Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ทำไมเราไม่เก่งอะไรเลย

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เข้าเรื่องเลยละกันนะคะ คือตอนนี้เราได้เรียนคณะที่ชอบ ซึ่งมันก็ดี เรียนแล้วเข้าใจ มีความสุขที่เลือกมัน แต่จากผลการเรียนที่ผ่านมา นับวันมันก็ยิ่งออกมาไม่ดีเลย ทั้งที่เราตั้งใจและก็ทุ่มเทกับมันมากขึ้นแล้ว แต่ก็คิดว่าบางทีมันอาจจะไม่มากพอ จากนั้นก็เลยเกิดข้อสงสัยว่า จริงๆแล้วเราชอบอะไร อยากเรียนด้านไหนมากกว่านี้มั้ย? คำตอบคือมี ชอบพอๆกันด้วย แต่เราก็ไม่เก่ง 

เราคิดว่าเราสนใจและทำอะไรได้หลายอย่างมาก แต่ก็ค้นพบว่าทุกอย่างมันก็ได้แค่ ‘ทำได้’ แต่มันไม่ใช่ ‘ทำได้ดี’ เราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วจะมีอะไรที่ทำได้ดีจริงๆมั้ย ในหัวมีแค่ ควรเปลี่ยนคณะมั้ย? ควรทำยังไง? หรือแค่มีความสุขกับสิ่งที่เรียน?  ถ้าขยันกว่านี้แล้วเกรดยังออกมาไม่ดีจะยังมีกำลังใจเรียนอยู่มั้ย? 

ขอคำแนะนำทีค่ะ อะไรก็ได้เลย เครียดไปหมดแล้ว

แสดงความคิดเห็น

3 ความคิดเห็น

Dark_master 16 ต.ค. 61 เวลา 10:52 น. 1

ลองปรับตัวเองก่อน คิดว่าทำไมในเมื่อชอบถึงไม่ดี

เราทำพลาดเองมั้ย หรือเราไปต่อไม่ได้จริงๆ

อยู่ที่ตัวเราเองตอบตัวเอง

0
G.Tenju 16 ต.ค. 61 เวลา 13:20 น. 2

อันดับแรกคงต้องถามก่อน คำว่า "ทำได้ดี" ในที่นี้ใช้อะไรเป็นตัววัด? มีคนออกปากชม? อาจารย์ให้คะแนนเราสูง? พ่อแม่ภูมิใจ? หรือว่าเราแค่เจอปัญหายากแล้วขี้เกียจแก้เฉยๆ? มันเป็นไปได้หลายทางตามเท่าที่จะคิดออก ซึงบางทีปัญหาอาจจะอยู่ที่ทัศนคติก็ได้ แล้วถ้าเปลี่ยนคณะจริงๆมีอะไรรับประกันเหรอว่าจะไม่เจอปัญหาเดิม?


คนเก่งๆส่วนใหญ่ที่ผมศึกษามา มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาไปเจอสิ่งที่ทำได้ดีแต่แรกไปซะทุกคน บางคนก็มีความทรงจำที่เป็น 'แผล' ในวัยเด็กเป็นตัวตั้ง ว่าเขาเคยทำสิ่งนี้ไม่ได้จนผู้คนดูถูกเหยียดหยาม เขาก็เลยหมั่นฝึกมันมาโดยตลอดจนกระทั่งกลายเป็นความสามารถที่โดดเด่นขึ้นมา หรือบางคนก็ได้ผลกระทบจาก 'คำชม' ที่ทำให้พวกเขาภูมิใจในจุดยืน แล้วก็พัฒนามันมาด้วยทัศนคติว่าฉันทำได้มาโดยตลอด


สิ่งที่คนพวกนี้มีคล้ายกันคือ 'ความเชื่อ' กับ 'ฝึกไม่เลิก' และที่โกง(ส่วนตัวชอบใช้คำนี้)มากเลยคือ 'ยอมรับความผิดพลาด' ที่ชนะการปลูงฝังมาจากระบบการศึกษาไทย


ความเชื่อ - คือเชื่ออย่างไม่สงสัย เชื่ออย่างไม่คิดมากว่าใครจะพูดยังไงหรืออีกนัยคือ 'ศรัทธา' ว่าตัวเองจะไปถึงจุดนั้น เห็นภาพตัวเองในเวอร์ชั่นที่สำเร็จแล้วอย่างชัดเจน พวกเขาเลยไม่เสียเวลามาลังเลว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่ เพราะพวกเขาเลือกไปแล้วว่าฉันจะเป็นแบบนี้


ฝึกไม่เลิก - "โลกนี้ไม่มีคำว่าล้มเหลว มีแต่คำว่าล้มเลิก" จำไม่ได้ว่าใครพูด แต่คนที่ฝึกไม่เลิกมันจะไม่เก่งได้ยังไง? บางทีเราเองนั่นแหละที่เลิกฝึกสิ่งที่สนใจก็เลยเหมารวมว่าไม่ถนัดก็ได้ สมัยนี้คนชอบอะไรที่รวดเร็ว + เบื่อง่าย(อีกนัยก็แปลว่าไม่ได้ชอบมันจริงๆ) จนเอาผลกระทบจากคนอื่นเป็นตัวตั้ง ดูอย่างนักเขียนนิยายมือใหม่ พอมีคนชมก็เขียนต่อ พอไม่มีคอมเม้นก็เลิกเขียน แล้วก็มาบอกว่าตัวเองล้มเหลว


