Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เรื่องนี้ผมผิดหรือเปล่าครับ?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

เริ่มเรื่องคือผมโทรสั่งอาหารในหมู่บ้าน แล้วพูดไว้แล้วว่า "ผมวางเงินสดไว้ในตู้พัสดุสีดำหน้าบ้านนะครับ วางอาหารไว้ในตู้ได้เลยไม่ต้องกดกริ่งครับ" ซึ่งเจ้าของร้านก็ขานรับ แสดงว่าได้รับสารครบถ้วน

แต่พออาหารมาถึงก็กดกริ่งให้ออกมารับ แม่ผมเลยมาดูว่าใครกดกริ่ง แล้วก็มาเคาะประตูห้องผมให้ลงไปจ่ายค่าอาหาร ผมก็งงดิ บอกไว้ชัดเจนแล้วนะว่า "วางเงินไว้ในตู้พัสดุสีดำหน้าบ้าน" หน้าบ้านไม่มีอันไหนที่เป็นสีดำอีกแล้วนอกจากตู้พัสดุและถังขยะ ซึ่งตู้พัสดุก็มีป้ายเขียนอยู่นะ ว่า "ตู้ส่งพัสดุ/อาหาร"

พอเป็นแบบนั้นผมก็หงุดหงิดหน่อยๆเพราะก็บอกไว้แล้วนะว่าวางเงินไว้ที่ไหน ผมก็เลยเดินออกจากห้องตัวเองพร้อมพูดกับแม่ไปว่า "ผมวางเงินไว้ในตู้แล้วไม่ใช่เหรอ?" แม่ผมก็บอก "เขาจะไปรู้ได้ยังไง?" คือในมุมมองของแม่คงคิดว่าผมไม่ได้บอกเขาว่าผมวางเงินไว้ในตู้ ผมไม่ได้อยากจะเถียงอะไรต่อเพราะมันจะเสียเวลา ก็เลยรีบเดินลงบันไดไป

แต่ระหว่างที่กำลังเดินลงบันได ผมก็ได้ยินเสียงของ 'บุคคลที่สาม' ดังขึนมาจากชั้นบน ซึ่งเป็นผู้หญิงคนนึงที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับผม (ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อหรือให้ข้อมูลอะไรมากกับผู้หญิงคนนี้ เพราะผมไม่เคยนับถือเขาในฐานะคนที่อายุมากกว่าผม 9 ปีเลยแม้แต่น้อย) ดังขึ้นมาว่า "สั่งอาหารไว้ ก็ต้องรอสิ ไม่ใช่ให้มันลำบากคนอื่นต้องขึ้นมาตาม" พูดขึ้นมาโดยที่ไม่ได้รู้รายระเอียดเลยด้วยซ้ำว่าต้นเรื่องเกิดจากอะไร

ยอมรับเลยว่า ณ จังหวะนั้นผมฟิวส์ขาดทันที ก็เลยพูดออกไปเลยว่า "เสื*กทุกเรื่อง" เพราะก็หงุดหงิดเรื่องที่เจอมาอยู่แล้ว ยังต้องมาฟังคำพูดของคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรอีก และก็อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ผมไม่เคยให้ค่ากับคำพูดของผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ

ซึ่งถามว่ามันคือความ 'อคติ' ของผมรึเปล่า? ผมคิดว่าไม่ใช่ครับ เพราะถ้าผมอคติต่อผู้หญิงคนนี้จริงๆ ผมคงจับผิดทุกการกระทำทุกคำพูดของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ผมทำมาตลอดตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันก็คือการทำเหมือนผู้หญิงคนนี้ 'ไม่มีตัวตน' ครับ ผมขอเรียกมันว่า 'ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นจากการกระทำในอดีต' ก็ว่าได้ครับ ไม่สำคัญว่าปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนที่ดีขึ้นแล้วหรือไม่ เพราะสิ่งที่ทำไว้ในอดีตก็ไม่ได้หายไปไหน มันยังคงฝังอยู่ในหัวของคนที่ถูกกระทำมาตลอด และไม่ได้ต้องการคืนดีอะไรทั้งนั้น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่องที่จะพูดถึง แค่อยากเพิ่มรายระเอียดให้คนอื่นเข้าใจมากขึ้นว่านี่คือทัศนคติที่ผมมองผู้หญิงคนนี้ ทุกคนจะมองว่าดีหรือไม่ดีอันนั้นแล้วแต่เลยครับ (เพราะผมไม่ได้อยากลงรายระเอียดถึงขนาดที่ว่าเขาทำอะไรผมในอดีต)


