Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ตอนเด็กเป็นคนโมโหร้าย โตมาไม่โหโมใส่คนอื่นแต่ชอบทำร้ายตัวเองแทน

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ขอปรึกษาค่ะ
ตอนเด็กๆเราเป็นคนขี้โมโหมาก(อนุบาล-ประถม3) เวลาไม่พอใจจะกริ๊ด ตะโกนเสียงดัง แล้วก็ปาข้าวของ แต่จะทำเฉพาะที่บ้านเท่านั้นค่ะ ไม่กล้าโวยวายนอกบ้าน อายเขา 5555
แต่พอโตมาเรื่อยๆก็ไม่ได้โมโหร้ายค่ะ(ม.1ขึ้นไป) แต่เหมือนสลับขั้วเลยคือเป็นคนอารมณ์นิ่งๆ แบบว่าอารมณ์เสียยากมาก นานๆทีจะรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง
แต่-ช่วงที่นานๆทีนี่แหละ ชอบเอาหัวโขกกำแพงไม่ก็ข่วนแขนตัวเอง ที่ทำ2อย่างนี้คือจะไม่มีใครเห็นร่องรอย รอยข่วนทิ้งไว้ชั่วโมงนึงก็จางแล้ว รู้สึกอยากเรียกร้องความสนใจแต่ก็ไม่อยากให้ใครสังเกตุเห็นอ่ะค่ะ งงมะ เราก็งง 5555
เหมือนพอทำแล้วรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายหรอกค่ะ เหมือนทำแล้วมันระบายอารมณ์ได้นิดนึงแล้วก็ไม่เดือดร้อนคนอื่น
ตอนนี้คิดอยู่ว่าความจริงแล้วนิสัยตอนเด็กๆเรามันไม่ได้หายไป แต่มันแค่ถูกซ่อนไว้ในเบื้องลึกของจิตใจค่ะ
ใครมีทางแก้นอกจากไปหาหมอไหมคะ อยากรู้ว่ามีใครเป็นแบบเราหรือเปล่า แล้วแก้ปัญหากันยังไง
(อาจจะอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องนิดนึง เพราะไม่ค่อยได้เขียนไรแบบนี้ค่ะ)
ขอบคุณค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>

13 ความคิดเห็น

Unseena 29 ก.ค. 61 เวลา 07:04 น. 1

อยากให้จขกท.ลองไปสูดอากาศเย็นๆ ทำใจให้สงบนะคะ บางทีเครียดเกินไปก็ทำร้ายตัวเองได้(ไม่ดีเลยน้า) เพราะงั้นลองทำให้สิ่งที่ตัวเองชอบหรือสนใจ อาการเหล่านี้ก็จะค่อยๆคลายลงค่ะ บางทีไม่ต้องมีเพื่อนก็ทำให้เรามีความสุข(อย่างเราเอง)ขี้เกียจตามเพื่อนไปไหนๆ ไปทำบุญไรทำให้จิตใจสว่าง ก็เป็นทางเลือกที่ดีอย่างนึงค่ะ

0
รอรอ 29 ก.ค. 61 เวลา 09:22 น. 2

เราก็เป็น ตอนเด็กๆ โกธรก็ทำร้ายข้าวของ ตอนนี้กลับเป็นคนนิ่งมาก นิ่งจนหยิ่ง เก็บอารมณ์ทุกอย่าง โกรธก็ทำร้ายตัวเองแทนทั้งหยิก ตีตัวเอง อดข้าว เป็นเหมือนกัน แต่คนอื่นไม่เห็นรอยนะ ทำใต้ร่มผ้า หยิกจนเลือดออกอ่ะ เคยทำแบบทดสอบซึมเศร้า ผลออกมาเป็น แต่ไม่เคยหาหมอเลยไม่รู้จริงมั้ย แอบกลัวบวกตังค์ไม่พอ งงตัวเองเหมือนกัน 5555 ตอนนี้อารมณ์ อีกสักพักดิ่ง หงุดหงิด ก็เอาอีกเเล้ว ขอหาทางรักษาด้วยคน

0
Ameliey-7993 29 ก.ค. 61 เวลา 12:44 น. 3

คุณจขกท ลองไปปรึกษาจิตแพทย์ หรือ ฟังเพลง

คลาสสิกดูก็ได้ค่ะ เช่น เพลงรักหวานๆ ในประเทศ

ไทย เช่น อยากส่งความรัก ของวง Paradox หรือ

วงอื่นๆ ก็ได้ค่ะ การฟังเพลงสามารถช่วยให้คนเรา

สบายใจได้กว่าที่คิด และ มีสมาธิอยู่กับเพลง และ

ช่วยคลายความซีเรียสได้เป็นอย่างดีค่ะ

0
goy___^0^ 29 ก.ค. 61 เวลา 14:25 น. 4

คิดว่า กว่าแม่จะคลอดเราออกมา ระหว่างตั้งท้อง เกือบปี แม่ระวังขนาดไหน เพื่อไม่ให้กระเทือนเราในท้อง กว่าจะโตได้ขนาดนี้ เราใช้เงินที่พ่อแม่หามาอย่างยากลำบากไปเท่าไหร่ เพื่อให้ร่างกายเราเติบโตสมบูรณ์ เราทำร้ายตัวเอง ก็เหมือนทำร้ายคนที่เลี้ยงเรามา ก็จะกลายเป็นคนอกตัญญู คนที่เรารัก จะไม่สนใจความรู้สึกเรา เพราะเราเองที่ทำร้ายตัวเอง ยังไม่สนใจความรู้สึกของคนที่เขารักเราเลยว่าเขาจะรู้สึกยังไง ถ้ารู้ว่าเราทำลายตัวเอง ถ้าอยากมีอนาคตที่มีคนรักที่แคร์ความรู้สึกเรา ก็แคร์ความรู้สึกของคนที่เลี้ยงเรามา เลิกทำร้ายตัวเองที่เติบโตมาได้เพราะเงินของเขาเหล่านั้นเขาหามาอย่างยากลำบาก ถ้าเราหาเงินมาอย่างยากลำบากเพื่อเลี้ยงบำรุงคนๆหนึ่ง แต่เขากลับทำร้ายตัวเอง เราจะคิดยังไง จะเสียใจไหม เพราะฉะนั้น เลิกทำค่ะ

6
G.Tenju 29 ก.ค. 61 เวลา 20:09 น. 4-1

เข้าใจว่าหวังดีครับ แต่บางคนมีต้นเหตุมาจากพ่อแม่ตัวเองนั่นแหละ การยกเรื่อง 'อกตัญญู' ขึ้นมาจะทำให้คุณถูกเหมารวมว่านิสัยไม่ต่างจากพ่อแม่ของพวกเขาไปด้วยก็ได้ แล้วมันจะทำให้เขาอาการหนักกว่าเดิมเพราะรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจครับ


ผมเคยโดนแม่ของตัวเอง 'ทารุณกรรม' มาก่อน พอเจอคำแนะนำอย่างนี้เลยรู้สึกเกลียดผู้ใหญ่เข้าไส้ ส่งผลให้ไม่ไว้ใจใครไปพักใหญ่เลยครับ แล้วยิ่งคนที่พูดดันเป็น 'พระ' ผมเลยพลอยเกลียดศาสนาไปด้วยอีกทอดนึง กว่าจะรักษาจนหายได้เล่นเอาวุ่นวายพอดู

0
ItsFreakingCool,man! 29 ก.ค. 61 เวลา 20:21 น. 4-2

เราก็อ่านแล้วรู้สึกแย่นะ

ที่คุณคิดแบบนี้ได้คงโดนกดดันให้ทำตามค่านิยมพอสมควร แต่บางเรื่องก็ละเอียดอ่อน เป็นเรื่องเฉพาะทาง ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจ พูดรวมๆไม่ได้ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ

0
White Frangipani 29 ก.ค. 61 เวลา 22:22 น. 4-3

สวัสดี เจ้าของคห.ที่4 คหที่4-1 และคห.ที่4-2ค่ะ


ทั้งสามความเห็นนี้ อ่านแล้วเห็นว่ามีสาระ และเป็นมุมมองที่แตกต่าง...กันด้วย


คืออ่านแล้วรู้สึกได้ว่าเป็นสาระแตกต่าง จากมุมมุมมองที่แตกต่างกันไป หากแต่เป็นสาระ...ที่ดี ที่คุณทั้งสามยกมาสนทนา หรือยกมาเป็นหัวข้อ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเจ้าของกระทู้ ได้เป็นอย่างดี


เข้ามาร่วมวงสนทนา...ด้วยมุมมองของเจ้าของเม้นต์...ซึ่งมีต่อสาระซึ่งคุณทั้งสามส่งเข้ามานะคะ


