มาแชร์ประสบการณ์ฝึกงานแสนทรหดตลอดระยะเวลา 2 เดือนค่ะ
ตั้งกระทู้ใหม่
เริ่มแรกเลยตอนนั้นทางมหาลัยให้เราไปหาที่ฝึกงานพอพ่อเรารู้พ่อเราเลยพาเราไปฝากไว้ให้กับบริษัทๆหนึ่ง เราก็ดีใจเพราะมันเป็นที่ๆใกล้บ้านและมันก็เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้วย ทีนี้เราก็ส่งเอกสารยื่นเรื่องขอฝึกงานไปตามปกติ .. จากนั้นเริ่มแรกก็มีปัญหาแล้วค่ะ นั้นก็คือเขาไม่โทรติดต่อกลับมาหาเราเรื่องเอกสารในขณะที่เพื่อนๆเขาพี่ๆติดต่อให้ไปเอาเอกสารกันภายใน 2 สัปดาห์แรกแล้ว เราก็พยายามรออย่างใจเย็นจนกระทั้งก่อนถึงวันสุดท้ายที่เราแจ้งพี่เขาไปว่าขอเอกสารก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา เราเลยตัดสินใจจะโทรไปถามพี่ที่บริษัทว่าเขากรอกเสร็จหรือยังปรากฎพอเราโทรไปปุ๊บเขาก็รับสายและพูดตัดบทว่า
" เดี๋ยวพี่โทรกลับตอนค่ำนะตอนนี้พี่ติดประชุมอยู่ "
เราก็รอไปแต่คืนนั้นเขาก็ไม่ได้โทรมา พอมาวันสุดท้ายที่เราบอกพี่เขาเราก็ลองโทรไปหาเขาอีกเขาก็ตัดสายเราทิ้ง วันต่อมาเราเลยขับรถไปหาเขาถึงบริษัทเพื่อที่จะทวงเอกสาร สรุปว่า .. เขายังไม่ได้กรอกเอกสารให้เราสักใบค่ะ ! เราก็หงุดหงิดได้แต่นั่งรอให้เขากรอกเสร็จ พอเขากรอกเสร็จปุ๊บเราก็ลองเช็คเอกสารดู ปรากฎว่าเขากรอกเอกสารให้เราไม่ครบค่ะ คงจะเพราะรีบด้วยเลยพลาดไป ทีนี้เราก็รอเขากรอกครบแล้วเราก็ถามเขาว่าซองจดหมายของมออยู่ที่ไหน เพราะเดิมทีตอนส่งเอกสารมาทางมอเขาจะเอาเอกสารทั้งหมดใส่ซองมอมาให้ค่ะ เขาก็เลยเดินไปหาซองให้เราสักพักแล้วเขาก็มาบอกเราว่าซองเอกสารหายไปแล้ว เอาซองบริษัทแทนได้ไหม .. เราก็เริ่มหงุดหงิดแล้วแต่ก็เออ ออไปไม่ได้โวยวายอะไร ..
