Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ยังคงรักเพื่อนที่เป็นPuppyLoveมาตลอด10กว่าปี

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

พอดีผมมีคำถามที่อยากจะถามสักข้อสองข้อ
แต่ก่อนที่จะถาม อยากให้อ่านเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ก่อนนะครับ (ยาวนิดหนึ่งนะ)

 
Puppy love. คือช่วงเวลาที่ความรักของผมนั้นเบ่งบานในใจมากที่สุด

เมื่อช่วงปี 2555  ผมกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 อยู่นครปฐม
     ผมนั้นตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง เธออยู่กรุงเทพฯ เราทั้งสองคนรู้จักกันผ่านเกมส์ออนไลน์ โดยมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักกัน ซึ่งตอนแรกนั้น เพื่อนผมคนนี้กะจะให้ผมเป็นพ่อสื่อ เพื่อสานสัมพันธ์ให้กับทั้งสองคนได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อเวลาผ่านไป ตัวผมเองกลับเป็นฝ่ายหลงรักเธอไปโดยที่ไม่รู้ตัว ประจวบกับที่ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกันหลังจากที่พวกเขาคุยกันมาได้สักพัก 

      จนในที่สุดตอนม.6 เธอกับเพื่อนของผมก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังติดต่อและพูดคุยกับผมอย่างปกติ พวกเราลดเวลาเล่นเกมส์ลง เริ่มมีการติดต่อกันทาง SNS บ่อยขึ้น(ใช้โปรไฟล์ที่มีรูปจริงของแต่ละคนคุยกัน) ซึ่งตอนนั้นเนื้อหาที่เราคุยกันส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียน เพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย มีหลายครั้งที่เราต่างก็พูดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน บางครั้งก็มีหยอกล้อกันด้วยถ้อยคำหวานๆบ้าง 

ยกตัวอย่างเช่น มีครั้งหนึ่งผมถามเกี่ยวกับผลสอบของเธอว่าเป็นไงบ้าง
เธอก็บอกว่า “ทำได้...แต่ไม่แน่ใจ”
ผมจึงให้กำลังใจเธอไปว่า “เราว่าเธอทำได้อยู่แล้วล่ะ......คะแนนสวยแน่นอน”
เธอก็ตอบกลับมาว่า “พูดแบบนี้ น่ารักจริง อิอิ” อะไรทำนองนี้

      อาจเป็นเพราะเราเริ่มพูดคุยกันอย่างสนิทสนมมากขึ้น ผมเลยมั่นใจกับตัวเองว่า ผมน่าจะตกหลุมรักเธอจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เลือกที่จะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ ไม่กล้าบอกเธอไป เพราะทั้งเธอและผมก็ยังไม่เคยเจอกันสักครั้งเลย กลัวจริงๆว่าถ้าบอกไป อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันกับเพื่อนของผมก็ได้....... 

      ผมเลยบอกกับตัวเองว่าจะขอเป็น “เพื่อนที่ดี” ของเธอ โดยให้ความรักที่ผมมีต่อเธอนั้น มันเติบโตอยู่ในใจของผมคนเดียวก็พอ 
      ในช่วงแรกที่เราคุยกันผ่าน SNS ผมนั้นจะเป็นฝ่ายทักไปหาเธอก่อน แต่ต่อมาพักหลังๆ เธอเริ่มที่จะทักมาหาผมบ้าง ซึ่งทุกครั้งที่เห็นข้อความแจ้งเตือนของเธอ ผมจะรู้สึกดีใจมากๆ ยิ้มกรุ้มกริ่มทุกครั้ง แถมใจเต้นตุ้บๆอยู่ตลอดเลย ยอมรับเลยครับ ว่าในตอนนั้น การได้คุยกับคนที่เราชอบนั้น มันดีต่อใจจริงๆนะ รู้สึกได้รับพลังงานบวก มีเรี่ยวแรงกำลังใจที่จะทำสิ่งต่างๆได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย 

     พวกเราสัญญาว่าจะพยายามตั้งใจเรียนไปด้วยกัน แต่ว่าก็มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่จู่ๆเธอก็ขาดการติดต่อไปนานมากๆ 

    มารู้ตอนที่เธอทักมาผมเอง เหมือนว่าเธอพยายามหลบใครบางคนอยู่ ซึ่งแม้ผมจะสงสัยแต่ก็เกรงใจจึงไม่ได้รบเร้าถามเธอต่อ จากนั้นเธอก็บอกว่าที่หายไปเพราะอยากอยู่คนเดียว มีเรื่องให้เครียดเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องเรียนต่อ  และที่เธอทักผมมา เพราะเธอเปิด Facebook อันใหม่ โดยจะปิดอันเก่าออก เธอให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า บางทีมีเพื่อนในFacebookน้อยอาจจะดีกว่า อันเก่าของเธอมีเพื่อนเกือบพัน เธอเบื่อ 

และเธอก็ขอไลน์ผมด้วย!

