Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

หมดไฟในช่วงมหาลัย

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีครับผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เรียกกันง่ายๆว่าลูกแม่โดม ชีวิตในช่วงมหาวิทยาลัยในช่วงเริ่มแรกก็โอเคดีครับแต่เมื่อเวลาผ่านไปผมกลับเจอแต่เรื่องราวที่เป็นปัญหากวนใจผมมากมายอย่างเรื่องของเพื่อนรอบข้างที่ชอบพูดแต่ในสิ่งที่เป็นพลังลบออกมาให้คนอื่นได้ยินประมาณว่าเหนื่อยจัง ไม่ไหวแล้วจนไปถึงขั้นว่าจะถอนวิชากันซึ่งผมเป็นคนที่คิดตรงข้ามกับพวกเขาตรงที่ผมไม่เหนื่อยและจะไม่คิดถอนรายวิชาจะไม่ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำกันจะใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ก็ด้วยความที่ผมอยู่หอในและมีกลุ่มนั้นที่เป็นกลุ่มที่สนิทที่สุดผมเลยคอยที่จะต้องไปไหนมาไหนกับพวกเขาเสมอแล้วก็ต้องฟังอะไรอย่างนั้นเข้าหูอยู่เรื่อยๆจนเริ่มมีพลังลบตามแล้ว อีกอย่างที่ผมรู้สึกเหนื่อยและท้อมากๆคือเรื่องของการเรียนและการทำกิจกรรมครับเรื่องของการเรียนผมรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับผลของการเรียนว่าจะออกมาแย่หรือดีด้วยความทีาว่าผมมีคสามทรงจำที่ไม่ดีกับข้อสอบเขียนตอนสอบตรงมาก่อน็ได้ทำให้ผมมีความหวาดกลัวผลลัพท์ของตัวเองมากขึ้นไปอีกด้วยความกลัวที่ว่าตัวเองจะล้มเหลวอย่างน่าอายเหมือนตอนนั้นอีก จนล่าสุดผมเรียนวิชาหนึ่งแล้วอาจารย์เขาอธิบายวิธีการตอบคำถามแต่ละข้อซึ่งผมก็มีสิทธิ์ตอบตรงกับอาจารย์แต่ก็ไม่มั่นใจจนผมคิดจินตนาการว่าผมจะได้คะแนนน้อยจนผมต้องตัดสินใจที่จะต้องถอนวิชานั้นซึ่งผมไม่อยากที่จะทำมัน และด้วยความที่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกคนรอบข้างมองว่าเก่งแล้วถ้าผมทำไม่ดีก็อาจจะโดนมองว่าไม่เก่งจริงไปอีกเลย อีกทั้งคนรอบตัวต่างๆที่เป็นคนเก่งมากมายในช่วงแรกผมดีใจมากๆที่เจอคนเก่งๆแต่หลังๆผมกลับรู้สึกกลัวพวกเขาจนคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรดีหรือเก่งสู้คนอื่นได้ จนผมก็คิดมากจนกระทั่งว่าผมไม่คิดที่จะกล้าลงสมัครแข่งสุนทรพจน์แต่ผมก็ได้ตัดสินใจที่จะลงไปทั้งๆที่อยู่ในสภาวะ burnout ด้วยความคิดลึกๆที่ว่าผมอยากลงแข่งแต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่กังวลและหวาดกลัวถึงผลลัพท์ของมัน กลัวว่าตัวเองทำไม่ดีทำไม่ได้เหมือนกับเพื่อนคนหนึ่งที่ได้แชมป์โต้วาทีแต่ผมก็มองตัวเองว่าผมไม่มีอะไรดีเลยถ้าไปเทียบกับเขา ด้วยเหตุเหล่านี้เองก็ทำให้ผมรู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนก่อนเข้ามาที่เต็มไปด้วย passion ต่างๆมากมายแต่ passion ก็ได้เลือนหายไปซึ่งต้นเหตุก็มาจากสิ่งรอบข้าง อีกทั้งผมยังดันกลายเป็นคนที่มีความรู้สึกไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำอีกด้วยแม้ว่าตะก่อนจะสามารถทำได้ดีตามที่คนอื่นบอกแต่ผมมักจะไม่มั่นใจเลยเวลาผมพํดอะไรผคิดว่าพูดไม่ดีไม่รู้เรื่องแต่คนอื่นที่ฟังบอกว่ารู้เรื่อง แค่ปี 1 ยังสภาพยับเยินขนาดนี้ปีถัดๆไปจนจบไปทำงานชีวิตของผมคงไม่มีอะไรดีไปตลอดกาลเลยละมั้งครับ..