จากนั้น 1 เดือนต่อมาถึงกำหนดที่เราจะเข้ามาฝึกปฏิบัติงานที่นี้จริงๆแล้วค่ะซึ่งในส่วนงานที่เราได้รับมอบหมายอยู่ในแผนก HR ด้านการจัดฝึกอบรม ช่วงสัปดาห์แรกที่เข้ามาทำงานก็ได้ทำงานนิดหน่อยเหมือนเด็กฝึกงานทั่วไปๆ ทำไปได้ประมาณ 3 วันทางพี่เลี้ยงคนเดิมก็ได้ขอเปลี่ยนพี่เลี้ยงให้กับเราเป็นพี่อีกคนหนึ่งเพราะเขาไม่สะดวกดูแลเรา ต่อมาเราก็เริ่มสังเกตได้แล้วค่ะว่าที่นี้การทำงานค่อนข้างไม่เป็นระบบและวุ่นวาย อย่างเช่น เวลาเราไปช่วยเขาจัดห้องฝึกอบรมที่มีการนัดวันเวลาขอจองห้องไว้ล่วงหน้าแล้ว บางครั้งก็จะมีพนักงานวิ่งหน้าตั้งเข้ามาบอกว่ามีแขกจะใช้ห้องนั้นเดี๋ยวนี้ .. ไม่ก็มีประชุมด่วน .. ทำให้เรากับป้าๆที่ช่วยจัดห้องอยู่ ต้องย้ายห้องแบบกะทันหันกัน
พอเข้าสัปดาห์ที่ 2 ช่วงนั้นก็มีหน่วยงานเข้ามาออดิทบริษัทพอดี (ออดิทคือการที่จะมีคนมาตรวจสอบบริษัทนะคะ เช่น ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบเอกสาร , ตรวจสอบกระบวนการทำงาน อะไรแบบนี้เป็นต้นค่ะ) พี่ๆในแผนกเขาก็บอกกับเราว่าตอนนี้ทางบริษัทต้องการกำลังคนไปช่วยงานออดิทด่วน ด้วยความที่เราเป็นเด็กฝึกงานเราก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วถูกไหมคะ เราก็ต้องไป ซึ่งตอนนั้นทางหน่วยงานที่จะมาออดิทเขาต้องการเอกสารของกระบวนการทำงานเครื่องจักรต่างๆในบริษัท แล้วเหมือนกับว่าตอนนั้นบริษัทเขาใช้เครื่องจักรและกระบวนการอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ตรงกับที่ทางหน่วยงานออดิทเขาต้องการ .. ดังนั้นหน้าที่ๆเราต้องทำคือการเมคเอกสารให้ตรงตามที่เขาต้องการค่ะ ! แล้วเอกสารที่เขาให้ทำมันก็เป็นเอกสารที่ให้ติ๊กตามช่องเครื่องจักรต่างๆและมีความถี่ค่อนข้างเยอะประมาณ 30 กว่าช่องติดๆกัน แถมยังต้องเซ็นต์ชื่อกำกับเป็นชื่อช่างที่ทำเครื่องจักรด้วย ซึ่งถ้ามันเกิดผิดพลาดขึ้นมาบริษัทก็จะได้รับความเสียหายหลานล้านบาท แต่เราก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำไป ช่วงแรกๆทำผิดอยู่หลายแผ่นจนต้องทิ้งแล้วเขียนใหม่อยู่เป็น 10ๆ แผ่น แต่พอทำได้สัก 2 วันก็พอถูๆไถ ทำแบบนี้ไปประมาณอาทิตย์หนึ่งถึงเสร็จค่ะ
