Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

จอมกระบี่พิฆาตพระธาตุอาถรรพ์ 6

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่


 เจ้าเด็กหนุ่มยังไม่หมดดวงตาที่ใฝ่รู้ นอกจากมันซุ่มอยู่ตรงนั้นก็เก็บอาการและกิริยาทั้งหมดที่ผู้เป็นตาทำเอาไว้ จดจำเอาไว้ในหัว  เลือกที่จะเดินออกมาอีกครั้งที่ข้างนอก คืนนี้ดวงดาวแจ่มเต็มฟ้าเหลือเกิน ใจของมันเหงาวิเวกชอบกล กลางป่าดึกสงัด
 ปกติผู้เป็นตาไม่อนุญาตให้ไปไหน  ถ้ามันอยากจะไป ต้องลอบไป นั่นแหละ ท่านถึงไม่รู้   แต่ก็ไม่ได้ไกลจากบ้าน เพราะคิดว่าท่านตาต้องห่วงเหมือนกัน มันอาจหาญขนาดฝึกวิชายุทธิ์ตามคำสอนยังแอบฝึกกลางแสงจันทร์ในพุ่มดงไม้ข้างหน้า  ป่าแถวนี้ไม่มีพิษภัยน่ากลัวสำหรับเขา ความที่เคยชิน อยู่ป่ามาตั้งแต่เกิด
 ทำให้เขารู้ว่าป่า คืออะไร  มันเป็นชีวิตและธรรมชาติความสวยสดงดงามของชีวิตเขาและตา  ซึ่งไม่มีใครเข้ามาบุกรุกล่วงล้ำ  เนื่องจากว่ามันได้เป็นอาณาจักรส่วนตัวของท่านตา ท่านผู้เฒ่าที่พยายามจะตัดขาดจากโลกภายนอกท้องฟ้าที่ดูมืด  กิ่งก้านลำต้นของต้นหว้าที่สีเดียวกับราตรี  นกกลางคืนโผผินไปมา เช่นเดียวกับกลุ่มหมู่ค้างคาว    ต้นหว้าจะให้ลูกสีม่วงแกมดำยามสุกจัด นี่เองเป็นที่มาทำไมฝูงค้างคาวชอบโฉบมาที่นี่ เพราะมีอาหารให้พวกมันกินนี่เอง
 ต่อมาก็ฝึกวิชาหิ่งห้อยระยับแสง ซึ่งจากบ้านหิ่งห้อยบ้านไม้ดาวของท่านตาประมาณ ร้อยห้าสิบเมตร  กระท่อมน้อยใจคิดอย่างหนึ่ง วัยปูนนี้แล้ว ไม่เคยได้พบเห็นว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง อยากพบเผชิญ เพราะเคยได้ยินได้รับคำกล่าวถึงเมืองงามที่ชื่อมรุกขนคร  นครเจ้าศรีโคตบูร   รวมทั้ง อินทปัตร ว่ากันว่าเมืองใหญ่เหล่านี้งดงามน่าเที่ยว
 กระท่อมน้อยได้ยินคนผ่านทางที่มันผ่านไปทุกวัน เช่นคนตัดฟืน หาของป่า  ขณะที่กระท่อมน้อยเองก็ไปขุดหารากยาสมุนไพรตามคำสั่งของท่านตา  ได้ยินคำพูดเหล่านั้นกระทบโสติของมัน จึงมีใจอยากที่จะไปพบพานสักครั้ง หากแม้นจะเอ่ยกับผู้เป็นตา ท่านตาย่อมปฎิเสธเขาอย่างแน่นอน
 เพราะหลายครั้งแล้วที่กระท่อมน้อยรบกวนวิงวอนต่อผู้เป็นตา ให้ช่วยพาออกไปสู่โลกกว้างดูหมู่บ้านดูร้านค้า ดูสถานที่สวยงาม สำนักฝึกศิลปะวิทยา ฝึกอาชีพ รวมทั้งพระราชวังของเจ้าผู้ครองเมือง  ท่านตาปฏิเสธทุกครั้ง จนกระท่อมน้อยมิรู้ที่จะทำอย่างไร
