Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[แนวคิด] เราเสียกรุงศรีอยุธยา ๓ ครั้ง ไม่ใช่ ๒ ครั้ง

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

อยุธยายศล่มแล้วฯ

ในตำราเรียนหรือในมโนสำนึกของคนไทยทั่วไปเมื่อถามว่าเราเสียกรุงฯกี่ครั้ง คำตอบที่ได้รับมานั้นคือ สองครั้ง

แล้วสองครั้งนั้น คือครั้งไหนบ้าง เล่า?

ครั้งแรก ในสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้า พุทธศักราช ๒๑๑๒
ครั้งที่สอง ในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์ พุทธศักราช ๒๓๑๐

แต่! มีจุดเล็กๆที่ดูแล้วไม่น่าจะเล็กจุดหนึ่งครับ

ก่อนการเสียกรุงครั้งที่๑ นั้นมีสงครามที่เป็นจุดเริ่มต้นคือ สงครามช้างเผือก
ผมเคยเขียนไว้นิดหน่อยๆในนี้ครับ>> http://www.oknation.net/blog/bengnaja/2009/11/14/entry-1

สงครามช้างเผือกนั้นกรุงศรีอยุธยาต้องมอบพระราเมศวร พระยาจักรี พระสุนทรสงคราม และบรรณาการให้กับบุเรงนอง

ในตอนนั้นเองเราเสียกรุงให้กับบุเรงนอง ตามพงศาวดารพม่า หรือ
ในตอนนั้นเราแค่สงบศึก เสียรัชทายาทกับข้าราชการบางคนแต่ไม่เสียเมือง ตามพงศาวดารไทย

เด๋วผมจะเล่าให้ฟัง

นับ ตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ครองราชย์ครั้งที่๑ กองทัพหงสาวดีสามารถบุกมาเหยียบเกาะกรุงศรีอยุธยาได้แล้วสองครั้งในครั้งแรก คือสงครามพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ซึ่งกองทัพหงสาวดีต้องพ่ายแพ้กลับไปและกรุงศรีอยุธยาต้องสูญเสียพระสุริโย ทัย ต่อมากองทัพหงสาวดีก็ยกมาเหยียบเกาะกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งโดยการมาครั้งนี้ ขงกองทัพหงสาวดีมีการวางแผนอย่างรัดกุมโดยเรียนรู้จากข้อผิดพลาดคราที่พระ เจ้าตะเบงชะเวตี้ยกมาครั้งแรกโดยเลี่ยงพื้นที่ด่านพระเจดีย์สามองค์เหตุพระ บริเวณนั้นมีภูเขาสูงทางเดินนั้นลำบากไม่เหมาะกับการเคลื่อนอาวุธหนักอย่าง ปืนใหญ่กำลังสูงได้จึงมีวางแผนใช้ทางด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตาก และการวางแผนเรื่องเสบียง หากแต่แผนการทั้งหมดนั้นต้องอาศัยกรุงศรีอยุธยาด้วยตามอุบายของบุเรงนอง


อุบาย ของบุเรงนองเพื่อเปิดศึกกับกรุงศรีอยุธยาอย่างชอบธรรมตามประเพณีกษัตริย์ เริ่มจากบุเรงนองส่งพระราชสาส์นพร้อมบรณาการมาเจริญทางไมตรีกับพระมหา จักรพรรดิขอช้างเผือกหมายไว้จะประดับกรุงหงสาวดี เพราะบุเรงนองนั้นแม้จะแผ่พระบารมีไปสิบทิศแต่ก็หามีช้างเผือกไว้ประดับพระ บารมีไม่ ส่วนพระมหาจักรพรรดินั้นมีช้างเผือกมากถึง ๗ ช้าง หงสาวดีจึงใช้เรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมืองเพื่อนำไปสู่เรื่องการทหาร

ทางกรุง ศรีอยุธยาก็จัดประชุมเรื่องนี้ในทันทีโดยความคิดแตกออกเป็นสองฝ่ายคือกลุ่ม ที่ไม่ยอมให้ช้างเผือกนำโดยพระราเมศวร พระยาจักรีและพระสุนทรสงคราม โดยอ้างเหตุผลที่ว่าการให้ช้างเผือกนั้นก็เท่ากับเรายอมรับในอำนาจของบุเรง นองเขาขออะไรมาก็ให้เสมือนหนึ่งกรุงศรีอยุธยาอยู่ในขัณฑสีมาหงสาประเทศ ส่วนอีกฝ่ายนั้นมีจำนวนมากกว่าคือฝ่ายที่สนับสนุนให้ยอมๆไปเถอะเสียช้างสอง ช้างดีกว่าต้องเสียไพร่พลทำสงคราม แต่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงเลือกอยู่กับฝ่ายแรกคือไม่ยอมส่งช้างพร้อมทั้ง ตอบพระราชสาส์นไปว่าแม้นพระองค์มีบุญญาธิการแล้วไซร้คงจะได้ช้างเผือกในเร็ว วันมิต้องทรงวิตกเลย การเป็นไปตามพระราชประสงค์พระเจ้าหงสาวดี ผมคิดว่าบุเรงนองคงไม่ได้อ่านสาส์นจากอยุธยาเลยล่ะมั้งเพราะบุเรงนองเองก็ ต้องการคำตอบในรูปแบบนี้อยู่แล้ว