คราวนี้กลับมาเข้าสู่การฝึกปฏิบัติงานตามปกติโดยมีพี่เลี้ยงคนใหม่สอนงานค่ะ จากที่เรารู้สึกได้เขาเป็นคนสอนงานดีนะคะแต่บางครั้งจะสอนไวมากจนบางทีเราจดไม่ทันและไวจนถึงขนาดที่ว่าบางทีเขาคิดว่าเขาสอนแล้วแต่จริงๆเขายังไม่ได้สอนที่สำคัญเป็นคนอารมณ์เสียง่ายมากค่ะ ทีนี้มีอยู่วันหนึงเขาให้เราทำงานแต่เราทำไม่ได้เพราะงานอันนี้เขาไม่เคยสอนจริงๆ ซึ่งเป็นแบบนี้อยู่ค่อนข้างบ่อยจนกระทั้งฝึกงานจบ แล้วแต่ละคำพูดที่เขาพูดกับเราเวลาที่เราทำไม่ได้ก็อย่างเช่น
“ นี้ต้องให้ด่าใช่ไหมถึงจะทำได้ “
หรือบางทีเวลาเราทำงานส่วนหนึ่งเสร็จแล้วเราก็ถามเขาดูว่าเขาจะให้ทำอะไรอีกไหมเพราะไม่ได้มีการตกลงกันแต่แรกว่าจะให้เราทำถึงส่วนไหนๆ เช่น สมมติว่าเขาให้เราทำเอกสารพอเราทำเสร็จหลังอบรมเราก็ถามเขาว่า
“ มีอะไรให้ช่วยอีกไหมคะ ? ”
เขาก็ตอบกลับเรามาว่า
“ อย่าให้พี่ต้องบอกทุกเรื่อง ”
คือที่เราถามไม่ใช่ว่าเราไม่รู้นะคะว่าหน้าที่ต่อไปเราต้องทำอะไร แต่ที่เราถามเพราะจะได้ไม่ทำงานซ้ำกันกับพี่เขา เพราะว่าเวลาที่เราทำเอกสารหลังอบรมเสร็จแล้ว เราก็จะเอาข้อมูลในเอกสารไปกรอกในโปรแกรมใช่ไหมคะ แล้วบางครั้งพี่เขาก็จะกรอกเองแล้วให้เราไปทำอย่างอื่นต่อ แต่บางครั้งพี่เขาก็จะให้เรากรอก ซึ่งแต่ละครั้งที่ทำเนี้ยบางทีเขาก็ไม่ได้บอกเราว่าตกลงจะให้เราทำถึงแค่ไหนๆแบบนี้อะค่ะ (อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเขาเป็นคนไวมากไวถึงขนาดที่ว่าเขาคิดว่าเขาบอกแล้วแต่จริงๆเขายังไม่ได้บอก) ... แล้วงานจัดฝึกอบรมอะค่ะมันจะมีประมาณ 10 ขั้นตอนใช่ไหมคะแรกๆเราก็ได้ทำแค่จัดห้องกับทำเอกสารสำหรับฝึกอบรมพอเป็นพิธี แต่เริ่มพอเข้าช่วงสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไปเขาเริ่มให้เราทำหน้าที่อื่นด้วย เช่น พิมพ์แล้วเย็บคู่มือเอกสาร , ช่วยจัดถาดขนมและอาหารสำหรับผู้เข้าอบรม , นั่งฟังวิทยากรบรรยายแล้วเขียนประเมินวิทยากรแทนเจ้าหน้าที่อบรมประจำ , จัดเก็บโต๊ะและเก้าอี้ เปิด - ปิดไฟห้อง , ตรวจคะแนนข้อสอบและแบบประเมิน , บันทึกข้อมูลหลังฝึกอบรมลงในโปรแกรม , ตรวจสอบเอกสาร , จัดเก็บเอกสาร … ว่าง่ายๆก็คือให้ทำทั้งกระบวนการฝึกอบรมเลยอะค่ะ ไม่ได้ทำแค่นิดๆหน่อยๆเป็นจ๊อบเล็กๆเหมือนของเพื่อนที่ไปฝึกที่อื่น แล้วก็มีหน้าที่อื่นอีกสารพัดอย่างแล้วแต่เข้าจะใช้ เช่น พาแขกและผู้สมัครงานไปยังห้องต่างๆภายในบริษัท , แก้ไขไฟล์งานต่างๆ , ตัดบัตรพนักงาน , ถ่ายวีดีโอ , คำนวนวัน เวลา ขาดงานของพนักงาน .. เราก็อดทนทำไป แต่ถ้าวันไหนโดนด่ามากๆแล้วเครียดจนทนไม่ไหวก็จะแอบออกไปอ้วก ( ตลอดระยะเวลาที่เราไปฝึกงานเราอ้วกไปประมาณ 4 - 5 แล้วก็น้ำหนักลดไป 6.5 โลเลยค่ะ )