แสดงความคิดเห็น

>

8 ความคิดเห็น

เมโลดี้ที่รักสายลม 19 ต.ค. 66 เวลา 23:01 น. 1

เครียดมาก โทรสายด่วนสุขภาพจิตนะคะ หรือไปหาจิตแพทย์ได้ก็จะดี อย่าปล่อยให้มันสะสมทับถมกันไปกว่านี้ จากที่อ่านเรามองว่าคุณกดดันตัวเองและแคร์สายตาคนรอบข้างมากเกินไปค่ะ คุณคิดไปว่าคนนั้นมองคุณอย่างนั้นอย่างนี้ คุณจะต้องเก่งต้องดี ในสายตาพวกเค้า ไม่งั้นเค้าจะดูถูกคุณ เค้าจะมองคุณประหลาด ซึ่งในความจริงมันไม่มีใครมานั่งจับจ้องเราขนาดนั้นหรอก ส่วนมากแล้วเราคิดไปเอง อีกอย่าง มนุษย์น่ะผิดพลาดได้นะคะ มันไม่เป็นไรเลยถ้าวันนี้เราจะพลาด หรือทำได้ไม่ดี เพราะจริงๆแล้วคนเราพัฒนาได้ตลอดเวลา วันนี้ไม่ดี พรุ่งนี้ก็ทำใหม่ให้มันดีขึ้น รอบนี้คะแนนไม่ดี รอบหน้าก็แก้ตัวใหม่ เราแค่ทำมันให้เต็มที่ให้เราไม่ละอายใจตัวเองก็พอ อย่าให้เรารู้สึกว่ารู้งี้เราน่าจะแบบนั้น น่าจะแบบนี้ ก็พอแล้วล่ะ ส่วนคนอื่นจะมองยังไงช่างเค้าสิ ต่อให้ใครจะมองว่าเราไม่เก่งจริง แล้วมันยังไงล่ะ ? ใครเค้าจะได้รางวัลพูดสุนทรพจน์ แล้วยังไง ? มันเรื่องของเค้า เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเค้าทำไม เรื่องรูมเมทเหมือนกัน ถ้าเค้าลบมา เราก็ต้องเสริมพลังบวกให้ตัวเองมากขึ้น หาหนังสือเติมพลังบวกมาไว้ เปิดพอตแคสเสริมพลังบวกฟัง หรือเป็นไปได้ พิจารณาเปลี่ยนเมทในปีถัดไปได้ก็ดี แต่อย่างว่า มันไม่ใช่บอกว่าฉันจะไม่กดดันแล้ว ไม่เปรียบเทียบตัวเอง แล้วมันจะทำได้เลย ถึงบอกว่าควรไปคุยกับคุณหมอนะคะ เค้าจะมีวิธีค่อยๆฝึกเรา อาจมีการใช้ยาร่วมด้วยก็แล้วแต่หมอพิจารณา


สุดท้าย เป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอให้เรียกแพชชั่นของตัวเองกลับมาได้ไวไว กลับมาสนุกกับการเรียนและชีวิตมหาลัยได้อีกครั้งนะคะ มันไม่เป็นไรเลยจริงๆนะถ้าเราจะผิดพลาดบ้างบางที เพราะมันก็จะทำให้เราได้เรียนรู้วิธีใหม่ๆที่จะแก้ไขความผิดพลาดนั้น ๆ นะคะ