กลับมาเรื่องเดิม หลังจากที่ผมเดินไปที่ประตูรั้ว ผมก็พูดกับคนส่งอาหารว่า "วางไว้ในตู้ส่งพัสดุเลยครับ ผมวางเงินไว้ด้านในแล้ว" แล้วคนส่งอาหารเขาก็วางอาหารและหยิบเงินไป ผมเลยถามต่อว่า "เจ้าของร้านเขาไม่ได้บอกใช่มั้ยครับว่าผมวางเงินไว้ในตู้พัสดุ?" คนส่งอาหารก็ตอบทันทีเลยว่า "ไม่ได้บอกอะไรเลยครับ" แล้วก็ขับออกไป

จังหวะนี้คือจุดที่ผมเข้าใจเลยว่าความผิดพลาดในการสื่อสารไม่ได้เกิดจากผม แต่เกิดขึ้นจากผู้ส่งสารที่ให้ข้อมูลไม่ถี่ถ้วน [ เจ้าของร้านอาหาร --> คนส่งอาหาร ] ที่ให้ข้อมูลไม่ครบ ซึ่งผมก็ไม่ได้อะไรมากเพราะมันก็ผิดพลาดกันได้ แต่ที่ทำให้ผมหงุดหงิดมากที่สุดคือต่อจากนี้

พอผมรับอาหารมากำลังจะเดินเข้าบ้าน แม่ของผมกับผู้หญิงคนนั้นก็มายืนรออยู่ที่ห้องรับแขก แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ถามผมว่า "เมื่อกี้ด่าใคร ด่าพี่เหรอ?" ผมก็ตอบกลับทันทีว่า "ใช่" เพราะดูจากสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นคือมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าตัวเองมีเหตุผลมากพอ ผมก็เลยอยากจะรู้ว่าคำพูดและเหตุผลของคนที่เสนอหน้ามายุ่งเรื่องที่ตัวเองไม่ได้รู้รายระเอียดเนี่ยมันจะสักแค่ไหนกันเชียว

ผมปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นพูดก่อน "ก็ถ้าไม่อยากโดนติ ก็มารอของที่ตัวเองสั่งไว้สิ ไม่ใช่ต้องให้คนอื่นเขาเดือดร้อนขึ้นมาตามถึงบนห้อง" จากคำพูดนี้คือคำพูดของคนที่ 'ตัดสิน' ไปแล้วว่าคนที่ผิดคือผมที่ไม่ยอมลงมารออาหารที่สั่ง โดยที่ไม่ได้รู้ก่อนว่าผมย้ำกับเจ้าของร้านเอาไว้ว่าอะไร ผมก็เลยตอบไปว่า "ทำไมต้องรอ ก็ในเมื่อบอกเจ้าของร้านไปแล้วว่าจะวางเงินเอาไว้ในตู้สงพัสดุสีดำหน้าบ้าน?" พอผมพูดไปแบบนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็สวนกลับมาว่า "แล้วคนส่งอาหารเขาจะไปรู้ได้ยังไง?" ณ จังหวะนั้นผมคิดขึ้นมาเลยว่า-การมีความคิดแบบนี้คือจะบอกว่าปกติแล้วเจ้าของร้านอาหารไม่จำเป็นต้องให้รายระเอียดของลูกค้ากับคนส่งอาหารเหรอ?

