Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิว โดนรับน้องแย่ๆ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่


สวัสดีค่ะ เราขอแชร์ประสบการณ์การรับน้องที่เกิดขึ้นกับเรา มันกลายเป็นบาดแผลลึกฝังใจเรามาจนถึงทุกวันนี้ ขอเล่าตั้งแต่ต้นเลยนะคะ ยาวหน่อย แต่อยากให้ได้อ่าน

เราได้เข้าศึกษาในมาหลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพค่ะ   วันแรกที่ไปมอบตัวนั้น หลังจากมอบตัวเสร็จก็จะมีรุ่นพี่ ปี2มายืนรอรับตามเอกต่าง และนัดหมายน้องๆมาร่วมรับน้อง โดยเรียกน้องมาก่อนช่วงหมายรับน้องของมหาลัยจริงๆ2เดือน โดยให้เหตผลว่า ต้องมาซ้อมเต้น ซ้อมร้องเพลงก่อน  และทำความรู้จักเพื่อนๆก่อนเรียน จะได้รักกันไว้  

ถึงกำหนดวันนัด เราก็มาตามนัดพี่ๆ เขาให้เข้ารวมกันในห้องเล็กๆ ภายในห้องไม่มีไรมากนั่งอัดกันฟังพวกพี่เขาพูดชี้แจง ออกไปแนะนำตัวทีละคน และลุกไปเต้นตามที่พี่ๆเขาบอก เราทนนั่งอยู่ในห้องนั้นทั้งวัน กิจกรรมไม่มีไรเลยนอกจากเต้นกับฟังรุ่นพี่ด่าๆๆ เจอกันวันแรกก็ด่าแล้ว เราเริ่มไม่ไหวอยากกลับมากๆ แต่ต้องทน


ถึงเวลาเลิก พี่ๆเขาก็นัดแนะกับน้องๆอีกพรุ่งนี้ให้มาเวลาไหนประมาณไหน และเจอกันที่ไหน แต่ด้วยความที่เรามาไม่ได้เลยกะจะไปขอพี่ๆเขาว่ามาไม่ได้   พี่ๆเขาก็โอเค แต่บอกว่าอาทิตย์หน้าต้องมานะ พลาดไม่ได้เดี่ยวตามเพื่อนไม่ทัน

ถึงวันที่เราต้องมาตามนัดแล้ว พอมากิจกรรมในห้องสี่เหลี่ยมก็เหมือนเดิม นั่งแออัดกันในห้องลุกขึ้นมาแนะนำตัวและก็เต้นเกือบทุกชั่วโมง  ที่รับไม่ได้คือ ต้องให้ผญ.ลุกขึ้นไปเต้นยั่วพี่ๆผช. ใครเต้นไม่เซ็กซี่พอก็จะโดนดุโดนว่า ฝั่งผช.ก็ให้ลุกเต้นแบบเดี่ยวกันโดยต้องเต้นกับพี่ผญ.

พอจบวัน ก่อนแยกย้ายรุ่นพี่ก็นัดและบอกทุกคนว่าต้องมาซ้อมรับน้องแบบนี้ทุกวันจนจะเปิดภาคเรียน  ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นมันตั้ง 2เดือน  ซึ่งแน่นอนว่าถ้าทำแบบนั้น เราคงมาไม่ได้แน่ เพราะเราต้องทำงาน เลยยกมือขอพี่ประธานรุ่น แต่คำตอบที่ได้มาคือ "ก็ลาออกสิ" เราแบบ เห้ย! ไม่ได้อะ ทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ เลยบอกพี่เขาว่า หนูต้องทำงาน รุ่นพี่ตอบกลับอีกว่า "เนี้ยเพื่อนมันก็ทำงาน แต่มันก็ลาออกกันหมดอะ" หลังจากพี่เขาพูดจบเพื่อนแต่ละคนก็แบบ เออ ใช้ๆ กูลาออก  อีกคน กูก็ลาออก   

เราไม่มีอะไรจะพูด เราไม่ได้เถียงต่อ แค่คิดในใจว่า  ดูเพื่อนแต่ละคนสิ มันลาออกมันก็ไม่ตาย มันมีบ้านให้นอน มีแม่ให้ขอเงิน ต่างจากเรา เป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่มีใครให้ขอเงิน ถ้าลาออกไม่ทำงาน บ้านก็จะไม่มีอยู่  ข้าวก็ไม่มีให้กิน (ปล. ในเอกเรา เราเป็นเด็กตจว.คนเดียว  ซึ่งแน่นอนถ้าไม่ทำงานไม่มีเงินค่าที่พักค่ากิน ต่างจากเพื่อนที่เป็นเด็กในกทม.อยู่แล้ว  เขามีบ้านให้อยู่ มีครอบครัวให้ขอตังค์ เราไม่ได้ขอตังค์ครอบครัวใช้เลยต้องหาเอง ถ้าลาออกก็ตายอย่างเดียว)


เราตัดสินใจไม่ไปเลย เพราะต้องทำงาน จนมาเดือนสุดท้ายก่อนเปิดภาคเรียน เราตัดสินใจลาออกจากงานเพราะยังไงก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว เราไปร่วมกิจกรรมซ้อมรับน้อง ซึ่งช่วงนั้นก็ยังไม่ถึงการรับน้องจริงๆ ทางเอกเราแอบรับน้องกันเอง ซึ่งทางมหาลัยก็ออกมาบอกแล้วว่าไม่ให้มีการซ้อมรับน้องใดๆก่อนถึงกำหนดการที่มหาลัยกำหนดให้  โดยให้อาจารย์แต่ละเอกดูแล และคอยห้ามนักศึกของตัวเอง ถ้าพบเห็นก็ให้นำรายชื่อนักศึกษายื้นต่อคณะ และจะมีบทลงโทษต่างๆ แต่ทางเอกเราก็ยังแอบทำ ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ในเอกแต่ละคนรู้เห็นเป็นใจ  คอยหาสถานที่รับน้องให้ ที่อยู่นอกมหาลัย


เราไปรับน้อง แน่นอนว่าต้องโดนว่าอยู่แล้วว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว เพื่อนมารับน้องเป็นเดือนแต่เราพึ่งมา เห็นแก่ตัว โดนว่ามากมาย และโดนพี่ปฏิบัติตัวด้วยแบบแย่มาก ไม่ใช่แค่พี่เขาทั้งเพื่อนๆพวกนั้นด้วย  และแน่นอนไม่ใช่เราคนเดียวที่โดน  เรามีเพื่อนอีก 4 คนที่มาพร้อมเรา ก็โดนปฏิบัติแบบเดียวกัน พวกเรา5คนจับมือกัน กัดฟันมาตลอดจนช่วงรับน้องจบ (ปล.ขอไม่บอกว่าช่วงรับน้องโดนไรมาบ้าง แต่บอกได้แค่ว่าก็หนักอยู่เหมือนกัน มหาลัยเรานี้ขึ้นชื่อเรื่องโซตัสมากและยิ่งเอกเราด้วยแล้ว ทุกปี)

ถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงรับน้องมาแล้วนั้นแต่รุ่นพี่ก็ยังเรียกรวมทุกวันหลังเลิกเรียน บางวันมีเรียนแค่ช่วงเช้า ก็ต้องรอจน4โมงเพื่อรอรวมตัว เราไม่เข้าใจว่าจะรวมทำไม ไม่เห็นมีไรสำคัญ เรียกให้ไปนั่งรวมกัน  แล้วก็ด่า ประเด็นเดิมๆแบบนี้ตลอดเรื่องการเอาเปรียบพวก-อย่างโน้น อย่างนี้ รักเพื่อนใหม่ ใครไม่เอารุ่นไม่ต้องสนใจมัน อย่าไปยุ่งไปพูดคุยอะไรกับมัน (มีเพื่อนไม่เอารุ่นอยู่2คน แต่อยู่ไม่ถึงเดือนก็ลาออกไป)แล้วสุดท้ายก็ลงที่พวกเรา5คน ว๊ากเรื่องระเบียบ โน้นนี้นั้น
ลุกเต้นลุกร้องเพลง รุ่นพี่ปีโตจะแวะวียนมาดูบ้างเกือบทุกวัน ก็ต้องลุกไปเต้น ร้องเพลงทีละคน แบบนี้ทุกวัน  แต่ละท่าให้เต้นก็18+มาก บางท่ามันมากกว่านั้นเราไม่ใช่คนเรียบร้อย หรืออินโนเซ้นอะไรหรอก แค่เรารู้สึกอายที่จะต้องทำอะไรแบบนั้นต่อหน้าคนจำนวนมาก   หรือ พอมีใครบ้างคนในกลุ่มเรา5คนเต้นแบบสุดแรง ก็จะมาโดนแขวะทีหลัง ว่าอ่อยเก่งหรืออะไรที่มากกว่านั้น อย่างโน้นนี้นั้น  ไม่เว้นแต่ผช.  ผช.ในคณะเรา-มากจริงๆ 
เราก็ไม่เข้าใจว่าเขาเติบโตมายังไง หรือโดนปลูกฝังอะไรไว้ หาความเป็นสุภาพบุรุษไม่เจอเลย  ซึ่งหน้าแปลก ที่ 20 30 คนเป็นเหมือนกันหมด นิสัยแบบแย่มาก เราได้แต่คิดในใจว่าเอกนี้มันรวมคนประเภทนี้เข้าด้วยกันจริงๆนะ 


