Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เลือกเส้นทางที่ตัวเองชอบ ผิดหรอคะ?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ก่อนอื่นคือเราพึ่งเคยตั้งกระทู้เป็นครั้งเเรก(ยาวนิดนึงนะคะ เเหะๆ) ผิดพลาดยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ

เรื่องคือว่า ช่วงนี้มาคุณพ่อ,เเม่เราเริ่มคุยเรื่องต่อม.4 ของเราค่ะ เราก็บอกเขาไปว่า เนี่ย เราอยากต่อสายศิลนะ ที่เราบอกเเบบนี้ไปเพราะความชอบเราเลยค่ะ เราชอบภาษาญี่ปุ่น มันรู้ชัดเจนเลยว่าชอบจริงๆ เวลาที่เห็นรุ่นพี่ที่รร.จบเเล้วใส่ป้ายสะพายสายศิลญี่ปุ่น ความคิดมันก็พรวดมาเลยว่า ถ้าเราได้ใส่เเบบนั้นบ้าง คงจะภูมิใจมากเเน่ๆ

ซึ่งที่ผ่านมาคุณเเม่บอกเรามาตลอดเลยว่า จะเรียนอะไรก็ได้นะม.4น่ะ เเม่ไม่ซีเรียส เเค่มีงานทำก็พอ เเต่พอเราบอกเขาตรงๆว่าเราไม่ชอบวิทย์ อยู่ดีๆคุณเเม่ก็กลับคำค่ะ คุณเเม่บอกประมาณว่าไม่อยากให้เรียนศิลนะ เเละชักเเม่น้ำทั้งห้าเหตุผลต่างๆนาๆมาบอกเราค่ะ เราก็เลยอ่ะ เอาเป็นศิลคำนวณก็ได้ เพราะเหตุผลนึงที่ไม่อยากต่อวิทคณิตเพราะไม่ค่อยถูกกับวิทย์ค่ะ เรียนเเล้วไม่ชอบ(ก็เรียนได้ คะเเนนวิทก็ดีตลอด เเต่ไม่อบ) เเล้วก็ถ้าเรียนไป คงมีเเต่ดึงเกรดเราเเน่ๆ เเต่คณิตเราถนัด ทำได้ ก็เลยมาครึ่งๆให้คุณเเม่ค่ะ เเต่ก็ยังไม่ตรงใจท่านค่ะ (ฮือ! (ಥ_ಥ))

คุณเเม่กับคุณพ่อก็พยายามคุยเรื่องนี้กับเรามาเรื่อยๆเลย คุณเเม่ก็บอกว่าเรียนวิทย์คณิตมันได้เปรียบกว่านะ ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ มีใครอธิบายที่คุณเเม่บอกมาได้บ้างคะ

ที่มาตั้งก็เพราะอยากขอคำเเนะนำค่ะ เราควรต่อสายวิทย์คณิตอย่างที่คุณพ่อคุณเเม่บอกมั้ย หรือไปที่ตัวเองอยากไปดี จริงๆเเล้วที่เราสับสน เพราะคุณเเม่เราค่ะ คุณเเม่ของเราเป็นครูที่รร.ดังเเห่งนึง เเล้วท่านก็หาครูเก่งๆมาสอนวิทคณิตเรามาตลอดหลายปีเลยค่ะ ในนึงสัปดาเราต้องเรียนวิชาพวกนี้ที่บ้านเกือบทุกวัน ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยต่อต้านค่ะ เพราะเรายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็เลยเรียนๆไปก่อน

กลับมาทั้งปัจจุบันค่ะ ทั้งหมดที่ผ่านมา คุณพ่อเเอบมาบอกกับเราว่า ที่คุณเเม่ลงทุนจ้างครูดีๆมาสอนเราตั้งเยอะเเยะเเบบนั้นเพราะท่านอยากให้เราเดินทางสายวิทคณิตเเฝงอยู่นัยๆโดยไม่ได้บอก ส่วนที่เราอยู่ดีๆมาชอบภาษาญี่ปุ่นทั้งๆที่คุณเเม่ให้เรียนวิทคณิตมาตลอด เพราะจริงๆเเล้วคุณเเม่ก็หาครูญี่ปุ่นมาสอนค่ะ เเต่ว่าความตั้งใจของท่านไม่ใช่ให้เราเอามาเป็นภาษาเอกที่จะมาทำมาหากิน เหมือนท่านจะอยากให้เราเอามาประกอบกับพวกวิทคณิตมากกว่า เเต่เราดันเอามาเป็นภาษาเอกที่เราอยากต่อมม.4ซะงั้น ท่านคงผิดหวังไม่น้อยเลยค่ะ... ทำยังไงดีคะ



ปล.ถ้ามีรุ่นพี่คนไหนเรียนสายอะไรก็เเนะนำมาได้นะคะ จะได้เองมาตัดสินใจอีกทีด้วย ขอบคุณนะคะ (>/\<)

แสดงความคิดเห็น

21 ความคิดเห็น

kAew Dek-D Columnist 18 ก.พ. 61 เวลา 23:14 น. 2

ถ้าคุณแม่มีเหตุผล เราก็เอาเหตุผลของเรามางัดสู้กับคุณแม่ค่ะ น้องไปหาข้อมูลมาเลยว่าศิลป์ญี่ปุ่นเรียนยังไง เรียนอะไร เข้าคณะไหนได้ แล้วเราอยากทำอาชีพอะไร เงินดีมั้ย แล้วเอามาบอกแม่ค่ะ คุณแม่ก็แค่อยากให้น้องเรียนไปแล้วมีโอกาสชีวิตมากขึ้น ถ้าน้องอยากเรียนสิ่งไหน ก็ทำให้ท่านเห็นค่ะว่าทางที่เราเลือกมันมั่นคง และดีที่สุดแล้ว เดี๋ยวท่านก็น่าจะใจอ่อนอยู่ค่ะ

0
จากคนเคยเรียนสาววิทย์ 19 ก.พ. 61 เวลา 07:52 น. 3

สุดท้ายถ้าเราไม่ชอบจริงๆเรียนวิทย์ไปก็ลืมอยู่ดีแหละคะเพราะเราไม่คิดจะเอาไปใช้อะไร สู้เอาเรียนสิ่งที่ชอบแล้วแล้วได้ใช้ตลอดชีวิตน่าจะเวิคกว่า ตอนนี้ยังคิดอยู่เลยว่าเรียนสายวิทย์ไปทำไมไม่ได้ใช้เลย= =