       ใช่ครับ ผมรู้จักเธอมาตั้งแต่ ม.5 แต่เพิ่งมาได้ไลน์ส่วนตัวของเธอตอนจะจบ ม.6 แล้ว  เธอก็บอกด้วย ว่าเธอคิดถึงผมสุดๆเลย เอาจริงๆ ตอนที่เธอหายไปช่วงแรก ผมก็แอบทำใจไว้แล้วนะ ว่าคงจะไม่ได้คุยกันอีกแล้ว แต่ทันทีที่ข้อความของเด้งขึ้นมา ตอนนั้นคือโคตรตกใจอ่ะ แถมเขินมากกก ตอนที่เธอบอกว่าคิดถึง 
       รอบนี้ที่เราคุยกัน เราคุยกันเรื่องคณะและมหาลัยที่จะเรียน เธอบอกว่าดีใจมากที่มีเพื่อนคุยเรื่องนี้ ครั้งนี้ที่เราคุยกัน เราคุยกันถึงเรื่องสถานที่สอบโอเน็ต และกลับมาพูดคุยหยอกล้อกันหวานๆกันเหมือนเดิมอยู่2รอบ ซึ่งความรู้สึกดีๆที่มีต่อเธอนั้นมันก็กลับมาอีกครั้ง..
 
       .....จนครั้งต่อมาที่คุยกัน ก่อนหน้าที่เธอจะทักมาหาผม เราเพิ่งได้มีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันและ ก็คุยให้คำปรึกษากันมาพักหนึ่ง จนครั้งนี้ที่เธอต้องทักแชทมา เป็นเพราะเราคุยกันจนตังค์เธอหมด และการคุยครั้งนี้ เธอก็หยอกล้อเกี่ยวประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา

        เป็นเพราะความรักของผมคิดเกินเพื่อนกับเธอที่มันสั่งสมมานาน รวมกับได้มีโอกาสฟังน้ำเสียงอันไพเราะของเธออยู่บ่อยๆนั้น ความรู้สึกที่อัดอั้นมาทั้งหมดก็เลยระเบิดออกมา ผมทนเก็บความรู้สึกแบบนี้ต่อไปไม่ไหว เลยตัดสินใจที่จะขอทำตามความรู้สึกตัวเองด้วยการสารภาพรักกับเธอ


 
บทสนทนาที่คุยกันมีประมาณนี้ (คัดลอกจากบทสนทนาจริง แต่ขอใช้คำสรรพนามแทนชื่อ)

 
21/1/14 22:49

เธอ : (เรียกชื่อเล่นที่ตั้งให้ผม)

       5555+
ผม : อย่าเรียกงี้จิ

       ขอโทษนะ

       ที่ทำให้เงินหมด

เธอ : ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะที่แนะนำอะไรดีๆหลายอย่าง

         ^^
ผม : ไม่เป็นอะไร  เพื่อนกันนี่

       (ส่งสติกเกอร์รูปยิ้ม)