กว่าจะเลิกก็มืดแล้ว บางที2ทุ่มเลย  ซึ่งหอเรามันอยู่ไกลมาก อยู่คนละซีกโลกเลย เราขึ้นรถเมย์กลับบ้านใช้เวลาประมาน2ชม. ถ้ารถติดอาจถึง3ชม. ถ้าขึ้นbtsก็จะประหยัดเวลาหน่อย แต่มันก็ต้องนั่งสุดสายเลยแพงมากๆ เราเลยนั่งรถเมย์กลับ แต่ถึงขนาดนั่งรถกลับ ก็ยังใช้เงินเยอะมาก ไปกลับ160  ถ้าขึ้นบีทีเอส 200เลย ซึ่งเราทำงาน ได้ค่าแรงวันละ ไม่ถึง 500 ยังไม่รวมค่าอาหารที่ต้องกิน ค่าห้องที่ต้องจ่าย รวมๆแล่วแทบจะไม่พอเลย   ชีวิตในกรุงเทพแย่มาก เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่พึ่งจบม.6ใหม่ๆ อายุ17 ได้รับวุฒิแค่ไม่กี่วันก็ขึ้นมาอยู่กรุงเทพตัวคนเดียวแล้ว

เรากัดฟันสู้อยู่คนเดียวเพราะไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง เลยหาเงินหางานเอง ไม่ได้ขอตังค์ที่บ้านใช้เลย ถึงขอไปก็ไม่ทีให้ เพราะทางครอบครัวเราก็แทบจะไม่ทีเงินอยู่แล้ว และเราก็เป็นคนอยากมาเรียนที่นี้เอง อยากเข้ามาอยู่ในเมืองกรุง แต่พอมาอยู่เอง โครตจะผิดหวังทั้งสังคม ทั้งสิ่งแวดล้อมต่างๆ

กลับเข้าเรื่องกันต่อเนอะ

เราใช้เวลาไปกลับมหาลัย รวมๆ 4-5 ชม. ถ้ายิ่งรถติดใช้เวลา 6-7 เลยก็ว่าได้ อันนี้ไม่ได้โม้ หรือแต่อย่างใด

พอรุ่นพี่ปล่อยให้กลับบ้านมันก็มืดแล้ว พอ2ทุ่มปุ๊บรถก็ไม่ค่อยมีเลย รอนานมาก สายที่เราขึ้น ต้องรอเป็นชม.เลย กว่าจะได้ขึ้นก็ 3ทุ่มพอดี โชคดีหน่อยที่พอดึกรถมันไม่ติดแล้ว แต่ก็ยังใช้เวลานานอยู่ดี กว่าเราจะถึงก็ปาไป4ทุ่มกว่าๆ ซึ่งก็ยังไม่ถึงบ้านอยู่ดี ต้องต่อ2แถวเข้า แต่4ทุ่มกว่าๆเกือบ5ทุ่มแน่นอนว่ารถไท้ทีแล้ว ต้องต่อแท็กซี่เข้าไปอีก ก็ปาไป45บาท

ชีวิตคนกรุงเทพนี้ยากลำบากมาก เราอยู่บ้านนอก ไม่เคยต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้ภายในวันเดียว เราเริ่มคิดผิดมากๆที่อยากมาอยู่เมืองกรุง

ถ้าจะถามว่าทำไมเราไม่ย้ายหอไปอยู่ใกล้มอ คือเราพยายามหาแล้ว แต่มันยังไม่มี ใกล้มอเกินไปมันก็แพงมาก จะหาเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนเราก็เป็นคนที่นี้ซึ่งเขามีบ้านกันอยู่ แล้วถ้าจะถามว่าทำไมไม่หาห้องใกล้มอ ตั้งแต่แรก  ก็คือเรามาอยู่กรุงเทพ ตั้งแต่ยังสอบไม่ติด เราไล่สอบทุกมหาลัยในกรุงเพ เพื่อที่จะอยากเรียนที่นี้ เพราะฉนั้น เราเลยไม่รู้ว่าเราจะได้เรียนที่ไหน แต่พอสอบติดเราก็พยายามจะย้ายอยู่หรอก แต่มันก็ใช้เงินมากอยู่ดี



พอเราเริ่มมีปัญหากับการเดินทาง คือไม่สามารถกลับดึกได้จริงๆ เราได้แค่เรียนเสร็จ แล้วก็กลับ  ไม่สามารถที่จะไปรวมกลุ่มกับรุ่นพี่และเพื่อนได้ อันที่จริง เราไม่รู้ว่าจะไปรวมทำไม ทำไมต้องไปเรียกรวมทุกๆวัน ไปนั่งอุดอู้ฟังพวกรุ่นพี่เขาตะคอกด่าเรา และส่วนมากคนที่โดนด่าคือพวกเราอยู่แล้ว  ประเด็นคือ พวกเรามันเป็นคนเห็นแก่ตัว เอาเปรียบเพื่อน ซึ้งเพื่อนๆในคณะเราต่างก็เห็นพวกเราเป็นแบบนั้นกันหมด ไม่มีใครเลยที่จะมาซุงซิงกับเราจริงๆ มิหนำซ้ำทั้งโดนแขวะโดนว่าอย่างโน้นนี้สารพัด

เราเริ่มขอรุ่นพี่ว่าจะไม่มารวมรุ่นแล้วนะ ไม่สามารถมาได้แล้ว เราชี้เหตุผลไปสารพัด ซึ่งไม่มีใครเข้าใจ อันนี้เราไม่รู้ว่า ไม่เข้าใจหรือ พยายามทำตัวไม่เข้าใจกันแน่ 
พอเราบอกว่าไม่มาแล้ว พี่ประธานรุ่นก็บอกว่า จะเอาเปรียบเพื่อนนะ จะเห็นแก่ตัวไม่ได้ ยังไงก็ต้องมา เราก็ยังอธิบายคำเดิม จนอาจพี่เขาจะรำคาญ หรืออะไร แกเลยบอกบัดๆไปว่า งั้นก็วันเว้นวันก็ได้ ดีกว่าไม่มาเลย เดี่ยวเพื่อนไม่เห็นหน้า จะเอาเปรียบกัน

อันนี้เราก็ไม่เข้าใจอีกว่าไม่เห็นหน้ายังไง ซึ่งเรามาเรียนทุกคาบกับเพื่อนอยู่แล้ว แต่เราก็โอเคค่ะพี่  และก็พยายามไปรวมรุ่นทุกวัน วันไหน ที่พี่เขาไม่ปล่อยสักที ถ้ามันเกิน6โมง เราก็จะขอกลับก่อน  ซึ่งก็มักจะโดนว่าจากเพื่อนๆอีกว่า  กลับก่อนอีกละ พวกกูยังไม่เคยขอกลับเลย 

อันนี้คือเรามาคิดดูก็อยากร้องไห้นะ ตลอดเวลาที่ต้องืนมานั่งในห้องาเหลี่ยมเล็กๆนี้เราไม่ได้สนุกหรือมีความสุขเลน ถ้าต่างจากคนอื่น ที่เขาสามารถ หัวเราะและสนุกสนานไปกับพี่ๆเขาได้

พวกเขามักชวนกันไปเที่ยว หรือดื่มกันเป็นปกติอยู่แล้วจนสนิทกันมากๆอันนี้เรารู้ เมื่อเทียบกับเรา ซึ่งไม่ทีความสนิทอะไรเลยกับพวกรุ่นพี่เขา เวลารวมรุ่นเราเลยไม่สนุกด้วย ไม่ได้เฮฮา หรือครึกครื่นอะไรเลย พอถึงรอบที่เร่ต้องออกไปเต้น เราเลยไม่ได้เต็มที่กับมันด้วย