 รู้สึกอดน้อยใจไม่ได้ ตามประสาหนุ่ม ที่อยากเที่ยว อยากรู้อยากเห็น เพราะมันเริ่มเติบโตจนรู้ภาษามากแล้ว  ไม่ใช่เป็นเพียงเด็กน้อยอย่างเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เพียงแต่เดินตามผู้เป็นตาต้อยๆ จุดประสงค์ที่กระท่อมน้อยพอจะรู้คือ ท่านตาไม่พยายามที่จะเปิดเผยตัวเองในยุทธภพ ท่านพยายามปิดตายตัวเองจากสังคมภายนอก สาเหตุเพราะอะไรนั้น ไม่มีทางล่ะ ที่กระท่อมน้อยจะสืบทราบ
 มันยังคงเป็นปริศนาของท่านตา และเขาเองก็ไม่ทราบเลยจนบัดนี้


 กระท่อมน้อยมีความรู้สึกว่าโลกกว้างเบื้องหน้าของเขามีความสำคัญยิ่งนัก เขาอยู่ที่ในที่แคบมุมแคบ ไม่เคยเห็นความจริงเสียที เกีร่ยวกับลศิลปะการต่อสู้ที่ลึกลับพิสดารกว่าที่เจ้าเด็กหนุ่มได้ร่ำเรียนรู้จากผู้เป็นตาอย่างสิ้นพุงสิ้นไส้  สุดยอดวิชาหิ่งห้อยระยับพิฆาตแสง  ซึ่งถ่ายทอดเรียนรู้กันในเฉพาะตระกูลเท่านั้น  กระท่อมน้อยสามารถใช้กลยุทธวิชาเหล่านี้ได้อย่างวชาญ เพราะมันเพียรฝึกฝนมาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ
 อยู่ภายใต้การปกครองนี้มาตลอด แต่เล็กแล้วที่มันไม่มีเพื่อน เวลายามอยู่คนเดียวมักจะเอ่ยพร่ำบ่นเหมือนคนที่เหงาใจเพราะความดายเดี่ยวที่เสมือนตัวเองอยู่คนเดียวในผืนโลกนี้
 "  ทำไม ข้าไม่มีเพื่อน ทำไมท่านตาไม่อนุญาตให้ข้ามีเพื่อน หรือลงจากเขา    "
แต่กระนั้นก็ยังไม่มีคำตอบใดเช่นเดิม   ชีวิตที่ผ่านมาจนย่างเข้าสู่วัยหนุ่มน้อยมันมีความรู้สึก  รู้สึกอยากจะเปิดตัวเองไปสู่โลกภายนอก ในใจมันมีพลังอย่างมาก จนกระทั่งพร้อมที่จะหาญกล้าทำตามความต้องการของตนเอง  แม้จะขัดคำสั่งของท่านตา ใจมันคิดว่า ก็ลองดูสักครั้ง
 เพราะว่าในเวลาที่ผ่านมา มันก็ไม่เคยขัดใจท่านตาได้เลยสักครั้ง  ประวัติของท่านตาดูดำมืดสำหรับคนภายนอก  ท่านตาผู้ไม่เคยเผยตัวเอง ซ่อนชีวิตและหน้ากากของตนเองอยู่กับชายป่าในดงดิบเชิงภูเขา  แฝงตัวเองเป็นเพียงชาวป่าผู้หนึ่ง
 กระนั้นก็ตาม หลายวันที่ผ่านมานี้  ฐานะที่เจ้ากระท่อมน้อยที่อยู่อาศัยผืนดินแถบนี้มานานแล้ว มันมีความประหวั่นและวิตกในใจบางอย่าง  เป็นทั้งความรู้สึกที่ครุ่นเครียด แปลกใจ จากการเฝ้าสังเกต ที่หมู่นี้ มีชาวจอมยุทธิ์แปลกหน้าเดินมาวนเวียนเพ่นพ่านยังพื้นที่ที่เขาพักอยู่กับท่านตาบ่อยหนหรือว่าคนพวกนี้ซุ่มมาดูลาดเลา มันไม่เข้าใจเหมือนกัน  จากนั้นจึงระมัดระวังทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้คลาดสายตา