ทีนี้มีอยู่วันหนึ่งค่ะพี่เลี้ยงเราเขาให้เราไปถ่ายวีดีโอกิจกรรมๆหนึ่งในบริษัท ซึ่งกล้องตัวนั้นไม่เคยมีใครสอนเราถ่ายมาก่อน + มันเป็นกล้องภาษาญี่ปุ่นและอีก 2 นาทีงานจะเริ่ม เราเลยถามพี่ๆเขาว่า
“ ใครเป็นคนสอนหนูถ่ายวีดีโออะค่ะ ”
พี่เขาก็เลยชี้มาที่พี่คนหนึ่งในแผนกแล้วก็บอกว่าพี่คนนี้เป็นสอน ประเด็นคือพี่คนนั้นเขาเป็นใบ้ค่ะ ! เราก็คิดในใจว่าซวยละแต่ก็ลองดูเผื่อจะรู้เรื่อง ปรากฎว่าตอนเขาสอนเขาก็สอนเราเป็นภาษามือซึ่งเราไม่เข้าใจค่ะ TT เราเลยเอากระดาษกับปากกาให้พี่เขาเขียนอธิบาย ( ซึ่งตรงนี้เราขอบอกนิดนึงนะคะ ว่าคนที่เขาใช้ภาษามือเนี้ย เวลาเขาเขียนอธิบายอะไรก็แล้วแต่ เขาจะเขียนกลับหน้ากลับหลัง เช่น คำว่า “ ไปกินข้าวกัน ” เขาก็จะเขียนว่า “ ข้าวไปกินกัน ” แล้วนึกภาพออกไหมคะว่าตอนเขาเขียนอธิบายการทำงานของกล้องมันก็จะไม่ได้มีแค่ 2 - 3 คำ เขาต้องเขียนเป็นประโยคยาวๆ แต่ประโยคที่เขาเขียนมันก็จะกลับหน้ากลับหลังหมดสรุปคือเราอ่านแล้วไม่เข้าใจค่ะ ) มันเขียนกลับหน้ากลับหลังหมดเลย จนอีก 1 นาทีงานจะเริ่มแล้วเราเลยหากระดาษ + ปากกาจากแถวๆนั้นมาแล้วเขียนให้พี่เขาดูว่าเราไม่เข้าใจจริงๆ เขาถึงจะให้เราไปถ่ายรูปปกติแทน .. ต่อมามีอีกครั้งหนึ่งคราวนี้พี่เขาเรียกให้เราไปที่ห้องๆหนึ่งในบริษัทตอนนั้นกำลัวจะประชุมกันถึงหัวข้อการทำงานเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆในบริษัท ...แล้วพี่เลี้ยงเราเขาก็ไลน์มาหาเราว่า
“ ให้ถ่ายวีดีโอนะ จัดการให้ได้ด้วย ”
.. รอบนี้เป็นกล้องตัวใหม่วิธีการใช้ใหม่แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนเดิมค่ะ ! เราก็คิดในใจว่างานเข้าล่ะ พี่เขาก็ไม่เคยสอนเรามาก่อน เราเลยเดินไปหาพี่ที่เขาประชุมกันอยู่คนหนึ่งว่า
“ พี่คะ รบกวนพี่สอนหนูถ่ายวีดีโอหน่อยได้ไหม พอดีหนูไม่เคยใช้กล้องตัวนี้เลยอะค่ะ “
พี่เขาก็ช่วยเดินมาสอนเราค่ะ ทีนี้พอตอนกำลังจะกดอัดวีดีโอปรากฎว่าเมมโมรี่การ์ดมันเต็มถ่ายไม่ได้ เราก็เลยไลน์ไปหาพี่เลี้ยงเราว่า
“ พี่ค่ะ เมมโมรี่เต็มแล้วมันถ่ายไม่ได้ค่ะ ”
พี่เลี้ยงเราก็ตอบกลับมาว่า
“ บอกแล้วใช่ไหมไปแล้วจัดการให้มันได้ด้วย “
เราก็ตอบไปสั้นๆแค่ค่ะ เพราะไม่อยากจะพูดอะไรมากแล้ว