2
TF. 19 ต.ค. 66 เวลา 23:13 น. 1-1

ขอบคุณครับ ผมจะเป็นคนที่อาการimposter syndrome มาตั้งแตตอนอยู่มัธยมด้วยอหละครับ เป็นคนที่ไม่เคยชมตัวเองเอาแต่ต่อว่าตัวเองทำอะไรก็ล้มเหลวจนกลัวว่าการใช้ชีวิตต่างๆจะล้มเหลวไปด้วย บางทีก็ไปอ่านคำแนะนำต่อการกำจัดความกลัวในใจออกไปก็เกือบจะร้องไห้ครับเพราะผมคิดกับตัวเองในทางที่ลบมากจริงๆ.. ส่วนเมทจริงๆก็เป็นคนที่ดีนะครับคอยช่วยหลายๆอย่างแต่ก็ติดแค่เรื่องชอบพูดลบเท่านั้น

0
สู้เค้านะซาซึเกะ 20 ต.ค. 66 เวลา 12:49 น. 1-2

นี่ไง เพราะคิดเรื่องลบๆถึงเอาแต่พาตัวเองไปอยู่กะคนลบๆ เพื่อจะได้ซึมซับบรรยากาศเดิมๆที่ตัวเองเคยชินและรู้สึกสบายใจกะสิ่งนั้น(เราเม้นไว้ข้างล่าง ไม่รู้ช่วยได้มั้ยนะ)

0
WHITEROST 20 ต.ค. 66 เวลา 02:42 น. 2

คงต้องแยกเรื่องชีวิตกับเรื่องเรียน ถ้าเรียนเรียนสิ่งที่ชอบ มองเป้าหมายไว้กับเรื่องที่เรียน เราก็ยกเรื่องเรียนเป็นที่ 1 เพื่อนถอน เพื่อนไม่ถอนเราก็เรียน เรียนให้สนุก ถ้านั่งกับเพื่อนแล้วไม่รู้เรื่องย้ายไปนั่งหน้าห้องเลย เวลาเรียนเราก็ต้องใจเรียน จอยกับสิ่งที่อาจารย์สอน ส่วนเรื่อพลังลบที่เพื่อนส่งให้ยังไงมันก็ผ่านหูแหละ แต่ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทำในสิ่งที่เราอยากทำให้เต็มที่ดีกว่าอุส่าได้เข้ามาเรียนแล้ว


เรื่องสอบอันนี้เราเข้าใจว่าเรื่องใหญ่ กลัวได้คะแนนน้อย ไม่มันใจ แต่การถอนมันเป็นการหนีปัญหา สุดท้ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำได้หรือทำไมได้ เอาแบบนี้นะ วิธีเราคือ ก่อนสอบอ่านไปดีๆ ทำความเข้าใจเนื้อหาไป ถามรุ่นพี่ก็ได้ มันน่าจะมีแนวอยู่ว่าอาจาร์ชอบคำตอบแบบไหนหรืออยากให้ตอบแบบไหน ต่อมาก็ทำข้อสอบให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วก็รอดูคะแนน ถ้ามันออกมาไม่ดี หรืออยากรู้ว่าคะแนนที่หายไปเราบกพร่องตรงไหร ไปถามอาจารย์เลยว่ามันขาดตรงไหนไป ถ้าอยากได้คะแนนดีกว่านี้ควรเพิ่มตรงไหน หรืออย่่างเด็ดถ้าเรามันใจว่าเราถูกก็ไปค้านกับอาจารย์ได้ว่าเอามาจากหนังสือเล่มนี้ คิดแบบนี้ บางทีคำตอบมันมีหลายอย่างแค่อาจารย์ลืมก็มี ดังนั้นสอบครั้งต่อไปเราก็รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร ก็แก้ไขตามนั้น