เธอ : แค่เพื่อนเหรอๆ
ผม : เอ๋

เธอ : (ส่งสติกเกอร์แลบลิ้น)
ผม : ยังไงอยู่นะๆ

เธอ : 55556+

        ถ้า ผู้หญิง จีบ ผู้ชาย ก่อนจะคิดยัฝไง

        ยังไง**

        แสดงความเห็นหน่อย
ผม : อืมมมม  ก็ถ้าผู้หญิงเขารักผู้ชายมาก 

        คงไม่แปลกหรอก ถ้าเขาจะจีบอ่ะ

        ดูอย่างคนอินเดียสิ

        ผู้หญิงสามารถขอผู้ชายแต่งงานได้

เธอ : อ๋อ จ้า
ผม : ยุคนี้ ความรักเครื่องกั้นระหว่างชายหญิงแทบไม่มีแล้วมั้งนะ

       ทุกคนเท่าเทียมกัน

เธอ : อ๋อ 0

        ก็ดีสิ 

        เราว่าจะลองจีบใครก่อนดูบ้าง
ผม : เอ๋ 
        จีบก่อน  เอาจริงดิ

        ตอนนี้ไลน์มีปัญหาน่ะ ขอโทษจริงๆ

 
เธอ : ไม่รู้สิ 

        ดีไหมอ่ะ

        บางทีอาจจะทำให้มีประสบการณ์ใหม่แบบว่า...การโดนปฏิเสธเวลาเราสารภาพความรู้สึกเป็นยังไง แอบรักข้างเดียวเป็นยังไฝ

        ไง**

        คงเจ็บดี @.@
 ผม : ก็.....ถ้าเธอคิดดีแล้วว่าถ้าคนนั้นคือคนที่ใช่ 

        แล้วไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคการเรียนก็ทำตามใจสั่งมาเถอะ

        นี่...

        ความเจ็บอ่ะ มันสอนเราก็จริง

        แต่ว่าอย่าไปทำเป็นเรื่องเล่นๆนะ

        เราไม่ดีใจด้วยหรอกนะ ถ้าเธอจะต้องเจ็บอ่ะ

เธอ : จ้าๆ

         เราไม่ทำหรอก

         แค่คิดๆไว้
 ผม : อื้ม  คิดเล่นไม่เป็นไรหรอก

         เพราะเราไม่อยากเห็นพี่อนที่เรารักรักต้องเจ็บปวดหรอก

เธอ : เน้นคำว่าเพื่อนจังเลย

        555555+

        เราไม่คิดมากหรอก
 ผม : รึไม่อยากให้เราเป็นเพื่อนหรอ???

เธอ : เป็นเพื่อนแหละ 5555
 ผม : ชักจะน่าสงสัยละ เธอคนนี้

เธอ : 55555+ 

        สงสัยไรเรา

        ขอโทษนะ
ผม : หืมมม ขอโทษทำไม

เธอ : ทำอะไรแปลกไง

         แปลกๆ**
ผม : ไม่ใช่หรอก 
        ที่ว่าแปลกน่ะ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น

        เราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเธอ

เธอ : ขอโทษทำไม

        ไม่ได้ทำไรผิด
ผม : ผิดสิ ผิดมากด้วย

        ขอบอกอะไรตรงๆนะ

เธอ : จ้าๆ

        บอกมา
ผม : เราชอบเธอนะ

        เมื่อตะกี้มันรู้สึกแบบนี้

        เราเลยขอโทษ

เธอ : อ๋อ 

        จ้าๆ ไม่ได้ว่าไร

        ^^
ผม : เอ๋

       อ๋อ คงชินล่ะสินะ

       มีคนบอกชอบบ่อยนี่นา

       เราคิดแบบนั้นกับเธอคงไม่ใช่เรื่องสมควรหรอก


เธอ :  คิดว่าแบบนั้นเหรอ

         เราคงดูแย่ล่ะสิ คำว่าชิน 

เธอ : คิดแบบนั้นไม่ว่าหรอก  

       แต่ชอบเราตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ
ผม : ไม่ใช่จริงๆๆๆๆๆ ขอโทษ

        ตอนที่ทักมาเมื่อวานครั้งแรกเลยไง (อันนี้โกหก ความจริงคือชอบมานานแล้ว)

        แต่ว่าเรื่องที่เล่าไปเราพูดจากใจจริงนะ

        ไม่ใช่แผนอะไรเลยจริงๆ

เธอ : อ๋อจ้า เราเชื่อ

       ไม่ต้องคิดมาก
ผม : อื้ม

เธอ :  ^^

        ดึกแล้ว นอนกันเถอะ

        5555+
ผม : ยังรู้สึกผิดอยู่เลย แต่ก็ไม่อยากปิดไว้

เธอ : อย่าคิดมากนะ เราไม่ได้โกรธเลย

       นอนหลับให้สบาย

     

       พรุ่งนี้จะได้สดชื่น แจ่มใส >< 555
ผม : อื้ม

เธอ :  ฝันดีจ้า
ผม : อื้ม ฝันดีเช่นกัน

เธอ :

       ไปละ บ๊ายบาย

 
.....................................................................................