ก่อนอื่น...คห.ของคุณเจ้าของตห.ที่4 นั้นอ่านแล้ว...รู้สึกและเข้าใจได้ว่า...น่าจะเป็นอะไรที่จะช่วยเป็นตัวยึดเหนี่ยว...เพื่อที่จะทำให้เจ้าของกระทู้ทุเลาอาการเอาแต่ใจ หรือปล่อยอารมณ์ให้ตนมีอารมณ์...เป็นไปตามที่เจ้าของกระทู้เล่ามานั้น คห.ที่4 ตอบได้ดีมากๆ คือเป็นวิธีแก้ไขที่ดีมากรู้สึกแบบนั้นค่ะ


สาเหตุที่เข้าใจว่า...คห.ที่4ตอบได้ดีมากนั้น เพราะเห็นด้วยตรงที่ว่า...การที่เด็กๆเขาจะระลึกถึงคุณพ่อ คุณแม่ หรือความรู้สึกกตัญญูกตเวที(หมายถึง บุคคลผู้รู้คุณที่คนอื่นกระทำแล้วและทำตอบแทน)ต่อคุณพ่อ คุณแม่ด้วยการคิดว่า...ตนต้องมีสติ ต้องตั้งสติ ให้จงได้ในยามที่มีอารมณ์ตกตํ่า มืดมน คือในอารมณ์ที่โมโหร้าย จนทำร้ายตนเอง...นั้น หากเจ้าของกระทู้ไม่คิดถึงตนเอง ก็ขอให้คิดถึงคุณพ่อคุณแม่บ้าง จะช่วยได้ค่ะ


คือขอให้ระลึกว่า...พ่อแม่จะทุกข์ทรมานสักเพียงใด...ที่จะต้องยืนดูลูกมีอารมณ์ตกตํ่า มืดมน ทุกข์ทรมานด้วยการทำร้ายตนเองเพราะขาดสติ ขาดภูมิต้านทาน...ด้วยการทำร้ายตนเองของลูกๆ


ในความจริงพ่อแม่รักลูกนะคะ และความที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรลูกได้เลยนั้น...เขาทั้งสองจะทรมานสักปานใด...และลูกๆผู้ที่ชาดสติ ตกตํ่า มืดมนจนทำร้ายตนเอง...นั้นแท้จริงเขาขาดสิ้น หมดสิ้นแล้วทุกอย่างนะคะนั้น


คือตัวตนของเขาเองก็เอาไว้ไม่ได้ ไม่มีสติ...ที่จะเหนี่ยวรั้งตนให้หยุดการกระทำดังกล่าวได้ เขายังจะทำร้ายหัวใจ ทำร้ายความรู้สึกของของพ่อแม่...อีกด้วย


รวมๆคือ เด็กที่มีอาการเช่นเจ้าของกระทู้...นั้น จริงแล้วเขาขาดที่ยึดเหนี่ยว เขาขาดสติ ขาดอาการพึงรู้ว่า...ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี ไปเสียแล้ว และในที่นี้...เขาทำลาย หรือทำร้าย ทุกคนซึ่งมีส่วนร่วม...ในชีวิตของเขา หรือแม้ตัวเขาเอง...ก็ถูกทำลาย...หรือถูกทำร้าย...ด้วยนํ้ามือของเขาเอง...ทั้งหมดนี้คือความจริงนะคะ


และสาเหตุ...ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร???? เราๆทุกคนที่มีสติรู้สาเหตุดังกล่าวนี้เป็นอย่างดี...นะคะ


สาเหตุเพราะ...เขาขาดสิ่งยึดเหนี่ยวค่ะ สิ่งยึดเหนี่ยวในที่นี้...คือ อาการที่จะพึงรู้ได้ว่า ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดีนะคะ


อาการที่จะรู้ได้ว่าผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี...นั้นแท้จริงจะเป็นตัวที่ทำให้คนที่มีสติ มีที่ยึดเหนี่ยว...และความกตัญญูรู้คุณ...หรือผู้ที่มีกตัญญูกตเวทีก็เป็นอีกหนึ่ง...ใน...ความดี...ซึ่งเจ้าของกระทู้จะสามารถใช้มันได้...เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว...เป็นแก่นสาร เป็นอุปกรณ์ เป็นสื่อในการสร้างภูมิต้านทาน อารมณ์ที่ตกตํ่า มืดมนของเขาเองได้เป็นอย่างดีค่ะ


คือหากแม้ในอารมณ์ที่โมโหโทโส ก่อนที่สติจะขาดไป...จนเขาลงมือทำอะไรที่ร้ายแรง หรือที่อาจจะรุนแรงกว่านั้น...หากเขาจะระลึก...ถึงคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ที่รักเขา หวังดีต่อเขา...บ้าง เพียงเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว...อาการความโมโหร้าย รุนแรง ก็จะสามารถบรรเทาลงได้...


เพราะฉะนั้น...ความกตัญญู รู้คุณ...หรือกตัญญูกตเวที ซึ่งมีอยู่ เกิดขึ้นได้...ที่จิตใจของคนเรา...นะคะ เป็นคุณ เป็นประโยชน์ เป็นความดี เป็นภูมิต้านทาน เป็นที่ยึดหนี่ยว เป็นที่จะสามารถรั้ง หรือบรรเทา...อาการเช่นของ...เจ้าของคุณเจ้าของกระทู้ได้เป็นอย่างดีค่ะ


คือเม้นต์นี้เห็นด้วยกับคห.ที่4เป็นที่สุดค่ะ


สำหรับคุณคห.ที่4-1นะคะ จากที่อ่านๆคำตอบของคุณมาจากหลายๆประเด็น ซึ่งมีสาเหตุเกี่ยวพันกับ...ความเป็นลูก และบุพการี...รู้สึกว่าคุณนะคะเกิดเป็นอาการกดดันและติดค้าง ติดพัน หรือถูกเหตุการณ์ร้ายๆ จากความที่คุณโชคร้าย...มีคุณพ่อ คุณแม่ที่ขาดศีลธรรม และจากที่อ่านๆมาคุณจะไม่ให้อภัย...แม่ของคุณด้วยนะคะนั้น ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับเจ้าของกระทู้นะคะ



เจ้าของเม้นต์นี้ เห็นด้วยกับคห.ที่4-2 เกี่ยวกับเหตุการณ์ของคุณคห.ที่4-1ค่ะ


เราก็อ่านแล้วรู้สึกแย่นะ

ที่คุณคิดแบบนี้ได้คงโดนกดดันให้ทำตามค่านิยมพอสมควร แต่บางเรื่องก็ละเอียดอ่อน เป็นเรื่องเฉพาะทาง ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจ พูดรวมๆไม่ได้ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ




คือปัญหาของคุณคห.ที่4-1ก็ดูจะเป็นอีกปัญหาที่แตกต่างรูปแบบนะคะ ซึ่งแน่นอนต้องแก้ไขในรูปแบบที่แตกต่างกันไปค่ะ


ผมเคยโดนแม่ของตัวเอง 'ทารุณกรรม' มาก่อน พอเจอคำแนะนำอย่างนี้เลยรู้สึกเกลียดผู้ใหญ่เข้าไส้ ส่งผลให้ไม่ไว้ใจใครไปพักใหญ่เลยครับ แล้วยิ่งคนที่พูดดันเป็น 'พระ' ผมเลยพลอยเกลียดศาสนาไปด้วยอีกทอดนึง กว่าจะรักษาจนหายได้เล่นเอาวุ่นวายพอดู


จริงแล้วปัญหาของคุณนะคะ หนักกว่า แย่กว่า ใหญ่กว่าของเจ้าของกระทู้นะคะนั้น ดูจะเป็นปัญหาของสุขภาพจิต...ด้วย รู้สึกว่าจิตที่สมดุลย์นั้นที่ถูกทำลาย จนยํ่าแย่ รู้สึกว่าคุณจะต้องฟื้นฟู และปรับสภาพความเข้าใจ ความเชื่อ ในความเป็นจริง หรือในพื้นฐานที่คุณจะสามารถรู้สึกดีได้ ในมุมมองเกี่ยวกับคุณพ่อ คุณแม่โดยทั่วไปนะคะ...คือจริงแล้วพ่อแม่ทุกๆคนไม่เหมือนกันทั้งหมดค่ะ


คือมีทั้งดี ทั้งไม่ดีนะคะ คือความจริง


คุณต้องพยายามทำความเข้าใจพื้นฐานสังคม...แห่งความเข้าใจของคุณเองใหม่ทั้งหมดนะคะ คุณจึงจะรู้สึกดีได้เกี่ยวกับความรู้สึก และมุมมองของคุณ คุณบอกมาด้วยว่าแม้ศาสนาคุณก็ไม่เกรง หรือไม่ศรัทธา เพราะสาเหตุมาจาก...การปฎิบัติของคุณแม่ของคุณ ต่อคุณ...นั้นจริงแล้วคนละเรื่องกันนะคะ หากแต่คุณกล่าวออกมาแบบนี้ได้...นั้นแสดงว่า...คุณยังคงวนเวียนอยู่ในจุดที่คุณถูกกดอยู่ค่ะ