0
ไข่ขี้เกียจ 19 ก.พ. 61 เวลา 08:37 น. 4

แฟนพี่เรียนวิทย์-คณิตทั้งที่ชอบภาษาญี่่ปุ่นเหมือนกันคะ มันบอกว่าตอนแรกใครๆบอกว่าเข้าวิทย์-คณิตเวลาเข้ามหาลัยมันเลือกคณะได้เยอะกว่า แต่พอมันไปดูมันกลับไม่ใช่ค่ะ มันอยากต่อพวกเอกญี่ปุ่นอะไรทำนองนี้


แล้วมันบอกว่ามันต้องมาเริ่มต้นใหม่ให้ทันเด็กที่เรียนภาษา คือมันเสียโอกาส มันบอกที่เลือกวิทย์-คณิตเพราะคนรอบตัวบอก ใครๆก็ว่าดี

ถ้าน้องเลือกพี่แนะนำว่าให้ตัดสินใจทุกเรื่องของตัวเองด้วยตัวเองดีกว่า ขอคำปรึกษาได้ แต่อย่าเอามันมาตัดสินว่าฉันต้องไปตามทางที่คนอื่นชักนำตลอด พอพลาดมาคนที่รับผลที่ตามมาคือน้อง ไม่ใช่คนที่เลือกให้น้อง น้องต้องลองหาเหตุผลมาคุยกับคุณแม่เอารู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่เราก็ต้องกล้ายืนยันเส้นทางของตัวเองด้วย

0
ปริย์ณัฐฐา 19 ก.พ. 61 เวลา 09:09 น. 5

ไม่แนะนำนะคะ เราเองถนัดแต่ภาษา สังคมพวกนี้มาตลอด วิทย์อ่ะชอบ(ที่เป็นทฤษฎียาวๆนะ) แต่พื้นฐานคณิตเราแย่มาก ตอนแรกเราว่าจะเลือกลงศิลป์สังคมค่ะ ที่รร. มีแค่ศิลป์สังคม กับ จีน แต่ไม่มีเพื่อนลงกับเราสักคน เราเริ่มเขว เพราะเพื่อนก็ชักจูงประมาณว่า วิทย์คณิตดีกว่า เพราะเข้ามหาลัยง่ายกว่า(อยากจะบอกว่าไม่เกี่ยวกันเลย มันอยู่ที่คน ใครดีใครได้แค่นั้นเอง) เราไม่โทษใครนะ โทษตัวเองนี่แหละ เพราะคิดว่าเรียนไหว แต่มันไม่ไปจริงๆ เราได้แค่วิชาพวกภาษา แต่เกรดมันดันไปกองในวิชาวิทย์ๆ คณิตๆ ซึ่งต้องพื้นฐานแน่นอ่ะ เหมือนเรายิ่งเรียนยิ่งไม่เข้าสมองค่ะ เหมือนสมองยิ่งต่อต้าน เราเลยทำตัวต่อต้านไปอีก (ถ้าเราตั้งใจพยายามกว่านี้ อาจจะไม่ออกมาแย่ขนาดนี้)


ถ้า จขกท . พอมีพื้นฐานก็ไม่น่ากังวลเท่าไร อาศัยขยันส่งงานเอา แต่เราว่าเอาตามความชอบดีกว่า เพราะสุดท้ายตอนจะสอบเข้ามหาลัย ร้อยทั้งร้อยจะเลือกสายที่ตัวเองชอบอยู่ดี ที่ถนัดอยู่ดี เพื่อลดการแข่งขันในส่วนที่เราไม่น่าไปถึง คือถ้าคนทำได้ดีมันก็ดีนะ เพราะทัศนคติคนไทยก็ยังมองว่าสายวิทย์น่ายกย่องกว่า เก่งกว่า เราไม่คิดงั้นนะ เรายังเสียใจเลยที่ไปทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบตั้งสามปี จนตอนนี้ยังหาทางไปไม่ถูกเลย


อย่างคห. บนบอกเลย อะไรที่มันไม่ใช่เราจะลืมๆ มันไปเอง เพราะคิดว่ามันไม่ได้ใช้ ต่อให้ทบทวนก็จะยังงกๆ เงิ่นๆ นอกจากว่าคนนั้นจะเก่งทั้งสองแบบ แต่เราคือไม่ใช่ เราเดินทางนี้มาตั้งแต่อนุบาลละ เพราะเราตกคณิตแทบจะตลอด แค่พอถูไถอ่ะ ถ้าจขกท. เป็นแบบเราอย่าเลือกเลยค่ะ วิทย์คณิต


บอกแม่ไปในกรณีที่จขกท. ตั้งมั่นแน่วแน่นะ ว่าสายมันไม่เกี่ยวเท่าไร มันอยู่ที่คน ที่คะแนนสอบ ต่อให้จบวิทย์คณิต แต่ตัดสินใจแต่เนิ่นๆ ว่าจะทำงานทางศิลป์แล้ว สู้เก็บคะแนนทำส่วนที่น่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคตมากกว่าดีกว่า ... คือถ้ามีแววจะไปทางนั้นก็เดินตามทางไปเลยค่ะ อย่าฝืน อย่าเผื่อเลือกเยอะ

0
เรียนที่ตัวเองชอบ 19 ก.พ. 61 เวลา 09:59 น. 6

น้องเลือกภาษาญี่ปุ่นอ่ะดีแล้ว ล่ามญี่ปุ่น หรือคนทำงานด้านนี้เงินดีมาก แถมเป็นงานที่เราชอบ บอกแม่ไปเลยว่าหนูเลือกศิลป์ญี่ปุ่นเพราะอยากเข้าคณะนี้ๆ ทำงานนี้ๆ ถ้าแม่ให้เลือกวิทย์คณิตหนูก็คิดไม่ออกหรอกจะต่อคณะไหนต่อ

ไม่ก็หนูเชื่อว่าหนูอ่ะถ้าไปทางภาษาหนูจะเป็นคนที่โดดเด่นในแวดวงนั้น แต่ไปสายวิทย์แม่ก็รู้ว่าหนูไม่เก่งหนูย่อมไม่โดดเด่นแล้วต้องตามหลังเขา แม่คิดว่าแบบไหนมันดีกว่ากัน

