Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อยากเรียนไกลบ้าน แต่ครอบครัววางแผนชีวิตให้หมดแล้ว

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
   สวัสดีคค่ะทุกคน ตอนที่ตั้งกระทู้นี้เราอยู่ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เริ่มเข้าเทอม2แล้ว มันเข้าสู่ช่วงหาที่มหาลัยที่จะเข้าเรียนต่อแล้ว ตอนนี้เราเรียนอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่เชียงรายค่ะ เรียนสายศิลป์-คำนวน หรือ คณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ แล้วเราอยากเข้า คณะ ICT ที่ม.มหิดลมากๆ  เป็นคณะที่ใฝ่ฝันมา2ปี ตั้งแต่ม.5 แล้ว 

   แต่ว่าแม่เราพูดกรอกหูมาตั้งแต่ม.ต้นว่า "เข้าม.แม่ฟ้าหลวงให้ได้ ถ้าสอบไม่ได้ก็ไปเข้าราชภัฏเชียงราย" โดนวางแผนชีวิตไว้แบบนี้มาตลอด ตอนม.ต้นเรายังไม่ได้อะไรกับการเข้ามหาลัยไหนมากนักประกอบด้วยยังไม่มีข้อมูลอะไร เลยไม่ต่อต้านแม่ค่ะ ก็แค่ตั้งใจเรียนไปตามที่แม่บอกเท่านั้น 

   จนตอนนี้แม่ซื้อห้องคอนโดที่เชียงราย ใกล้ๆกับแม่ฟ้าหลวง และ ราชภัฎเชียงราย ไว้แล้วตอนนี้พี่เราอยู่ค่ะเพราะพี่สาวเราเรียนราชภัฎ(แม่ไม่ให้ไปไหนเหมือนกัน) ตอนพี่เราขึ้นม.6 แม่เราซื้อรถยนต์ให้พี่ไว้ขับไปมหาลัยแล้วบังคับว่า เสาร์-อาทิตย์ ต้องกลับมาบ้าน 

   แล้วตอนนี้เราอยู่ม.6 แม่ก็ซื้อรถยนต์ให้เราด้วยค่ะ ถ้าบอกว่ามันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ ได้เรียนใกล้บ้าน มีรถแอร์เย็นๆให้ขับ มีคอนโดให้อยู่ไม่ต้องอยู่หอในเหมือนลูกคนอื่น
เราวว่า ค่ะ มันดีมาก...แต่เราไม่ต้องการ เราไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับแม่ เราอยู่กับตายาย เจอแม่อย่างต่ำอาทิตย์ละครั้ง ตั้งแต่ประถม-ม.6เพื่อขอเงินไปโรงเรียนในแต่ละอาทิตย์ เรากับแม่เลยไม่สนิทกัน เจอหน้ากันก็โดนด่าบ่อยๆ เล็บยาวนิดเดียวก็ด่า ใส่เสื้อกันแดด(มันไม่หนา เป็นผ้าเย็นๆ)ไปโรงเรียนก็โดนด่าว่า ไม่รู้จักร้อนจักหนาว เจอแต่ละทีต้องมีเรื่องมาติมาด่าตลอด พูดกูๆ-ๆด้วยน้ำเสียงเหมือนเราไม่ใช่ลูก จนเราเป็นคนกลัวแม่มาก ไม่กล้าขัดใจ พูดอะไรไม่ถูกใจก็ชอบทำหน้าเหมือนอารมณ์ไม่ดีใส่ แค่จะไปทัศนศึกษากับโรงเรียน(ไปปีละครั้ง)ยังคัดค้านไม่ให้เราไปเลย เราเลยคิดว่ามันเกินไปรึเปล่า ไปทัศนศึกษา คือไปศึกษา ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นไหม ด้วยการเป็นแบบนี้ มันเลยกลายเป็นว่า แม่เราแสดงความรักด้วยการให้สิ่งที่เรียกว่าเงิน ซึ่งเราไม่อยากได้ เราต้องการ ความเชื่อใจไม่ใช่เงิน ไม่ใช่รถหรูๆ ไม่ใช่ที่พักดีๆ ไม่ใช่บันไดที่ปูพรมแดงไว้ เราต้องการคีมเหล็กหรือค้อนสักอันเพื่อมาทำลายกรงที่พ่อแม่สร้างให้ 