หรือเวลาที่พี่เขาจะสั่งงานอะไรผ่านไลน์มาแค่เราตอบช้าไปสักประมาณ 1 - 2 นาที เขาก็จะรัวสติ๊กเกอร์จิกมาหาเรามาประมาณ 40 - 50 อันเพื่อจะให้เราตอบสักที คือเราก็เช็คไลน์อยู่เป็นระยะๆแล้ว แต่บางครั้งเราก็หันไปทำงานเอกสารอยู่ไม่ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำมา แล้วพอเราตอบเขาช้าเขาก็จะบอกกับเราประมาณว่า
“ จะตอบไหมหรือต้องให้โหด .. วันหลังเปิดเสียงไลน์ไว้นะจะได้ๆยิน “
คือถ้าเปิดเสียงไลน์เนี้ยมันก็รบกวนคนอื่นถูกไหมคะ อีกอย่างตัวเราเองเราก็พยายามดูไลน์ตลอดอยู่แล้วถึงจะทำงานอื่นอยู่ก็ตามตอบช้าสุดก็แค่ 2 - 3 นาทีไม่เกินนี้
แล้วพื่อนๆนึกออกไหมคะว่าตามโต๊ะออฟฟิตปกติแล้วมันจะมีโทรศัพท์ประจำโต๊ะแต่ละคนอยู่ พี่เลี้ยงเราก็บอกเราว่าให้เรารับโทรศัพท์ทุกเครื่องบนโต๊ะเวลาที่พี่ๆเขาไม่อยู่ โอเคเราก็รับ แต่บางครั้งเวลาที่พี่ๆเขาอยู่แล้วโทรศัพท์ดัง ด้วยความที่เราเกรงใจ + เราเห็นเขาอยู่ เราก็ไม่อยากรับแทน ซึ่งพอเราไม่รับเขาก็ตะคอกใส่เราว่า
“ ต้องให้พี่บอกกี่ทีว่าให้รับโทรศัพท์ด้วย ”
คือถ้าให้รับตอนที่พี่ๆเขาไม่อยู่นี้ยังพอเข้าใจนะคะ แต่นี้ให้รับตอนเขาอยู่ในออฟฟิตอยู่แล้วเราก็เกรงใจ + บางครั้งเราไม่สามารถมานั่งจ้องดูตลอดเวลาได้ว่าใครว่างเดินมารับหรือใครไม่ว่างเดินมารับเพราะเราก็มีงานของเราอยู่เยอะพอสมควร เท่านั้นไม่พอค่ะ ต่อมาเวลามือถือส่วนตัวใครดังขึ้นมาแล้วพี่เจ้าของมือถือไม่อยู่ เขาก็จะพูดกับเราแบบจิกๆประมาณว่าให้เราอะวิ่งไปรับมือถือส่วนตัวแทนพวกพี่ๆเขาด้วย ช่วงนั้นเวลาได้ยินเสียงโทรศัทพ์ในออฟฟิตทีนี้เราหลอนมาก ว่าง่ายๆก็เหมือนเป็นมือเป็นเท้าเขาดีๆนี้เองค่ะ
มาถึงช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่เราจะฝึกงานเสร็จพี่เขาใช้ให้เราไปหยิบซองเบอร์โทรศัพท์ของเขาพอดี ประเด็นคือตอนนั้นเราดันไปเจอใบประเมินนักศึกษาฝึกงานของที่เขาต้องส่งให้กับทางบริษัทเองโดยเฉพาะ ในใบนั้นเกณฑ์การประเมินมันจะมีตั้งแต่ 1 - 5 คะแนนในแต่ละช่องนะคะ แต่ละข้อก็จะมีในด้านของความสามารถในการทำงาน จิตพิสัยอะไรประมาณนี้ในด้านของจิตพิสัยเราได้เต็ม 5 หมดค่ะ แต่ในด้านของการทำงานเราได้ 1 - 2 ไม่เกินนี้ซึ่งรวมๆทั้งหมด 200 คะแนนเราได้ประมาณ 150 กว่าๆ ถือว่าต่ำมากๆ ตอนนั้นเราเองก็กลุ่มใจแต่ไม่ได้บอกใครนอกจากพ่อแม่แล้วก็เพื่อนสนิทจนกระทั้งฝึกงานเสร็จ .. .