คุณต้องหาทางออกมาจากที่ ที่คุณถูกกดดันนั้นให้จงได้นะคะ )


_______________________________________________________




สุดท้ายนี้ถึงเจ้าของกระทู้ค่ะ ขอบคุณเจ้าของกระทู้...ที่ได้ตั้งกระทู้ประเด็นดังที่เห็นนี้ขึ้นมาค่ะ


เพราะจริงแล้วปัญหาที่คุณพบเจอนี้...เป็นปัญหายักษ์ใหญ่มากในทุกๆสังคมค่ะ


เพราะเหตุเกิดเพราะธรรมชาติ...นะคะ หากแต่ผู้ใหญ่มากมายไม่เข้าใจ...หรือกลับที่จะซํ้าเติม หรือปล่อยทิ้ง ปล่อยให้เด็กๆซึ่งมีธรรมชาติเช่นเจ้าของกระทู้เดียวดาย ซึ่งเกิดเป็นปัญหาในส่วนบุคคล...เกิดขึ้นมามากมาย(ทุกหย่อมหญ้า)


ภายใต้เม้นต์นี้...อยากบอกคุณเจ้าของกระทู้ด้วยว่า...อาการที่คุณเป็นเด็กๆที่ว่าเอาแต่ใจโมโหร้าย ไม่ได้ดังใจร้องกร้๊ดดดด นั้นเป็นธรรมชาติของเด็กเล็กบางคนนะคะ


คือเด็กๆนะคะ เขาก็ไม่รู้ได้ว่า เหมาะสม ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี นั้นเมื่อช่วงวัยที่อยู่อนุบาลคุณยังเด็กมาก การที่เป็นเช่นนั้น เป็นธรรมชาติของคุณค่ะ (เป็นธรรมชาติของทุกคนด้วยมั้ง555)



สำหรับคำบอกเล่านี้...


แต่-ช่วงที่นานๆทีนี่แหละ ชอบเอาหัวโขกกำแพงไม่ก็ข่วนแขนตัวเอง ที่ทำ2อย่างนี้คือจะไม่มีใครเห็นร่องรอย รอยข่วนทิ้งไว้ชั่วโมงนึงก็จางแล้ว รู้สึกอยากเรียกร้องความสนใจแต่ก็ไม่อยากให้ใครสังเกตุเห็นอ่ะค่ะ งงมะ เราก็งง 5555

เหมือนพอทำแล้วรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายหรอกค่ะ เหมือนทำแล้วมันระบายอารมณ์ได้นิดนึงแล้วก็ไม่เดือดร้อนคนอื่น

ตอนนี้คิดอยู่ว่าความจริงแล้วนิสัยตอนเด็กๆเรามันไม่ได้หายไป แต่มันแค่ถูกซ่อนไว้ในเบื้องลึกของจิตใจค่ะ


คือจริงแล้วโดยธรรมชาติคุณเป็นคนโมโหร้าย...นั้นเองค่ะ


หากแต่เมื่อโตขึ้น...คุณก็พยายามเรียนรู้ ใฝ่หา ฝึกฝน สิ่งที่จะเข้ามาเหนี่ยวรั้ง...จิตใจให้เย็นลงนะคะ


และพยายามฝึกให้สติรู้ สติตื่น เบิกบาน และพยายามเข้าใจ ความหมายของ...คำ...หรือความที่ว่า...ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี เข้าไว้...จะช่วยคุณได้จากอารมณ์ที่ร้ายๆนั้นค่ะ


หลักธรรม คำสั่งสอนของพุทธศาสนา...เป็นอะไรที่จะช่วยคุณได้ดียิ่ง...หากคุณต้องการพบกับความเยือกเย็น การตั้งสติ การมีสติ...เพื่อควบคุมธรรมชาติ...ที่คุณเกิดมาด้วย คือความโมโหดังกล่าวของคุณนะคะ


อยากจะบอกคุณว่า...คนเราทุกๆคนนะคะ เกิดมาก็มีธรรมชาติ เป็นของตนค่ะ


ยกตัวอย่างนะคะ เช่น บางคนเป็นคนโมโหร้าย บางคนฉุนเฉียวง่าย บางคนเป็นคนเยือกเย็น บางคนเป็นคนเย็นชา บางคนเป็นคนรักสันโดษ รักความสงบ บางคนชอบความเดียวดาย บางคนชอบความรื่นรมณ์ เทิดเทิง บางคนชอบโรแมนติก บางคนชอบคลาสสิค บางคนกร้าน บางคนหยาบกระด้าง บางคนถึกเถื่อน บางคนซาดิสม์...ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นธรรมชาติพื้นฐานของแต่ละคนไป...นั้นก็เป็นความจริงนะคะ


เพียงแต่...เราๆมนุษยชาติ...ผู้ซึ่งเป็นสัตว์โลกที่มีสมอง มีสติ มีปัญญา...เรามีธรรมชาติซึ่งสามารถพัฒนา พลิกแพลง...ควบคุม...ความเป็นธรรมชาติซึ่งไม่พึงปราถนา...ของเราเองได้...เพื่อความสุข สงบ สันติ ของเราเอง...และเพื่อผู้ที่มีส่วนร่วม หรือเพื่อสังคมที่เราอยู่ร่วมกัน เช่นคนในครอบครัว...ที่จะเป็นสุขกับเราได้...นั้นก็เป็นความจริงนะคะ


และผู้ที่จะเป็นสุข สันติ และสงบสุข ยิ่ง คนแรกและที่สุดๆ คือตัวเราเองนะคะเจ้าของกระทู้


ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้...คุณเจ้าของกระทู้สามารถ...ฝึก หัด อบรม ควบคุม กาย ใจ การกระทำ จากอารมณ์ต่างๆได้ด้วยตัวคุณเอง...ด้วยการฝึกตามคำสั่งสอน...ในรูปแบบคำสั่งสอนของพุทธ หรือที่เราเรียกว่า ด้วยธรรมะ...จะช่วยคุณได้


หรือหากคุณต้องการให้จิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาช่วยแนะนำ หรือไกด์นำทาง ชี้แนะให้คุณ...เพื่อทางออก...มาวันนี้ก็เป็นอีกทางเลือก...ที่คุณจะสามารถทำได้ค่ะ


สุดท้าย...แนะนำเจ้าของกระทู้ว่า...ให้ระลึกให้ได้ว่า...ทุกอย่างอยู่ที่ใจ...ของเราเองนะคะ ตั้งสติให้จงได้...ยึดมั่น ศรัทธา ความหมายของความที่ว่า...ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี หรือ เหมาะสม สมควรหรือไม่...เข้าไว้ให้เหนี่ยวแน่น...คุณจะพบเจอ...ทางออกจากอารมณ์ที่คุณมีติดตัวมา...นี้ได้ และคุณจะมีชีวิตที่เป็นสุขสงบได้อย่างแน่นอนค่ะ


เป็นกำลังใจให้คุณค่ะ สู้สู้นะคะ



https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-big-13.png




0
ItsFreakingCool,man! 30 ก.ค. 61 เวลา 10:29 น. 4-4

เราตอบความเห็นที่4ค่ะ ไม่ใช่4-1 ที่ว่าคห.4ให้ความสำคัญเรื่องการกตัญญูซึ่งเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งในสังคม แต่เรื่องนี้อาจจะเป็นปัญหาละเอียดอ่อนกว่านั้น จะเหมารวมไม่ได้

เพราะเราไม่รู้ชัดว่าที่จขกท.เป็นแบบนี้เป็นเพราะสาเหตุใด แต่ก็คิดเอาเองไม่ได้ และอาจไม่ใช่แบบที่เราคิด หรือเป็นการout topicไปเลย เชื่อว่าคนที่เคยเจอปัญหาลักษณะเดียวกันจะเข้าใจกันมากกว่าค่ะ

ปล. เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้รู้เท่าที่เขาอยากให้รู้เถอะค่ะ

เชิญจขกท.เลือกอ่านเม้นตามความเหมาะสมค่ะ

0
White Frangipani 30 ก.ค. 61 เวลา 14:30 น. 4-5

สวัสดีค่ะ คห.ที่4-4


เราตอบความเห็นที่4ค่ะ ไม่ใช่4-1 ที่ว่าคห.4ให้ความสำคัญเรื่องการกตัญญูซึ่งเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งในสังคม แต่เรื่องนี้อาจจะเป็นปัญหาละเอียดอ่อนกว่านั้น จะเหมารวมไม่ได้"...อ้าวว เป็นเช่นนั้นหรือนี่


ต้องขออภัยด้วยนะคะ


เพราะ...ความที่ตน(คือเจ้าของเม้นต์นี้นะคะ)มีประสบการณ์...เกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธา...แห่งความดี ดังที่ว่าความกตัญญูรู้คุณของคุณพ่อคุณแม่ หรือการระลึกถึงหน้า หรือจิตใจ รวมความรู้สึกของท่าน...ในวันนั้น ทำให้เจ้าของเม้นต์รอด ปลอดภัย...และมีชีวิตที่เป็นสุข สงบ สมบูรณ์ มาได้จนถึงวันนี้ค่ะ


จากประสบการณ์จริง...ที่ตนบังเอิญไปตกอยู่...หรือเจริญเติบโตในสังคม...ซึ่งขาดการปลูกฝังเรื่องของความ...ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี


ความดีในที่นี้ เช่น ความหมายของคำว่ากตัญญู...หรือแม้การรักตัวตนของเขาเอง หรือการพึงสังวรณ์ไว้ซึ่งการมีสติ การยับยั้งอารมณ์ต่างๆ การควบคุม การใคร่ครวญ ไตร่ตรอง...ถึงผล...ที่ตนจะได้รับ จากการกระทำของเราเอง...นั้น คือไม่มี...คือวัฒนธรรมการ

อบรม ปลูกฝัง...ในลักษณะแบบนี้นั้น ไม่มีนะคะ


เพราะฉะนั้น...