อันนี้เสริมให้นะครับ เผื่อทุกคนคิดว่าคนส่งอาหารเป็นคนใหม่ของทางร้าน ไม่ใช่นะครับ ร้านนี้มีมานานเกินสิบปีแล้วครับ แล้วคนส่งอาหารคนนี้ก็อยู่กับร้านนี้มาตั้งแต่ผมอยู่ ม.ปลาย ตอนนี้ผมอายุ 24(ปีนี้ 25) นั่นหมายความว่าเขาทำงานอยู่ร้านนี้มาเกือบ 10 ปีแล้วนั่นเอง ซึ่งปกติแล้วเขาก็จำผมได้นั่นแหละครับเพราะเมื่อหลายปีก่อนสั่งบ่อยมากๆ แต่การสั่งอาหารครั้งนี้คือการสั่งครั้งแรกในรอบหลายปีครับ และเมื่อหลายปีก่อนบ้านผมยังไม่มีช่องสำหรับส่งพัสดุหรืออาหารครับ นั่นคือเหตุผลที่ผมต้องพูดว่า "ผมวางเงินสดไว้ในตู้พัสดุสีดำหน้าบ้านนะครับ วางอาหารไว้ในตู้ได้เลยไม่ต้องกดกริ่งครับ" ในตอนที่สั่งอาหาร

กลับมาต่อหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า "แล้วคนส่งอาหารเขาจะไปรู้ได้ยังไง?" ผมก็เลยตอบไปว่า "ก็ต้องรู้สิ ก็บอกไปชัดเจนแล้วว่าวางเงินไว้ที่ไหน แต่ประเด็นคือเจ้าของร้านเขาไม่ได้บอกคนส่งอาหารในเรื่องนั้น" แล้วแม่ผมก็พูดขึ้นมาว่า "ก็นั่นแหละ ถึงได้ต้องมานั่งรอไง" ประโยคนี้ทำให้ผมงงกว่าเดิมเพราะการจะคิดว่าต้องมานั่งรอนั้นหมายความว่า เราต้อง Assume ไปเองไม่ใช่เหรอว่าเขาจะ 'ไม่รู้' ซึ่งมันก็เป็นเหมือนการดูถูกความคิดของคนอื่นทางอ้อมนะ

ผู้หญิงคนนั้นก็พูดต่อว่า "แล้วจากนั้นเป็นไง ก็ต้องให้คนอื่นลำบากมาตามไง" ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจไปอีกว่าสรุปแล้วเราต้องคิดล่วงหน้าแทนคนอื่นเหรอว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นทั้งๆที่ตลอดหลายปีที่ผ่าน ผมสั่งข้าวที่ไหนมาก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ผมก็เลยพูดออกไปด้วยความสงสัยว่า "หะ แล้วนี่ผมเป็นคนผิดเหรอ? ในเมื่อผมพูดไปแล้วนะว่าให้วางเงินไว้ตรงไหน แต่คนที่ไม่ยอมบอกคนส่งอาหารคือเจ้าของร้าน แต่กลายเป็นว่าคนผิดคือผมเนี่ยนะ กลายเป็นผมที่ต้องมารับความผิดพลาดของเจ้าของร้านแทนเหรอ? อะไรวะ?"