0
Ice_effect 19 ก.พ. 61 เวลา 11:18 น. 7

สู้ค่ะ

อย่าลืมนะคะว่ามันเป็นอนาคตของเรา เราจะต้องอยู่กับสิ่งที่เลือกไปอีกนาน พยายามอธิบายให้ท่านเข้าใจเหตุผลเรานะคะ ทำให้เขารู้สึกว่าเส้นทางที่เราเลือกมั่นคงและเหมาะสมค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

0
จากคนที่เคยเรียนสายวิทย์ 19 ก.พ. 61 เวลา 11:41 น. 8

อีกอย่างคืออย่างน้อยก็เป็นเส้นทางที่เราเลือกเองเวลาเจอปัญหาหรืออะไรก็ตามเราก็ต้องรับผิดชอบด้วยตนเองโทษตัวเองในทางที่เราเลือก แต่ถ้าเราเลือกตามใจพ่อแม่แล้วมันไม่ใช่ มันอดที่จะโทษพ่อแม่ไม่ได้ทั้งๆก็รู้แก่ใจว่าพ่อแม่หวังดีกับเราเป็นผู้มีพระคุณของเราคอยผลักดันเรา(ซึ่งไปทางไหนก็อีกเรื่อง) บอกตรงๆเลยว่าเกลียดความรู้สึกแบบนี้จริงๆ ก็ลองเอาประสบการ์ของพี่ไปคิดดูละกันคะ

0
Yhinny 19 ก.พ. 61 เวลา 15:04 น. 9

ขอบคุณทุกคำเเนะนำจริงๆนะคะะ นี่บัญชีจขกท.เองค่ะ พอดีกลับไปใช้บัญชีเเบบกระทู้ไม่ได้เลยเอาที่สมัครไว้มาเม้นซะเลย ตอนเเรกไม่คิดว่าจะมีคนให้ปรึกษาขนาดนี้เลยค่ะ ดีใจมากก 555 เเล้วจะนำทุกคำเเนะนำไปใช้นะคะ! ขอบคุณจริงๆค่ะ! https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-13.png

0
Keiichi Maebara 19 ก.พ. 61 เวลา 16:02 น. 10

ถ้ามีเป้าหมายในชีวิตแล้วก็ควรมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังครับ

ผมก็พลาดเหมือนกันเรียนตามพ่อบอกยันจบมหาวิทยาลัย ทั้งๆที่รู้ว่าเราถนัดอะไรชอบอะไร

เป็นเด็กดีเชื่อฟังแต่ใจไม่ได้เชื่อฟังไปด้วยนี่ ผลออกมาไม่ไหว มันน่าเบื่อ ทำงานก็ทำงานน่าเบื่อ ทำได้แต่ไม่ดี

กว่าจะหาหลักเจอทำสิ่งที่เราทำได้ดีมีความสุขอายุปาไป 30 แล้ว

0
jade 19 ก.พ. 61 เวลา 16:33 น. 11

ขอเล่าประสบการณ์ในฐานะเด็กศิลป์ญี่นะคะ เจ๊ดเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นตอน ม.ต้นที่โรงเรียนสอนภาษา จากนั้นก็เรียนสายศิลป์ญี่ปุ่นตั้งแต่ม.ปลายจนจบปริญญาตรีที่ไทย ระหว่างเรียนมหาลัยก็สอบชิงทุนไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นปีนึงแต่นอกนั้นก็เรียนในไทยตลอด


ตอนนี้เจ๊ดได้งานทำที่บริษัทเทรดดิ้งที่โตเกียว เป็นพนักงานประจำ ได้เงินเดือนและสวัสดิการ บำนาญทุกอย่างเท่าคนญี่ปุ่น ซึ่งเงินเดือนสตาร์ทเด็กจบใหม่ที่นี่ส่วนมากเท่าๆ กันทุกบริษัท ของเจ๊ดหักภาษี หักค่าหอค่าน้ำไฟอะไรต่างๆ แล้วได้อยู่ 200,000 เยน เทียบเงินบาทประมาณ 70,000 บาทค่ะ กินอยู่สบายมากค่ะ เงินเหลือเก็บเพียบ เพราะค่าครองชีพเค้าแพง แต่เงินเดือนก็พอเหมาะพอเจาะกันค่ะ งานก็ไม่ได้ยากเว่อ เราเข้าไปเริ่มทำพร้อมเด็กใหม่คนญี่ปุ่นทั่วๆ ไปค่ะ


แต่ถามว่าระหว่างเรียนภาษาเดี่ยวๆ โดดๆ มาเจ็ดแปดปีนี่ รู้สึกอะไรบ้างไหม ขอบอกว่ากดดันค่ะ เพราะมีพี่ฝาแฝดเรียนสายวิทย์ ดังนั้นเราจะรู้เลยว่าช่วงม.ปลายนี่ ทุนเอยอะไรเอย รายการแข่งขันทั้งหลาย มันไปสายวิทย์ทั้งนั้น แทบไม่มีทุนการศึกษาให้เด็กสายศิลป์เลย จะทุนรัฐบาลญี่ปุ่น เกาหลี ทุนคิง ทุนกพ. ทุนอะไรก็ตามแต่ ไหนจะคนที่ถามไถ่ว่าตอนเด็กๆ ก็เรียนเก่งทำไมไปสายศิลป์ แต่เรามีเป้าหมาย เราเลือกแล้วก็ต้องเรียนต่อไปให้ดีที่สุด จะท้อบ้างบ่นบ้างก็ตามแต่ พ่อแม่ก็ต้องหนักแน่นและช่วยวางแผนให้ลูกด้วย


และถ้าจะเรียนสายศิลป์ ต้องเลือกโรงเรียนที่ดี ไม่ใช่ว่าจะพึ่งหลักสูตรของเค้านะคะ แต่ให้เราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเพื่อนดีๆ มีการแข่งขันกันพอประมาณ ให้เรามีแรงจูงใจที่จะเรียน ไม่งั้นเราจะขี้เกียจได้ง่าย เพราะมันเรียนไม่ได้หนักเท่าสายวิทย์ แต่อาศัยคนเรียนต้องเอาเวลาไปฝึกฝนขวนขวายเอาเองนอกห้องเรียน