สังคมของดิฉันในวันนั้น...เพื่อนๆหลายคนทำทุกอย่างที่เขามีอารมณ์ค่ะ ทำร้ายตัวเองต่างๆนานา บางคนนะเมื่ออารมณ์ตกตํ่า เกิดอารมณ์ติดลบ หาอารมณ์สุนทรีย์ไม่ได้ เกิดความทุกข์ทรมาน มืดมน ขมขื่น เขาบางคนก็กรีดแขนตัวเองบ้าง กรีดจนไม่มีที่จะกรีด วาระสุดท้ายก็กรีดขา


ต่อมาไม่มีที่กรีดก็ใส่ห่วงที่คิ้ว ที่จมูก หรือที่ลิ้นเพื่อทรมานตนให้หนักขึ้น...ให้สะใจ คือทำร้ายตนเองให้เจ็บหนักขึ้น ให้ทรมานหนักขึ้น...เพื่อประชดประชันชีวิต...และที่หนักกว่านั้นคือ วาระสุดท้าย...หากเขาทุกข์ทรมานไม่หนำใจ...เขาเหล่านี้ก็ค้นหาโคคาอีนมาโรยตามแผลที่เขากรีด...เพื่อที่เขาจะเมามาย และล่องลอยไปกับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน...นั้น


ที่เขาต้องเป็น ต้องทำแบบนั้น...มีสาเหตุมาจาก...เขาเกิดมา โตมา เขาก็ไม่เคยถูกชี้แนะ หรือไม่เคยถูกแนะนำสู่หนทางสว่าง...


ความทุกข์ทรมานซึ่งเกิดจากความสับสน ความกังขา ความไม่เข้าใจ เมื่อปัญหาประดังเข้ามา เมื่ออารมณ์ตกตํ่าเขาทั้งหลายไม่มีวิธี ไม่รู้วิธีที่จะทำให้มันดับลง...


เพราะ เขาไม่เคยถูกสอนให้รู้จักกับคำว่า...ที่พึงทางใจ ที่หยึดเหนี่ยวทางใจ...เขาไม่เคยรู้ว่า...ผิด ถูก ชอบ ดี นั้นเป็นเช่นไร...เขารู้เพียงว่าการมีชีวิต...คือยังหายใจอยู่ และทำทุกอย่าง...ที่ต้องทำ...แม้การกระทำดังกล่าวนั้นจะนำผล...ซึ่งเป็นความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมาสู่เขา เขาก็ทำ...เพราะเขาไม่รู้ทางออก ไม่รู้ทางหลบเลี่ยง...


ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนเป็นเช่นนั้น หรือพบเจอเขานะ...(เรานะ รักเพื่อนนะ สงสารเพื่อนนะ ไม่เคยทอดทิ้งเขา เป็นกำลังใจ แนะนำ ชี้แนะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพื้นฐาน...ค่านิยมที่ถูกปลูกฝัง หรือเราจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรรม...จากรุ่น สู่รุ่น มันฝังหัว...เพราะในการเจริญเติบโตมานั้นไม่เหมือนกัน )


ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยียน หรือต้องออกไปพบเจอ...เพื่อนเหล่านี้...บางคนต้องฉีดเฮโรอีนเข้าเส้นเลือด...เรานะเพียงเห็นก็เมายา เมาขึ้นสมอง เข้าจิตใจ เข้าจิตวิญญาณ เมาจนอ๊วก ทั้งที่เราไม่แตะต้องยา...รู้ตัวว่า...ที่เราเป็นเช่นนั้นเพราะเรามีภูมิต้านทาน เรามีที่พึงทางใจ คือเป็นผลจากที่เราคิดถึงความดี ความถูกต้อง เรารักตัวของเราเอง เรารักพ่อแม่ เรารักญาติๆที่เขารักเรา เรากลัวทุกคนจะเสียใจ


ทั้งหมดนั้น...เกิดเป็นเจ้าของเม้นต์...ที่รอดปลอดภัยมาได้จนทุกวันนี้...ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์จริงค่ะ


เพราะฉะนั้นเม้นต์ ที่เม้นต์มาข้างบนนั้น...นำประสบการณ์จริง...มาแนะนำค่ะ


และตามที่คุณเจ้าของเม้นต์ที่4-4 บอกมาว่า...



เราตอบความเห็นที่4ค่ะ ไม่ใช่4-1 ที่ว่าคห.4ให้ความสำคัญเรื่องการกตัญญูซึ่งเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งในสังคม แต่เรื่องนี้อาจจะเป็นปัญหาละเอียดอ่อนกว่านั้น จะเหมารวมไม่ได้

เพราะเราไม่รู้ชัดว่าที่จขกท.เป็นแบบนี้เป็นเพราะสาเหตุใด แต่ก็คิดเอาเองไม่ได้ และอาจไม่ใช่แบบที่เราคิด หรือเป็นการout topicไปเลย เชื่อว่าคนที่เคยเจอปัญหาลักษณะเดียวกันจะเข้าใจกันมากกว่าค่ะ



หากแต่...คุณเจ้าของกระทู้เขาได้เล่าเหตุการณ์ของเขามาละเอียดพอสมควรเลย ละเอียดดีพอที่จะเข้าใจได้...ว่าเหตุการณ์เช่นที่เกิดขึ้นกับเขานี้...เป็นธรรมชาติ...ของเด็กเล็ก หรือเด็กโตในวัยที่เขาเล่ามานี้...และสาเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นได้จริง...นะคะ


และเกิดขึ้นได้มากมาย...เกิดเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายต่อเนื่อง...ต่อชีวิต...ด้วย หากเขาไม่รู้จักทางออก...ค่ะ


และที่สำคัญเมื่อเจ้าตัวเขากล้าเล่ามา...และขอความเชื่อเหลือ...ขอคำแนะนำมาตามที่เห็นข้างบนนะคะ เจ้าของเม้นต์เห็นว่าเป็นเหตุชัดเจน...ซึ่งผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้...จะมีโอกาสแนะนำ ชี้แนะ...เขาได้ค่ะ


และเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากมายนัก...ที่เด็กเขากล้าบอกเหตุการณ์ที่ยํ่าแย่ที่เขาตกอยู่นี้...ออกมาจากปากเขาเอง...เพราะนั้นคือเขาต้องการแก้ไข...นั้นเอง


ซึ่งในขณะเดียวกัน ในหลายๆสังคมเด็กๆที่ตกอยู่ในเหตุการณ์เช่นนี้เขาจะไม่เปิดปากพูด เขาจะเก็บเงียบ ปิดบัง และเกิดเป็นอาการกดดัน และมีอาการหนักจนเรื้อรัง...และยํ่าแย่จนยากต่อการแก้ไข เหตุเช่นนี้หรือก็มีเกิดขึ้นมามากมาย ซึ่งเป็นอะไรที่สลด หดหู่ค่ะ


เม้นต์นี้ เม้นต์เข้ามาด้วยความห่วงใยค่ะ



0
goy___^0^ 6 ต.ค. 61 เวลา 23:13 น. 4-6

การกตัญญู “ไม่ใช่ “ เป็นค่านิยม นะคะ


เสียใจมากเลยอะที่ได้ยินคำนี้ อุตส่าเป็นประเทศพุทธทั้งที ความกตัญญู เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ที่มนุษย์พึงกระทำ และเมื่อกระทำแล้ว จะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ต่างหากค่ะ


อันว่า กัมมุนาวัตตะตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


อันว่าทำอะไรก็ได้แบบนั้น ถ้าเรารักใครคนนึงแล้วเขาทำร้ายตัวเอง เราก็จะทุกข์มาก ถูกต้องไหมคะ เรามีพ่อแม่ หรือถ้าไม่มีพ่อแม่ คนที่เลี้ยงเรามาจนโต นั่นแหละค่ะก็ถือเป็นพ่อแม่ ถ้าเราทำร้ายตัวเอง เขาต้องทุกข์อยู่แล้ว การกระทำนี้ของเรา อันที่จริงการกระทำไหนของเรา เราก็ต้องได้รับจะช้าจะเร็วแค่นั้น เมื่อเราทำร้ายตัวเอง เท่ากับมองไม่เห็นหน้าไม่เก็นะความรักของคนที่รักเรา เมื่อเป็นแบบนั้น มันก็จะทำให้ เวลาเรารักใครหรือต้องการความรัก เราจะไม่ได้รับความรัก เพราะเรามองไม่เห็นความรักคนอื่น


คนเรา ทำกรรมมาไม่เท่ากัน โลกนี้ ไม่มีคำว่า ไม่ยุติธรรมค่ะ โลกนี้ยุธติธรรมและตรงไปตรงมาเสมอ ทำแย่ไว้ ไม่ว่าจะเกิดใหม่กี่ครั้งก็หนีไม่พ้น การเหลื่อมล้ำทางสังคม เกิดจากการกระทำของแต่ละคน ที่ทำเรื่องมาไม่เหมือนกัน เมื่อให้อะไรก็ได้แบบนั้น ถึงได้บอกให้คิดถึงคนที่รักเราเลี้ยงเรามา เมื่อใจเราคิดถึงคนอื่น คนอื่นก็จะคิดถึงเรา


ส่วนถ้าใครบอกคิดถึงคนอื่นแล้ว ทำไมคนอื่นถึงไม่คิดถึงเรา อยากจะบอกว่า เพราะโลกนี้ยุติธรรมค่ะ การตายแล้วไปสิงร่างใหม่ ไม่ได้ทำให้สิ่งที่ทำไว้หายไปได้ มันจะกลับมาในตอนที่เราอยู่ในร่างใหม่ๆนี่แหละ


เคยแย่งแฟนเขาตอนอายุ24 ยุแยงให้ครอบครัวเขาเกลียดกัน ทำให้เขาไม่รักกัน พอตายทิ้งร่างเก่าเข้าร่างใหม่ ชีวิตมันก็เลยอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่รักกัน ไม่มีใครรัก เพราะเราไปทำให้เขาไม่รักกัน พอมีแฟนแฟนก็ถูกเขาแย่ง ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้


เพราะ เราต้องรับทุกอย่างที่เราเคยทำ พระพุทธเจ้า ถึงบอกให้มีสติตลอดเวลา เพราะถ้าเรามีสติก่อนจะไปทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก เราจะคิดได้ว่าถ้าเราทำ เดี๋ยวเราก็จะโดนเหมือนกัน ถ้ามีสติเราจะไม่ทำ เราก็จะไม่ต้องไปอยู่ในะจุดนั้น


สำหรับใครรู้สึกว่าตัวเองทุกข์ ชีวิตไม่โสภา ไม่ต้องโทษใครค่ะ โทษตัวเอง และขอโทษชาวบ้านก่อนเลยค่ะ ระลึก ขอโทษ สำนึกผิด และคิดแต่สิ่งดีๆ ทำดี ยกบุญให้คนที่เราทำแย่ๆไว้ด้วย


ส่วนตัวก็เคยเป็นค่ะ ทำร้ายตัวเอง คิดมาก แต่แม่บอกว่าให้เราสู้ เรานั่งร้องให้สามวันติดกัน แม่ถามว่า ไม่รักแม่หรอ แม่รักแกทำไมแกทำร้ายตัวเอง ทำแบบนี้ทำร้ายแม่นะ หลังจากนั้นก็มานั่งคิด ทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้น ก็เลยเอาตัวเอง ไปยืนในจุดที่เป็นแม่ ถ้าตัวเองมีลูก แล้วลูกทำร้ายตัวเอง จะเจ็บปวดยังไง ขนาดไม่ใช่ลูกแค่สัตว์เลี้ยง มันบาดเจ็บเรายังเสียใจ แล้วถ้าเป็นลูกที่เลี้ยงมากับมือหละ มันก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าเรายังดันทุรังทำ เวลาเรารักใครคนคนนั้นก็คงจะมองไม่เห็นความรักเรา เหมือนที่เรามองไม่เห็นความรักคนอื่น

กลัวค่ะ ก็ไม่ทำอีกเลย จากนั้นชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เข้าสังคมได้ดี อารมณ์แจ่มใสค่ะ


อยากบอกว่า ทุกคนต้องสู้ สิ่งที่เราได้รับแย่ๆ มันเป็นสิ่งที่เราทำไว้ อย่าได้ร้องขอว่าใครจะเข้าใจ เพราะมันเป็นกรรมของเรา เราทำ เราก็ต้องหลุดพ้นเอง คิดเอง ทำเอง ส่วนตัวได้คำแม่ว่ากตัญญู ช่วยไว้ และคงเพราะคำนี้ที่เราคิดได้ เลยทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น เข้าสังคมดีมากขึ้นเยอะ สบายใจ ความทุกข์มีมาบ้าง แต่สู้ได้สบายค่ะ

0
เข้าใจอยู่ 29 ก.ค. 61 เวลา 15:11 น. 5

อันนี้ต้องบอกก่อนว่าพี่ไม่ได้เป็นแบบน้องนะ แต่ก็พอเข้าใจได้ พี่ว่าก็อย่างที่น้องคิดนั้นแหละว่านิสัยเก่าของน้องไม่ได้หายไปแต่อยู่ในตัวน้องหรือเอาง่ายๆก็คือเก็บกดนั้นแหละ คือบางทีคนที่นิ่งมากๆเนี่ยจะมีอยู่2ประเภท(สำหรับพี่นะ)คือ คนที่มีสมาธิ กับอีกประเภทคือคนเก็บกด ซึ่งน้องเป็นอย่างหลัง วิธีรักษาไม่ตายตัว อยู่ที่ความตั้งใจ น้องต้องระบายความรู้สึกบ้าง อาจจะเป็นเขียนไดอารี่หรือวาดรูป พี่ว่า2อย่างนี้น่าจะแหมะกับน้องนะ(อยากเรียกร้องความสนใจแต่ไม่อยากให้ใครสนใจ) แต่พี่ว่าน้องอาจมีอีกปัญหาคือการควบคุมอารมณ์ ซึ่งอันนี้แนะนำฝึกสมาธิ+สวดมนต์ จะช่วยให้ควบคุมตัวเองได้มากขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความสม่ำเสมอของน้องแล้วล่ะ มันอาจไม่หายในทันทีแต่จะค่อยๆดีขึ้น บางคนหายแต่บางคนก็ไม่หาย อย่างที่บอกอยู่ที่คน ต้องเรียนรู้ที่ตะอยู่กับมันให้ได้ แล้วก็ครอบครัวควรรับรู้ด้วย เพราะกำลังใจเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเยียวยาน้อง สู้ๆเดี๋ยวก็ดีขึ้นและสุดท้ายคิดบวกเข้าไว้ คนคิดดีอย่างไรก็จะเจอสิ่งดีๆ

0
ItsFreakingCool,man! 29 ก.ค. 61 เวลา 15:37 น. 6

เหมือนเราเลย

ตอนเด็กเราชอบแกล้งน้อง

พอโดมาหน่อย โดนเพื่อนแกล้ง รู้สึกไม่ชอบ ก้คิดได้ว่าถ้าเราทำแบบนี้ คนอืนก็คงไม่ชอบเหมือนกัน ก็เลยเลิกทำคนอื่น ประมาณมาเก็บกดมั้ง

ถึงจะทำเป็นไม่สนใจ แน่นอนว่านิสัยเดิมยังอยู่ ตอนเครียดเราก็ชอบทำร้ายตัวเอง ถึงเจ็บแต่ก็รู้สึกดีขึ้น

ตอนนี้พยายามลด ไม่สนใจเรื่องที่ทำให้เครียด พยายามเบี่ยงเบนความสนใจ หาวิธีคลายเครียดอื่นๆ หาไรทำไม่ให้ตัวเองมีเวลาว่างคิดเรื่องนั้น

ลองหาวิธีคลายเครียดจากสิ่งที่สนใจดูจ้า

0
-3_5 29 ก.ค. 61 เวลา 17:36 น. 7

ไปหาจิตแพทย์ก็น่าจะดีนะคะ ปล่อยไว้เราว่าอาการคุณแย่กว่าเดิมนะ

0
G.Tenju 29 ก.ค. 61 เวลา 20:02 น. 8

แนะนำให้ลองไปหาโค้ช NLP ให้ช่วยบำบัดดูครับ คนพวกนี้จะเชียวชาญเรื่องจิตใต้สำนึกและการแก้นิสัยแปลกๆที่หมอรักษาไม่ได้ อาจจะต้องรบกวนเงินพ่อแม่อยู่บ้างแต่เชื่อเถอะครับว่ามันคุ้ม