ส่วนเรื่องคนอื่นจะมองยังไง เราไม่จำเป็นต้องสนใจเลย เป็นตัวเอง ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องเก่งในสายตาใคร แค่เราทำเต็มที่ก็พอแล้ว ถ้ามันจะดีมันก็ดี ถ้ามันไม่ดีก็เอาใหม่ คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกสิ่งถนัดทุกอย่างจริงมั้ย แค่เรามองว่าคนที่เก่งๆเค้าเป็นไอดอล เป็นจุดแรงผลักดันที่อยากให้ได้แบบเค้าดีกว่า แต่ถ้าเราพยายามสุดความสามารถแล้วสุดท้ายมันไม่เป็นแบบที่คิด ก็ไม่เป็นไรแล้วก็ไม่ต้องโทษตัวเอง เพราะเราทำเต็มที่แล้ว เราไม่ผิดต่อตัวเอง และแน่นอนว่าเราจะได้อะไรบางอย่างเพื่อไปพัฒนาตัวเองต่อไป


เราไม่รู้ว่าคุณสนิทกับอาจารย์มั้ย แล้วอาจารย์ของคุณรับฟังเรื่องของเด็กขนาดไหน แต่ถ้าอาจารยืดเล่าได้บางทีการเล่าให้อาจารย์ฟังอาจจะได้คำตอบหรือแนวคิดบางอย่างให้เราผ่่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ เนื่อวด้วยเราค่อนข้างสนิทกับอาจารย์เราอยากจะบอกว่าการได้คุยกับอาจารย์ดีๆที่เขาใจเราและพร้อมจะช่วยเหลือเรามันดีต่อชีวิตช่วงดิ่งๆมากกว่าที่คิด เราไม่ต้องไปหวังให้เค้ามารู้เรื่องของนักศึกษาเองมันเป็นไปได้ยาก ถ้ามีอะไรไปหาไปเล่าที่ห้องเลย *****แต่ต้องหาอาจารย์ที่เค้าดีๆหนอยนะ


เราก็เรียนมหาลัยอยู่เหมือนกัน เรายกเรื่องเรียนไว้เป็นที่ 1 เพราะเราได้เข้ามาเรียนในคณะที่เราอยากเรียนและเราจะไม่ทรยศกับความพยายามของตัวเองก่อนหน้านี้ เวลาเราเลือกวิชาเรียน เราไม่เคยสนใจว่ามีเพื่อนเรียนรึเปล่า เราสนแค่ว่าเป็นวิชาที่เราอยากเรียน ความรู้ที่เรียนไปมีประโยชน์ ส่วนเรื่องเพื่อนไปหาเอาในคลาสได้ยิ่งพวกตั้งใจเรียนนั่งหน้าๆ เดี๋ยวก็คุยกันรู้เรื่องเอง หรือถ้าไม่มีเพื่อนคุย คุยกับอาจารย์ก็ได้เลยเราทำบ่อยจนสนิทกับอาจารย์อยากรู้อะไรก็ถามได้เลย ส่วนเรื่องเพื่อนก็็ค่อยไปคุยกันเอานอกเวลา เพื่อนบ่นอะไรเราก็ฟังๆไป แต่เราไม่สนใจเพื่อนไม่มีผลต่อการตัดสินใจเรื่องเรียน


เอาเป็นว่าสุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจ มันใจในตัวเองขึ้นหน่อย ไม่ต้องเต็มร้อย แต่ก็ต้องไม่หวาดกลัวไปกับทุกสิ่ง ยอมรับความผิดพลาดให้ได้เพราะถ้าไม่ผิดก็ไม่มีวันพัฒนา แล้วก็ไม่ต้องเก่งเสมอเพราะเราไม่ได้ถนัดทุกอย่างแค่ทำให้เต็มที่ ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ก็พอ ขอให้กลับมาเป็นคนเดิม คนที่มีความสุข คนที่สนุกกับการเรียน ไว้นะ สู้ๆ ทุกอย่างมีทางออกขอให้หาเจอไว้ๆนะ



1
GoodBoy4U 20 ต.ค. 66 เวลา 05:08 น. 3

กังวลมากเกินไปและสนใจความคิดคนอื่นมากเกินไป เรื่องเพื่อนที่คุณบอกว่าต้องไปไหนมาไหนกับเพื่อนเสมอไม่จำเป็นเลยครับ ถ้าคุณไม่อยากไปกับพวกเขาก็ไม่ต้องไปครับ ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเลิกคบกับเพื่อนนะ แต่การที่เป็นเพื่อนกันไม่ได้หมายความต้องไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ถ้าคุณอยากไปก็ไปถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปครับ

1
สู้เค้านะซาซึเกะ 20 ต.ค. 66 เวลา 12:46 น. 4

ทำไมเด็กสมัยนี้ถึงชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นจังเลย เห็นหลายคนเลยที่คิดแบบนี้แล้วสุดท้ายความคิดนั้นก็บ่อยทำลายตัวเอง ถ้าเรารู้ว่าอะไรไม่ดีก็ต้องพยายามเอาออกจากชิวิตเรา ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องเติมสิ่งดีๆให้กะตัวเองเยอะๆ และรักษามันเอาไว้ เธอรู้ว่าแบบไหนดีเพราะเธอเคยเป็นมาก่อนแล้ว แค่หมุนเข็มนาฬิกาตัวเองย้อนกลับไป อย่าไหลไปกะกระแสความคิดลบ คนส่วนมากในสังคมมักมีความคิดลบๆอยู่แล้ว ให้เตือนตัวเองบ่อยๆว่านั่นมันความคิดพวกเค้าไม่ใช่ความคิดเรา ทุกอย่างถ้าเราทำให้ดีที่สุดในแบบของเราผลมันก็ต้องออกมาดีที่สุดสำหรับตัวเราเองเหมือนกัน ปลุกไฟในตัวเองกลับมาซะ อย่าลืมเป้าหมายของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองอยากทำ เรื่องสนุกๆที่เธอชอบ ใช้ชีวิตให้สนุก อย่าไปใช้ชีวิตอยู่กะความคิดลบๆทั้งของตัวเองและคนอื่น ยิ่งพยายามคิดบวกพลังเธอจะค่อยๆฟื้นกลับคืนมาเอง และมันจะไม่ทำให้ตัวเธอเองมัวจมอยู่กะปัญหา มีคนอีกมากมายที่พาตัวเองออกมาจากคนคิดลบ

1
Rototo 20 ต.ค. 66 เวลา 13:59 น. 5

ลองอ่านกระทู้ปัญหาชีวิตในpantip คนที่มีปัญหามากกว่าเราอาจจะทำให้มีไฟกลับมา

1
ถถถ 21 ต.ค. 66 เวลา 02:40 น. 6

- ที่ไหนอยู่แล้วสบายใจก็อยู่ ไม่สบายใจก็เดินออกมา, อยากทำอะไรก็ทำได้ ถ้าไม่หนักหัวใคร ครั้งหน้า ถ้าอยากลงแข่งโต้วาทีแล้วเป็นหัวข้อที่ชอบ ก็ไปเลย

- หยุดสามวัน ก็ให้ตัวเองอยู่เงียบๆ คนเดียวดูบ้าง

- ไม่มีใครสนใจคนอื่นขนาดนั้น, ทุกคนสนใจแค่เรื่องตัวเอง

- ถ้าเหตุผล/ คำปลอบไหนๆ ก็ไม่สามารถล้มล้างความทุกข์ของคุณได้ ควรพบแพทย์

1
TF. 21 ต.ค. 66 เวลา 21:07 น. 7

ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบมากนะครับ ผมกลัวทุกสิ่งอย่างจากอดีตที่ผมเคยเจอครับ ผมเคยประสบกับอะไรต่างๆอย่างงั้นอย่างงี้จนมันจำฝังใจและคิดกลัวผลลัพท์ที่มันจะเกิดขึ้นกับตัวผมอีกผมพยายามมองว่าผมควรที่จะเรียนรู้จากมันครับแต่ว่าหลายๆครั้งก็เหมือนไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมันเลย บางทีผมก็มองว่าตัวเองเป็นคนไม่เอาไหนเป็นคนไม่มีอะไรที่โดดเด่น ดูเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย

1
สู้เด้อ 22 ต.ค. 66 เวลา 15:59 น. 7-1

อาจจะคิดลบจนชิน อาจเป็นการเลี้ยงดูที่ส่งผลให้เป็นโรคนั้น แต่ทุกคนก็ไม่มีใครเก่งไปหมดหรอก ทุกคนก็ต้องลองผิดลองถูก ดีมั่งแย่มั่ง แย่ก็พยายามใหม่ แก้ไขตรงที่เป็นปัญหา อย่าไปกลัวเกินไปจนไม่เป็นอันทำอะไร เราเองยังเคยทำใจดีสู้เสือเลย แล้วสุดท้ายมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด บางทีเราอาจคิดบางอย่างมานานจนเกิดเป็นรูปแบบที่เราเคยชินจนทำซ้ำๆแบบไม่รู้ตัว มันค่อยๆปรับได้ อีกอย่างคนเราก็ไม่จำเป็นต้องดีที่สุดหรือต้องไปสู้ใครได้ตลอดเวลาหรอก เราแค่ทำดีที่สุดเท่าที่เรารู้สึกดีก็พอแล้ว ความสุขของตัวเราเองมันก็สำคัญนะ ความสามารถอันสูงส่งและเงินไม่ใช่ทุกอย่างหรอก เราต้องมีความสุขก่อนแล้วสิ่งดีๆจะค่อยๆทยอยตามมาเอง

0
TF. 29 ต.ค. 66 เวลา 12:26 น. 8

ล่าสุด ณ เวลานี้ผมได้รางวัลชนะเลิศการแข่งขันสุนทรพจน์แล้วนะครับ แต่ถึงแม้จะได้รางวัลมาก็รู้สึกแอบไม่ภูมิใจเท่าไหร่เพราะตอนแข่งมีแค่ 2 คนถ้ามีหลายคนมากกว่านี้ผมอาจจะแพ้ไปแล้วก็ได้ แต่ก็ได้รับคำชมจากรุ่นพี่ที่ดูแลกิจกรรม อาจารย์ และเพื่อนๆอย่างล้นหลามมากๆ แต่ในใจลึกๆก็มีแอบรู้สึกไม่ดีบ้างเหมือนกัน มองว่าตัวเองคือคนส้มหล่นเฉยๆ

2
เมโลดี้ที่รักสายลม 29 ต.ค. 66 เวลา 13:47 น. 8-1

ก่อนอื่นยินดีด้วยนะคะกับรางวัลที่ได้ ส่วนเรื่องความภูมิใจ แม้จะเล็กน้อยแต่ก็จงภูมิใจกับมันเถอะค่ะ อย่างน้อยมันก็คือโอกาสและประสบการณ์ที่คุณตัดสินใจคว้ามันไว้ด้วยมือตัวเองเลยนะ ถ้าวันนั้นไม่ตัดสินใจลงแข่งก็คงไม่มีทางได้มันมาหรอก ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นรางวัลเล็กๆที่มีคู่แข่งน้อย แต่ถ้าคุณยังเก็บประสบการณ์ต่อไปเรื่อย ๆ สักวันมันจะไปได้ไกลกว่านี้ค่ะ และแม้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นคุณจะพลาดรางวัล มันก็ถือเป็นประสบการณ์อีกครั้งให้กลับมาปรับแก้จุดที่มันยังไม่ดีให้ดีขึ้นนะคะ อย่างที่บอกมันไม่เป็นไรเลยถ้าเราจะพลาด ความผิดพลาดหนึ่งครั้งไม่ได้หมายความว่าเราจะพลาดตลอดไป ยังไงก็ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะ

0
Tee 29 ต.ค. 66 เวลา 19:26 น. 8-2

คุณคงได้เรียนรู้นะว่าที่คุณกังวลเป็นเรื่องไร้สาระ ถึงคุณจะไม่ได้รางวัลก็ไม่ได้สำคัญอะไร ที่สำคัญกว่ารางวัลคือการประเมินตัวเองว่าทำได้ดีแค่ไหนหรือควรปรับปรุงยังไง

0