เราขออธิบายนิดนึงนะคะว่าวิธ๊การให้คะแนนวิชาฝึกปฏิบัติงานของเราเนี้ย 50 % จะมาจากอาจารย์ส่วนอีก 50 % จะมาจากบริษัท โดยคะแนนจากอาจารย์เนี้ยส่วนใหญ่เขาช่วยอยู่แล้ว แต่ละคนจะได้ไม่ต่ำกว่า 45 - 50 % เพราะมันเป็นคะแนนจากตัวรายงานและการพรีเซนต์ค่ะ ซึ่งตัวรายงานของเราก็มีแต่อาจารย์ชมว่าถูกต้องเป็นระเบียบ ฟอร์แมทการจัดวางและเนื้อหาถูกต้อง ใครที่ทำไม่ถูกอาจารย์ก็จะให้คนอื่นมาดูของเราเป็นตัวอย่างเลยค่ะ แล้วในตัวรายงานเราก็ใส่รูปการปฏิบัติงานของเราไปเยอะพอสมควร ( กว่าจะได้มาแต่ละรูปนี้ลำบากมากค่ะ ต้องตั้งกล้องถ่ายเองบ้าง ไม่ก็ต้องเดินไปรบกวนขอให้พี่ๆที่กำลังอบรมอยู่เดินออกมาระหว่างที่เขาอบรมอยู่ให้มาถ่ายรูปให้บ้าง ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นพี่เลี้ยงเขาอาสาถ่ายรูปให้ตลอด แต่ของเราไม่เคยมีโมเม้นแบบนั้นเลยค่ะ TT )
ส่วนตัวพาวเวอร์พ้อยสำหรับพรีเซนต์เราก็ใส่ลูกเล่นลงไปให้มันดูน่าสนใจในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นเขาไม่ค่อยใส่กัน พอมาถึงตอนที่เราต้องพรีเซนต์เราพรีเซนต์เป็นคนที่ 7 แต่เราเป็นคนแรกที่พรีเซนต์แล้วเพื่อนๆปรบมือให้นะคะ ( ตอนนั้นดีใจมากๆเลยว่าถึงแม้ตอนฝึกงานจะแย่แต่พรีเซนต์ออกมาดีแล้วก็รู้สึกใจขื้นขึ้นมาเยอะ ^_^ )
หลังจากพรีเซนต์และส่งรายงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ยังแอบใจหวิวๆนะคะ เพราะถึงแม้คะแนน 50 % จากอาจารย์จะได้เยอะแต่อีก 50 % จากบริษัทซึ่งใน 50 % เนี้ย 30 % จะเกี่ยวกับความสามารถในการทำงานค่ะ อีก 20 % จะเป็นจิตพิสัย เราเองก็คิดว่าเราคงได้น้อยแน่ๆดูจากปฏิกิริยาต่างๆที่พี่เขามีต่อเรา + ดูจากใบประเมินที่เขาส่งให้กับทางบริษัทเอง ระหว่างนั้นเราก็รอลุ้นไปค่ะจนกระทั้งวันเกรดออก ..
