Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เมื่อไหร่การบูลลี่จะหมดไปจากสังคมสักทีครับ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

เมื่อไหร่การบูลลี่จะหมดไปจากสังคมสักที เขารู้ไหมว่ามันเป็นการกระทำที่หยาบคายไร้มารยาทที่สุด ก็ยังจะพูดจาเหยียดหยามต่อว่าคนอื่น โดยเฉพาะเรื่องลักษณะภายนอก อ้วน เตี้ย ดำ ขาใหญ่ แขนใหญ่ ผิดเพศ เล่นพ่อล่อแม่ ฯลฯ

ส่วนตัวผมโดนไม่บ่อยนัก แต่คนรอบข้าง และคนอื่นๆในสังคมได้ยินบ่อยมาก คือรู้แหละว่ามันไปขัดอุดมคติของเขา แต่เขาเลือกที่จะเงียบปากไว้ก็ได้ไหม คิดในใจไม่มีใครว่า แต่พูดทำไม พูดเพื่ออะไร พูดแล้วได้อะไร
เขาฉุกคิดบ้างรึป่าวว่าคนอื่นก็มีหัวใจ มีความรู้สึกนึกคิดร้องไห้เสียใจเป็น เขาได้สนใจให้ค่าความเป็นมนุษย์ของคนอื่นบ้างไหมก่อนจะพูดอะไรออกมา คนพวกนี้ต้องเป็นคนประเภทไหนกัน ถึงกล้าพูดจาเหยียดหยามคนอื่นได้โดยไม่ละอายใจ
บางคนคือเป็นผู้ใหญ่ อายุเยอะ การศึกษาดี หน้าที่การงานดี ก็ยังไม่วาย เหยียดหยามคนอื่นไปวันๆ ต้องโดนคดีหมิ่นประมาทก่อนเหรอถึงจะรู้สึกผิด
ผมล่ะไม่เข้าใจ.

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

Miraculous_World 11 มี.ค. 65 เวลา 14:38 น. 1

ถ้าถามว่า...เมื่อไหร่จะหมดไป...คำตอบก็คือไม่มีวันหมดหรอกนะครับ..ตราบใดที่มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ไอ่เรื่องแบบนี้ไม่มีทางหมดไปหรอก

0
มัณทนา 11 มี.ค. 65 เวลา 14:44 น. 2

ฝ่าย HR นี่ตัวดีเลยค่ะ

แค่เรากับคนอื่น ๆ ตัวผอมไป อ้วนไป ดำไป ขาวไป ขี้เหร่ไป เตี้ยไป สูงไป อายุเกิน

ก็โดนสังคมตัดสินว่าพวกเราไม่สมควรมาสมัครงาน ไม่สมควรมีงานการดี ๆ ทำแล้ว

ทั้ง ๆ ที่พวกเราก็ทำอะไรได้เหมือนกัน

เราตัวผอมและน้ำหนักแค่ 35-36 กิโลกรัมก็ยกของหนัก ๆ ได้เหมือนกัน

ฝ่าย HR กับพวกที่เข้าข้างฝ่าย HR ทำมาเป็นอ้างว่า

"เป็นการทดสอบจิตวิทยาของคนที่เข้ามาสมัครงาน"

ทดสอบบ้านเมิงสิ

เราก็แปลกใจนะว่าบริษัทแต่ละแห่งไม่มีการจัดกิจกรรมอบรมกิริยามารยาทของพนักงาน

กับการทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาของพนักงานกันบ้างเหรอคะ

ถึงได้ปล่อยฝ่าย HR ปากสุนัขมาทำหน้าที่รับสมัครคนเข้ามาทำงาน

0
ffa 11 มี.ค. 65 เวลา 19:34 น. 3

จะอยู่ที่ไหนเจอหมดละน้องเอย สังคมมัธยม มหาลัย มีแต่พวกนินทาทั้งนั้น โดยเฉพาะมหาลัยนินทาไม่พอ ถ้าใครโดนแบนจะถูกถอดออกจากรุ่นภาควิชาเชียวนะ หนักกว่านี้ก็ถูกถอดจากรุ่นรหัสเชียว