 พวกมันเป็นใครกัน  สวมใส่อาภรณ์แปลกตา สีเขียวสีน้ำตาลและแดงและล้วนทำมาจากผ้าฝ้ายและป่านทอ  ซึ่งแตกต่างไปจากชุดที่มันสวมอยู่ ย่อมต้องสงสัยว่า พวกมันมาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ดีอย่างแน่นอนท่านตาบอกให้เขาระวัง  มันเป็นเรื่องที่เขาปฏิบัติมาตลอดแล้ว
 มันเฝ้ามองดูอีกครั้งในวันนี้ โดยส่งตัวเองด้วยวิชาตัวเบาที่ร่ำเรียนมาจากท่านตา กระโดนแว๊บเดียวก็พุ่งร่างยืนเหยียบอยู่บนกิ่งไม้สูงที่สามารถพรางสายตาต่อผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี  มันคิดเสมอว่า  กลุ่มชายฉกรรจ์แปลกหน้า จะต้องผ่านพื้นที่นี้อีกครั้ง

กระท่อมน้อยคิดว่า มันไม่ใช่ผืนเส้นทางที่คนทั่วไปจะมาเดินสักนิด เพราะมันกลายเป็นเส้นทางร้างที่รกเรื้อด้วยหญ้าสูงปรกไปทั่ว  แต่ว่าในอดีตเดิมเคยใช้เป็นเส้นทาง
 แต่ว่าเมื่อท่านตาเข้ามาอาศัยอยู่แถวนี้  กลับปล่อยให้หญ้ารกเรื้อเพื่อไม่ให้คนภายนอกเข้ามายุ่มย่ามใช้เส้นทางนี้ เข้าไปรบกวนท่านแสดงว่าคนที่หวนเข้ามาใช้เส้นทางนี้อีก  มันย่อมรู้ว่า ในอดีตบริเวณแถบนี้มีเส้นทาง   สิ่งที่ทำให้กระท่อมน้อยหวั่นหวาดระแวง เช่นเดียวกับคำรับสั่งผู้เป็นตา ถึงภัยอันตรายจากคนภายนอก ที่อาจจะกรายกร้ำมาหาเขาโดยไม่รู้ตัว
 เจ้าหนุ่มร่างกายกำยำบึกบึน ยังทิ้งตัวเองยืนเหยียบบนกิ่งไม้กิ่งเดิม  เป็นเช่นนั้นเกือบเที่ยง  จึงปรากฏภาพนั้นเบื้องหน้า  เหล่าชายฉกรรจ์จำนวนสิบกว่าคนมุ่งเดินมาทางนี้
 คาดการว่าพวกมันจะต้องเป็นกลุ่มคนเดียวกัน เนื่องจากกระท่อมน้อยสังเกตเห็นอาภรณ์ที่พวกมันสวม   ทั้งแดง เขียว  น้ำเงิน  เหลือง น้ำตาล  มีเสียงสนทนาจากกลุ่มคนเหล่านั้นที่เขากำลังจับใจความ


 อาการของพลิ้วไผ่เหลืองสมานกลับคืนมาเป็นปกติหลังจากที่สามารถโคจรรักษาพลังภายในของตนเองได้  ซึ่งจากพิษภัยที่บิดาเอ่ยถึงแม่เฒ่าหมามุ่ย  หรือนางมารบ้าคลั่ง   ที่แม่นางพลั้งเผลอด้วยไม่คาดคิดว่าจะถูกจู่โจม  กระนั้นก็ตามก็ยังขอรักษาตัวเองอยู่ภายในบ้านสักระยะหนึ่ง  ส่วนทางด้านพาณิชย์บิดายังควบคุมคาราวานสินค้าเหล่านี้อยู่
 หญิงสาวอยู่ในห้องส่วนตัว เปิดดูบาดแผลช่วงทรวงอกที่กลับมาเป็นปกติไม่มีรอยบาดแผล โอสถจากท่านอาจารย์ผู้นี้ชะงัดนักฉมังถึงเพียงนี้  นี่เป็นความโชคดีของบิดาหล่อนที่รู้จักเหล่าชาวยุทธิ์ อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอย่างมาก   แต่นางยังมิอาจเกร็งพลังกำลังภายในได้มากเกินควร
 แต่การนั่งนอน  มากเกินไปก็เป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับนางเช่นกัน   พลิ้วไผ่เหลืองทราบว่า ไม่ไกลจากหมู่บ้านของนางที่พำนักอยู่  ในช่วงนี้เป็นช่วงฤดูน้ำหลาก  น้ำตกผาผีเสื้อ  สวยงามนัก สมควรที่นางจะไปชำระล้าง  แช่กายให้ชุ่มชื่นร่าเริง  พร้อมด้วยเหล่าคนของนาง