หลังๆเราเริ่มไม่ได้ไป และก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปแล้ว  วันนั้นเรามีเรียนช่วงบ่าย ซึ่งเป็นวิชาเลือก ที่สามารถลงแยกกับคนอื่นได้  คนในคณะเรามีลงเรียนไม่ถึง10คน ส่วนที่เหลือ ก็ไม่มีเรียนวันในวันนั้น ซึ่งรุ่นพี่ก็นัดรวมกันในช่วงบ่าย  และเราก็มีเรียน เราตัดสินใจจะเรียนต่อไปออกไปรวม  เพื่อนในคณะที่เรียนวิชานี้ด้วย เขาเดินมาสะกิดเราให้ไปรวม  แล้วจากนั้น พวกเขาก็เดินออกไปจากห้องเลย ส่วนเราบอกแค่อ่อๆ โอเคๆ
ซึ่งไม่ได้บอกว่าจะไปหรือไม่ไป  เรานั่งเรียนต่อ ในกลุ่มไลน์ ที่มีการรวมรุ่นพี่ไว้ ก็มีการตามๆ ทั้งแท็กหาให้มา บอกว่าให้เวลาอีก 30นาที ใครมาช้า จะมีการทำโทษ  หรือไม่ทา เพื่อนทั้งหมดจะโดนทำโทษ

เราเข้าไปอ่านในกลุ่มไลน์ ก็เมิน แล้วนั่งเรียนต่อ  แต่ไม่นาน ทุกคนในกลุ่ม ก็ทั้งแท็กเราและเพื่อนอีก4คนที่ไม่ยอมไปในกลุ่มรัวๆ พร้อมส่งข้อความบอก ไม่มาหรอ  พวกกูจะโดนทำโทษนะ   อย่าเห็นแก่ตัว บราๆๆๆๆๆ 
ผ่านไปสักพัก รุ่นพี่ก็ส่งรูปมาในกลุ่ม  พร้อมบอกว่า -พวกที่ไม่มา ดูไว้นะ เพื่อนโดนอะไร -พวกเห็นแก่ตัว
-พวกเปรื่อย -พวกตัวถ่วง


ปล.พวกเราได้ฉายา 5ตัวถ่วง เนื่องจาก ช่วงที่มีกิจกรรมรับน้องของมอ เวลาร้องเพลงหรือเต้นพร้อมกัน พวกเราจะทำช้าสุดหรือ ปรบมือไม่ค่อยพร้อมพวกเขาเท้าไหร่ เพราะเราไม่ได้ซ้อมมา


หลังเลิกเรียน5โมง วิชานี้เราเรียนถึง5โมง  พวกพี่ๆในกลุ่มก็ส่งข้อความมาว่า-พวกตัวถ่วง5คนมาตอนนี้ยังทันนะ  ไม่มาเดี่ยวเพื่อนโดน และเพื่อนๆก็ส่งมากันว่า พวก-มาเถอะ  ซึ่งเราก็เลยไป  แต่พอไปถึง สิ่งที่เราเห็นพวกเขานั่งเล่น หัวเลาะกันสนุกสนานปกติ แต่พอเราเข้าห้องไป ห้องกลับเงียบกริบเลย 

รุ่นพี่ให้พวกเราไปยืนเรียงกันหน้าห้อง  เขาสั่งให้เพื่อนๆเราไปนั่งเรียงกันเป็นแถว   แล้วก็หันหน้ามาทางพวกเรา  เขาเรียกให้เรา5คนออกไปแนะนำตัวทีละคน แล้วพี่เขาก็บอกว่า

พวก-ดูไว้ -พวกนี้5คน เป็นคนทำให้พวก-ต้องโดนทำโทษ มองหน้ามันไว้ คนแบบนี้พวก-จะเรียกว่าเพื่อนได้หรอ   ซึ่งตอนนั้นเราอยากร้องไห้มาก  เราไม่ได้เป็นคนเข้มแข่งหรอก ตอนนั้นเราน้ำตาซึมแล้ว เราบอกเพื่อนไปว่า ขอโทษนะ 

แต่พวกมันได้แต่ตะโกนออกมาว่า พวกกูโดนทำโทษเพราะ-ไม่มา   ทำไมไม่มาบราๆ

เรารู้สึกผิด แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดเราเลย พวกพี่ๆให้พวกเราทั้งหมด ทั้งเราและเพื่อนๆในคณะ วิดพื้น และลุกนั่ง จนกว่าพี่เขาจะพอใจ  พี่เขายังบอกอีกว่า เป็นเพื่อนกันก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน  คนหนึ่งผิดก็ต้องผิดทั้งหมด และจำไว้ ว่าพวกเรา5คนเป็นคนทำให้เป็นแบบนี้ ต่อไปให้จำไว้ อย่าทำอีก

เราลุกนั่งจนขาสั่นมาก  อยากร้อง จะเลย6โมงแล้วเราเลยขอพี่ๆกลับก่อน และสุดท้ายก็โดนว่าอีก แต่เราก็ได้กลับ  พอเรากลับถึง เพื่อนเราที่เขาอยู่ต่อก็โทรมาบอกเราว่า-พวกนั้นด่า-ยับเลย

เราเสียใจมาก จนแทบไม่อยากไปเรียนเลย แต่ก็ต้องทนยอมไป  เราตัดสินใจทักไปบอกพี่รหัสว่าเราจะไม่ไปอีกแล้วนะ พี่เขาบอกจะออกจากรุ่นใช่ไหม เราได้แค่บอกว่าใช่ 

อันนี้เราก็แทบจะไม่เข้าใจจริงๆ  เอารุ่นหรือไม่เอา มันสามรถตัดสินกันด้วยการต้องไปนั่งทำอะไรไร้สาระแบบนั้นหรอ เราไปรับน้องทุกวัน ตามกำหนดของมหาลัย และการรับน้องมันก็จบไปนานมากๆแล้ว แต่ก็ยังเรียกรวมกันทุกวันเป็นเทอมๆ

ไปนั่งรวมกันแบบไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่เราเลย เราอธิบายให้พี่รหัสฟัง ว่าเราต้องรีบกลับ กลับช้าไม่มีรถ แล้วก็ต้องทำงานด้วย พี่รหัสเหมือนจะเข้าใจเรานะ ถามว่าไม่อยากทีน้องรหัสบ้างหรอ บราๆ

หลังจากเราคุยกับพี่รหัสเสร็จ เราก็ไปคุยกับเพื่อนเราว่าจะไม่เอารุ่นนะ ซึ่งเพื่อนเราก็ขอไม่เอารุ่นเหมือนกัน  พวกเราทั้ง5คนไม่มีใครเอารุ่นต่อเลย

พวกเราโดนลบออกจากทั้งกลุ่มไลน์ กลุ่มเฟส กลุ่มๆต่างๆทันทีเลย เหลือเพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มห้อง
ก็มีข้อความส่งมาอีกจากเพื่อนๆในห้องว่า -ออกจากรุ่นทำไม เป็นอะไร บราๆ  พวกเราไม่ได้ตอบในกลุ่มเลย  พอไม่ตอบ ก็มีคนมากมายที่ทักมาหาส่วนตัว  และเราก็ตอบไปเหมือนที่พูดกับพี่รหัส ว่าต้องทำงานไม่ว่าง

วันต่อมาเราได้ยินพวกเพื่อนในห้องต่างก็คุยกันว่าวันนี้โดนอีกแล้ว  เพราะมีคนไม่เอารุ่น  เราไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะไม่อยากไปคิดมาก

หลังจากนั้นมา เพื่อนที่คณะ จากแทบที่ไม่ค่อยได้คุยกันเลย เป็นไม่คุยกับเราเลย ทุกคนเมินเรา โดนรุ่นพี่ผญ.ทั้งแขวะ ทั้งด่า โดนสารพัด อาจารย์ ก็ด้วย เพื่อนเราเริ่มลาออกไปทีละคนสองคน จนเหลือเรากับเพื่อน2คน

เวลาทำงานกลุ่ม แทบไม่มีใครอยากอยู่ด้วย  หรือเวลาอาจารย์จับกลุ่มให้ ก็มักจะไม่เลือกให้พวกเรา  แกจะเลือกคนอื่นก่อนตลอด พอสุดท้ายมักเหลือเราที่เป็นเศษตลอด  อาจารย์มักจะบอกมีกลุ่มไหนอยากได้สองคนนี้ไหม ซึ่งก็ไม่มีใครยอมรับเลย  พวกเราเหมือนตัวน่ารังเกียจสำหรับคนในคณะ 


อาจารย์ที่นี้ทุกคนเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจในการรับน้องก่อนกำหนด เราไม่มีความสนิทกับอาจารย์ด้วย เป็นเพราะเราไม่ค่อยเข้าหาแกด้วย เวลามีงานหรืออะไรเรามักจะเป็นคนสุดท้ายเสมอ