เจ๊ดเรียนภาษาอังกฤษกับมิชชันนารีตั้งแต่เด็กเป็นสิบปี จนพูดได้ถึงค่อยเรียนภาษาที่สอง คือภาษาญี่ปุ่นกับ OKLS ตอน ม.ต้น จากนั้น ม.ปลาย เจ๊ดมุ่งเป้าเลยว่าจะเข้าศิลป์ภาษา เพราะไม่ชอบเลขค่ะ ซึ่งพ่อแม่ไม่ได้ห้าม แต่ชี้แนะไว้ว่า


“ถ้าจะไปสายภาษา ต้องเอาให้เก่งระดับท็อป เรียนให้แตกฉาน ไม่ใช่งูๆปลาๆ”


สายภาษาในห้องอาจจะเรียนชิวๆ แต่ถ้าอยากได้งานดี มันไม่ได้หมู เรียนแค่ในห้องไม่พอ ต้องหาเรียนเองเพิ่มด้วย แล้วสำคัญมากคือต้องใจรัก เพราะภาษาเป็นพรแสวง ไม่ใช่พรสวรรค์เหมือนเลข


เลขคนที่หัวไปทางนี้ไม่ได้ ยังไงก็คิดไม่ออก แก้โจทย์ไม่ได้ ไม่เข้าใจ ได้แต่จำๆ ไปสอบ พอโจทย์พลิกนิดหน่อยก็คิดไม่ออกอยู่ดี คนที่ไม่ได้เลขไม่ใช่ว่าโง่ มันอยู่ที่ลักษณะสมองของแต่ละคนจริงๆ ว่าถนัดหรือเปล่า


แต่ทางภาษา คนทุกคนมีความสามารถในการเรียนภาษาอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด (ก็เกิดมาทุกคนต้องพูดนี่นะ 555+) การเรียนภาษาที่สองขึ้นอยู่กับความพยายาม ต้องใช้เวลาอยู่กับมันยาวนาน อาจต้องเป็นสิบปีถึงจะทำได้


เพื่อนที่เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะชอบอนิเม ชอบเพลง ชอบไอดอล ล้มเลิกตอน ม.5-6 เจ๊ดเห็นหลายคนแล้วค่ะ ทั้งที่เรียนได้ดี แต่เค้าไม่ได้อยากเรียนเข้มข้นถึงระดับใช้ทำงาน ดังนั้นต้องคิดให้ดีว่าเราพร้อมจะอยู่กับมันไปตลอดชีวิตการทำงานหรือไม่ รักที่ตัวภาษา หรือว่ารักที่อะไร ขนาดเจ๊ดอยู่กับภาษานี้มาสิบปี เจอการทำงานเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งวันยังเหนื่อยเลย


เรื่องเลขไม่ไหวนี่เจ๊ดรู้ตัวเองตั้งแต่เด็ก คือเรียนได้ แต่ไม่ชอบ แต่พ่อพี่รู้ดีเพราะเคยเรียนสายวิทย์มาก่อน แล้วรู้ตัวเองว่าไม่ไหว ตอนสอบเข้ามหาลัยเลยเลือกเข้าบัญชีถึงได้ผ่าน พ่อบอกว่าเลขตอนประถมถึงม.ต้น ส่วนใหญ่มันเป็นเลขในชีวิตประจำวันที่มีตัวตนจับต้องได้ จินตนาการออก แต่พอขึ้นม.ปลายมันจะเปลี่ยนไปเป็นเลขที่ต้องมโนเอาเอง มองไม่เห็น ดังนั้นคนจะไปรอดไม่รอด มันวัดกันตอน ม.ปลาย เก่งเลขตอนเด็กไม่ได้หมายความว่าจะไปสายวิทย์ได้ดี


พ่อเจ๊ดเลยเข้าใจเมื่อเจ๊ดทำเลขไม่ได้ แต่แม่ยังเสียดายหน่อยๆ เพราะคิดว่าถ้าเจ๊ดพยายามก็คงทำได้แต่เจ๊ดต่อต้านเฉยๆ แต่ทั้งสองท่านรู้ว่าเจ๊ดมีความถนัดทางภาษามากกว่าพี่ชาย ก็เลยมั่นใจว่าเจ๊ดไปทางนี้ถ้าพยายามก็จะทำได้ดี ถ้าไงลองดูว่าเลขม.ปลายเรียนอะไร ว่าเราสนใจและไหวมั้ยด้วยนะคะ ประกอบการตัดสินใจ


เจ๊ดเรียนศิลป์-ญี่ จบม.ปลาย จากนั้นก็สอบเข้าอักษรศาสตร์เอกญี่ เรียนไปสามปี ก็มี recruit จากญี่ปุ่นมารับสมัครเด็กที่มหาลัยในไทยไปร่วมงานแฟร์หางานที่ญี่ปุ่น ผ่านการคัดเลือกหลายรอบ ก็ได้มาทำงานทีญี่ปุ่นค่ะ แต่ไม่ใช่เจ๊ดคนเดียว มีเพื่อนกับรุ่นน้องอีกเกือบสิบคนก็ผ่านเหมือนกัน แล้วงานแฟร์แบบนี้ไม่ได้มีงานเดียว แต่มีมาเรื่อยๆไม่ไ้ด้จำกัดเฉพาะเอกญี่ด้วย เพื่อนคนไทยมาทำที่เดียวกันก็จบไฟแนนซ์มา พูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย เค้าก็รับมาแล้วออกค่าเรียนภาษาให้ด้วย


หรือถึงพลาดหวังไป เพื่อนที่ทำงานเป็นล่ามในนิคมให้นายญี่ปุ่น ก็เห็นสตาร์ทกันสามสี่หมื่น ถ้าสอบ N1 ได้เพิ่มให้อีกหมื่น ไม่ได้น้อยหน้าสายวิทย์ตรงไหนเลยถ้าตั้งใจจริง