ทราบแต่เพียงว่าขณะนี้ พ่อของนางพร้อมด้วยคณะคาราวานในเข้าไปค้าขายยังเขตแดนอินทปัตและอาจจะไกลถึงเมืองงาย  เมืองที่อยู่ในเขตปกครองของญวนหรือเวียดนาม  น้ำตกผาผีเสื้อ เป็นน้ำตกที่สวย  ความสูงถึงสิบชั้นลดหลั่นกันมา สายน้ำใสขาวสะอาด น้ำที่ไหลจากผาถั่งโถมกระแทกลงมาสู่เบื้องล่างนั่น ได้ยินเสียงซัดซ่าตลอดเวลา  วันนี้หลังจากทราบตนเองดีว่าอาการจากบาดแผลของพิษเริ่มดีขึ้นแล้ว พลิ้วไผ่เหลืองพร้อมด้วยคนของนางสี่ห้าคน จึงมุ่งตรงมาอาบน้ำยังธารน้ำตกแห่งนี้   เหล่าคนใช้ทั้งสี่คนต่างสนุกสนานเช่นเดียวกับพลิ้วไผ่เหลือง  ดำผุดดำว่ายเริงร่าในธารสายนี้
จวบจนระยะเวลานั้นผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงลุกขึ้นจากน้ำแล้วพากันแต่งกายเพื่อกลับบ้าน


 นางภูติเฒ่าสอดส่อง
 สายตาสอดส่องของหญิงชรานัยน์ตาดุจเหยี่ยว หาได้ปล่อยให้คลาดสายตาไม่  นางรู้ดี ว่าเด็กสาวคนนี้เองที่ถูกดอกไม้เบญจพิษฝีมือของนางซัดทำร้าย  และเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ยาก เมื่อนางเฒ่าเองพอทราบว่า ถ้าหากนางกับบิดาเดินทางกลับมายังถิ่นนี้แสดงว่าจะต้องพำนักอยู่ในละแวกนี้  ซึ่งแม่เฒ่ารอนแรมเดินทางพักมานานถึงห้าวันเต็ม  อาศัยพักนอนอยู่ข้างทาง ที่ศาลาร้างบ้าง บนโขดหินบ้าง   ภูติเฒ่าอย่างนางไม่เคยหวั่นกลัวต่อสิ่งใด   ใครได้ยินชื่อของนางย่อมขยาด  เพราะนางเป็นทูตแห่งความตาย
เด็กสาวคนนี้ถ้าหากถูกนางซัดด้วยพิษฝ่ามือที่กลางหลังอีกครั้งคงตามสมใจอย่างสนิท ไม่มีทางรอด  แต่ที่นาวงแปลกใจคือ ทำไมนางจึงสมานรักษาตัวเองให้หายสนิทรวดเร็วอย่างนี้ ธรรมดาคนที่ถูกพิษฝ่ามือซัดของนางนั้น แค่สองราตรีก็จะตาย  ถ้าอย่างอดทนแค่สามราตรี นี่ปาเข้าไปจนถึงอาทิตย์กว่า   เด็กสาวนางนี้กลับรอดชีวิตได้อย่างแปลกประหลาด จึงสร้างความตกใจให้แก่นางเฒ่าอย่างครามครัน  ที่สามารถมีคนหลุดรอดจากความตายที่นางหยิบยื่นให้ได้ แต่ว่าในโลกนี้ เคยมีแล้ว   แต่ไม่เชื่อว่า จะยังมีชีวิตอยู่ คงหายสาบสูญ  หรือตายไปจากโลกนี้แล้ว  นางเองไม่อยากนึกถึงศิษย์ทรยศคนนี้หรอก
แต่ก็อดคิดไม่ได้ คนที่มี่วิชารู้ความลับของนาง รู้วิธีแก้พิษได้  ล้วนย่อมต้นทานฝีมือนางได้  อย่างพ่อเฒ่าจุนพุ้นแห่งเกาะเมฆาดำ ที่ในอดีตได้ราชธิดาของเจ้าเมืองมรุกขนครเป็นเมีย   แต่ทว่าได้ตัดขาดจากโลกภายนอก และพักอาศัยอยู่ที่เกาะเมฆาดำ  ซึ่งเป็นภูเขาสูงที่มีสายน้ำล้อมรอบ   เมืองนี้อยู่ไกลเป็นร้อยกิโล  ตั้งอยู่ชายแดนเมืองมรุกขนครกับชายแดนเมืองศรีโคตรบูรณ์