 

      หลังจากนั้น เราก็ยังคงคุยกันปกติเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือตัวเธอนั้นรู้ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอแล้ว และก็ตามเคย ผมก็ไม่ได้ถามความรู้สึกของเธอกลับ ก็เลยไม่รู้ว่าเธอนั้นคิดยังไงกับผม และผมเองก็ป๊อดเกินกว่าจะคุยเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะกลัวเธอจะโกรธและว่าผมเซ้าซี้จากนั้นก็จะหายไปอีก เพราะถึงยังไงความรู้สึกดีๆที่ผมมีให้เธอนั้นผมให้เธอด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ  ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ที่สร้างมาต้องจบลงด้วยความรู้สึกแย่ๆต่อกัน ผมยังคงเก็บความค้างคาใจนี้ไว้ แม้เธอจะถึงขั้นถ่ายภาพหรืออัดคลิปของเธอโพสแล้วตั้งค่าให้ผมเห็นคนเดียว

   

      หรือแม้แต่ 

     

    วันที่ 18 สิงหาคม 2557 

     พวกเราทั้งคู่เป็นนักศึกษาเฟรชชี่ปี1 และยังคงอยู่ต่างสถาบันกันเช่นเดิม เธอเลือกเรียนมหาลัยเอกชนใกล้บ้าน ส่วนผมเข้ามาเรียน ม.ราม (ทำให้มีความรู้สึกว่าใกล้ชิดกันขึ้นมาหน่อย)

  .....วันนั้นผมตัดสินใจเดินทางไปหาเธอที่มหาวิทยาลัยของเธอ ทำให้เราสองคนก็ได้พบกันตัวจริงเป็นครั้งแรก เพื่อนำภาพวาดของผมที่วาดให้เธอทั้งหมดนำไปให้กับมือตามที่นัดกันไว้ (ใจจริงคือ อยากพบเธอนั่นแหละแต่เอาเรื่องรูปภาพมาอ้าง) ซึ่งพอได้เจอกันผมก็กลับเขินจนทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรก็ไม่ค่อยออก จนเธอต้องเป็นฝ่ายชวนคุย แต่เหมือนเธอเองก็ดูเกรงใจผมอยู่เลยทำให้ต่างฝ่ายก็เหมือนจะทำตัวไม่ถูก แต่ก่อนที่ผมจะกลับเธอก็มีน้ำใจมารอส่งผมกลับจนขึ้นรถ แล้วโบกมือลากัน



 
     เห็นแบบนี้เป็นใครคงคิดว่า เรายังคงสนิทสนมกันเหมือนเดิม




      แต่ตัวผมกลับรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของผมกับเธอเหมือนจะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ

      หลังจากที่ผมทำบรรยากาศเฟลไปในการพบกันครั้งแรก ผมอยากจะแก้ตัวใหม่อีกครั้งจึงเดินทางไปหาเธออีกรอบ คราวนี้กะจะเซอร์ไพรซ์ให้ตกใจเล่น จึงไปโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า แต่ส่งข้อความว่ากำลังไปหาเมื่อใกล้จะถึง....


      แต่กลายเป็นว่า เธอตอบกลับมาว่าไม่ให้มาเจอ และบอกอีกด้วยว่า ถ้ามาเธอจะโกรธและไม่คุยด้วยอีกต่อไป ผมที่นั่งอยู่ในรถตู้ที่อีกไม่ถึงกิโลเมตรก็จะถึงจุดหมาย พอได้อ่านข้อความที่เธอส่งมาถึงกับช็อคและทำอะไรไม่ถูกไปเลย แม้จะถึงป้ายแล้ว ผมก็ไม่มีแรงลุกออกจากเบาะที่ผมนั่งอยู่ ไม่มีแรงแม้จะเอ่ยเรียกรถให้จอด ตัวผมที่ไร้สติก็เลยได้นั่งรถตั้งแต่ต้นสายวนกลับมาที่เดิมจนโดนคนขับทักว่า “อ้าว-หนุ่ม! ยังไม่ได้ลงหรอ”


