตหน้าตาดีประจำปี พอคนรู้นิสัยกันหมดเราก็ไม่มีใครคบ
เราเองก็มองโลกแง่ร้ายมากขึ้น โทษสังคมอีกว่า เราไม่ผิดสังคมตังหากที่ผิดที่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจน
ทั้งๆที่ตัวเองเป็นพวกหลอกลวงเป็นของปลอมแท้ๆ เป็นคนสร้างสังคมโกหกหลอกลวงนี้ขึ้นมาแท้ๆ
ผลสุดท้ายเราก็กลายเป็นพวกโดดเดี่ยวมีกำแพงกั้นไม่เปิดรับไม่อยากรู้จักใครอีก ตอนพักเที่ยงก็ไปนั่งหมกตัวในห้องสมุดคนเดียว เข้าห้องก็เรียนอย่างเดียว งานกลุ่มก็โดนจับไปอยู่กับพวกโอตาคุแล้วก็เด็กพิเศษเพราะไม่มีใครเอาเข้า สังคมเราพังหมดแต่ผลการเรียนเราดีขึ้นอย่างมาก เพราะเอาแต่เรียน เราได้เกรด 4 ทุกวิชาตอนเทอม 2 แต่เราไม่มีความสุขเราเกลียดผู้คนไปเลยค่ะ แล้วเราก็ย้ายโรงเรียนเพราะโดนแกล้งทุกวัน ไม่ได้แกล้งโดยตรงหรอกแต่โดนเอาพวกลิกควิดมาขีดโต๊ะ ขีดกระเป๋า บางทีก็โดนเอาอะไรมาเทใส่กระเป๋า

พอย้ายโรงเรียนใหม่ไม่ใช่ว่าจะดีนะคะ เรากลายเป็นไม่เข้าสังคมไม่เปิดรับใครไปเลย
เพราะคิดว่าถ้าเข้าสังคมก็จะเป็นแบบเดิมอีก แรกๆก็มีแต่คนสนใจเราเพราะหน้าตาเราดี
แต่ก็ก็ตอบกลับด้วยการถามคำตอบคำ จนไม่มีใครคบในที่สุดแล้วก็ไปหมกตัวแต่ห้องสมุดเหมือนเดิม
ใครทักเฟสมาก็ไม่ตอบยกเว้นจะเป็นเรื่องเรียน มีกิจกรรมอะไรเราก็ไม่เข้าร่วมทั้งนั้น
เป็นแบบนี้ไปจนกระทั่งม.6 ที่เริ่มเปลี่ยนตัวเองขึ้นมาบ้างเพราะเจอคนประเภทเดียวกันแล้วก็คบกัน
แต่ไม่นานก็เลิกกันเพราะเขากับเราไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่แท้จริง มันก็แค่คนที่เหมือนกันต้องการแชร์ความรู้สึกเดียวกันเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถพูดอะไรกันอย่างจริงใจได้

พอเรียนจบเราก็บินไปต่อตปท. เข้ามหาลัยดีๆในฟินแลนด์ได้เพราะการเรียนเกรด 4 ทุกปีถ้าไม่นับช่วงก่อนย้ายรร. แต่สังคมเปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนเข้าหากันยากขึ้นเรากล้าพูดเลยว่าหาโอกาสที่จะเจอความสัมพันธ์ที่แท้จริงที่แชร์ความรู้สึกต่อกันและกันแบบจริงใจได้แบบม.ปลายไม่ได้แล้ว ชีวิตตอนนี้เหมือนหุ่นยนต์ เรียนไปวันๆทำงานไปวันๆ อยู่ไปวันๆไม่มีสังคมอีก เพราะงั้นอย่าพลาดแบบเรา

สรุปสั้นๆก็คือถ้าไม่อยากใช้ชีวิตม.ปลายให้ผิดพลาดในเรื่องสังคม
จงคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ เอาใจเขามาใส่ใจเรา และรู้จักสังเกตคนรอบตัว พูดความจริงต่อกันและกัน อย่ากลัวที่จะพูดความจริง กล้าที่จะตัดสินใจ แล้วเราเชื่อว่าคุณจะได้พบเพื่อนดีๆที่แท้จริงพร้อมจะแชร์ความรู้สึกระหว่างกันอย่างไม่มีอะไรแบ่งกั้นแน่นอนค่ะ :)

ส่วนเรื่องเรียน
ตั้งใจฟังครูสอน รับฟังความคิดเห็นคนอื่น รู้จักพึ่งพาผู้อื่น ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ตรงต่อเวลาและไม่ขี้เกียจทบทวน แม้ความสามารถคนเราจะไม่เท่ากันก็ตามแต่หากทำได้ตามที่เราแนะนำเชื่อว่า
เกรด 3+ ได้สบายๆค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>