เพราะพี่เองก็เคยเป็นแต่ตรงกันข้ามกับน้อง ตอนเด็กๆพี่อดทนและเก็บกดเอามากๆ พอโตมามันถึงจุดนึงที่เครียดจนถึงขีดสุดแล้วกลายเป็นคนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ขนาดแม่แท้ๆของตัวเองพี่ยังเคยหลุดปากด่าไม่ยั้งมาแล้ว พอไปหาจิตแพทย์เขาก็ดันเข้าหาไม่ถูกวิธีจนพี่กลับมากินยาฆ่าตัวตายไป 2 ครั้ง


- หวังดี

- รู้วิธีรักษา(ทางกฎหมายโค้ชห้ามใช้คำนี้)

- รู้วิธีเข้าหา


สามอย่างนี้โค้ช NLP เขามีกันครับ ถ้าจะไปหาจิตแพทย์จริงๆ แนะนำให้เลือกโรงพยาบาลที่พอมั่นใจได้ว่าหมอต้องเก่งจริงเช่น ศรีธัญญา พวกเรามันนิสัยเสียล้อว่าคนบ้าเท่านั้นถึงต้องไปอยู่ที่นั่นจนกลายเป็นทิ้งหมอเก่งๆกันไปหมด หมอบางคนก็เป็นโค้ช NLP ด้วยเหมือนกัน ถ้าหาเจอยิ่งดีเลยครับ

6
Beloved Scholar 30 ก.ค. 61 เวลา 03:40 น. 8-1

อย่าไปเด็ดขาดนะคะจขกท. NLP ไม่เคยได้การยอมรับจากมหาลัยฯไหนทั้งนั้น NLP เป็นแค่พวกคนที่ตั้งตนเองมาโค้ชคนอื่นแค่นั้นแหละค่ะ ลองหาข่าว ดร.Pop (ปัจจุบันลดดีกรีตัวเองเหลือ Master Pop) ดูนะคะ ที่มีแม่ส่งเด็กที่เป็นโรคซึมเศร้าไปเข้าคอร์สของเขา ทำให้เด็กทั้งโดนไล่ให้ไปตาย ทั้งโดนด่าหยาบคาย โดนเอาไปขังแยก โดนหาว่าเรียกร้องความสนใจ ดร Pop บอกว่าเป็นวิธีปลดล็อกชีวิต เท่าที่เราเห็นมันเป็นวิธีทำให้ผู้ป่วยแย่ลงด้วยซ้ำ ลองดูคลิปที่ตัว ดร Pop ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วดูสิ่งที่จิตแพทย์โต้กลับจะรู้เลยว่าแนวคิดของทั้งสองคนต่างมาก จิตแพทย์ดูจะมีความเมตตาปรานี เข้าใจผู้ป่วยดีกว่าเยอะ

0
G.Tenju 30 ก.ค. 61 เวลา 18:10 น. 8-2

NLP ไม่เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์เพราะว่า 'มันได้ผลเร็วเกินไป' ครับ


แล้วผมนี่แหละที่อยู่ในวันเดียวกับดราม่าให้ไปตาย คนที่โดนคุณป๊อบบอกให้ไปตายเขาเป็นวัยรุ่นติดยาเสพติดชื่อว่า 'จิ๊บ' ผมนั่งทานข้าวติดกับเขาเลยรู้จักกัน ตอนอยู่บนเวทีน้องจิ๊บเขาเอาแต่ประนามตัวเองว่าเป็นขยะควรตายๆไปได้แล้วจนเริ่มไม่ฟังคุณป๊อบ คุณป๊อบเขาเลยพูดว่า 'งั้นก็ไปตายซะ' ด้วยน้ำเสียงเรียบ น้องจิ๊บเขาถึงได้สติแล้วหยุดฟัง แล้วน้องคนที่เป็นดราม่าอยู่ข้างล่างเวทีไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยก็กรี๊ดแล้วก็มีเรื่องตามที่เป็นดราม่า


ซึ่งก็มารู้ในภายหลังว่าแม่ของน้องเขาแอบพาลูกตัวเองที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชเข้ามาในงาน ซึ่งคุณป๊อบเขาห้ามตั้งแต่เริ่มงานแล้ว ผมก็ไม่แปลกใจหรอกครับเพราะมีหลายคนแอบมาแล้วหายจากคุณป๊อบจริงๆ (เขาช่วยมาเป็นพันแล้วครับ) ไม่มีผู้ป่วยคนไหนเดินเข้าไปหาความเจ็บปวดเพื่อฆ่าตัวเองหรอก ใครๆก็อยากหายเพราะรู้ว่ามันเป็นภาระของพ่อแม่ ส่วนพ่อแม่จะกล้าแหกกฎเพราะอยากให้ลูกตัวเองหายก็ไม่แปลกใจ หมอน่ะเขาไปหาเรียบร้อยกันหมดแล้วครับไม่งั้นคงไม่มาจ่ายเงินเพื่ออะไรแบบนี้หรอก


NLP มันเป็นวิทยาศาสตร์เทียมหรือก็คือ 'ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันกับทุกคน' เหมือนกับการต้มน้ำแล้วน้ำต้องระเหยออกไปจนหมดอย่างแน่นอนทุกครั้งจึงจะถูกบันทึกให้เป็นวิทยาศาสตร์แท้ แพทย์คนไหนก็ไม่สามารถช่วยพูดส่งเสริม NLP ให้น่าเชื่อถือได้เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อจุดยืนของเขา แล้ว NLP ก็ไม่สามารถใช้คำว่า 'รักษา' ได้ตามกฎหมาย แต่คนก็บอกต่อกันเพราะมันได้ผลกับตัวเอง มันเป็นทางเลือกสุดท้ายถ้าคุณไม่มีที่ไปต่อจริงๆ


คุณบอกว่า 'จิตแพทย์ดูจะมีความเมตตาปรานี เข้าใจผู้ป่วยดีกว่าเยอะ' ผมขอถามหน่อยว่า...


คุณรู้ได้ยังไง?


ผมคือคนที่ไปหาจิตแพทย์ตามที่คุณแนะนำเหมือนคนอื่นๆ คนแรกโรงบาลจุฬา เขาช่วยเปิดใจผมให้ระบายความทุกออกมาได้จนกระทั่งผมต้องไปรอบสองเพราะเกิดการทำร้ายตัวเองขึ้นมาเพราะผมเอาทัพพีตักข้าวทุบนิ้วตัวเองจนกระดูกบิด เขาก็ยิงคำถามตามหน้าที่ของเขาทว่าเข้าหาผิดวิธี ผมมาศึกษาในภายหลังก็พบว่าเขายืนเท้าเอวประจันหน้าในขณะที่ผมกำลังนั่งห่อตัว ผมเลยคิดว่ากำลังถูกคุกคามและต่อว่าอย่างรุนแรง พอกลับบ้านมาได้ผมก็กรอกยาพาราหมดกระปุกเพื่อฆ่าตัวตายทันที


ส่วนครั้งที่สองที่โรงบาลพระมงกุฏ คราวนี้ผมคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้หมอที่เหมือนเป็นอาจารย์ใหญ่เลย แต่ปรากฎว่าพอเขาอ่านประวัติผมหลังจากติดต่อขอย้ายโรงพยาบาลมา เขาก็เรียกกลุ่มนักศึกษาแพทย์เข้ามารุมผม แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ถึงมาขออนุณาตผมว่าให้นักศึกษาดูได้ไหม? ซึ่งสติผมไปหมดแล้วเลยตอบไปเพราะความกลัวว่า 'ได้' พอกลับบ้านมาผมก็แกะยา Fulox สำหรับ 2 เดือนกรอกหมดแผงอีกรอบ (60 เม็ด)


ผมไม่ตาย... แต่ในหัวผมเละไปหมดเพราะผลของยา จนกระทั่งไปเจอ NLP เข้าผมเลยตัดสินใจไปเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ผมบอกเลยว่าสรุปแล้วไม่หาย แต่ผมกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ให้อภัยหมอทั้งสองคนเพราะเชื่อว่าคนเรามันผิดพลาดกันได้ ให้อภัยแม่ตัวเองที่ทารุณกรรมจนผมต้องกลายเป็นจิตเวช แล้วหันไปศึกษาจิตวิทยาเต็มที่เพื่อจะช่วยชี้ทางคนที่เป็นแบบผมเองอีกทอดนึง คอยตอบกระทู้คนที่มีแววจะเป็นจิตเวชในอนาคตเพื่อไม่ให้เขาอาการหนักขึ้น


NLP เขาอ่านคุณตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตา ริมฝีปาก จังหวะการหายใจ การวางมือ ท่ายืน ทิศทางของปลายเท้า อ่านภาษากายเพื่อระวังไม่ให้กระตุ้นแผลของแต่ละคน แล้วเปิดโอกาสให้คนที่มีปมในใจได้ย้อนกลับเปลี่ยนความรู้สึกในความทรงจำที่ทำให้เป็นแผลให้กลายเป็นผลบวก ที่นั่นจะมีคนคล้ายๆผมอีกเยอะ และถ้าหากคุณไม่รู้ มีคนบอกผมด้วยว่า 'สายด่วนสุขภาพจิต' ทำร้ายเขา เขามีปัญหาทางจิตเพราะถูกพ่อแม่ตัวเองทำร้าย แล้วคุณรู้ไหมว่าปลายสายพูดว่าไง?