     และตั้งแต่วันนั้นสายโทรศัพท์ที่ผมโทรไปเธอก็รับมันน้อยลง ประโยคในแชทที่เคยพูดจาหยอกเย้ากันนั้นก็เริ่มไม่ค่อยมี พอผมพูดจริงจังเกี่ยวกับความเป็นเพื่อนของเรา บางครั้งเธอก็เปลี่ยนประเด็นไปพูดเรื่องอื่น จากนั้นช่องแชทของเราก็ค่อยๆร้าง ประโยคที่คุยกันก็เริ่มลงลง จากพูดคุยสารทุกข์สุขดิบกันได้ ก็กลับมาคุยกันแค่เรื่องเรียน เรื่องสอบ เหมือนกับตอนที่เริ่มคุยกันครั้งแรก และระยะเวลาที่ทักทายกันก็เริ่มห่างขึ้นทีละนิดๆ จากที่คุยกัน 2-3วัน/ครั้ง ก็เริ่มขยับเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์ก็เริ่มห่างเป็นเดือน ในที่สุดเธอก็ค่อยๆเริ่มปิดช่องทางการติดต่ออีกครั้ง (เปลี่ยนเบอร์,ไม่รู้เปลี่ยนไลน์ด้วยไหม เพราะทักไปก็ไม่ได้อ่าน) 


      วันที่ 11 ตุลาคม 2558 

      “จ้า เค้าอ่านหนังสือก่อนนะ พรุ่งนี้สอบจ้า” 

       นี่คือประโยคสุดท้ายที่เธอส่งมาในช่องแชท ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมา Facebook อันใหม่นี้ที่เธอเคยแอดมาหาผม ก็ได้หายไป........

 


   5 ปีต่อมา 

 

     วันที่ 29 ก.ย. 2563  
  ผมเกิดรู้สึกคิดถึงเธอขึ้นมา จึงลองเปิดช่องแชทดูข้อความเก่าๆเพื่อระลึกถึงความหลัง และความรู้สึกดีๆที่ผ่านมา 

     แต่ผมสังเกตว่า ตอนนี้บัญชีที่ถูกปิดไปนั้น มันกลับมาเปิดอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผมรู้สึกดีใจมากๆ และอยากจะดูความเป็นไปที่ผ่านมาของเธอ แต่กลายเป็นว่า เหมือนเธอจะตั้งค่าและจำกัดการมองเห็นไทม์ไลน์และรูปภาพให้เฉพาะเพื่อนสนิทบางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งสมัยก่อนผมคือเพื่อนบางกลุ่มที่ว่า แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะไม่ใช่ผมแล้ว ภาพที่ผมเห็นเห็นปัจจุบันก็ถูกทำให้มองไม่เห็น คลิปที่เธอโพสไว้ ก็เหมือนจะลบไป แม้รูปภาพที่เธอถูกแท็ก ผมก็ไม่สามารถเห็นได้

       ตรงจุดนี้ผมก็พอเข้าใจ ว่าวันเวลาผ่านไป เธอคงได้พบกับเพื่อนที่เข้าใจและพร้อมจะอยู่ข้างๆเธอมากกว่าเพื่อนที่ห่างไกล (จริงๆเรื่องนี้ผมควรรู้มาตั้งแต่คุยกันแรกๆแล้ว) 

    แต่เพราะความทรงจำและความรู้สึกดีๆที่ผ่านมายังคงอยู่ในใจผมมาตลอด บอกผมให้ทักหาเธออีกครั้ง ผมจึงลองส่งสติกเกอร์ไปหาเธอดู

 

     ปรากฏว่าเธอก็ส่งสติกเกอร์ทักทายแบบเดียวกับที่ผมส่งให้เธอไปกลับมา

 

      ผมรู้สึกดีใจมาก จึงพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบของเธอจนรู้ว่าเธอนั้น กำลังเรียน ป.โทอยู่ที่ม.เดิม และพอพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่า........

 

       “555”

       “ขอโทษนะ จำไม่ได้แล้ว”


         ...........