ทำให้นางครุ่นคิดที่จะหาคำตอบ แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆให้กับตัวเอง   การที่หญิงสาวผู้นี้รอดชีวิตได้แสดงว่านางต้องเป็นคนที่มีลมปราณอย่างยอดเยี่ยม โดยส่วนตัวนั้นนางเฒ่าอ่านออกว่าเรื่องยุทธฝีมือป้องกันตัวทางด้านวิทยายุทธ์นั้น  เด็กสาวคนนี้มีพอที่จะปกป้องตัวเองได้     แต่ถ้าเทียบเคียบกับนางแล้วย่อมไม่ได้
 ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็หาได้เร็ดรอดสายตายนาง นางคิดจะจู่โจมเมื่อใดก็ย่อมตาย และอาจฆ่าคนไปถึงหกคนเลยทีเดียว แต่ที่ครุ่นคิดและปักใจนักก็คือ เด็กสาวคนนี้อัศจรรย์ที่สามารถรอดจากเข็มพิษและพลังฝ่ามือได้  เห็นทีนางต้องสืบหาต้นตอให้ได้  ใคร ใครกันที่เก่งเพียงนี้
สามารถล่วงรู้วิชาลับสุดยอดของสำนักดงตะขบ  ซึ่งฉายาของนางก็คือนางเฒ่าหมามุ่ยพิษ เพราะพิษที่ร้ายแรงที่สุดนางสะกัดมาจากยาสมุนไพรหลากหลายชนิด และคนที่จะตายต้องทุรนทุรายด้วยอาการคันของหมามุ่นยเกิดความร้อนไปทั้งตัวและขาดใจตาย
แต่สตรีนางนี้นางไม่ได้ใช้  ถ้าหากว่าใช้ คงไม่รอด  ชั่งใจอยู่นานทีเดียว ที่อยากจะรู้เรื่อง นางจำต้องสะกดรอยแม่เด็กสาวกลุ่มนี้เพื่อตามไปยังที่พัก    คาดว่าต้องมีสถานที่พักอยู่ที่นี่
นางแทรกกำบังกายของตนเองอยู่บนกิ่งไม้  ในชุดสีน้ำตาล  ยังคงมองภาพนั้นไม่นิ่งวางสายตา คนทั้งหมดในกลุ่มสาวๆแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว  หญิงนางนั้นก็คือเด็กสาวนางนั้นที่นางเฒ่าเป็นคนทำร้ายแต่งกายเสร็จปักด้วยปิ่นมุก   แสดงให้เห็นฐานะของนางว่าย่อมสูงกว่านางเหล่านั้น  อย่างที่ทราบว่านางเป็นธิดาพ่อค้า   ไผ่เขียวเป็นบิดาของนาง ผู้มาแสดงตนกราบอ้อนวอนให้นางไว้ชีวิต
บัดนี้เมื่อคิดถึงไผ่เขียว นางยิ่งขุ่นแค้นใจ มันมีความลับซุกซ่อนไว้กับนาง  รู้วิชาที่แก้พิษร้ายของนางได้อย่างนี้  แสดงว่ามันจงใจปิดบังนาง  และมันคงไม่ได้โง่สักนิด นี่เป็นเพียงแผนการของพวกมันหรอกหรือนี่ พ่อค้ากำแหง  ฮึ
 แรงโกรธของนางทำให้จิตใจพลุ่งพล่าน  ถึงขนาดอดรนทนไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อโมโหโทสันต์มากขนาดนี้  นางก็ละลิ่วร่างโฉบตัวเองมายืนจังก้าอยู่ต่อหน้าบรรดาสาวๆทั้งหกที่เตรียมตัวจะกลับบ้าน