"ใจเย็นๆ นึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่เอาไว้นะคะ"


- หวังดี

- รู้วิธีรักษา

- รู้วิธีเข้าหา


สามอย่างนี้ไม่เหมือนกัน แล้วปัจจุบันจิตแพทย์เข้าไปศึกษา NLP เยอะขึ้นเรื่อยๆ พวกดราม่ากันในสังคมเขาก็พูดกันสนุกปาก มันแย่อย่างนั้น มันแย่อย่างนี้


คุณป๊อบไล่คนป่วยให้ไปตาย!

คนป่วยคนนั้นฆ่าตัวตายไปแล้ว!

จิตวิทยาบ้าอะไรด่าคนไข้!


จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าความจริงคืออะไร เห็นคนลือเยอะๆก็เชื่อเขาไปหมด คุณเคยศึกษาไหมว่า 'ความรู้' มีต้นกำเนิดมาจากไหน? อะไรคือคำว่าวิทยาศาสตร์แท้-เทียม? วิชากลยุทธ์เคยเรียนไหม? หรือยังคิดว่าผู้ป่วยทุกคนก็เหมือนๆกัน พาไปเข้าวัดทำบุญเดี๋ยวก็สบายใจ อย่าทำตัวเป็นลูก 'อกตัญญู' ให้พ่อแม่ปวดช้ำน้ำใจเลยนะ ไปหาแพทย์ที่ดูดีมีความรู้เดี๋ยวก็ออกมาหายดีเหมือนๆกัน...


ขอยกตัวอย่างกลยุทธ์หนึ่งที่อาจารย์เก่าแก่ใช้กันมาเนิ้นนาน การขอบคุณบุญคุณของข้าวหรือ 'พระแม่โพสพ' เขาสอนไว้อย่างนั้นเพื่อให้คนเราหัดสำนึกบุญคุณ เพราะเวลาเรากล่าวขอบคุณออกมาได้มันทำให้จิตใต้สำนึกเกิด 'Fearless' หรือกล้าหาญนั่นเอง มันเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมคนสมัยก่อนถึงกล้าออกไปรบจนตัวตาย เพราะพวกเขาสำนึกบุญคุณหลายอย่างมาก พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พระเทพผี


แล้วถ้าผมไปบอกหมอหรือด็อกเตอร์ผู้มีความรู้เฉพาะแขนงของตัวเองทั้งหลายว่า "คนเราต้องไหว้พระแม่โพสพนะ" คุณคิดว่าเขาจะตอบกลับมาว่ายังไง?


ผมนับถือ NLP ที่ทำให้ผมจบความทุกข์ตลอด 20 ปีได้... แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลเหมือนกันทุกคนเช่นเดียวกับจิตแพทย์ คุณไม่มีวันรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับคนไข้บ้างเพราะพวกเขากลับไปฆ่าตัวตายกันที่บ้าน ไม่ใช่ที่โรงพยาบาล

0
Beloved Scholar 30 ก.ค. 61 เวลา 20:14 น. 8-3

เราบอกตอนไหนอะว่าให้จขกท.ไปเข้าวัดทำบุญ เอาจริงถ้าคนที่คิดว่าแค่เข้าวัดก็หายได้เขาคงไม่แนะนำให้ไปหาหมอหรอก


ถามว่าเรารู้ได้ไงว่า ก็เราก็ผู้ป่วยคนนึง ไปพบจิตแพทย์ตามนัดจนถึงปัจจุบัน กินยารักษาด้วย ลองดูคลิปที่แพทย์ออกมาพูดหลังจากดร.ป๊อปไลฟ์สด


ดร.ป๊อป:น้องเขาบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้า ผมเลยพิสูจน์ว่าเขาเป็นจริงๆมั้ย ถามว่าเนี่ยที่เขาเป็นอยู่เนี่ยแสดงหรือเปล่า

จิตแพทย์:ต่อให้เขาเป็นจริงหรือไม่จริง ยังไงเขาก็กำลังต้องการความช่วยเหลือไม่ใช่เหรอ


อีกอย่างนะคะ คำว่าไปตายซะไม่ว่าจะพูดกับใคร พูดลอยๆ พูดเรียบๆ ก็ไม่ใช่คำพูดที่ควรพูดทั้งนั้นค่ะ


ที่คุณบอกว่า NLP ไม่ได้รับการยอมรับเพราะมันเห็นผลเร็วเกินไป วิทยาศาสตร์ต้องเอาให้ได้ผลที่แน่ชัด เหมือนต้มน้ำแล้วน้ำต้องนะเหยหมดถึงจะยอมรับเป็นวิทยาศาสตร์ เอาจริงๆหลักวิทยาศาสตร์หลายอย่างมี error นะเวลาทดลอง ถ้างั้นก็น่าคิดแล้วล่ะว่าทำไม NLP ไม่ได้รับการยอมรับ ถ้าให้เราเปรียบเทียบ ทำไมแพทย์ทางเลือกอย่าง แผนไทย แผนจีน ถึงได้รับการยอมรับล่ะ ทำไมเคสนี้หมอแผนปัจจุบันไม่กลัวกระทบกับตัวเอง


ส่วนคนไข้ที่รักษาแล้วไม่หาย ต้องถามแล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น มีสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ทำให้สภาพจิตใจเขาแย่ลงมั้ย แล้วเขาให้ความร่วมมือในการรักษาดีมั้ย กินยาสม่ำเสมอมั้ย มาหาหมอตามนัดหรือเปล่า


เป็นอันว่าจขกท.ศึกษาข้อมูลดีๆก่อนนะคะ(หาแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้นะ)แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเลือกทางรักษาแบบไหน

0
G.Tenju 30 ก.ค. 61 เวลา 20:42 น. 8-4

ไม่ได้พูดว่าคุณแนะนำให้ไปเข้าวัด แต่ที่ผมอยากสื่อคือ "แต่ละคนไม่เหมือนกัน" ระวังคำแนะนำที่มาจากความคิดเห็นตัวเองเอาไว้ด้วย โปรดเปิดใจรับฟังข้อมูลกันหน่อยผมชี้แจงกลับเพราะคุณพูดแย้งผม ผมไม่ได้มาต่อว่าอะไรคุณ ส่วนตัวผมมีประสบการณ์แย่จากโรงบาล ผมจึงไม่ค่อยสนับสนุนจิตแพทย์เท่าไหร่นัก (รู้ตัวครับ) ส่วนคุณไปดูคลิปเขาคุยกันแล้วก็เปรียบเทียบตีความเอาเองว่า NLP ไม่ดีเพราะคุณป๊อบพูดแล้วฟังดูไม่มีน้ำหนักเท่าหมอที่คุณเชื่อถือเพราะรักษามา ตรงนี้เป็น 'Opinion' ครับไม่ใช่ 'Fact' เพราะมันจะจริงหรือไม่คนที่เข้ารับการรักษาเท่านั้นถึงจะรู้ ซึ่งผมโดนมาทั้งสองทางแล้ว


ความต้องการของผมคือ 'เสนอตัวเลือกเพิ่ม' ให้กับ จขกท. ไม่ได้บอกว่าอย่าไปหาจิตแพทย์ เพราะไม่ว่าทางไหนมันก็ 'พลาด' ได้เหมือนกัน เราแค่ต้องหาวิธีรักษาจนเจอสิ่งที่เหมาะกับอาการของเรา ไม่ใช่มาปิดโอกาสแบบนี้เพราะคุณคิดสรุปเอาเองว่ามันไม่เป็นผลดี


แล้วบุคคลิกของโค้ช NLP มันมีหลายสาย พูดตรง เมตตา กลยุทธ์ ไม้แข็ง ไม่อ่อน ไม่มีความจำเป็นต้องไปหาคุณป๊อบคนเดียวครับ คุณรู้จักเขาจากดราม่าแต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาคือตัวแทนของ NLP


ข้อมูลที่เชื่อถือได้ <<< ไม่มีอยู่จริงบนโลกอินเตอร์เน็ทครับ เราจะรู้ก็ต่อเมื่อไปประสบด้วยตัวเองจริงๆเท่านั้น แม้แต่ความรู้ใน 'วิกิพีเดีย' ผมเองก็สามารถเข้าไปแต่ง/เติม/แก้ได้ตามใจชอบตามประสบการณ์ที่ตัวเองเจอมาโดยคิดว่ามันคือความจริง ก็เหมือนตัวอย่างจากเรื่องพระแม่โพสพนั่นแหละ ข้อมูลมันผิดเพี้ยนกันได้ตลอดถ้ามองแค่มุมเดียว