ส่วนสังคมการทำงาน หนักสุดโดนใส่ร้ายป้ายสี จนต้องลาออกเอง หรือโดนใส่ร้ายจนหัวหน้าต้องไล่ออกจากงาน

0
White Frangipani 13 มี.ค. 65 เวลา 09:57 น. 4


เมื่อไหร่การบูลลี่จะหมดไปจากสังคมสักทีครับ


สวัสดีค่ะ


เป็นประเด็นที่ดี ๆ ที่คุณยกมาเป็นบทสนทนาค่ะ


เมื่อไหร่การบูลลี่จะหมดไปจากสังคมสักที เขารู้ไหมว่ามันเป็นการกระทำที่หยาบคายไร้มารยาทที่สุด ก็ยังจะพูดจาเหยียดหยามต่อว่าคนอื่น โดยเฉพาะเรื่องลักษณะภายนอก อ้วน เตี้ย ดำ ขาใหญ่ แขนใหญ่ ผิดเพศ เล่นพ่อล่อแม่ ฯลฯ


คือ ด้วยที่เขาทั้งหลายไม่รู้นะคะ คือไม่รู้ได้ว่าคนที่ถูกกระทำนะมีความรู้สึก มีความเสียใจ มีความน้อยใจ และเกิดเป็นผลกระทบมากมายในสังคมวัยรุ่น เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะจะทำให้เด็ก ๆวัยรุ่น ผู้ที่ถูกกระทำ ไม่อยากไปโรงเรียนบ้างล่ะ ไม่อยากเข้ากลุ่มเพื่อน ๆ กลุ่มอื่น ๆ บ้างล่ะ เพราะกลัวที่จะถูกกระทำ(หรือแม้ผู้ใหญ่ก็เป็นผู้ที่ถูกกระทำนั้นหรือ ก็มีอยู่มากมาย )


หรือแย่กว่านั้น ผู้ที่ถูกกระทำ หรือถูกบูลลี่นี่นะ ร้ายแรงในขั้นที่ว่า ผู้ถูกกระทำอาจจะเกิดเป็นอาการของโรคเครียด โรคซึมเศร้า เหตุเช่นนี้เกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นเหตุที่แย่มากๆ


หรือ คนในบางกลุ่ม ไม่ยอมที่จะถูกกระทำฝ่ายเดียว เขาทั้งหลายก็ยืนขึ้นมาต่อต้านผู้กระทำ นั้นก็คือ เกิดการทะเลาะวิวาท และแน่นอนเหตุที่ตามมาคือ สังคมเกิดความวุ่นวายครอบคลุม เกิดเป็นสังคมที่ไม่น่าอยู่สำหรับหลาย ๆ คน ซึ่งการบูลลี่นี้นะ จริงแล้วเป็นต้นเหตุ เป็นสาเหตุที่แย่ และนำพาเหตุการณ์แย่ ๆ ให้เกิดเป็นเหตุต่อเนื่อง ในทุกที่ ที่มีการบูลลี่


ซึ่ง ทั้งนี้ สาเหตุ ต้นเหตุในความเป็นจริงเพราะ ผู้ที่บูลลี่ผู้อื่นนั้น เขาเองที่ไม่รู้สึกไม่รู้สา คือไม่รู้ได้ถึงผลของมัน และไม่รู้ได้ถึงสาเหตุที่เขาเองเป็นได้เช่นนั้นด้วย


คือเป็นอะไรที่แย่มากๆ นั้นเองค่ะ


คือหากเขาทั้งหลายรู้ เขาทั้งหลายคงไม่ทำร้ายเพื่อนร่วมโลกด้วยกันให้ยํ่าแย่ได้แบบนั้นนะคะ คุณเจ้าของกระทู้