และคนที่ผงะก่อนใคร คือ พลิ้วไผ่เหลือง เพราะนางทราบดีก่อนใคร ว่านางเฒ่าที่จังก้าเบื้องหน้านั้นเป็นใคร   ถึงกับกล่าวบอกลูกน้องให้ดี
 "  ทุกคนระวัง     "
ส่วนนางเฒ่าหัวเราะอย่างกึกก้องฮึกเหิม  และดุเหมือนจะก้องไปทั่ว ด้วยน้ำเสียงนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก มันบาดเข้าไปในใจเหมือนนางอสรพิษร้ายที่หมายขย้ำเหยื่อ   เมื่อได้สติแล้วนั้น พลิ้วไผ่เหลืองตั้งท่ารับกระบวนวิชาของนาง ถึงได้เพียงไรนางก็ต้องยินยอม
อาการของพลิ้วไผ่เหลืองเพิ่งฟื้น สามารถต่อกรได้ แต่ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างที่สุด อย่าให้นางเฒ่าอสรพิษตนนี้ใช่ฝ่ามือซัดพิษใส่นางอีกครั้ง   ถ้าอย่าวงนั้น พลิ้วไผ่เหลืองคิดว่า  นางไม่รอดชีวิตแน่ สาวใช้ต่างๆพากันตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางคนลนลานด้วยความกลัว  เมื่อได้สติแล้ว  พลิ้วไผ่เหลืองจึงใช้คำพูดเจรจากับนาง
 "   แม่เฒ่าอุตส่าห์ระเห็จมาถึงที่นี่ ผู้น้อยยินดียิ่ง   หาแม่เฒ่าจะสั่งสอน แต่คนของผู้น้อยเหล่านี้ ไม่มีส่วนรู้เห็ฌนและผิดใดเลย ขอวอนแม่เฒ่าจงปล่อยตัวไป    "
ไม่มีวิธีใดที่จะทำได้ในขณะนี้พลิ้วไผ่เหลืองจึงตัดสินใจทันที ด้วยความเด้ดขาดถึงแม้นางจะถึงทางตันก็ตาม ดังนั้นหากในวันนี้นางเฒ่ารน้ายหมายตัวหมายชีวิตนางก็ยินยอม
นางเฒ่ายังไม่ตอบ แต่ก็ได้หัวเราะอีกครา
 " ฮะฮะฮะฮะเจ้ารู้จักมอบกายถวายตัวด้วยหรือแม่หนู อุตส่าห์เอาตัวรอดให้คนอื่น  ยอมหยิบยื่นชีวิตของตัวเองให้แก่ข้า ฮะฮะ ประเสริฐ์   หาคนเยี่ยงเจ้าไม่มีอีกแล้ว  ได้ ข้าจะรับปาก  ปล่อยพวกนาง แต่ตัวเจ้า ย่อมต้องไปกับข้า    "
พลิ้วไผ่เหลืองกลั้นใจเพียงชั่วครู่จึงตอบ เพราะสำหรับในเวลานี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
 "   ได้ ต้องขอบคุณแม่เฒ่าที่ปล่อยคนของข้า    "
เสียงที่กล่าวเนิบๆของพลิ้วไผ่เหลืองเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัวพอสมควร แต่ในยามนี้นางจำยอมทำใจแล้ว คาดว่าถึงอย่างไรตัวนางเองก็ไม่อาจรอดพ้นมือของนางเฒ่าที่มาปรากฏตัวในยามนี้   เพื่อไม่ให้ลูกน้องแตกตื่นอย่างมาก  เพื่อไม่ให้ลูกน้องทราบว่านางผู้นี้เป็นใคร  พลิ้วไผ่เหลืองแทบจะปิดบัง  เกรงจะเกิดอันตรายกับทุกคน ถ้าขวัญหนีดีฝ่อขนาดนี้ จึงคิดหาวิธีแก่ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการยิ้มกล่าว   ถึงยามนี้นางคิดว่า ใช้วิธีการใจดีสู้เสือดีกว่า