  บอกก่อนนะคะว่าเราไม่ได้เป็นเด็กเที่ยวกลางคืนอะไร กลับบ้านไม่เกิน6โมงเย็นทุกวัน วันไหนติดกิจกรรมที่โรงเรียนก็ขึ้นรถเมล์กลับบ้านแล้วโทรให้ตาออกไปรับ ไม่เคยให้เพื่อนขับรถมาส่งในบ้านเลย เพราะกลัวแม่คิดว่าแอบไปมีแฟน แล้วให้แฟนมาส่งจะเดี๋ยวก็จะมีปัญหาอีก เวลาจะไปเที่ยงไหนก็ต้องให้คนนู้นคนนี้ไปส่ง แต่ไม่ได้ไปเที่ยวแบบวัยรุ่นนะคะ เวลาเราไปเที่ยวก็คือไปซื้อของ ร้านโปรดคือ ร้านหนังสือ ร้านเครื่องเขียน DAIZO ร้านที่มันน่ารักๆ เพราะเราชอบเครื่องเขียนมากๆ ไม่เคยไปแหล่งมั่วซุ่มเลย และไม่อยากไป ถ้าต้องไปที่แบบนั้น ก็สิงในร้านหนังสือดีกว่า 

   เกรดเฉลี่ยเราก็ค่อนข้างดีค่ะ ม.ปลาย 3.5 อัพเกือบทุกเทอม โดยเฉพาะภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์จะดีมาก เพราะเราจะใส่ใจกับมันมากๆ เราชอบภาษาอังกฤษ เราชอบคณิตศาสตร์ เราชอบคอมพิวเตอร์ คณะ ICT เลยตอบโจทย์เรามาก รวมกับเราอยากเข้ามหาวิทลัยมหิดลมากๆ และศิลป์คำนวนที่มหิดลมีคณะ ICT คณะเดียวที่รับ คณะอื่นเป็นวิทย์-คณิต 

  ไม่ใช่ว่ากลัวสอบแม่ฟ้าหลวงไม่ได้หรือราชภัฎไม่ดีนะคะ คือเรามีเป้าหมายของเราแล้ว ใครๆก็อยากทำตามเป้าหมายที่วางไว้ ถ้าล้มจากที่นี้ เราก็จะพยายามที่อื่นอีก แต่การที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ มันขัดขาลูกล้มซะเอง เราว่ามันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเรามากค่ะ แต่เราไม่กล้าบอกแม่ เรากลัวแม่ด่าเรา เรากลัวแม่จะทำลายความฝันเรามากไปกว่านี้ 

   สาเหตุที่อยากเข้า ม.มหิดล ใครๆก็รู้ใช่ไหมคะว่า มหาลัยดังๆย่อมมีงานดีๆให้ทำ 
เราอ่านรีวิวต่างๆจากคนมากมายที่เข้ามหาลัยหลายๆที่มาแล้ว และเราเชื่อว่า มันจริง

 
เราเชื่อว่าทุกมหาวิทยาลัย สอนดีหมด

   แต่เมื่อเราต้องทำงานละ ถ้าเราต้องฝึกงานล่ะ ถ้าเราต้องมาวิ่งหาบริษัทแถวบ้านเพื่อฝึกงาน พอฝึกเสร็จก็ต้องไปวิ่งหางานทำอีก ต้องไปยื่นใบนั้นนี่ให้บริษัทแถวบ้านรับเราเข้าไปทำงานที่เงินเดือนไม่สูง มันคุ้มหรอ ถึงตอนเรียนเราทำได้ดี ผลงานโดดเด่นมาก แต่จะมีคนดันเราหรอ จะมีคนเสนอผลงานเราไปให้บริษัทใหญ่ๆในกรุงเทพเลยหรอ แล้วบริษัทใหญ่ๆในกรุงเทพเขาจะรับเด็กที่ ไม่คุ้นชินกับเมืองกรุงเข้าทำงานหรอ เราต้องปรับตัวอะไรเยอะไปปรึเปล่า กว่าจะได้งานที่ดีๆเงินเยอะๆจริงๆ มันเสียเวลาไปเยอะเกินไปรึเปล่า

   แลกกับการที่เราไปเรียนในกรุงเทพ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆในตอนที่ยังอยู่ในกรอบระเบียบ หากเราตั้งใจเรียนมีผลงานโดดเด่น การที่จะมีคนดันเรา เสนอผลงานเราให้บริษัทใหญ่ๆมันมีมากกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่า มีบริษัทให้ฝึกงานมากมาย เรามีโอกาศกว่าเห็นๆ ไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงตัดโอกาศเราล่ะ...