เรากับเพื่อน2คนมักจะโดนเพื่อนๆในห้องพูดใส่  เพื่อนที่ลาออกไปแล้วมักจะแคปโพส หรือสตอรี่ต่างๆของทั้งพวกรุ่นพี่ และเพื่อนๆในห้องส่งมาให้ดู พวกเขามักโพสด้า หรือแขวะต่างๆนา  ล้อบ้าง เหมือนโน้นนี้นั้นบ้าง ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเรากลายเป็นเหมือนตัวตลกให้ทั้งคณะ 
 
มันรู้สึกแย่มากเลยนะ ที่ต้องกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น เวลาพวกเขานินทาเราทั้งสอง ก็นินทาในกลุ่ม ซึ่งแน่นอนว่า เราเห็นข้อความแชทนั้นทั้งหมดนั้นอยู่แล้ว   เราไม่เข้าใจว่าทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร นินทาโดยไม่สนว่าเราจะรู้สึกยังไงบ้าง บางทีก็แท็กพวกเราไปรั่วๆ แล้วก็นินทา

เราไม่เข้าใจพวกเขาจริงๆ ว่าอยากให้พวกเรามารับรู้เรื่องที่เขานินทาหรือว่าอะไรกันแน่ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเราต้องนอนร้องไห้มากี่คืน เราเสียใจมาก

เวลาไปเรียนเราเจอรุ่นหลายคนนั่งอยู่หน้าตึก เราก็เรียกชื่อแล้วไหว้ปกติ  พวกพี่แก ไม่แม้แต่มองมา เราคิดว่าพวกพี่เขาอาจจะไม่ได้ยิน ก็เดินเข้าไปใกล้หน่อย แล้วเรียกชื่ออีกทีก่อนจะยกมือไหว้อีกครั้ง แต่ก็ได้การตอบรับเหมือนเดิมคือการนิ่งเฉย  ไม่รู้ทำไมกันเราก็ยังเรียกพวกพี่เขาอีก ทีนี้พวกพี่เขาหันมา  แต่นิ่งๆทำหน้าเฉยๆ  เขาแค่หันมามอง  เรายกมือไหว้อีกครั้ง พี่เขาก็ยังแค่มองมาเฉยๆ มองนิ่งๆ  เราก็เรียกชื่อพี่ๆแต่ละคนแล้วยกมือไหว้อีกครั้ง  พวกพี่เขาหันกลับไปแล้วมองเราด้วยหางตา   เขาไม่ตอบกลับ หรือะไรเลย ไม่รับไหว้พวกเรา


หลังจากนั้นเราก็คุยกับเพื่อนว่า มันไม่เห็นหรือตั้งใจต่อไปเราจะไม่ไหว้พวกแม่งนี้อีกแล้ว  ตอนนั้นเราโมโหมาก ทั้งหน้าเสีย ทั้งเจ็บใจ


พวกรุ่นพี่เขามักว่าใส่เราตลอดว่าไม่รู้จักบุญคุณ เขาอุสาดูแลช่วงรับน้อง เขาเสียเงินค่าข้าวค่าน้ำเพื่อเราไปกี่บาท เงินนั้นเขาต้องเหนื่อยขนาดไหนหามาได้ไม่สำนึก ออกจากรุ่นเพราะไม่มีความอดทน

เราแอบไปเห็นเฟสพวกทีเขาบ้าง โพสเป็นการแขวะ ว่า-พวกไร้ความอดทน ไปที่ไหนก็ไม่เจริญบ้าง พวกไม่รู้จักบุญคุณคน เห็นแก่ตัว หรือแม้กะทั้งจะเหยียดรูปร่างหน้าตาพวกเราต่างๆ และต่างคอมเม้นกันต่างๆนาๆอย่างสนุกสนาน

 เราเจอแล้วดิ่งมาก วันนั้นเราทั้งร้องไห้ แล้วเกือบจะคิดสั้นด้วยซ้ำ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเราเป็นยังไงรู้สึกแบบไหน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบาย หรือบอกใครไม่ถูก เรามีทั้งความกดดันทางบ้าน เอาจริงครอบครัวของเราก็เป็นครอบครัวมีปัญหาระดับหนึ่งเลย ไม่ใช่ครอบครัวที่อบอุ่น หรือแสนสุขอะไรเลย เราถึงต้องหนีออกจากมันมา  มาหาความสุขความสบายใจ หนีออกมาให้ไกลจากบ้าน มาอยู่กรุงเทพ แต่ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้


จากความรู้สึกที่มันดาวน์ อารมณ์ดิ่ง มาเจอเรื่องในมหาลัยมันก็ดิ่งคูณ2ไปเลยจนทำให้วันนั้นเราเกือบคิดสั้นจริงๆ แต่ไม่รู้เพราะอะไร อยู่ๆพี่ที่เราสนิทด้วย ที่เล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก อยู่ๆแกก็โทรมาหา  แกโทรมาเล่นด้วย  เราพยายามทำตัวร่าเริง ดูสดใสไว้เสมอ เราไม่ได้บอกหรือระบายอะไรให้แกฟังเลย  แต่พอคุยกับแก เราคุยกันเรื่อยเปื่อย มันทำให้เราลืมเรื่องที่ทำให้เราวุ่นวายใจ มันทำให้เราสบายใจขึ้น

เราพยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองโดยการจะไม่สนใจคนพวกนี้ เพราะเราคิดว่าเราไม่น่าจะเหมาะกับเขา เราเข้ากับเขาไม่ได้ ต่อไปคงจะสนใจเรื่องการเรียนดีกว่า  เราทนไปสักพักมันก็ไม่ดีขึ้นเลยจริงๆ เราเริ่มมีปัญหากับการเรียนมากขึ้น  ไม่ว่าเราจะทำดีหรือไม่ดีก็มักเป็นที่นินทาของทุกคนเสมอ  เรานอนกอดหมอนร้องไห้ทุกคืน

เราคิดว่าตัวเองเริ่มดิ่งอีกครั้ง เราเริ่มทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น มันแย่มาก แย่มากจริงๆ  เราไปเรียน เวลาเดินผ่านหน้าตึก พวกผช. ที่อยู่หน้าตึก ชอบตะโดนมาแซว หรือก็ส่งเสียงต่างๆนาๆ  บางทีก็ทำเสียงหมาเห่าใส่   ซึ่งมันทำให้เราไม่อยากจะเดินผ่านหน้าตึกเลย เราเคยเจอรุ่นพี่ผญ.ตะโกนลงมาจากชั้นบนของตึก แกยืนอยู่ตรงระเบียงแล้วตะโกนลงมาว่า  อิกะหรี่  แล้วหัวเราะกันเสียงดัง  ซึ่งเราไม่รู้ว่าพูดใส่ใคร เพราะตรงนั้นไม่ทีใครเลยนอกจากเรา2คน ซึ่งมัยก็ทำให้เราคิดแล้วว่าพูดใส่เราหรือป่าว   เจอรุ่นพี่ประธาน ทีนี้เราไม่ได้ยกมือไหว้  เราแค่จะเดิอนผ่าน  รุ่นพี่เขาก็จะเดินเข้าตึกมา  พี่แกก็เดินเข้ามาซึ่งชนไหลเราไปเลย ไม่ทีการหลบใดๆ  ไม่หันมาขอโทษ หรืออะไรเลย มันแย่มาก 

เราบอกได้คำเดียวว่าผช.คณะนี้นิสัยไม่ดีแบบสุดๆ

เวลามาเรียนเราหลบซ่อนตลอด ไม่อยากเจอพวกนั้น  แค่เจอในห้องก็จะบ้าตายอยู่แล้ว ไม่อยากเตอใครทั้งรุ่นพี่ หรืออาจารย์




มาถึงช่วงที่เราขึ้นปี2 ต้องรับน้องปี1 พวกคนในห้องก็ทำเหมือนรุ่นพี่ปีก่อนคือการไล่เก็บเงินค่ารับน้อง เพื่อเอาไปทำกิจกรรม พวกเขามาเรียกเก็บกับเรา2คน บอกว่าเอาไปเป็นค่าอาหาร น้ำ เอาไว้เลี้ยงน้องรุ่นต่อไป  เราถามว่าเราไม่เอารุ่นนิ ไม่มีน้องรหัส ไม่เห็นต้องให้ 

พวกมันก็ไม่ได้ตอบอะไรมา แล้วก็เดินหนีไปบอกแต่ว่ารุ่นพี่ให้มาเก็บ เดี่ยวเลิกเรียนรุ่นพี่มาคุยเราก็ตอบแค่ อืม ไปเฉยๆ ในใจเรากลัวมาก ไม่รู้ว่ากลัวอะไร อาจเป็นเพราะ เราไม่อยากเจอ หรือยุ่งเกี่ยวอะไร ไม่อยากมีปัญหาอะไร