เพราะมันไม่มีทางออก แม้อาการจากพิษบาดแผลเริ่มหายก็ตาม   แต่นางไม่อยากให้กระทบอีกครั้ง  ซ้ำที่แผลเดิม   ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่ความกรุณาของนางเฒ่า   ส่สวนพลิ้วไผ่เหหลืองไม่อาจคาดการสิ่งเบื้องหน้าได้
ได้แต่สงบนิ่งแล้วถอนใจ
 "   ขอเพียงแต่แม่เฒ่าปล่อยคนของข้า  ข้าจะเดินไปกับแม่เฒ่าอย่างดี     "
กล่าววาจาแล้วพลิ้วไผ่เหลืองขยิบตาให้หลูกน้องสาวสองคน  เหมือนบอกเป็นรหัสและสัญลักษณ์  ในเมื่อต้องมาเผชิญกับนางเฒ่าผู้มีฝีมือร้ายกาจ    จึงไม่อยากให้ลูกน้องสาวคนใดต้องพลาดพลั้งจากการทำร้ายของนาง และคิดเสมอว่า ที่นางเที่ยวเสาะหาและปรากฏกายในยามนี้ คือตัวของพลิ้วไผ่เหลืองนี่เอง
เหตุที่พลิ้วไผ่เหลืองถูกนางทำร้ายมาก่อน นางจึงจำได้อย่างแม่ยำ  นางเฒ่าผู้นี้มิได้ตาบอด
 "  พวกเจ้ากลับไปก่อน ห้ามบอกเรื่องราวนี้กับใครทั้งสิ้น  ถ้าหากท่านแม่ถาม จงบอกแก่ท่านว่า ข้าไปเที่ยวทำธุระ     "
พลิ้วไผ่เหลืองเอ่ยอีกครั้ง
 "   พวกเจ้ากลับไปได้     "
พลิ้วไผ่เหลืองในยามนี้ เหมือนอยู่ในกรงเสือ  จะถอยหน้าหรือก้าวหลัง มีอันต้องถูกคมเขี้ยวลึกของมันฝัง   เห็นดังนั้นแล้ว แม่เฒ่าหมามุ่ยพิษฤทธิ์เดชร้ายกาจรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก  นางเฒ่าหัวเราะกึกก้องอีกกครั้ง เหมือนพึงพอใจ
เป็นหัวเราะที่เสียดแทงหญิงสาวผู้ตกอยู่ในเคราะห์ร้ายเยี่ยง พลิ้วไผ่เหลืองยิ่งนัก   และนางก็ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างดี  ไม่หวั่นหวาดกลัว
แม่เฒ่ารู้สึกพิเศษกับรอยยิ้มที่เยือกเย็นของดรุณสาวน้อย  ก่อนเอ่ย
 "   เจ้าทำตามที่ข้าต้องการได้เป็นอย่างมาก ดีที่เจ้าไม่คิดขัดขืน      "
พลิ้วไผ่เหลืองนิ่งฟังคำพูดที่นางเอ่ยเช่นกันอย่างนิ่งงันในความรู้สึก   นางเองเหมือนคนที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอดเท่านั้นล่ะ ในยามนี้
นางเฒ่าใช้เรี่ยวแรงกระชากร่างของพลิ้วไผ่เหลืองเข้ามา รุนหลังให้นางเดินไปข้างหน้า  เหมือนว่าบัดนี้พลิ้วไผ่เหลืองตกเป็นเชลยเสียแล้ว
นางบังคับให้ไปในเส้นทางที่ขรุขระซึ่งเป็นป่าชัฏ มีเส้นทางเดินของคนเดินป่าปรากฏอยู่
 ซึ่งแถวนี้พลิ้วไผ่เหลืองคุ้นเคยดีเพราะอยู่ในอาณาเขตของตนเอง
 " เจ้ามีผู้ใดช่วยรักษาบาดแผลวิชาเข็มพิษของข้า  เจ้าบอกข้ามาเสียดีๆนังหนู  เพราะว่าในรยามนี้หรือยามไหน แกก็ไม่มีทางรอด  หากว่าข้าจะซัดอาวุธลับหรือกระแทกฝ่ามือที่จุดเดิมของเจ้าอีกครั้ง
รับรองเจ้าได้ทุกข์ทรมานจนขาดใจตายบริเวณนี้แน่    "