บริษัทญี่ปุ่นไม่แคร์ว่าคุณจะจบคณะไหน สายอะไร ยกเว้นงานที่ต้องเป็นสายเทคนิค วิศวะจริงๆ เพราะระบบงานญี่ปุ่นเค้าจะจับเด็กฝึกใหม่หมด และ rotate งานอยู่แล้ว คนญี่ปุ่นเลยเลือกคณะเรียนมหาลัยแบบค่อนข้างอิสระ บริษัทยอดฮิตของสายศิลป์คือเทรดดิ้ง ซึ่งเงินดีที่สุด เจ๊ดมีฝาแฝดผู้ชายที่ตอนนี้ได้ทุนมาเรียนตรีโทอยู่ญี่ปุ่น เรียนวิศวะเคมี เห็นชีวิตเค้าแล้วเราเหนื่อยแทน อ่านหนังสือหนาเตอะเป็นตั้งๆ ทำแล็ปหามรุ่งหามค่ำ เค้าก็บอกเงินเดือนสตาร์ทเค้าในงานวิศวะเผลอๆ จะเท่ากับเงินเดือนเจ๊ดด้วยซ้ำ แต่นั่นเขารักที่จะเรียนทางนี้ก็เลยยอมเหนื่อย


บริษัทญี่ปุ่นช่วงนี้เริ่มรับชาวต่างชาติเพราะประเทศเค้าขาดคน และขาดคนที่พูดอังกฤษได้ และจากที่ทำงานมา คนญี่ปุ่นทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวว่ายังรักประเทศไทย ชอบมาเที่ยวไทย อยากมาลงทุนที่ไทย อยากให้รัฐบาลไทยสนับสนุน และเค้ามาแบบแฟร์ๆ ไม่เอารัดเอาเปรียบ เป็นประเทศที่น่าทำงานด้วย สังเกตจากคนญี่ปุ่นมาเที่ยวไทยเยอะมากตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่มีการมาแบบทัวร์ศูนย์เหรียญ หรือหอบคนญี่ปุ่นมาตั้งร้านของฝาก ตั้งทัวร์ ตั้งไกด์ ไม่เหมือนอีกหลายประเทศที่เข้ามา ญี่ปุ่นเค้าไปที่ไหน เค้าพร้อมจะจ้างคนพื้นถิ่นที่นั่นทำงาน จ้างคนประเทศนั้นมาเป็นล่าม พร้อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและลงทุนอะไรต่อมิอะไรให้ เพราะเขาทำงานระดับโลกเขามีกฎธรรมาภิบาล คอมไพลแอนซ์โน่นนี่นั่นที่ต้องรักษา


ไม่ได้บอกว่าญี่ปุ่นไม่มีโกงหรือเข้าข้างญี่ปุ่นนะคะ แต่เค้าดูแลพนักงานและประเทศที่เข้าไปลงทุนค่อนข้างดี ประวัติก็ยังดีกว่าหลายๆ ประเทศ ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น ไม่มีใครดูถูกหรอกค่ะ ฝรั่งก็ยังยอมรับนับถือ ตอนนี้คนเวียดนาม คนพม่าคนลาว ประเทศเพื่อนบ้านเราเค้าก็ฮิตเรียนภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีนกันทั้งนั้น


เวลามีคนถามพ่อเจ๊ดว่าทำไมให้ลูกเรียนภาษาญี่ปุ่น ทั้งๆที่ช่วงนี้ภาษาจีนบูม พ่อก็ถามกลับเลยว่า เคยได้ยินคนทำงานบริษัทจีนแล้วเงินเดือน สวัสดิการดีไหม ได้ยินแต่บริษัทญี่ปุ่นใช่ไหม อีกอย่างคือจีนคนล้นประเทศ เค้าจะมาจ้างคนไทยไปทำไม ในเมื่อคนจีนก็มีมากมายให้เลือกใช้อยู่แล้ว การแข่งขันจะสูงมาก


ดังนั้นขอสรุปว่า สายศิลป์ ไม่ใช่เรียนง่าย และไม่ใช่จบไปไม่มีงานทำ สายวิทย์ ไม่ใช่จบไปแล้วดีกว่า มันอยู่ที่ว่าเราตั้งใจแค่ไหน ทำได้ดีแค่ไหน สองสายไม่ต่างกันหรอกค่ะ ถ้าไม่เก่ง ไม่พยายาม ก็ไม่ได้ดีทั้งคู่ ต้องวางแผนดีๆ ดูตลาดงานทั้งนั้น


อยากให้พ่อแม่ ครู ผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่ปรามาสว่าสายศิลป์กากๆ จบไปทำอะไร ลองเปลี่ยนความคิด เปิดใจฟังเรื่องเล่าจริงๆ จากคนรอบตัวดูบ้างค่ะ เด็กที่ใจรักในภาษา ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ พ่อแม่บางคนที่ทำงานกับญี่ปุ่นแล้วได้ดี อยากให้ลูกเรียนภาษาบ้าง แต่ลูกไม่เอา เขาก็เสียดายกัน เจ๊ดเจอมาหลายคนค่ะ


เอาใจช่วย จขกท. นะคะ อยากให้คุยกับพ่อแม่ให้เข้าใจ และคิดเลือกทางเดินที่เหมาะกับเราที่สุด แล้วเลือกแล้วก็ต้องตั้งใจมากๆ นะคะ แต่ยังไงก็ตามแต่ ยุคนี้ภาษาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ค่ะ ทั้งอังกฤษแล้วก็ภาษาที่สาม จะจีนหรือญี่ปุ่นหรืออะไรก็ตามแต่ ยังไงควรเรียนทุกคน บอกตรงๆ เจ๊ดได้สบายวันนี้เพราะพ่อแม่เคี่ยวให้เรียนอังกฤษแต่เล็กๆ แต่ต่อมาก็แล้วแต่ว่าเราจะเรียนเป็นหลัก ทุ่มกับมันให้เต็มที่ หรือจะเรียนคู่ไปกับสายวิทย์ อันนี้ต้องแล้วแต่ถนัดและใจล้วนๆ เพราะเรียนสายภาษาต้องใจเด็ด ต้องเข้มแข็ง และวางแผนดีๆ ค่ะ เพราะทางเลือกเราจะหายไปครึ่งหนึ่งเลยจริงๆ โดยเฉพาะในไทยที่ทุกบริษัทแคร์เรื่องคณะที่จบมา และอย่าลืมว่าเรียนในห้องยังไงก็ไม่พอค่ะ ต้องขวนขวายด้วยตัวเอง