 
ในเมื่อทุกมหาวิทยาลัยสอนดีหมด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนได้ดีไหม สิ่งเดียวที่ต่างกันคือ
โอกาศ ใช่ไหม 

 
  ที่เราตั้งกระทู้นี้ไม่ช่เพราะจมาเปรียบเทียบอะไร แต่อยากให้มีคนช่วยมาแนะนำเราทีว่าเราควรจะทำยังไง คือเราไม่กล้าบอกแม่ว่าเราอยากเรียนที่นั้น แล้วเราก็อยากจะบอกพ่อแม่ที่ห่วงลูกมากเกินไปให้ คุณคิดสักนิดค่ะ ว่าคุณกำหนดอนาคตเขาไว้ตอนเรียน ตอนทำงานเขาจะบินยังไง ตอนหางานเขาจะเหนือยไหม เขาจะเสียเปรียบคนอื่นรึเปล่า คุณดีแค่ไหนที่มีลูกตั้งใจเรียน อย่างน้อยเขาก็อยากมีที่เรียน ไม่ใช่ไม่สนใจอะไร  

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

สู้ๆครับ 10 ต.ค. 61 เวลา 19:11 น. 1

เราก็โดนแม่บังคับเหมือนกัน แต่แม่เราอยากให้ไปเรียนแม่ฟ้าหลวง เพื่อที่จะได้ภาษาอังกฤษ เราอยู่ระยองเราเลยคิดว่าการไปเรียนที่นู้นมันไกลมาก เราอยากเรียนใกล้ๆบ้าน แบบม.บูรพา หรือมหาลัยในกรุงเทพ