 " ข้าไม่รู้แม่เฒ่า   คนผู้นั้นบิดาของข้าเป็นคนจัดหา    "
จำที่พลิ้วไผ่เหลืองต้องเอ่ยพูดในสิ่งที่เป็นความจริง  บัดนี้นางเฒ่าหัวร่ออีกครั้ง
 "  เจ้าว่าบิดาของนางซึ่งเป็นนายวาณิชนี่รู้ดีหรอกหรือ      "
 "   แล้วบิดาของเจ้าล่ะ    "
 "  บิดาของข้าเดินทางไปค้าขายแล้ว    "
คำตอบของดรุณีน้อยสร้างความไม่พอใจให้แก่นางเฒ่าเป็นอย่างมาก  ถึงกับเดือดดาลด้วยโทสะ
 " กำแหงยิ่งนักผู้พ่อของเจ้า  ข้าเห็นแก่เงินสามสิบตำลึงกับห่อของขวัญเครื่องประดับหรอก ถึงปล่อยชีวิตของมัน  ก็ใครจะรู้เล่าว่ามันซ่อนโจรร้ายเอาไว้   "
พลิ้วไผ่เหลืองคาดคิดว่า ผู้ที่ช่วยเหลือชีวิตนาง ที่แท้กลับกลายเป็นปรปักษ์ ซึ่งนางเฒ่าผู้นี้ ใช้คำตัวแทนว่าเป็นโจร    นางได้แค่สะกดอารมณ์ของตัวเองอย่างเงียบๆ   ไม่ตอบโต้ใด
 "  มันต้องอยู่ในชายคาละแวกนี้  ในหมู่บ้านของเจ้าหรือเปล่า     "
 " ท่านาผู้นี้ ข้าไม่ทราบเหมือนกัน บิดาข้าเป็นคนติดตามมา    "
 "  มันมีชื่อว่ากระไร      "
 "  ข้าพเจ้าจำชื่อท่านไม่ได้   ข้าพเจ้าเรียกแต่ว่า ท่านหมอ     "
ฮึ โทสะของนางกำเริบหนักขนาดใช้มือที่แข็งแรงดุจคีมเหล็กบีบรัดลำคอของพลิ้วไผ่เหลือง  จนตัวเองมีความรู้สึกว่าหายใจติดขัด อ่อนแรงลงทุกที  อีกยิ่งด้วยนางมีร่างกายที่เหนื่อยล้าเพิ่งเสร็จสุขมาจากระเริงเล่นในสายน้ำด้วยบริวาร
 " หรือ   เจ้ามีเรื่องใดปิดบังข้าไว้จริง  ถ้าหากเจ้าได้พบกับยาผู้นั้นร เจ้าย่อมสนทนาถามไถ่  ย่อมรู้ชื่อมันผู้นี้อย่างดิบดี      "
บัดนี้นางเฒ่ายินยอมคลายมือจากการรัดบีบคอของพลิ้ว ทำให้นางมีอิสระพอที่จะตอบคำถามนั้นได้
 "  ช่วงนั้น ข้าช่วยเหลือตนเองไม่ได้  ข้าไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับข้า  เพียงแต่ทราบว่า พ่อหมอรักษาข้าด้วยการให้ข้าลงไปนอนในอ่างหินเย็น      "
 "  อ่างหินเย็น    "
นางทวนคำเบาๆ มิคาดทีเดียว บัดนี้พอจะทราบแล้วบ้างว่า ผู้ที่ชาญฉลาดเข้าใจดีว่าพิษของวิชาสำนักดงตะขบร้ายแรงเพียงใด ผู้ที่ถูกพิษจะมีอาการกำเริบร้อนไปทั้งเนื้อตัว  วิธีแก้ทางหนึ่งคือ ให้ผู้เคราะห์ร้ายทั้งตัวลงนอนกับอ่างหินเย็น  แล้วรักษาตัวด้วยสมุนไพรสะกัดจุด  เพียงเท่านี้เมื่อวิเคราะห์แล้วนั้น  นางเฒ่าหมามุ่ยพิษคิดอยู่อย่างดิบดีแล้วว่า มันย่อมมิใช่หมอรักษาธรรมดาแน่  ต้องเรียนรู้วิชาของสำนักดงตะขบด้วยอย่างแน่นอน  หรือว่ามันจะเป็นศิษยืผู้น้องที่หายสาบสูญไป
เพราะการทรยศสำนักโดนอาจารย์ขับไล่ออกไป

  

แสดงความคิดเห็น