คนที่บูลลี่ผู้อื่นได้นั้น แท้จริงเพราะเขาเองที่มืดมน และตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน เกิดเป็นความคับแคบภายในจิตใจ เกิดความอิจฉาตาร้อน เกิดเป็นความโกรธเกลียดในเหตุต่างๆ ที่เป็นผู้อื่น เช่นที่คุณกล่าวมา คือ เมื่อเขาพบเจอผู้อื่นที่มีสีสัน สูง ตํ่า หรือ ขาว ดำ หรือแม่้ในวาระ หรือในสถานะที่อาจจะแตกต่างจากเขา เขาก็นำมาเป็นปัจจัย เป็นสาเหตุ ที่จะจุดไฟเผาจิตใจ จิตสำนึกของเขาเองให้ร้อนระอุ และลงบันเทิงความทุกข์ทรมานที่เป็นไฟทั้งหลายนั้น ด้วยการบูลลี่ผู้อื่น เป็นความบันเทิง เพื่อการอยู่ของเขาทั้งหลายไปวัน ๆ ทั้งหมดนี้ คือสาเหตุที่แท้จริงค่ะ


เพราะ คนเรานะคะ เราทุก ๆ ก็รู้ได้นะคะว่า คนที่เป็นสุข สงบ สันตินะ เขาทั้งหลายจะไม่สามารถนำพาความทุกข์ทรมานไปสู่เพื่อนมนุษยชาติด้วยกันได้อย่างแน่นอน เพราะผู้ที่พบความสงบสุข สันติ มีความพึงพอใจในอารมณ์เหล่านี้ แท้จริงคือสวรรค์ในอก ในทุกเวลา ในทุกวินาที เรา ๆ ผู้รู้ ทุกคนสัมผัสได้ รู้ได้จริง ๆ นะคะ และคนเหล่านี้ ก็มีธรรมชาติที่จะหยิบยื่นความรู้สึกเหล่านี้ ให้ผู้อื่น เป็นธรรมชาติของเขาด้วย เป็นตัวตน เป็นแก่นสารของเขานั้นดูจะเป็นความจริง ในเหตุที่เป็นคนนะคะ


คือทั้งหมดนี้ เป็นอาการของจิตใจ และจิตใต้สำนึก อย่างแท้จริง คือสาเหตุค่ะ


จากที่คุณถามเข้ามาว่า เมื่อไหร่การบูลลี่จะหมดไปจากสังคมสักทีครับ


ตอบคุณว่า จะหมดไปได้ในทุก ๆ นาที ที่เขาเหล่านั้นตื่น สว่าง และเบิกบานค่ะ คือ ในวินาทีที่เขาตื่นจากการตกตํ่ามืดมน เขาจะหยุดการกระทำซึ่งมีสาเหตุมาจากจิตที่ตกตํ่ามืดมนนี้ได้ ในทันที และกลับที่จะปรารถนา ที่จะหยิบยื่นความดี ความสงบสุข สันติ ให้แก่เพื่อนมนุษยชาติด้วยกันอีกด้วยค่ะ


ทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติของอาการของจิตใจ และจิตสำนึกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้ค่ะ


ผู้ที่ติดนิสัยบูลลี่ผู้อื่น จริงแล้วเพราะเขาทั้งหลายไม่รู้ตัว และเพราะด้วยเขาทั้งเองที่จมอยู่ในความมืดมน คับแคบ ตื้นเขิน ยังผลเป็นความทุกข์ทรมานในส่วนบุคคล และแน่นอน อาการเหล่านี้ เขาทั้งหลายก็ส่งต่อสู่พื้นที่แวดล้อม หรือ ส่งให้เหล่าผู้คนอื่น ๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ทรมานไปด้วยกับเขา ทุกอย่างที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งเดียวที่เกี่ยวพัน เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติหนึ่ง ที่เกิดขึ้นได้ในคนค่ะ


ภายในเม้นต์นี้ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ (คือมีโอกาสพบเจอเหล่าผู้ที่บูลลี่มามากมาย ด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อเจ้าของเม้นต์นะคะ) เพราะเห็นเหตุ ซึ่งเป็นปัจจัยในเหตุที่เป็นทุกข์เขาผู้ที่กระทำการบูลลี่ จึงก่อเกิดเป็นการกลั่นแกล้ง เบียดเบียนกันและกันผ่านการกระทำต่าง ๆ ผ่านกาย วาจา ใจ