เราได้ B+ ค่ะในขณะที่เพื่อนๆส่วนใหญ่ได้ A กันเกือบหมด ตอนนั้นมันรู้สึกเสียใจมากๆเลยที่เราทำแทบตายเหนื่อยกว่าคนอื่น เครียดกว่าคนอื่น แต่ได้เกรดน้อยกว่าคนอื่น TT ช่วงนั้นก็เฟลไปหลายวันเลยแต่ยังดีที่พ่อแม่เขาเข้าใจเรา แล้วก็ไม่ได้โฟกัสกับเกรดเราว่าเราต้องได้ A เหมือนเพื่อนๆคนอื่น
หรืออย่างกับพี่ๆในบริษัทที่เราสนิทด้วยเราก็เล่าให้เขาฟังเขาก็ปลอบใจว่าเราว่า แล้วคนอื่นที่ได้ A เขาได้ประสบการณ์เท่าเราไหม ทนแรงกดดันและควบคุมอารมณ์ได้เท่าเราไหม เพราะช่วงที่ระหว่างฝึกงานอยู่ก็มีพี่ๆคนอื่นชมกันหลายคนค่ะว่าเราเป็นคนที่คุมอารมณ์เก่ง ไม่เคยชักสีหน้าหรือแสดงความไม่พอใจออกมา ( ทั้งที่ในใจเราแทบจะระเบิดอยู่แล้ว แถมได้อ้วกไปหลายที ) แต่ตอนนี้เราก็สบายใจขึ้นเยอะแล้วนะคะ พยายามปล่อยให้มันผ่านไปๆ
จากทั้งหมดที่เล่ามานี้สิ่งที่เราอยากจะมาบอกน้องๆหรือเพื่อนๆที่จะต้องไปฝึกงานเลยก็คือ .. .
1. อย่ารีบกลัวว่าจะหาที่ฝึกงานไม่ได้ เวลาจะไปฝึกงานที่ไหนให้ดูระบบการทำงานคร่าวๆก่อน จากคำวิจารณ์ในเฟสหรือตามพันทิปก็ได้ ไม่ก็ลองถามพวกผู้ใหญ่ดูว่าบริษัทนั้นๆโดยรวมแล้วเป็นยังไง อย่างน้อยเราจะได้รู้พื้นฐานการทำงานเกี่ยวกับบริษัทนั้นบ้างแล้วเก็บเอามาพิจารณาดู
2. ถ้าการเริ่มต้นติดต่อกับบริษัทไม่โอเค ( อย่างของเรานี้ก็เรื่องเอกสารที่เล่าไปตั้งแต่แรกค่ะ ) คุณควรพิจารณาว่าบริษัทนั้นเป็นยังไง เพราะว่าตามปกติแล้วบริษัทเขาก็น่าจะทำหน้างานพื้นฐานให้ดี คนอื่นเขาจะได้ไม่คิดหรือเอาไปพูดกันในเชิงลบถูกไหมคะ
สุดท้ายนี้ เราก็ขอให้เพื่อนๆหรือน้องๆที่จะฝึกงานในอนาคตโชคดีนะคะ สวัสดีค่ะ ^^
6 ความคิดเห็น
จขกทเขียนเล่าดีจังอะ ชอบ
แต่นี่ล่ะฝึกไว้การทำงานในชีวิตจิงก็เป็นงี้
โดยเฉพาะการพูดจาของคน ร้อยคนก็ร้อยวิธีพูด
บางคนชอบพูดกระแทกแต่ในใจไม่ได้คิดไร
บางคนพูดดีแต่ในใจนี่แบบ ...