แต่แม่ต้องการให้เราไปที่นู้น

สู้ๆนะครับ ลองคุยๆกับแม่ดู

0
Ying 10 ต.ค. 61 เวลา 23:33 น. 2

เหมือนชีวิตพี่เลยนะ เอาจริง พี่เองอยู่เชียงรายเหมือนกัน พ่อพี่ก็พูดแบบน้องนี่แหละ ว่าจะให้อยู่แค่สองที่ มฟล ถ้าสอบไม่ได้ ก็ราชภัฏ สมัยตอนสอบเข้ามหาลัย ใจจริงแล้วพี่อยากเข้ารัฐศาสตร์ มธ พี่ก็ทั้งติวออนไลน์ ทั้งซื้อหนังสือมาอ่าน แต่พี่เองก็ไม่กล้าบอกที่บ้านเหมือนกันว่าอยากเรียนที่นั่น จนถึงเวลาสอบ พี่ก็ไม่ได้ไปอยู่ดี ตอนนั้นเองวิชาที่พี่ถนัดสุดๆ มีแค่ภาษาอังกฤษ พี่เรียนศิลป์จีน พี่เองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจบไปแล้วจะทำอะไร ณ ตอนนั้นไม่มีความฝันอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่เรียนตามความถนัดของตัวเอง พี่รู้แค่ว่าพี่อยากทำงานเกี่ยวกับต่างประเทศ พี่เองเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่พี่อยากให้พี่อยู่ใกล้บ้าน เขาเป็นห่วงพี่มาก ตอนสมัยเรียนพี่ก็ต้องนั่งรถตู้ นั่งเมล์ไปกลับ จนตอนเรียนมหาลัยก็ยังคงนั่งอยู่ อยู่บ้านบ้าง หอในบ้าง ตอนฝึกงาน พี่ก็ยื่นฝึกงานที่ต่างประเทศ แต่ว่าปลายทางมีปัญหานิดหน่อย เลยไม่ได้ไป สุดท้ายก็เลยเลือกใกล้บ้านเอา ตอนนี้พี่ก็จบมาได้สักพักละ พ่อพี่อยากให้เป็นข้าราชการ และตอนนี้พี่ก็รู้สึกวุฒิที่พี่จบมาหางานยากในสายราชการ พี่โชคดีที่พ่อพี่สนับสนุนเต็มที่เรื่องการศึกษา พี่เลยตัดสินใจทำตามฝันที่พี่เคยได้ฝันไว้ ฝันที่พี่ไม่กล้าบอกพ่อในตอนนั้น พี่ตัดสินใจสมัครเรียนรัฐศาสตร์ มสธ เป็นปริญญาใบที่สอง เพื่อเติมเต็มความฝันที่เคยตั้งใจไว้ ในตอนนี้ ถึงพี่จะรู้สึกเสียดายว่าทำไมไม่เรียนในสิ่งที่พี่อยากเรียนตั้งแต่แรก แต่พี่ก็รู้สึกว่ามันก็ไม่สายนะที่เราจะทำตามฝันที่เราวาดไว้ ความรู้จากที่พี่ได้เรียนมาสี่ปี มันไม่ได้สูญเปล่าไปซะทีเดียว ส่วนเรื่องหางาน พี่ก็เข้าใจนะ ในโลกแห่งความจริง ก็ยังมีการยึดติดกับชื่อเสียงมหาวิทยาลัยอยู่ ในสายไอที พี่ว่าถ้าเรามีของ ยังไงก็ต้องมีคนมองเห็นอยู่แล้ว ยกตัวอย่าง เพื่อนพี่เอง สมัยประถม มัธยม เค้าไม่ได้อังกฤษเลย โปรไฟล์ก็เรียนเรียนวัด แล้วเค้าก็พยายามเต็มที่ จนได้เกียรตินิยม ความสามารถอัดแน่น ไปสมัครงาน ก็ได้งานที่ดีนะ บริษัทน้ำมันสีน้ำเงิน เค้าก็รับ แต่สุดท้ายก็เลือกโรงเรียนนานาชาติ555 พี่ว่าถ้าเรามีของ พี่ว่าเราก็สู้ได้เหมือนกัน เพื่อนพี่หลายคนเรียนไอทีที่นี่ บ้างก็ มช ก็ไปฝึกงานที่กรุงเทพ แล้วทำงานต่อที่บริษัทที่ฝึกเลย ถ้าเรา performance โดดเด่นจริงๆ งานเอกชนอ่ะ ใครๆก็อยากได้เราไปทำงาน ส่วนเรื่องแม่ของน้อง แม่พี่เองก็คล้ายๆกับแม่ของน้องนั้นแหละ แต่ก็ไม่หนักเท่าไหร่ เค้าก้ไม่อยากให้พี่มีแฟนเท่าไหร่ ไปเที่ยวไหนไกลๆก้ยาก ไกลสุดก็เซ็นเชียงราย ซื้อของ ร้านหนังสืออะไรก็ว่าไป พี่ก็มีหงุดหงิดบ้างนะ แต่พอโตแล้วก็พยายามมองผ่านไปบ้าง สุดท้ายนี้ ถ้าน้องอยากจะเรียนจริงๆ ก็คงต้องไปคุยกับแม่ตรงๆดูค่ะ รวมถึงอธิบายเหตุผลให้ท่านฟัง พี่รู้นะว่ามันยากและลำบากใจไม่น้อย แต่ในเมื่อน้องอยากจะไปมากๆ คงต้องเข้าหาดูค่ะ อีกทางนึงก็อย่างที่ว่า เราก็พิสูจน์ตัวเอง ในระหว่างการเรียนที่นี่ ให้โลกได้รู้ว่า เรามีความสามารถ มฟล เองก็มีการสนับสนุนโปรเจ็คฝึกงานเหมือนกัน ถ้าน้องประกวดและสามารถสร้างชื่อเสียงให้มหาลัย พี่มั่นใจว่า ทุกคนพร้อมผลักดันน้องค่ะ เข้าไปแข่งในระดับประเทศได้เลย พี่เองก็ส่งงานประกวดเหมือนกัน ถ้าเค้าส่งต่อได้ เค้าก็สนับสนุนเต็มที่นะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะ พี่เองก็เคยตกที่นั่งเดียวกับน้องมาก่อน ก็อยากจะแนะนำหลายๆแนวทาง ให้น้องได้คิดได้วางแผนดู บางครั้งชีวิตคนเราก็อาจจะไม่สมหวังได้ทุกเรื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะจบลงตรงนั้น ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เราก็มีโอกาสที่จะทำความฝันให้เป็นจริงได้ค่ะ

0