พอเลิกเรียน เรานั่งอยู่ในห้องต่อ รุ่นพี่ก็เข้ามาประมาณ 5-6คน พวกพี่แกมายืนรอบโต๊ะเราไว้  แล้วก็เอาแต่ถามเราว่าเป็นอะไร ไม่อยากให้หรอ เรากลัวนะ เราไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ   รุ่นพี่เขาบอกว่า ให้ช่วยๆเพื่อนมันหน่อย ออกช่วยกันหน่อยไนงี้  คนมันน้อย แต่ละคน มันไม่ค่อยมีเงินกัน

 

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

TOMATOMATOKI 23 มิ.ย. 64 เวลา 04:00 น. 1

การรับน้องมหาลัยอื่น เราไม่รู้ว่าเขาเรียกเก็บคนละกี่บาท  แต่ที่นี้คือ เรียกเก็บคนละ2,500 เราว่ามันเยอะมากเลยนะสำหรับเรา ซึ่งเราไม่มีขนาดนั้นด้วย

เพื่อนในห้องคนที่ทำหน้าที่เก็บเงินเขาก็เดินมาพูดเสริมว่าผ่อนเอาก็ได้ อาทิตย์ละร้อย ซึ่งทุกคนในห้องก็ผ่อนจ่ายกันจริงๆ ด้วยความที่เราไม่อยากมีปัญหาเลยยอมๆจ่ายไปทั้งที่ตัวเองแทบไม่มีเงิน เราจ่ายไป100 เพื่อให้วันนั้นจบไป  แต่อาทิตย์ต่อไปเรายังไม่จ่าย และคิดว่าจะไม่จ่ายอีกแล้ว เพราะไม่มีเงิน

การใช้ชีวิตในเมืองหลวงมันลำบากจริงๆ เรายอมกินข้าววันละมื้อ มันมีช่วงที่เราต้องทนกินมาม่าเป็นอาทิตย์ๆ มาม่าห่อหนึ่ง แบ่งกินสองวัน   เรายังเคยต้มน้ำใส่แค่รสดีกิน เพราะหิมมากๆ   เพราะไม่มีเงินจริงๆ เงินมีพอแค่ค่ารถไปกลับ เท่านั้น  จนบางทีค่ารถยังไม่มี เราไม่ไปเรียนเลยก็มี  มันลำบากมากอยู่บ้านเราไม่เคยต้องอดเลย ถึงไม่ทีเงินก็หากินได้

เราไม่มีจริงๆจนน้ำในห้องก็ไม่มีกิน  ต้องกินน้ำก็อก เราโทรขอกับครอบครัว ซึ่งเราแทบจะไม่เคยขอเลย เพราะเรารู้ว่าที่บ้านก็ไม่มี เราทำใจอยู่นานกว่าจะโทรขอที่บ้านได้มา500วันนั้นเราน้ำตาไหลเลย เราร้องไห้หนักมาก เรารีบลงไปซื้อของทันที  เราไปตลาดซื้อข้าวมา1ห่อ10บาท กับแกงหนึ่งถุง ถุงละ30บาท แบ่งกิน ตอนเช้า ด้วย เรานั่งกินข้าวไปร้องไห้ไป เพราะเป็นวันแรกที่เราได้กินข้าว หลังจากกินมาม่ามานาน  เงิน500ที่ได้จากครอบครัว เราบอกไปว่าจะอยู่ถึงสิ้นเดือน ซึ่งนี้พึ่งกลางเดือน และแน่นอนในกรุงเทพ500แค่ใช้วันเดียวก็หมดแล้ว  เราทนโกหกครอบครัวว่าเราอยู่ทีนี้กินดีอยู่ดีเสมอ  จนวันนีเราโทรไปขอเงินพวกเขา  เขาให้มา500คิดเพียงว่ามันจะช่วยลูกตัวเองได้เยอะ เราร้องไห้หนักมากจริงๆ เราไม่อยากอยู่กรุงเทพนี้อีกแล้ว แต่ก็ไม่อยากกลับไปบ้าน

อาทิตย์ต่อมา พวกนั้นก็ยังตามเก็บเงินกับเราซึ่งเราไม่มีให้ เพื่อนของเราเริ่มที่จะขาดเรียนแล้ว มาบ้างไม่มาบ้าง เราต้องทนเรียนอยู่คนเดียว เจออะไรแปลกๆทั้งวันอยู่คนเดียว  เรากลับไปร้องไห้ทุกวัน บางสันมันไม่มีอะไรเลย แต่เราดิ่งมาก ดาวน์มากๆ

เราทำร้ายตัวเองทุกวัน เราใช้คัดเตอร์กรีดแขนและขาตัวเองทุกวัน ใช้ซ้อมทิ้มขาตัวเองเพื่อระบายอารมณ์บ้าง ระบายความเจ็บที่อยู่ในใจ เราไม่ได้จะให้ตัวเองตายหรืออะไร เรากลัวตายนะ แต่พอมันรู้สึกเจ็บ แล้วมันสบายใจ  ความรู้สึกเจ็บในใจมันหายไปมัน

เวลาเห็นเลือดที่มันไหลออกมามันรู้สึกสบายขึ้น โล้งขึ้น  เราไม่ได้ทำให้ตัวเองเจ็บหนักหรือแผลลึกอะไรขนาดนั้น แค่เลือดซิบออกมา แค่มีเลือดไหลหรือรู้สึกเจ็บที่ส่วนอท่น แทนความรู้สึกใน มันดีมาก เราเหมือนคนบ้า ทำไปหัวเราะไป ร้องไห้ไป เรารู้ตัวเอง ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ดี แต่มันเป็นสิ่งเดียวในตอนนั้ที่ทำให้เราสบายใจได้

ถ้าจะบอกว่าทำไมไม่หาใครสักคนระบาย เราลองแล้ว มันไม่มีใครเข้าใจเราจริงๆ มากไปกว่านั้นทุกคนมักบอกว่าเราคิดมากไปเอง  หรือก็บอกว่า ให้หันกลับมามองตัวเองหน่อยว่าทำไมเพื่อนไม่คบ บราๆ ทุกคนไม่มีใครยอมฟัง หรือเข้าใจเราเลย เพียงแต่พยายามที่จะให้เราเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบที่เขาคิด ว่าเราจะดีขึ้นได้ ถ้าเป็นแบบนั้น แบบนี้ 

เพื่อนเราที่ตอนนี้เหลืออยู่1คนในมหาลัย โทรมาบอกว่าเธอจะไม่ไปเรียนอีกแล้ว  เพื่อนเราร้องไห้กับเราหนักมาก และขอโทษที่ทิ้งเราไว้คนเดียว  เพื่อนเราทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ซึ่งเราเข้าใจดี เราไม่ได้โกรธ แต่ใจเราตอนนี้ก็อยากเท บ้างเหมือนกัน เราไม่อยากไปเรียนแล้ว แต่ทำไม่ได้จริงๆ ทางครอบครัวคงไม่ยอมแน่ๆ  เพราะเราเคยคุยตั้งแต่แรกๆแล้วว่าเจออะไร บ้าง แต่ครอบครัวบอกแค่ว่าคิดมาก ให้อดทน มันไม่มีอะไร 

เราไม่อยากให้ที่บ้านเสียใจ อีกอย่างเสียดายค่าเทอม ค่าสมัคร ค่าแรกเข้าด้วย จ่ายไปแพงมาก เลยต้องทนเรียนต่อมาจนถึงทุกวันนี้

หลังจากที่เพื่อนไม่มาเรียน เราก็ต้องทนเรียนตัวคนเดียว ทำงานคนเดียวมาตลอด เจองานกลุ่ม ก็ต้องทนกัดฟัน ทำและก็มักต้องทำคนเดียวเสมอ พอเสร็จก็ค่อยส่งให้เพื่อนต่อไว้พรีเซ้น

มีงานหนึ่งที่เราจำได้แม้น มันโครตทำให้เราน้อยใจคือ งานที่ต้องช่วยกันทำกันหลายคน แล้วรวมทั้ง3ห้องในคณะ โดยแบ่งกลุ่ม6คน ในสามห้องนี้ต้องคละกันไป

และเราได้อยู่กลุ่มกับคนๆหนึ่งซึ่งเป็นตัวหลักๆเป็นตัวท็อปในรุ่นเลยก็ว่าได้ เป็นจุดศูนย์กลางของคนในรุ่น

เราทำงานกันซึ่งต้องทำจนดึกมาก เลยต้องไปทำที่ห้องของคนในกลุ่ม  ใจเราไม่อยากไปมาก ไม่ชอบงานแบบนี้ที่ต้องอยู่กับคนพวกนี้ แต่เพื่องาน  เราช่วยอย่างเต็มที่เลย  อาจจะทำมากกว่าใครบางคนในกลุ่มด้วยซ้ำ เรายิ้มแย้มเสมอกับพวกเขา เราพยายามที่จะทำตัวที่กลมกลืนไปกับเขาเพื่อที่จะทำงานด้วยกันได้ง่าย