แหะๆ ขอบคุณนะคะ เราพยายามเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆให้ถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุดเพือที่คนอื่นมาอ่านแล้วจะได้นำไปเป็นประสบการณ์นี้แหละค่ะ :D อีกอย่างก็ถือว่าเราได้ฝึกการทำงานจริงและการรับมือกับคำพูดจาของคนไปในตัวเนอะ ยังไงก็ขอบคุณมากๆนะคะ ที่มาให้กำลังใจกัน ^^
ประสบการณ์ดุเดือดมาก เป็นกำลังใจให้จขกท.สู้ๆ
ดุเดือดจนอ้วกมาหลายรอบเลยค่ะ 555 ยังไงก็ขอบคุณมากๆนะคะ ที่แวะมาให้กำลังใจกัน :D
สู้ๆ น้าาา กอดๆ :) เป็นเราเราก็คงจะเฟลหน่อย ๆ อ้ะ
เย้ๆ กอดกันๆ เราก็เฟลค่ะไม่หน่อยด้วยเฟลเยอะเลยตอนนั้น TT ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่มาให้กำลังใจกัน
คุณอึดดีนะครับ แต่ว่าทาง
เขาคงนึกว่าคุณเป็นมือโปร
ละมัง ทั้งที่คุณเป็นเด็กฝึกงาน
อย่าศึกษาเรื่องกฎหมายด้วย
นะครับ เพราะประชาชนมีสิทธิ
เข้าถึง และ พระเครื่องหลวงปู่
ทวดมาคล้องคอด้วย ถ่ายวิดี
โอเป็นเรียวลิตี้ เป็นรายงานส่ง
อาจารย์จะง่ายกว่านะ.... ถ้า
จะให้ดี คุณควรศึกษาเพิ่มหา
ต่ำแหน่งสูงๆ หน่อยเพราะ เท่า
ที่ผมอ่านมาตรฐานของคุณสูง
กว่าเขาเยอะ..... ระดับคุณนะ
ไม่ใช้พืนๆ นะครับ
ศึกษาเรื่องกฎหมายเพิ่มนะ
บ่างคำที่ตกหล่นขออภัยด้วย
ครับ สิทธิมนุษย์ชนต้องร้กฏ
หมายมิฉะนั้น ถ้าคุณทำผิด
แม้แต่นิดเดียวบริษัทต้น ที่มี
ทนายเขาจะตัดหุ้น หรือ ปลด
พนักงานออกโดยทันที เพือไม่
ให้มีผลเสียทาง สัมพันธภาพ
ทางสังคม ชื่อเสียง การเงินต่าง
ต่างอีกด้วย เดียวนี้ มีข่าวอยู่
บ่อยๆ คนที่ทำงานอาชีพไม่รู้
กฎหมาย โดนปลดต่างประเทศอย่างอเมริกา แม้จะเป็นถึงเจ้าหน้าที่ศาลตุลาการยังโดนปลด
เลยครับ คุณนิสัยดีนะ ดีสุดๆ
ขอบคุณค่ะ กว่าจะผ่านมาได้นี้ก็เอาเรื่องอยู่ (ขอบคุณสำหรับความรุ้ที่มอบให้ด้วยนะคะ^^ )
ของหนู ฝึก4เดือน ฝึกอำเภอ โดนเจ้าหน้าที่ขึ้นเสียงใส่โมโหเพียงเพราะเราขาดงานไป2วันแต่มีใบลากิจมาให้เพราะขาดจำเป็น และครั้งที่2โดนว่าที่ เขียนอักษรย่อเทศบาลเปนอ.บต ส่วนครั้งที่3โดนด่าขึ้นเสียงเพราะ เผลอทำทิชชู่ตกทิ้งไว้ข้างโต๊ะทำงานกับเอารองเท้าทำงานถอดไว้คู่นึงที่ทำงานคะ รู้สึกแย่มากทำต้องขึ้นเสียง มีการบอกด้วยถ้ายังเห็นรองเท้าหรือทิชชู่อีก อาทิตยหน้าจะส่งตัวกลับมหาลัยแล้ว ไม่ไหว คือหนูทำผิดร้ายแรงมากเหรอ เหลือแค่1เดือนหนูก็จบแล้ว เครียดมาก ไม่มีความสุขเลยเจอพี่ที่ทำงานแบบนี้
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆเนอะ แต่ยางคนอาจจะมองมุมกลับว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมพลาด แต่ที่เขาทำกับหนูเรื่องอารมณ์อันนี้ไม่ ok จริงๆค่ะ มันทำให้เราเสียสุขภาพจิตไปด้วยเนอะ แต่ตอนนี้หนูงคงฝึกงานจบแล้วมั้ง (โทดทีตอบช้าค่ะ ) ต่อไปนี้เจออะไรก็ขอให้สู้ๆนะคะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?