0
Heavenly Blue 19 ก.พ. 61 เวลา 16:59 น. 12

พี่ก็จบศิลป์ภาษาญี่ปุ่นจ้าาา (ตอนนี้ต่อมหาลัยเน้นญี่ปุ่นเหมือนกัน)


ตอนเเรกก็นั่งเครียดเหมือนกัน ว่ามีเเต่คนให้เข้าวิทย์/คณิตอะไรพวกนี้ซิ

เเต่ว่าพี่ไม่ชอบไม่ถนัดด้วยก็เลยบอกทุกคนตรงๆว่า 'ไม่ถนัดวิทย์/คณิต' บอกตรงๆเลย ตอนเเรกก็โดนบังคับเหมือนกัน พอเราเเสดงเจตนาที่เราจะเรียนศิลป์ภาษา เขาก็พอจะเข้าใจ เเล้วก็ถ้าเรากลัวไม่ได้เรียนจริงๆก็เเสดงให้เขาดูเลยว่า เราทำได้เราสามารถพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น เเล้วเขาจะยอมใจอ่อนให้เราเรียนเอง


จริงๆเเล้วภาษาสำคัญมากนะ เพราะถ้าต่อให้เราเก่งวิทย์ คณิต ขั้นอัจฉริยะเเค่ไหนเเต่ถ้าพูดไม่รู้เรื่องมันก็จบเห่พอดี สมัยนี้คนที่เรียนทางสาย ศิลป์ภาษา จบมาก็มีงานทำดีๆเยอะเเยะ เงินเดือนก็สูงพอๆกับพวกเเพทย์ หมอซะอีก เชื่อซิ

"ชีวิตนะเป็นของของเรา จะชะตาจะใคร เขาก็ไม่สามารถ

กำหนดชีวิตเราได้ นอกจากตัวเราเอง"

///สู้ๆนะ!!! พี่เป็นกำลังใจให้ ถ้าไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นตรงไหนทักมาได้:)

0
เกย์อักษรฯเอกปรัชญา 19 ก.พ. 61 เวลา 17:44 น. 13

เข้ามาอ่านความเห็นคนในนี้ส่วนใหญ่แล้วเราก็แอบตกใจที่หลายๆคนหัวก้าวหน้ากว่าที่เราคิดไว้ ใช่แล้วล่ะจ้า หนูต้องเป็นตัวการในการตัดสินใจเอง ไม่ใช่ให้แม่มาแทรกแซงจนหนูเสียความเป็นตัวการของหนูเอง ณ ปัจจุบันนี้ เฟมมินิสต์ได้พัฒนาคอนเซปต์ที่เรียกว่า "dignifying care" เราแปลเองว่า การให้การ "ภูมิทักษาแล" หมายถึงการดูแลโดยรักษาไว้ซึ่งความเป็นตัวการของผู้ที่ได้รับการดูแล เช่น กรณีแม่หนูกับหนู หนูต้องได้รับการดูแลโดยสงวนไว้ซึ่งความเป็นตัวการของหนูเอง แม่หนูมีหน้าที่สนับสนุุนสิ่งที่หนูเลือก ช่วยหนูวางแผนให้บรรลุเป้าหมายที่หนูเป็นคนเลือกไว้ ส่งเสริมให้หนูเติบโตขึ้นอย่างที่หนูเป็น อำนวยความสะดวกสบายในการเรียน จัดหาห้องอ่านหนังสือที่เงียบเป็นส่วนตัวไร้สิ่งกวนใจ ทำอาหารสะอาดอร่อยให้พร้อมทานตลอดเวลาที่หิว ช่วยปลอบขวัญให้กำลังใจยามหนูท้อ ช่วยหาข้อมูลสนับสนุนไปในทิศทางที่หนูเลือกไว้ เป็นนักแข่งเท้าหลังซึ่งหมายความว่าเป็นผู้แข่งขันในสนามทุนนิยมที่คอยสนับสนุนลูกๆให้คว้าชัยชนะในสิ่งพวกลูกๆเลือก เป็นผู้แข่งขันที่คนภายนอกครอบครัวมองไม่เห็น แต่สำหรับผู้แข่งขันในเบื้องหลังนี้ ความสำเร็จของตัวเองเกิดขึ้นรู้แก่ใจตัวเองเมื่อเห็นลูกๆประสบความสำเร็จ

นี่พี่ไม่ได้มโนขึ้นมาเองนะ มันเป็นเนื้อหาวิชาเรียนในปรัชญาสตรีล่ะจ้ะ

ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองอ่านดูเองก็ได้นะ บทที่ 1 ของ Catriona Mackenzie น่ะ http://eltalondeaquiles.pucp.edu.pe/wp-content/uploads/2016/09/Studies-in-Feminist-Philosophy-Catriona-Mackenzie-Wendy-Rogers-Susan-Dodds-Vulnerability_-New-Essays-in-Ethics-and-Feminist-Philosophy-Oxford-University-Press-2013.pdf

อ่านแล้วอยากจะถามหน่อยว่าไหนใครคิดว่าเรียนปรัชญามันง่ายๆแบบว่าอยู่ๆใครจะมโนอะไรขึ้นมาก็ได้ ? คุณเห็นไหมว่ามันมีฐานเปเปอร์งานวิจัยที่เข้าใจยากแต่ล้ำลึก


"คุณเเม่กับคุณพ่อก็พยายามคุยเรื่องนี้กับเรามาเรื่อยๆเลย คุณเเม่ก็บอกว่าเรียนวิทย์คณิตมันได้เปรียบกว่านะ ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ มีใครอธิบายที่คุณเเม่บอกมาได้บ้างคะ"