เราอาสานั่งทำงานทั้งคืน เพื่อให้คนอื่นได้นอนกัน เราทุ่มเทกับงานมาก พอเช้า งานยังไม่เสร็จ ทุกคนตื่นมาช่วยกันทำต่อจนเสร็จ  พอช่วงบ่าย เราต้องไปมหาลัยเพื่อพรีเซ้นงาน  เราเป็นคนพรีเซ้นไม่ค่อยเก่ง พวกเขาจัดแจงให้เราในส่วนเสริม เราก็โอเค เพราะใจจริงไม่อยากพูดด้วยซ้ำ

พอพรีเซ้นเสร็จ อาจารย์ประเมินงานเสร็จ อยู่ๆอาจารย์ก็ถามขึ้นมาว่า เราได้ช่วยงานเพื่อนไหม  ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าเราดูเป็นคนไม่ช่วยงานเพื่อนขนาดนั้นหรอ ดูเป็นคนไม่ทำงานมากเลยใช่ไหม

และเพื่อนเราก็ตอบกลับ อาจารย์ว่า ก็ช่วยอยู่ค่ะ   ซึ่งคำตอบมันเหมือนว่าเราไม่ช่วยเลยมากกว่า อาจารย์ไม่ได้พูดอะไรแล้วก้มลงเขียนอะไรไม่รู้ แล้วกลุ่มต่อไปก็พรีเซ้นงาน  เรามารู้ทีหลังว่าคะแนนของเราน้อยมาก น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ช่วยงานเลย น้อยกว่า-คนที่ยืนอยู่เฉยๆ แต่ไม่ได้พรีเซ้นงานอีก

เราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรารู้ว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนไม่ตั้งใจเรียนขนาดนั้น ผลการเรียนเราก็อยู่ในระดับต้นๆของห้องด้วยซ้ำ  เราตั้งใจเรียนมากกว่าคนอื่นร้อยเท่าด้วยซ้ำ หรือเรายังตั้งใจเรียนไม่มากพอ

มีงานเดี่ยวที่เราต้องทำส่ง เราทำส่งหลายรอบมาก แต่ก็ถูกตีกลับให้มาแก้ เราแก้จนไม่รู้จะแก้ยังไง เราไม่รู้ว่าผิดตรงไหนอีก  เราถามอาจารย์ แกก็ไม่ยอมบอกสักทีว่าผิดตรงไหน บอกแค่ว่างานตัวเอง  ก็ควรรู้นะว่าผิดตรงไหน   ถ้ายังไม่รู้ก็ไม่ต้องเอามาส่ง   เราแก้อยู่หลายรอบ ส่งไปก็ตีกลับ เราเลยไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์ที่เราพอสนิท ซึ่งแกเป็นอาจารย์ของคณะอื่น  แต่เรารู้จักเพราะมีเพื่อนต่างคณะด้วย

แกดูให้ ก็บอกว่าไม่ได้ผิดอะไรแล้วลองส่งใหม่ และเราส่งใหม่อีกรอบก็ยังไม่ผ่าน  เราท้อแท้มาก จนเราไม่ส่งวิชานั้นเลย เพราะส่งยังไงก็ไม่ผ่าน

เราทนเรียนต่อไปอีก  มันเริ่มดีขึ้น เราไม่โดนแขวะ หรือพูดจากระทบใส่ แต่ก็ยังโดนเมินใส่อยู่บ้าง และยังคงเป็นตัวเชื่อโรคของคณะอยู่  แต่ก็ยังโดนเหมือนเดิม คือเวลาเราโพสอะไรในเฟสบุ๊ค หรือสตอรี่ ก็มักแคปโพสของเราลงกลุ่ม แล้วก็เม้ามอย กัน บางทีมีแท็กเราไปด้วย ซึ่งเราไม่เข้าใจว่า ทำแบบนี้ไปทำไมกัน โตๆกันแล้ว

วันหนึ่งเราแอบไปเห็นสตอรี่เพื่อนในห้อง ที่แคบแชทกลุ่มลง ซึ่งในกลุ่มนั่นมันคือกลุ่มแชทที่พวกเขาคุยกับอาจารย์ และกำลังนินทาใครบางคน  เม้ามอยกันสนุกสนานเลย  อาจารย์เม้ามอยกับลูกศิษย์สนุกกันใหญ่เลย

เราเห็นมันก็อดคิดไม่ได้ว่าคนที่พวกเรากำลังนินทากันนั้นใช่เราหรือป่าว เรารู้สึกแย่อีกครั้ง เราร้องไห้ เราทำร้ายตัวเองซ้ำๆ เหมือนเดิม เราคิดแต่ว่าทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้

อาจารย์ โตแล้วเป็นคนมีวุฒิภาวะมากกว่านักศึกษาเป็นไหน ไม่ควรทำแบบนี้เลยจริงๆ เขาโตๆกันแล้ว ำม่ควรมาเม้ามอยกับลูกศิษย์แบบนี้ หรือผู้หญิงเป็นงี้ทุกคนเราเสียใจมากๆ สถานที่นี้คงรวมแต่คนประเภทเดียวกันไว้

เราเริ่มไปเรียนน้อยลง จนอาจารย์เรียกเราไปพบ แกก็ถามว่าเราทำไมไม่มาเรียน ทำไมไม่สนิทกับเพื่อน  เราได้แต่บอกว่าที่บ้านมีปัญหา เราไม่อยากพูกอะไรมากเพราะเขาเป็นพวกเดียวกัน เราบอกอาจารย์ไปว่าเพราะเราไม่สนิทกับพวกนั้น  อาจารย์ก็บอกเราคิดมาก ทุกคนอยากสนิทกับเรา

เราได้แต่คิดในใจว่า ตอแหล  ทำแบบนั้นกับเราเรียหว้าอยากสนิทหรอ ก่อนหน้านั้นเราพยายามเข้าหาพวกนั้นแล้ว แต่ไม่มีใครยอมเปิดใจตอนรับเราเลย

เราไม่ใช่พวกเดียวกันกับพวกนั้นๆจริงๆแหละ

คนพวกนั้นมีแต่จะหักหลังกันเองจริงๆอ่ะ ใครไม่มา ถูกนินทายังไง เรารู้หมดแหละ เพราะเราได้ยิน คนพวกนี้ต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง ขนาดอาจารย์ที่มองว่าะวกมันเป็นลูกรัก มันยังนินทา ให้อาจารย์อีกคนฟัง และก็เอาอีกคนนินทาให้อีกคนฟัง เรารับไม่ได้กับคนแบบนี้จริงๆ

ความอดทนเราจอนนี้มันเริ่มถึงขีดสุดเราอยู่ในช่วงจะขึ้นปี4แล้ว แต่ทุกอย่างมันเริ่มจะไม่ไหวจริง เราจิตตก อารมณ์ดิ่งทุกวันๆจนคิดว่าอยากจบชีวิตนี้ลงแล้ว ไม่เอาแล้ว  แต่เราก็ยังไม่อยากตาย มันเป็นิกครั้งที่เราอยากฆ่าตัวตาย ตลอด3ปีที่เรียนมาเราคิดสั้นหลายรอบมากๆ ทุกอย่างในชีวิตมันแย่มาก

เราไม่อยากทนอีกต่อไป เราตัดสินใจออกจากมหาลัย ตอนจะขึ้นปี4 ทางครอบครัวไม่เห็นด้วยตัดความสัมพันธ์เราไป เราเสียใจมาก แต่ก็เราเลือกแล้ว  ทางบ้านไม่มีใครสักคนเข้าใจ ถึงแม้ว่าเราจะอธิบายไปทุกอย่างแล้วก็ตาม  เขาก็ยังบอกว่า เราคิดมาก เห็นแก่ตัว เอาความสะบายของตัวเองเป็นหลัก ไม่คิดถึงใจ พ่อแม่  พ่อ ลำบากขนาดไหนที่เลี้ยงเรามา แต่เรามาเอาแต่ใจ อดทนแค่นี้ พ่อแม่ลำบากมาขนาดไหน ความลำบากไม่เท่ากับที่แกทนมา

เราร้องไห้หนักมากจริงๆ  อธิบายอะไรไป ไม่มีคนเข้าใจ  เราตัดสินใจไปแล้ว เราอยากรักตัวเอง เราไม่อยากกลับไปเรียน แล้วเจอนรกแบบนั้น เราดิ่งมาก ตอนเราทุก ครอบครัวไม่เคยให้กำลังใจ หรือเป็นที่พึ่ง เลย มีแต่คอยซ้ำเติม สำหรับเรา ครอยครัวไม่ใช่เซฟโซน บ้านเราเป็นสถานที่ๆดีที่สุด ไม่จริงเลย