 

ใช่ครับ เธอตอบผมกลับมาแบบนี้

     รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางกะบานอย่างจังเลย ครั้งนี้หนักว่าตอนที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เจอกันเมื่อตอนอยู่ปี1เสียอีก 

    เธอให้เหตุผลต่อว่าตอนนี้เธอเป็นคนขี้ลืม และทำอะไรแปปเดียวก็ลืมแล้ว ทำเลยทำได้แค่ตีเนียนคุยต่อนิดๆหน่อยๆเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ในใจมีความรู้สึกมากมายที่อธิบายเป็นคำพูดออกมาไม่ได้อยู่เต็มไปหมด ประกอบกับน้ำตาที่ค่อยๆรินลงบนแก้มของผม 

   ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเสียใจกับเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วด้วย วันเวลาที่ผันผ่านไป ก็ต้องลบเลือนเรื่องราวในใจคนไปบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ การที่ตัวผมไม่ได้ติดต่อกับเธอมา5ปี ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะต้องลืมกันบ้าง แต่คำพูดของเธอที่ว่า จำไม่ได้แล้ว พร้อมกับการหัวเราะออกมาเป็นตัวอักษรเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน มันจะทำให้ผมเสียใจถึงขนาดนี้ 

 
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย.......

    

 
.................................................................................

 
ปีนี้ (2565) ก็ประมาณ11 ปีพอดี ที่ผมและเธอได้รู้จักกัน

และก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ทั้งที่เจอเรื่องแบบนั้นมาแท้ๆ 

ผมยังกลับไม่ลืมเธอคนนั้น คนที่เป็นทั้งเพื่อนและเป็น Puppy love คนสำคัญของผม

และผมยอมรับครับ ว่าแม้ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว ความรู้สึกดีๆที่ผมยังมีต่อเธอยังไม่จางหายไป

ตอนนี้ตัวผมก็อายุ 26 ปี ก็โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะยอมรับเรื่องความรักอะไรทำนองนี้


แต่ผมก็ยังคงคิดถึงเธอครับ


อยากคุยกับเขาอีกครั้ง แต่ก็กลัวเหลือเกิน ว่าเธอจะพูดอะไรที่ทำร้ายความทรงจำที่ดีของผมอีก เธอคงไม่ได้ตั้งใจให้ผมรู้สึกแย่ แต่บางทีมันก็แอบน้อยใจจริงๆว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมกลับเป็นฝ่ายคิดถึงเธอมาตลอดอย่างเดียว   แอบรู้สึกไม่มีค่ากับเขาเลย

 

ดังนั้นคำถามที่จะถามคือ ผมควรทักไปหาเธอดีไหมครับ? และถ้าทักไปแล้ว ผมควรชวนคุยเรื่องอะไรดี?

 

ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของผมมาจนถึงตรงนี้นะครับ

ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะได้รับคำแนะนำที่ดี

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

โอลิมปุส 31 มี.ค. 65 เวลา 00:15 น. 1

จะทักไปเพื่ออะไรอีก ในเมื่อในใจเธอไม่มีเราอยู่เลย เจ็บแล้วต้องจำสิ 26 ยังไม่ลืม เดี๋ยว 40 ลองดูอีกทีก็ได้ รักแรกอาจจะลืมยากหน่อยหรือลืมไม่ได้ แต่เวลาเปลี่ยน ใจจะมันนิ่งขึ้น สักวันมันเริ่มจะชาชิน นี่เป็นสัจธรรม หลายคู่รักกันยาวรักจนกลืนกิน แต่พอแต่งปั๊บ ไม่เกินสองปีหย่า รักที่ผิดหวังมันจะตราตรึง รักที่สมหวังมันก็จะเบื่อง่ายหน่อย คิดแบบนี้น่าจะดีกว่านะ


แนะนำรีบสร้างฐานะให้ตัวเอง แล้วหาผู้หญิงที่ดีมาแต่งดีกว่า เวลาไม่ค่อยท่าใคร อย่ามัวจมกับอดีตเลย อดีตมีไว้ก้าวข้าม

0
แนน 5 เม.ย. 65 เวลา 08:28 น. 2

จริงๆแล้วเราเข้าใจความรู้สึกเลยนะคะ แต่คิดว่าควรมูฟออนจริงๆค่ะ

ฟังดูคุณเป็นคนที่มั่นคงกับความรู้สึกตัวเองมากๆ

แต่ว่าชีวิตของเราต้องก้าวต่อไปค่ะ 11ปีที่ผ่านมามันมีอะไรเกิดขึ้นเยอะกับชีวิตค่ะ

ความรักครั้งแรกเป็นความรักที่ฝั่งใจ ไม่ว่านานแค่ไหนก็ยังมีที่ในความทรงจำของเรา

เก็บเค้าไว้แค่ตรงนั้นพอค่ะ ขอให้คุณได้เจอผู้หญิงที่ดีรักและมั่นคงกับคุณค่ะ

0