ยอมรับความผิดพลาด - ที่ผมบอกว่าโกง มันเพราะว่าโรงเรียนบ้านเราปลูกฝังให้กลัวการ 'ทำผิด' มาโดยตลอด ต้องทำให้อยู่ในขอบเขตที่ความคิดเห็นของใครก็ไม่รู้บอกว่า "นี่แหละ ถึงจะถูก" ซึ่งพอผ่านการตัดสินมาแล้ว เราก็ดันเชื่อว่ามันถูกจริงๆ เลยไม่คิดจะลองทำสิ่งใหม่อีกเลย ส่งผลให้บ้านเรามีด๊อกเตอร์เพียบแต่ไม่มีผลงาน


นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของผมที่ศึกษามาส่วนตัว มันก็อาจจะผิดหรือถูกสำหรับใครก็ได้ แต่แล้วมันยังไงละ? มันไม่มีตัววัดอยู่แล้ว ถ้าเราลองไปศึกษาที่มาของความรู้แขนงต่างๆ เราก็จะพบว่าทั้งหมดเป็นเพียงความคิดเห็นที่ตรงกันเฉยๆ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนมาประทับตรายืนยันให้ว่ามัน "ถูกต้อง"


ถ้าแนะนำส่วนตัว จขกท. น่าจะหันมาฝึกสมาธิบ้าง ศาสตร์พุทธบ้านเราที่จริงมันกลบจุดอ่อนได้ดีมาก แต่กระทรวงการศึกษาทำชิบหายหมด แทนที่คนจะเข้าใจการปล่อยวางความคิดผ่านการปฏบัติ กลายเป็นต้องมานั่งคิดนั่งท่องวันเกิดพระพุทธเจ้าแทน อันนี้ผมสปอยเลยนะ เผื่อว่าจขกท.จะเข้าใจผิด ผมแนะนำให้ฝึกสมาธิเพราะว่าสมองเรามัน 'หลอก' เราได้ ยิ่งเราคิดมาก กล้ามเนื้อเกร็ง สมองเรามันจะยิ่งดึงสัญชาตญาณแบบสัตว์ป่าออกมาทำให้เราประสาทกินหนักกว่าเดิม


ง่ายๆเลยคือแบมือออกมา แล้วค่อยๆกำ...แบ...สลับกันไปเรื่อยๆ ในช่วงระหว่างที่ทำก็สังเกตว่ามือเรารู้สึกร้อนขึ้นหรือเย็นลง ไม่ใช่ความคิดเข้ามาตัดสิน แต่ใช่ร่างกายรับรู้แทน (อานาปานสติ) ถ้ามีความคิดเข้ามาให้เราดีดออก กลับมาอยู่กับร่างกาย หายใจเข้าก็รับรู้ หายใจออกก็รับรู้ ซึ่งถ้าเราเข้าใจคอนเซปมันแล้ว ทีนี้จะเอาไปปรับใช้แบบไหนก็ได้ เดินอยู่ก็สังเกตกล้ามเนื้อว่าตรงไหนเกร็ง ตรงไหนรับแรงกระแทก ดีดความคิดจรออกไป กลับมาอยู่ที่ร่างกาย เวลานอนก็ลองสังเกตแรงสั่นสะเทือนจากหัวใจเต้น เวลาเจอใครก็หัดไม่ตัดสินว่าสวย/หล่อ แค่รับรู้ด้วยตาก็เท่านั้น


ถ้าถามว่าฝึกไปทำไม?


มันก็เพื่อผ่อนคลายสมองครับ ทุกวันนี้เราใช้ความคิด(ที่หลอกเราได้)ไม่บันยะบันยังจนมันล้าไปหมด จนบางทีก็ปล่อยไหลไปตามอารมณ์จนเกิดเรื่อง ซึ่งดูแล้ว จขกท. กำลังต้องการเลย ลองฝึกทำตรงนี้ซ้ำๆ เดี๋ยวจะเข้าใจเอง ของบางอย่างคำพูดก็ไม่สามารถอธิบายได้ ถ้าให้ใบ้หนักสุดก็คงประมาณนี้


"ฝึกจิตเพื่อให้เกิดสมาธิที่จะใช้ปัญญา"


ส่วนในที่สุดแล้ว จขกท. เก่งเรื่องไหน...ใครจะไปรู้ละ!? ชีวิตเธอ


แถม

www.16personalities.com/th

www.dek-d.com/board/view/3881143/1/?comment=3

www.dek-d.com/board/view/3882629/1/?comment=5 (เอาไว้ถามตัวเอง)

ถ้าไม่มั่นใจก็ลองศึกษาพวกคนประสบความสำเร็จบ้าง (role model) ว่าพวกเขามาถึงตรงนั้นได้ยังไง

- https://youtu.be/xnDf7QW1_Z4

- https://youtu.be/Tj7_bTVAsLo

1
เกย์อักษรฯเอกปรัชญา 16 ต.ค. 61 เวลา 16:56 น. 2-1

กรี๊ดดดด ชอบความเห็นคุณ G.Tenju ครั้งนี้มากเป็นพิเศษ อยากกระทืบไล้ค์ให้สัก 100 แต่ทำไม่ได้(เบื่อที่จะรบกับพวกใช้ตรรกะยอดไลค์เยอะคือชนะ) เลยขอแสดงความชอบผ่านตัวอักษร

0
deejung_deejai (ไลน์) 17 ต.ค. 61 เวลา 14:00 น. 3

คนเราจำเป็นต้องเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบที่สุดไหมครับ ถ้าเราเรียนด้วยเหตุผลอื่นที่ดีกว่าล่ะ


สิ่งที่ชอบอย่างอื่น เราก็ยังไม่ทิ้ง ก็ทำหลายอย่างไปพร้อมกันได้นะ จนกว่าจะลงตัว

0