เราออกจากมหาลัย อาทิตย์แรก อาจารย์ ก็ทั้งโทรตาม ทักมาหา เราไม่อยากตอบเลยจริงๆ   เรารู้สึกดีมาก สภาพจิตใจเราดีขึ้นหน่อยๆ ที่ไม่ต้องไปเจอสังคมแบบนั้น แต่ก็ยังถือว่าแย่อยู่  เราโดนครอบครัวโทรมาด่า ทุกวันเช้าเย็นๆ เรารับบ้าง ไม่รับบ้าง  รับสายทีไร เสียงที่ออกมาจากโทรศัพท์ คือ คำด่า

ทั้งที่บอกว่าตัดความสัมพันธ์กับเราแล้ว แต่ก็ยังโทรมาด่าเราอยู่ทุกวัน ทางโน้นก็คงเจ็บใจแหละ เราพยายามที่จะได้คิดอะไร  พยายามยามทำความเข้าใจกับมันว่า เพราะอะไร ที่เป็นแบบนี้ ก็แน่นอนน่ะสิ ที่เป็นแบบนั้นเพราะแบบนี้ๆ  เราเปิดธรรมมะฟังผ่านทางยูทูป ทำใจให้สงบ แล้วมันก็ช่วยได้จริงๆ เราไม่ค่อยคิดอะไรมาก จิตใจสงบขึ้น แต่มันก็ยังดิ่งกับอารมณ์ ที่รับมาอยู่ทุกวันจากครอบครัว  เราตัดสินใจ ปิดโทรศัพท์ ไม่รับสายใครเลย

เราเริ่มหางานประจำทำ ทำงานเก็บเงิน ตอนนี้ทำธุรกิจสวนตัว  เรามีงาน มีเงิน ใช้จ่ายโดยไม่เดือดร้อน แถมมีเงินส่งให้ทางบ้าน  ถึงไม่ได้มากอะไร เราก็รู้สึกว่ามันก็ดีกว่าแต่ก่อน

 ถึงตอนนั้เราจะออกจากมหาลัยแล้ว  แต่พวกนั้นก็ยังคงนินทาเม้าเราสนุกปากอยู่เหมือนเดิม ซึ่งเราไม่เข้าใจว่ามันอะไรกันนักกันหนา ถึงเราออกมาแล้วก็ยังคงกล่าวถึงเราอยู่เรื่อยๆ แคปรูปเราไปเม้าสนุกปาก เป็นแบบนี้ทุกรูปที่เราลง เอารูปไปเปรียบเทียบคนโน้นคนนี้บ้าง ต่างๆนาๆ  มันทำให้เรากลายเป็นคนไม่หมั่นใจในตัวเองไปแล้ว เราไม่กล้าที่จะมองหน้าตัวเองในกระจกด้วยซ้ำ ทุกวันนี้  เรารูปร่างไม่ดี เราก็ยอมรับ ซึ่งบางครั้งเราก็อยากแต่งตัวที่มันดูดี หรือชอบอะไรหวานๆ สวยๆงามๆบ้าง

พวกเขาทำให้เราไม่กล้าที่จะอยากทำอะไรแบบนี้อีกเลย เราไม่กล้าแต่งหน้า  แต่งตัว หรือซื้ออะไรสวยๆงาม ของหน้ารัก อีกต่อไปเลย เราไม่กล้าถ่ายรูปลงโซเซียล เรากลัวแม้กระทั้งการเข้าเฟสและไลน์ หรือไอจี 

ผ่านมา1ปีแล้ว ตอนนี้พวกนั้นก็น่าจะใกล้จบกันแล้ว แต่เรายังจำทุกอย่างได้ดี ทุกการกระทำมันฝังลึกลงไปในจิตใจเรา ทุกอย่างที่พูดมา มันไม่ใช่ทั้งหมด จากสิ่งที่เราเจอมา แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกแย่มากๆมาจนถึงทุกวันนี้

 

ล่าสุดที่เราเจอพวกนั้นในคือ เดือนที่แล้วนี้เอง เราบังเอิญเดินสวนกัน เราไม่ได้ทักพวกนั้น ปละพวกนั้นก็เห็นเรา  เขาไม่ได้ทัก แค่สกิดกันแล้วทุกคนก็หันมามองเราทั้งกลุ่ม  พวกนั้นมองเราด้วยหางตา เรารู้สึกเจ็บใจขึ้นมาภาพเก่าๆ ความรู้สึกต่างๆ ความรู้สึกเดิมๆมันไหลเข้ามา มันรู้สึกจุกอยู่ในอก มันอยากร้องไห้ มันหายใจไม่ออก  อยู่ๆน้ำตาเราก็ไหลเอง เราเดินไปดข้าห้องน้ำ แล้วแอบนั่งร้องไห้ในห้องน้ำทันที

ไม่รู้ว้ามีใครได้ยินเราร้องไห้ไหม   เรานั่งอยู่ห้องน้ำสักพัก พอรู้สึกว่าโอเค ก็ออกมาก เรายังคงหวาดกลัว ความรู้สึกเราคือมันแย่มาก ตอนนี้เราก็ยังรู้สึกแย่อยู่ พอคิดถึงมัน เราก็ดิ่งตลอด ทุกครั้งพอนึกขึ้นมา เราอยากร้องไห้ออกมาดังๆ

  เรายิ้มน้อยลง ความร่าเริง และความสดใสเราหายไป เรานั่งดูรูปภาพสมัยมัธยม คือเรามีความสุขนะ ทั้งหัวเราะ และยิ้มเยอะมาก เหมื่อเทียบกับตอนนี้ เราแทบจะจินตนาการตัวเองไม่ออกเลยว่า จะมีความสุขได้ไหม มีความสุขยังไง ยิ้มกว้างที่สุดเป็นยังไง

ตอนนี้เรากำลังเข้าเรียนปีหนึ่งใหม่ที่มหาลัยแห่งหนึ่ง เราอยากเรียนให้จบ ถึงแม่ว่าเราไม่ได้ยึดติดกับใบปริญญาเลย สำหรับเราปริญญาไม่ใช่ทุกสิ่ง  แต่มันก็เป็นใบเบิกทาง ให้เราสามารถไปได้ไกลขึ้นได้

ใบปริญญามันไม่ได้ชี้ความเป็นคนเลย ไม่ได้ช่วยตัดสินการเป็นมนุษย์ วุฒิภาวะหรืออะไรต่างๆ เราเจอผู้ใหญ่ที่มีการศึกษามากมาย แต่ก็พบว่าการศึกษาไม่ได้เป็นการชี้นำ หรือทำให้เขาเป็นคนดีเลย มันไม่มีอะไรบ่งชี้ได้เลยจริงๆ

แต่ครอบครัวเราค่อนข้างหัวโบราณจริงๆอ่ะ เขาไม่คิดแบบนั้นด้วยซ้ำ เขายคดติดกับใบปริญญามากเกินไป แต่เราก็ยังอยากเรียน เราเลยตัดสินใจเรียนต่อแหละ


ถ้าหากว่า หนึ่งในคนที่เข้ามาอ่าน เป็นคนพวกนั้น เราอยากบอกว่าพวกเธอ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเราพัง มากๆ เราไม่รู้ว่าพวกเธอสนุกกันมากขนาดไหน คงไม่รู้ว่าเรารู้สึกยังไงบ้าง อย่าไปทำแบบนี้กับใครเขาอีกล่ะ

เราไม่โกรธหรือขอให้พวกเธอเจอแบบเราบ้างหรอก  เราเข้าใจดีว่ามันแย่ขนาดไหน ไม่อยากให้ใครเจอแบบเรา   แค่คิดว่าถ้าเป็นคนอื่น อาจจะทนได้ไม่มากกว่านี้  เขาอาจจะคิดฆ่าตัวตายไปจริงๆจะเป็นยังไง 

เราคิดว่าตัวเองเข้มแข็งมากๆแล้ว  แต่อย่างนั้นเราก็ยังคิดจะฆ่าตัวตายหลายรอบ แล้วถ้าเจอกับคนที่จิตใจเขาอ่อนแอกว่านี้ แล้วเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นจริงๆ มันคงไม่ดีแน่ๆ  เราอยากจะฝากถึง น้องๆหลายคนด้วยนะ

เราคงสามารถเรียกพวก ปี2 ปี3 ปี4 ที่กำลังจะมีกิจกรรมรับน้องในปีนี้ ว่าน้องได้เนอะ เพราะเราน่าจะแก่กว่า

จึงอยากฝากไว้ให้รับน้องอย่างสร้างสรรคเถอะ  อย่าทำลายชีวิตใครเลย เพราะบางสิ่งมันอาจเป็นสิ่งที่ฝั่งใจเขาไปจนตายเลยก็ว่าได้  อย่างเช่นเราตอนนี้