ผู้หญิงคนนั้นพูดต่อ "ก็หัดคิดถึงคนอื่นนอกจากตัวเองบ้างสิ" พอได้ยินแบบนั้นผมแทบนะฟิวส์ขาดอีกรอบ เพราะคนที่ชอบทิ้งขี้ไว้ให้คนอื่นทำแทนในบ้านนี้ก็คือผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าเป็นเศษขยะ ถุงอาหาร ช้อนส้อมที่โยนลงถังขยะแทนที่จะใส่ในอ่างล้างจาน ตู้เย็นที่เปิดทิ้งไว้จนไฟดับ ตู้ขนมที่เปิดทิ้งไว้ให้จิ้งจกให้หนูเข้าไปเดินเล่น กาต้มน้ำร้อนกับไดร์เป่าผมที่เสียบปลั๊กทิ้งไว้ให้ผมโดนแม่ด่าแทน ทุกอย่างผมเป็นคนต้องมาเก็บกวาดให้ จนทุกวันนี้ผมไม่คิดจะทำอะไรให้แล้วทั้งนั้น แต่ก็กลายเป็นแม่ที่ต้องมาคอยเก็บกวาดให้มันแทน แล้วพอผมไปบ่นให้แม่ฟังถึงความมักง่ายของผู้หญิงคนนี้ ก็ดันได้คำตอบว่า "ก็พี่เขาเป็นคนมักง่าย ให้ทำยังไง" ซึ่งก็หมายความว่าให้แม่งมักง่ายต่อไปเรื่อยๆแล้วเราก็แค่ต้องคอยตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ใช่มั้ย ทำไมเมื่อก่อนผมก็เป็นคนมักง่าย แต่พอโดนดุถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ กลับกันกับผู้หญิงคนนั้นที่อายุมากกว่าผมเกือบสิบปีแต่เรื่องแค่นี้ทำไม่ได้เนี่ยนะ แล้วยังมีหน้ามาพูดคำว่า "ก็หัดคิดถึงคนอื่นนอกจากตัวเองบ้างสิ" อีกเหรอวะ

ตอนนั้นแม่ผมน่าจะเห็นหน้าผมแล้วรู้เลยว่าผมหงุดหงิดมากๆ แม่ก็เลยพูดแทรกขึ้นมาว่า "พอออ มีกันแค่สองคนยังจะทะเลาะกันอีก!" ซึ่งเป็นคำที่ผมเกลียดมากๆ มันเป็นคำพูดที่ผู้ใหญ่หัวโบราณชอบใช้เวลาพี่น้องทะเลาะกัน โดยที่ไม่ได้สนใจ Context ที่คุยอยู่ด้วยซ้ำ คิดแค่ว่าถ้าเอาเรื่องของความสัมพันธ์แบบนั้นมาพูดจะสามารถทำให้ทุกคนหยุดทะเลาะกันได้ ซึ่งผมได้ยินบ่อยมากๆจนเอือมแล้วครับ มันไม่ได้ช่วยเคลียร์ปัญหาเลยแม้แต่น้อย มันเป็นแค่การใช่คำพูดสวยหรูเพื่อปัดปัญหาลงไปใต้พรมเฉยๆ

จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็สะบัดหน้าเดินเข้าบ้านไป ผมก็เดินเข้าตามไปเพื่อจะขึ้นไปบนห้องตัวเอง ส่วนแม่ก็เดินไปอยู่ห้องทำงานของตัวเอง ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นบันไดผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า "เราต้องหัดเคารพคนอื่นซะบ้าง เราไม่ได้มองพี่เป็นพี่ด้วยซ้ำ" ผมก็พูดสวนไปว่า "คำพูดของคุณไม่ได้มีความหมายอะไรในชีวิตผม ผมไม่เคยนับถือคุณเป็นพี่สาวอยู่แล้ว" สำหรับผมแล้วใครจะอายุมากกว่าน้อยกว่าไม่สำคัญ ถ้าคนนั้นทำตัวน่าเคารพผมก็พร้อมจะนับถือ แต่ถ้าคุณทำตัวให้คนอื่นเกลียดชังตัวเองแล้วยังหวังให้คนอื่นมาเคารพตัวเองในฐานะผู้ใหญ่เนี่ย มันน่าสมเพชนะ

ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นเพียงแค่ใจความสำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วงที่เถียงกันตรงห้องรับแขกมันยาวกว่านี้นิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่จะพูดวนไปวนมาประเด็นเรื่องเดิมๆ เพราะทางผมก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ผิด แค่เป็น 'การสื่อสารที่ไม่ครบถ้วนของเจ้าของร้านกับคนส่งอาหาร' ส่วนทางแม่กับผู้หญิงคนนั้นก็อีโก้สูงมั่นใจในความคิดของตัวเองพูดวนแต่เรื่องที่ว่า 'ต้องมานั่งรอ' กับ 'คิดถึงคนอื่นบ้าง' ทั้งที่ผมก็ให้เหตุผลแล้วนะ ว่าจุดที่ผิดพลาดคือจุดไหน ถ้าผมเดาอนาคตได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะปล่อยให้เขายืนรอหน้าบ้านทำไม ก็คงมานั่งรอแล้วแหละ

นี่เป็นแค่หนึ่งในเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้

แสดงความคิดเห็น

>

3 ความคิดเห็น

888 9 เม.ย. 66 เวลา 21:43 น. 1

ใครผิดเราไม่ขอตอบละกัน

ถ้าบ้านมีหลายคนก็ต้องรอนั่งหน้าบ้าน เราก็เคยสั่งกะเวลาไว้ พอใกล้ๆมานั่งรอด้านล่าง

ที่บ้านสั่งอาหารกับร้านพิซซ่าหลายครั้ง ขออาริกาโน่เพิ่ม บางครั้งได้ บางครั้งไม่ได้ มีความเป็นไปได้ที่คนรับออเดอร์จะลืมบอกคนทำอาหาร หรือคนส่ง


เรื่องคนที่บ้าน คนพูดจาไม่ดียังไงจะให้เปลี่ยนคงจะยาก

0
เราคิดไม่เยอะ 10 เม.ย. 66 เวลา 14:25 น. 2

เจ้าของกระทู้ไม่ผิด เรื่องที่สื่อสารกับร้านแล้ว แต่ร้านไม่ได้บอกคนส่ง เรื่องนี้ไม่ผิด


แต่ที่เหลือไม่ตัดสิน เพราะอ่านจบตรงนี้ ไม่ได้คิดว่า เจ้าของกระทู้จะหาว่าใครผิดหรือไม่ผิด แต่กำลังระบายเรื่องในบ้านต่างหาก เรื่องในบ้านแต่ละคนพูดยากจริง ๆ แม้เรื่องราวมันไม่ได้ใหญ่เลยยยย เราอ่านแล้วไม่ควรนำมาเป็นสาระด้วยซ้ำ ลงมารับอาหารไปกินก็จบๆแล้วต่อให้คนอื่นในบ้านจะพูดยังไงก็เหอะ แต่สำหรับเจ้าของกระทู้แล้ว เรื่องในบ้านกับอดีตมันใหญ่มาก เราก็เลยไม่สามารถพูดได้ว่า เรื่องของเจ้าของกระทู้ที่เริ่มต้นเกิดขึ้นแค่เพราะไรเดอร์ไม่ได้สื่อสารกับร้าน มันไม่ควรนำมาเป็นสาระอะนะ

0
ถถถ 11 เม.ย. 66 เวลา 23:22 น. 3

แหม ขนาดไม่ให้ค่ายังพูดถึงตั้งหลายบรรทัด


เข้าใจว่าการมีอยู่ของเจ๊ทำให้คุณไม่ถูกใจ ยิ่งแมลงหวี่ออกจากรูมาตอมด้วยแล้ว- ประมาณว่าอยากมีส่วนร่วมในเหตุการณ์

การกำจัดแมลงหวี่มีอยู่ไม่กี่หนทางน่ะนะ


ส่วนเรื่องร้านเป็นปัญหาด้านการสื่อสาร เป็นฮวแมนเออเร่อที่พบได้ทั่วไป อาจรำคาญบ้าง แต่บ้านคุณดันมีคนคอยขยี้, คิดว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องนี้

0