ทั้งคุณและผมก็หวังดีกับ จขกท. ยังไงก็ขอบคุณที่รับฟังกัน แล้วก็ขอบคุณมากๆที่ไม่หยาบคายใส่ผม เคยมีคนโต้เถียงโดยใช้ถ่อยคำต่อว่ารุนแรงจนไม่ใส่ใจเลยว่าผมเองก็เป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง

0
Ameliey-7993 30 ก.ค. 61 เวลา 21:16 น. 8-5

วิธีการใช้ NLP นั้นต้องอยู่ในบุคคลที่มีใบ

ประกอบวิชาชีพโรคศิลป์ เช่น จิตแพทย์

หรือ นักจิตวิทยาคลินิกเท่านั้นค่ะ ดิฉัน

ไม่ได้คัดค้านนะคะ แต่บุคคลที่ใช้ศาสตร์

นี้ต้องจบ ป.โท+(คงรู้นะ) ฝังยุโรป เท่านั้นค่ะ

เพราะแหล่งข้อมูลต้นกำเนิดมาจากฝังยุโรป

จึงไม่ใช้ใครก็ได้มารักษาเรียก อีกอย่าง

คือ นักสะกดจิตมืออาชีพค่ะ


แก้ไขคำตกหล่นค่ะ

0
G.Tenju 30 ก.ค. 61 เวลา 21:32 น. 8-6

เพราะงั้นจิตแพทย์ที่ศึกษา NLP ประกอบด้วยนี่จะเก่งมากในสายตาผม เพราะเขามีทั้งสามอย่างครบถ้วนเลยทั้ง หวังดี รู้วิธีรักษา รู้วิธีเข้าหา


แล้วความรู้ที่นำมาสร้างหลักสูตร NLP ก็มาจากการศึกษา 3 คนนี้ครับ

- Dr.Virginia Satir นักบำบัด(ความสัมพันธ์ใน)ครอบครัว

- Dr.Milton Erickson จิตแพทย์

- Fritz Perls นักจิตวิทยา


โดยถูกเรียบเรียงและก่อตั้งขึ้นโดย

- Richard Bandler ป.ตรี ด้านคณิตและโปรแกรมคอมพิวเตอร์

- John Grinder ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์ (ลุงแกยังมีชีวิตอยู่เปิดสอนอยู่ในทวีปยุโรป)


ถ้าอยากรู้ว่า NLP คือออะไรไปอ่านของต้นฉบับเขาเลยครับ https://www.nlpacademy.co.uk/what_is_nlp/ เพราะในเน็ทมันคือความคิดเห็นล้วนๆ

0
LJ_Comet 29 ก.ค. 61 เวลา 23:33 น. 10

เราก็เป็นแบบเจ้าของกระทู้เลยค่ะ เวลาโกรธหรือโมโหไม่รู้จะไปลงกับอะไร ไม่อยากทำลายข้าวของ ก็ลงกับตัวเองนี่แหละ ข่วนแขน จิกขาตัวเอง จนเริ่มรู้สึกวามันมีแผลเป็นเกิดตามตัว เลยพยายามเลิกทำ เวลารู้สึกไม่ดีเราจะหากิจกรรมที่ได้ออกแรงทำแทนค่ะ ออกกำลังกาย เล่นกีฬา เต้น พอเหนื่อยแล้วเหมือนความโกรธมันถูกระบายออกไปด้วย ลองทำดูนะคะ

0
pi-lo 30 ก.ค. 61 เวลา 03:41 น. 11

ตอนเด็กๆเราไม่ได้โมโหร้ายเท่าไหร่นะ แค่ขี้โมโหนิดหน่อย555 เราโมโหแล้วทำลายข้าวของ กระทีบนู่นนี่นั่น แล้วมีเ ี้ยตัวนึงมันบอกว่า เวลาโมโหอย่าทำลายข้าวของ ของเสียหาย ต้องเสียตังซื้อใหม่ ทีหลังโมโหให้ทำร้ายตัวเอง ตอนนั้นเราอยู่ช่วง ม.1 อยู่ในวัยแปลปรวน เราเวลาหงุดหงิดจนยากทำลายข้าวของ เราก็เอาห่วงผวงกุญแจง้างออก แล้วก็เอามาคูดที่แขน แผลไม่ลึกแต่ก็ช่วยให้หายหงุดได้ บางทีเราก็เอาเล็บขูดแขนขา ลากเป็นทางยาวจนเลือดซิบๆ บางทีก็เอาเล็บจิกตัวเองเวลาโมโหมากๆ เราเครียดเรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว พร้อมๆกัน เราไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ เพราะเราก็มีปัญหาพร้อมกันทั้งสองอย่าง บางทีการเจ็บปวดทางกาย มันช่วยรักษาอาการทางใจได้ เราเหมือนเด็กมีปัญช่วงนั้น มันมีหลายอย่างที่ซับซ้อน พอ-เลวนั้นมันเห็นแผลที่แขน ก็ถามว่าทำทำไม โรคจิตหรอ กรือเรียกร้องความสนใจ ทั้งๆทั้งมันเป็นคนพูดเองแท้ๆ ว่าอย่าไปลงกับข้าวของ ให้ลงที่ตัวเอง เราก็ทำร้ายตัวเองมาเรื่อยๆ ต่อยกำแพงบ้าง เจ็บตัวแต่ไม่มีแผชเป็นให้ใครสักเกตุ เราเป็นมาจนถึง ม.4 หลังจากที่ไม่มี-เวรนั่นออกไปจากชีวิตแม่ เราก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นทุกด้าน มีอะไรก็ปรึกษาแม่ทุกเรื่อง คุยได้ทุกเรื่อง เราก็เลิกทำร้ายตัวเอง เพราะเราเริ่มโตแล้วเริ่มมีสติ เริ่มมีความคิดว่าที่ทำมันมีแต่เสีย เพราะการเริ่มทำร้ายตัวเองมันเกิดจากคนในครอบครัว ทุกวันนี้เราอยู่ปี3 เวลาเรามีความสุขในช่วงนี้ พอมองย้อนไปในอดีตมันก็ยังทำให้เรายังรู้สึกเจ็บปวดเสมอ ยิ่งมีแผลที่แขนคอยย้ำเตือนว่าเราเจ็บปวดมากแค่ไหนแต่ก่อน ครอบครัวสำคัญนะคะ อยากให้คนที่เป็นพ่อแม่ถ้าเห็นความคิดเห็นนี้ ก็ใส่ใจลูกให้มากๆ คำพูดของคุณมันทำให้เด็กคนนึงเสียอนาคตได้เลยนะคะ แล้วมันไม่ใช่ทุกคนนะ ที่จะคิดได้แบบเราตอนนี้ เอ๊ะ จะมาให้กำลังใจ จขกท. ดันมาดราม่าซะเอง55555

0
creat1st 30 ก.ค. 61 เวลา 17:08 น. 12

ขั้นแรกที่น้องต้องคิดคือน้องรู้สึกว่าตัวเองมีคนไม่รักหรือไม่ รู้สึกเพื่อนไม่รักหรือไม่ จึงทำให้น้องอยากประชด อยากเรียนร้องความสนใจ


น้องต้องมีเพื่อนคอยแนะนำ หากไม่มีพี่ยินดีเป็นที่ปรึกษาให้ครับ (แต่ตัวเองเอาไม่รอดนะ 5555)

0
Beloved Scholar 1 ส.ค. 61 เวลา 23:02 น. 13

เบื้องต้น แนะนำจขกท.ลองโทรหาเบอร์ที่รับปรึกษาสุขภาพจิต

-1323 จำง่ายสุด แต่ไม่ค่อยแนะนำเพราะคู่สายเขาไม่เพียงพอ กว่าจะโทรติดช้าเวอร์ นั่งฟังเพลงรอสายจนหลับได้(ว่ากันว่าบางทีคนที่มารับสายเป็นแค่อาสาสมัคร ไม่ใช่แพทย์หรือนักจิตฯทั้งหมด อาจจะให้คำปรึกษาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าตกลงเขาเลือกคนมายังไง อบรมก่อนยังไงบ้าง) จากที่เคยรับคำปรึกษา มีทั้งดีและไม่ดีค่ะ(ไม่ดีในที่นี้หมายถึง ใช้คำพูดแบบที่เรามั่นใจว่านักจิตฯกับหมอไม่พูดแน่ๆ)

-สมาคมสะมาริตันส์ อันนี้ไม่เคยลองโทร เคยแต่อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ เท่าที่ทราบเป็นอาสาสมัคร มีการอบรมในการให้คำปรึกษา

-เบอร์ร.พ.ที่มีแผนกจิตเวช


ถ้าสะดวกไปหาหมอ ลองไปรพ.เลยก็ได้ ถ้ารพ.รัฐแล้วจขกท.มีสิทธิเบิกได้(เช่น ลูกข้าราชการ)นี่เสียค่าใช้จ่ายน้อยมาก

0