ทุกอย่างฝังใจมาก เรากลายเป็นคนซึมเศร้า ดีหน่อยที่ไม่คิดจะฆ่าตัวตายแล้ว แต่เวลาเศร้าหรือดิ่งมากๆ ก็ยังคงทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว  พออารมณ์ดีขึ้น ก็มานั่งผิดนั่งสำนึกผิดกับตัวเองอยู่ตลอด

เราฟังธรรมะแล้วสบายใจขึ้นมาก ตอนนี้เริ่มดีแล้ว เมื่อก่อนเวลาเราเครียดหรืออารมณ์ดิ่ง เราควบคุมตัวเองได้

จะหาว่าเราโทษว่าเป็นเพราะเรื่องรับน้องที่ทำให้ชีวิตเราพัง เราบอกตรงๆเลย  สะส่วนใหญ่คือมาจากเรื่องพวกนี้หมดเลย

แต่ถ้าหากรุ่นพี่คนไหนที่จะมาแย้ง โน้นนี้นั่น  -พวกคนที่เห็นด้วยกับระบบโซตัส เรื่องฝึกความอดทน ความสามัคคี ในการทำงาน บราๆๆ มาแย้งได้นะ

 

หากใครอ่านแล้วบอกว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องแต่งหรือพลอตในหนัง  แบบนี้มันไม่มีจริงหรอก เราขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย คุณมีประสบการณ์ในรั่วมหาลัยที่ดีนะ คุณคงจินตนาการไม่ออกหรอกว่า คนที่เขามีประสบการณ์ในรั่วมหาลัยแย่ๆแบบเราจะเป็นยังไง

เราเจอข่าวรับน้องโหดทุกปี ทั้งเพื่อน ทั้งน้องเสียชีวิตไปเพราะการรับน้องมีทุกปี เราไม่รู้เลยว่าคนพวกนี้ต้องเจ็บ ต้องทรมานขนาดไหน มันแย่ มันโหดขนาดเลย ถึงทำให้ใครสักคนต้องตายได้ ก่อนตายๆพี่ๆน้องๆ

 หรือเพื่อนๆคนนั้นเขาต้องเจ็บ ทรมานขนาดไหนกัน เราจินตนาการไม่ออกจริง ยิ่งเห็นยิ่งเศร้า จิตใจคนพวกนี้มันทำด้วยอะไรกัน

ของเราดีหน่อยที่ไม่ทีอะไรรุ่นแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็มีการทำโทษที่โหดๆสำหรับเราบ้าง อย่างเช่น ลุกนั่งแบบแทบไม่ให้พักเลย เขาเรียกอะไรไม่รู้แต่เราขอเรียกลุกนั่งละกัน วิดพื้นบ้าง เตะและ ตบก็มี   แต่ส่วนมากไม่โดนหรอกเพราะพวกนั้นค่อนข้างสนิทกับรุ่นพี่ จะมีตบหัวบ้าง ก็เล่นๆ

ใครบอกว่าการบูลลี่ในมหาลัยไม่มี เราขอแย้ง การบูลลี่มีอยู่ในสังคมทุกที่ ทุกช่วงอายุคน ใครบอกว่าเด็กที่โต เขาไม่ทำแบบนั้นกัน  เราขอแย้งสุดใจเลย

0
koosakul 23 มิ.ย. 64 เวลา 10:32 น. 2

ถึงผมจะยังไม่ขึ้นมหาลัย แต่ผมเข้าใจความรู้สึกโดนรังเกียจ เป็นตัวตลกนะครับ ผมเคยโดน จนชิน และไม่แคร์คนอื่นอีกต่อไป ผมไม่ทำตามคำสั่งใครโดยเฉพาะคนที่ไม่สนิทด้วย บางครั้งคุณครูยังด่าผมเลยเพาะผมไม่ยอมทำตามคำสั่ง และผมรู้สึกสนุกด้วยที่ได้ทรมานคนพวกนั้น ผมเคยเอามีดไปโรงเรียนเพราะแบบนี้แหละ เคยโดนต่อยตาเขียว เคยเกือบโดนล่วงละเมิดทางเพศ และเคยโดนไถตังค์ ผมยัังมีแผนล้างแค้นพวกมันอยู๋เลย เมื่อวานก็โดนเกรียนคีย์บอรด์ด่า เวลาเจอเรื่องแนวๆแบบคุณเช่นโดนเพื่อนเกลียดเพราะผมไม่ยอมทำตามคำสั่งคนชั่วจนพวกมันโดนทำโทษ แต่ผมไม่แคร์อยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเห็นใจคนพวกนั้น

6
TOMATOMATOKI 23 มิ.ย. 64 เวลา 11:03 น. 2-1

นั้นสินะคะ บางทีมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะไปเห็นใจคนพวกนั้นเลย เพราะบางทีเขาก็ไม่ได้มองว่าเราเป็นคน หรือเป็นมนุษย์เหมือนกันกับเขาเลยด้วยซ้ำ ตัวของเราเอง พอคิดย้อนไปก็แอบเสียใจอยู่มาก ว่าทำไมต้องไปเสียเวลาทำตาม หรือใส่ใจคนพวกนั้น แต่มาถึงตอนนี้ มันก็ทำให้เราได้เห็นจิตใจของคนในหลายแง่มุมมากขึ้น เราขอบคุณ คุณเจ้าของคอมเม้นจริงๆนะคะที่ยอมเสียเวลาอ่านเรื่องของเรา ที่มันยาวมากๆ และทั้งที่เราพิมพ์ถูกพิมพ์ผิด จนอ่านไม่ออกบ้าง ขอบคุณจริงๆค่ะ เราก็ขอให้คุณสู้ๆนะคะ เราเป็นกำลังใจให้ คุณต้องผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปให้ได้นะคะ ขอให้เจอแต่เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิต สู้นะคะ ถึงตอนนี้ยังไม่ขึ้นมหาลัย เขาขอให้คุณมีช่วงเวลาในมหาลัยที่ดีนะคะ เจอเพื่อนดีๆ ที่เรียนดีๆ

0
TOMATOMATOKI 23 มิ.ย. 64 เวลา 12:37 น. 2-4

ฮ่าๆๆ ได้ค่ะ พอดีเราพึ่งเคยเข้ามาใช้เว็บเด็กดีครั้งแรก เลยยังงๆ ไม่รู้ว่าเขาต้องเร่ยก จขกท หรือ คนเม้นว่าอะไร ขอโทษทีค่ะ


สู้ๆนะคะ เราต้องผ่านทุกอย่างไปได้แน่ๆ

0
koosakul 23 มิ.ย. 64 เวลา 12:43 น. 2-5

ไม่ช่ายครับ555 ในนี้จะเรียกว่าอะไรก็ได้ แต่ผมอยากให้คุณเรียกผมว่าคุณนักเขียนน่ะ 555แค่นั้นเองครับ

0
เห็นใจ 23 มิ.ย. 64 เวลา 22:02 น. 3

ปรกติในบอร์ดนักเขียนนี้ เรื่องราวที่มาตั้งกระทู้ทำนองนี้จะเป็นเรื่ิองที่เขียนขึ่นเพื่อให้ เพื่ิอนๆ สมาชิก ได้มาวิจารณ์เนื้อหาหรือกลวิธีการเขียนกันค่ะ


แต่กระทู้นี้เข้าใจว่า เจ้าของกระทู้น่าจะลงผิดบอร์ดหรือเปล่าค่ะ


แต่เรื่องราวดูว่าคุณได้พบเจอกับสิ่งแย่ๆ จนเลือกที่จะปลีกตัวออกไปให้ไกลที่สุด


ในเมื่อออกมาได้แล้วก็อย่าไปจมคิดติดอยู่กับมันอีกค่ะเสียเวลาสมองเราเปล่าๆ ขอให้เดินไปข้างหน้าอย่างผู้เจนชีวิตมากขึ้น เข้าใจความเป็นไปของโลกมากขึ้นนะคะ


ขออวยพรให้คุณพบเจอเรื่องการเรียนที่ดีสบายใจขึ้น มุ่งเน้นไปที่การเรียนค่ะ









0
แมพ พันธุ์นรก 28 มิ.ย. 64 เวลา 21:52 น. 4

สู้ๆนะครับ เป็นกำลังใจให้ มองโลกในแง่บวกไว้ ไม่ได้หมายถึงให้มองข้ามปัญหา แต่มองโลกในแง่บวกเพื่อให้เราสบายใจ มีกำลังใจมากขึ้น (ไม่รู้ว่าเหมือนการหลอกตัวเองหรือป่าว แต่ก็สู้ๆนะครับ)

0