ทั้งหมดนี้ เจ้าของเม้นต์มีความเข้าใจได้ว่า จะสามารถแก้ไขได้ผ่านการปฎิบัติธรรม สร้างสม สะสมความศรัทธา ในความเข้าใจในจิตที่จะสว่างไสว เบิกบาน จะเกิดเป็นภูมิต้านทานจิตฝ่ายตํ่า ซึ่งมีอยู่ และเกิดขึ้นได้จริง ตามคำสั่งสอนของพระศาสดา ในศาสนาพุทธ จะเกิดเป็นความสว่าง และสามารถหลุดพ้นความทุกข์ทรมานที่เป็นสาเหตุ...เป็นต้นเหตุ เป็นปัจจัยเกี่ยวการเกิดทุกข์ที่จิตใจของคนเราได้ เราก็จะไม่ทำร้ายกัน และกันอีกต่อไป หากแต่เราจะเอื้อเฟื้อ เผื่อแพร่ เมตตา อารี และปรานี ต่อกันและกัน เพื่อนมุษยชาติ ผู้ที่นับว่าเป็นสัตว์ประเสริฐค่ะ


คนประเสริฐ สัตว์ประเสริฐจะไม่มีวันทำร้ายกันและกัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ๆ นั้นก็เป็นความจริงนะคะ


คือหากผู้คนเข้าใจ ถึงสาเหตุแห่งความจริงนี้ได้เมื่อไร และเขาสามารถยึดถือความดี ความสุขสงบ สันติ และมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง เขาก็จะไม่บูลลี่กันอีกต่อไปอย่างแน่นอนค่ะ


โดยส่วนตัวคิดว่าคงจะไม่มีทางอื่นที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ นอกจากวิธีที่กล่าวมานี้ค่ะ


ขอนุญาตแนบ บทธรรมคำสั่งสอน ทางพ้นทุกข์ เข้ามาเพื่อรับฟังร่วมกัน ซึ่งรับฟังแล้วทำจะช่วยทำให้เป็นสุข สงบ สันติ และมีความเข้าใจในอาการของจิต ของเราเอง ทั้งนี้ อย่างน้อย ก็เป็นการเริ่มมารับฟังธรรม ในกระทู้ที่มีชื่อว่า...เมื่อไหร่การบูลลี่จะหมดไปจากสังคมสักทีครับ ด้วยนะคะ


ดูคุณเจ้าของกระทู้จะรับผลจากการบูลลี่ที่มีอยู่ในสังคม หรือที่คุณพบเจอมา ก็ขอให้คุณเข้าใจในสาเหตุที่เป็นปัจจัย ที่นำพาให้เกิดขึ้นเท่านั้นนะคะ คุณจะรู้สึกดีขึ้นค่ะ เพราะคนเรานะมีความแตกต่างกันเป็นแก่นสารด้วยนั้น สาเหตุนี้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นตัวนำพาให้บังเกิด...เป็นจุดเริ่มแห่งเหตุ นั้นก็เป็นความจริงนะคะ และขอให้คุณมีความหวังด้วยนะคะว่า เหตุการณ์แย่ ๆ นี้ จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ต่อไปค่ะ (ขอให้มีความหวังที่ดี ๆ ไว้เสมอ ๆ จะช่วยให้คุณรู้สึกดีค่ะ)


ขอเป็นกำลังใจให้คุณเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ



สัมมาสมาธิ




เหนือเวทนา




0
เจน 21 มี.ค. 65 เวลา 17:40 น. 5

การบูลี่กับการแกล้งระหว่างเพื่อน มันคล้ายกันมาก ขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายรู้สึกยังไง เช่น การแกล้งเปิดกระโปรงเพื่อน ถ้าเพื่อนรู้สึกสนุก แบบนี้เรียกว่า การแกล้ง แต่ ถ้าเพื่อนรู้สึกไม่พอใจ อับอาย แบบนี้เรียกว่า การบูลลี่

0