ตอบ-> คือใช่จ้ะกรณีที่ยังไม่ชัดเจนว่าอยากเรียนคณะไหนสาขาอะไรของมหาวิทยาลัยและยังไม่ได้วางแผนว่าจะประกอบอาชีพอะไรในอนาคต เพราะสายวิทย์เอนท์เข้าคณะสายศิลป์ได้ทั้งหมด แต่สายศิลป์เข้าได้แต่คณะของสายศิลป์(ยกเว้นไปเรียนม.เอกชนหรืออินเตอร์ที่เขารับหมด) เช่นสายวิทย์เอนท์เข้าพยาบาล ทันตะ เภสัช วิศวะม.รัฐบางแห่งได้แล้วยังเอนท์เข้าอักษร รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ศิลปกรรมก็ได้หมด แต่สายศิลป์เอนท์เข้าพยาบาล ทันตะ เภสัช วิศวะม.รัฐบางแห่งไม่ได้(เฉพาะคณะแพทย์ที่เขายอมให้เอนท์ได้แต่ต้องใช้ความรู้วิทย์ล้วนๆสุดๆซึ่งสายศิลป์ไม่ได้เรียนแล้วก็ไม่ค่อยมีเด็กสายศิลป์เอนท์เข้าหมอได้ คิดว่าที่เฉพาะกรณีแพทยศาสตร์ประกาศแบบนี้เพราะพวกเขามั่นใจว่าระบบสนามแข่งของแพทย์มันคัดกรองได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว)


ขอเสริมแง่คิดดังต่อไปนี้หาก หนู จขกท.คิดจะเรียนสายศิลป์


1.สายศิลป์โดยภาพรวมแล้วหลายๆโรงเรียนจะแค่จัดการเรียนแบบตัดวิทย์ทิ้งแล้วไม่ได้เน้นวิชาภาษาลงลึกอะไรไปกว่าสายวิทย์เลย ยกเว้นว่าจะเป็นสายศิลป์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาหรือบางแห่ง ภาษาที่สามของสายศิลป์มันก็ได้เรียนแค่แตะๆขาดประสิทธิภาพมากๆ วิชาสังคมกับภาษาไทยก็ได้เรียนเนื้อหาเดียวกันกับสายวิทย์ วิชาเลขสายศิลป์ก็โดนตัดแคลคูลัสทิ้ง

สรุปคือเป็นสายที่โดนตัดเนื้อหาทิ้งแค่นั้นซึ่งไม่ช่วยให้ได้เปรียบอะไรเลย


2.จากความชั่วร้ายในข้อ 1. พี่เสนอว่าลองพิจารณาทางเลือกเรียนแบบ homeschooling เน้นเรียนวิชาภาษาที่ชอบ บวกกับหาความรู้ทักษะที่จะไว้ใช้กับการประกอบอาชีพในอนาคต เช่นทักษะการทำอาหาร การปลูกต้นไม้ โปรแกรมมิ่ง หรือทักษะการวาดรูปและการใช้ซอฟต์แวร์โปรแกรมสายอาร์ตต่างๆ หรือการพัฒนารักษาไว้ซึ่งบุคลิกภาพรูปร่างหน้าตาซึ่งจะไว้ใช้ทำงานบริการต่างๆ เป็นต้น



1
jade 19 ก.พ. 61 เวลา 18:43 น. 13-1

ขอตอบในฐานะศิลป์ญี่เตรียม เตรียมก็สอนไม่พอค่ะ 555 ไม่ใช่ครูไม่ดีนะคะ คุณครูทุกท่านตั้งใจมาก แต่พื้นฐานนักเรียนตอนเข้ามาไม่เท่ากันค่ะ บางคนเรียนมาแล้ว(อย่างเจ๊ด) บางคนไม่เคยเรียนมาเลย แถมความจริงจัง เป้าหมายแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วห้องนึงมีตั้งเกือบห้าสิบคน ครูก็ต้องเริ่มแต่แรก ไปช้าๆ ค่ะ แล้วเวลาก็ถูกเบียดบังด้วยวิชาอื่นอีก กว่าจะจบท่องอักษรนี่รู้สึกจะครึ่งเทอม บางคนจะจบ ม.6 แล้วตัวอักษรยังไม่แข็งเลย 


ดังนั้นเรียนที่ไหนก็แล้วแต่ต้องขวนขวายเพิ่มมากๆ ค่ะ จะชั้นไหนสายไหนก็ตามแต่ พ่อแม่ห้ามฝากความหวังไว้กับโรงเรียนอย่างเดียว เจ๊ดเรียนสายนี้มีเวลาว่างเยอะ ก็ใช้ไปกับการเรียนเอง ฝึกเอง (และแต่งนิยายบางส่วน 555) แล้วพ่อแม่ก็พร้อมหนับหนุน ซื้อสื่อหนังเพลงการ์ตูนให้เราฝึกเต็มที่ด้วย 555

0
Masui 20 ก.พ. 61 เวลา 00:47 น. 14

พี่พลาดนะคะเอาจริงๆ พี่ชอบภาษาแต่คุณพ่อของพี่ไม่ยอมค่ะ ท่านจะให้เรียนแต่วิทย์-คณิตอย่างเดียวเลย พี่ก็เลยทำตามคำแนะนำของท่านเพราะก็พอเรียนได้อยู่ แต่พอมาเรียนจริงๆแล้วคือพังและพลาดมากๆค่ะ ไม่มีความสุขในการเรียนเลยแม้แต่น้อย ผลการเรียนก็ไม่ได้แย่ แต่ไม่มีความสุขและเครียด+กดดัน ถ้าน้องไม่เครียดหรือกดดันตัวเองไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครก็น่าจะโอเคอย่นาา อยากให้น้องเลือกในสิ่งที่น้องมีความสุขในการเรียนนะคะ ลองพิจารณาหลายๆทางเนาะ จากประสบการณ์คนที่เคยพลาดมาก่อน

0
G.Tenju 20 ก.พ. 61 เวลา 01:47 น. 15

ทุกคนตัดสินใจเรื่องต่างๆ จากประสบการณ์ตัวเองเสมอ

พ่อแม่เขาเคยมีประสบการณ์แบบนั้น เขาก็คิดว่าแบบนั้นดี


แต่ยังไงคนรุ่นเก่าก็ตามคนรุ่นใหม่ไม่ทันอยู่แล้วครับ

ไม่ว่าเราจะเลือกเส้นทางไหน ถ้าไม่ตรงใจเขา ก็เหมือนพูดว่า


"พ่อคะ แม่คะ... พรุ่งนี้หนูจะไปดวงจันทร์"


พ่อแม่ก็ต้องห้ามลูกตัวเองอยู่แล้ว ด้วยความเป็นห่วง

ส่วนใหญ่พ่อแม่ที่จะบังคับแนวทางให้ลูกเดินมักจะมา 2 แบบ

ถ้าไม่ใช่การ 'หวังดีแบบผิดๆ' ก็จะเป็นเรื่องที่ว่า 'ลูกทำตัวไม่น่าเชื่อถือ'


หมายความว่าไงลูกทำตัวไม่น่าเชื่อถือ?


"ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยต่อต้านค่ะ เพราะเรายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็เลยเรียนๆไปก่อน"


ถ้าลูกคนไหนยังหยิบจับหรือเลือกอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้

ก็เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่จะแสดงความเป็นห่วงด้วยการ 'เลือกให้'


ถ้าเราอยากจะเลือกเส้นทางนี้แต่มันไม่ตรงใจพ่อแม่

ก็ลองถามเขาดูว่า "ทำไม?" แล้วสังเกตคำตอบของเขา

ถ้าเขาพูดถึงความมั่นคง เราก็ต้องแสดงความมั่นคงให้เขาเห็นว่า


เราเอาจริง! ลุยจริง! เลือกแล้ว! วางแผนแล้ว!

มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน อยู่กินกับทางเดินนี้ได้

พ่อแม่ไม่ต้องห่วง หนูเลี้ยงตัวเองได้


ถ้าเราแสดงความมั่นคงของตัวเราให้พ่อแม่เขาเห็นได้

เน้นผ่านการกระทำ (อธิบายให้ฟังส่วนใหญ่ไม่ค่อยรอด)

พ่อแม่เขาก็จะเชื่อใจเรา แล้วปล่อยให้เราเลือกเอง


พ่อแม่ยังไงก็อยากเห็นลูกมีความสุขอยู่แล้ว


อีกทางเลือกหนึ่ง ผมแนะนำ(มากๆ)ให้ลองศึกษาคนนี้ดู 'โจน จันได'

https://www.youtube.com/watch?v=HQsJ-F5vAeU

0
Mirami 20 ก.พ. 61 เวลา 03:12 น. 16

คนที่เรียนเอกด้านภาษาได้เปรียบการด้าน

การสือสาร การทำธุระกิจมากกว่าสาย

อื่นๆ วิชาวิทย์กับคณิตสามารถนำมาใช้ได้

ตลอดชีวิตอยู่เป็นประจำ ในสายตาฉัน

คุณคือพ่อค้าหัวใจ นักธุระกิจรวยจริงๆ

เขาเรียนด้านนี้ กันนะ คนที่ชอบแบบปกติ

อย่างมีความสุข เขาก็เรียนด้านอื่น


คำแนะนำ ลองพูดประโยชน์กับแม่ดู

หนูอยากเป็นนักธุรกิจ ที่รวยระดับแสนล้าน

ล้าน (กะสาปปะณะ) เป็นอัตราเงินในอดีต

ของประเทศอินเดียที่แพงกว่าสกุลเงินทุก

ประเทศในปัจจุบัน อีกอย่างเรียกว่า โกฎี

ไม่แน่ใจว่าออกเสียง ว่าใช่ โก-ตี เพราะ

เป็นภาษามะคต มคต อาจจะแพงกว่า

บิตคอย เพราะสามารถชื้อของแพง เช่น

พวกเครื่องเงินถมยา อัญมณีไม่กีเหรียญ


0
VarnFc 20 ก.พ. 61 เวลา 20:08 น. 18

เอาที่เรียนเเล้วมีความสุขดีกว่านะะน้อง ไม่จำเป็นhttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-big-01.pngต้องชอบเรียน เเค่น้องเปิดใจ มันคงไม่ยาก เพราะตอนนี้พี่ก้อเรียนในสิ่งที่พ่อเเม่เลือกไห้ ทั้งๆที่พี่ไม่ได้อยากเรียนเเละก้อไม่ชอบด้วย เเต่พี่ก้อมีความสุขดี เพราะมันทำไห้คนที่พี่รักทั้งสองคนมีความสุข เเต่ก้อเเล้วเเต่น้องดีกว่าเนอะ เอาที่มีความสุขดีกว่ ดีกว่าเลือกเรียนตามที่เเม่บังคับเรียนเเล้วอึดอัดมันจะไม่จเอาน่ะ สู้้ๆนะน้อง ลำบากในวันนี้อาจสบายในวันนหน้า

0
DarknessAngle 21 ก.พ. 61 เวลา 17:35 น. 19

คุณแม่เขาอยากให้พี่ได้สิ่งที่ดีที่สุดในสายตาเค้าค่ะ แต่ถ้าพี่ไม่ชอบสิ่งที่คุณแม่เลือกให้พี่ก็ต้องหาเหตุผลมาค้านว่าทำไมพี่ถึงอยากเรียนอันนี้ แต่ต้องนุ่มนวลสักนิดนะคะ ไม่งั้นเค้าอาจจะคิดว่าเราเถียงหรือทำเป็นเก่ง

0
อัศวินรัตติการ 22 ก.พ. 61 เวลา 09:47 น. 20

พี่ก้เรียนวิทย ทุกวันนี้บอกตามตรงสงสัยตัวเองตลอดว่าเรียนวิทยทำไม เพราะรู้สึกว่าเรียนแล้ว นอกจากจะไม่ชอบแล้ว ยังฉุดเกรดแบบสุดๆ เราตอนเลือกสายการเรียน ดันไม่ชอบภาษา แต่พอเรียนไปรู้สึกว่าวิทยคณิตมันยากและเริ่มไม่ใช่แนวที่เราชอบ เริ่มชอบภาษามากกว่าและเราก็ทำคะแนนได้ดีกว่า ตอนนี้แอดก็กะว่าจะเข้าคณะสายภาษา แอบเสียดายเวลาเหมือนกัน แต่ก็คิดในแง่ดีว่า อย่างน้อยรู้ตัวตอนนี้ก็ดีกว่าต้องเสียเวลาตอนเข้าไปมหาวิทยาลัยอีก4ปี ถ้าทนเรียนวิทยต่อไปคงทรมาน เอาแบบที่ชอบ ค่อยๆคุยกับพ่อแม่ ยังไงเค้าก็เข้าใจ สายศิลป์ญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ไม่ดี เรียนมายังไงถ้าเราตั้งใจหางานได้หมดอยู่แล้ว ฟังเสียงใจเราเองดีที่สุด

0