ทางกรุงศรีอยุธยาหลังจากตอบกลัท างหงสาวดีไปแล้วก็จัดเตรีมพระนครรับศึก เกณฑ์อาณาประชาราษฎร์เข้าไว้ยังกรุงสะสมเสบียง ดินดำ ตกแต่งค่ายคูประตูหอรบ และสร้างค่ายขึ้นรอบเกาะกรุงและที่ด่านพระเจดีย์สามองค์เพราะคาดว่าหงสาวดี จะยกมาทางนี้ แต่การวางแผนครั้งนั้นผิดถนัดพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกพลมาทางด่านแม่ละเมา โดยจัดเป็นทัพกษัตริย์ ๕ ทัพ ดังนี้

ทัพที่๑ ทัพของพระมหาอุปราช มังไชยสิงห์ (ต่อมาเป็นพระเจ้านันทบุเรง)
ทัพที่๒ ทัพพระเจ้าอังวะ
ทัพที่๓ ทัพพระเจ้าแปร
ทัพที่๔ ทัพพระเจ้าตองอู
ทัพที่๕ ทัพหลวงมีพระยาพะสิมเป็นกองหน้า

"พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองออกจากหงสาวดี เมื่อ ณ วันจันทร์ เดือน ๑๒ แรม ๑๒ ค่ำ ปีกุน พุทธศักราช ๒๑๐๖ ลงมาประชุมพลที่เมืองเมาะตะมะ"

ดัง ที่ได้กล่าวกองทัพที่ยกพลมามากมายกว่าห้าแสนนาย หัวเมืองเหนือเป็นเมืองเล็กๆที่ไม่สามารถต้านทานทัพใหญ่รวมทั้งต้องเผชิญกับ ปืนใหญ่อานุภาพสูงที่บุเรงนองนำมาด้วย ห้วเมืองเหนือทั้งหลายจึงตกเป็นของหงสาวดีอย่างง่ายดาย กระทั่งกองทัพบุเรงนองยกมาถึงพิษณุโลก ถึงพิษณุโลกเป็นราชธานีฝ่ายเหนือก็ตามแต่ก็ไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่พอจะรับศึกบุ เรงนองได้ พระมหาธรรมราชาจึงยอมหย่าศึกอยู่ใต้ขัณฑสีมาหงสาประเทศทางฝั่งอยุธยาเองกว่า จะรู้ตัวก็ส่งพระราเมศวรมาช่วยพิษณุโลก พิษณุโลกก็เป็นของบุเรงนองแล้วพระราเมศวรจึงยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา

คราว นี้ยิ่งแล้วใหญ่กองทัพหงสาวดีไม่ได้มีแค่พวกมอญพม่าแต่รวมไปถึงทัพของหัว เมืองเหนือนั่นคือทัพของพระมหาธรรมราชาอีกด้วย กองทัพบุเรงนองต้องตีค่ายของพระมหาจักรพรรดิที่รายล้อมเกาะกรุงศรีอยุธยา เสียก่อน เมื่อตีได้หมดแล้วจึงแปลงค่ายเหล่านั้นให้เป็นของตน แต่ทางกรุงศรีอยุธยาก็ส่งกองเรือรบบรรทุกปืนใหญ่ยิงเข้าไปยังค่ายบุเรงนอง แต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผลแถมยังต้องเสียเรือรบเหล่านั้นให้ทัพหงสาวดีเสียด้วย


แม้ กระนั้นกองทัพหงสาวดีจะยึดค่ายรอบเกาะกรุงศรีอยุธยาได้แล้วเมื่อข้าน้ำมา เหยียบเกาะกรุงศรีอยุธยาก็ยังต้องเจอกับกำแพงกรุงอีกชั้น นับได้ว่าชัยภูมิของกรุงศรีอยุธยาเป็เลิศในการตั้งรับจริงๆ หงสาวดีจึงใช้ปืนใหญ่ที่ขนมาระดมยิงเข้าไปยังในกำแพง อาณาประชาราษฎร์ได้รับความเดือดร้อนมากจนพระมหาจักรพรรดิต้องยอมขอเจราสงบ ศึกกับบุเรงนอง

มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ทำไม?พระมหาธรรมราชาจึงยอมรับไมตรีหย่าศึกกับบุเรงนองทั้งๆที่น้ำเหนือกำลัง บ่าลงมาจะท่วมกรุงอยู่แล้ว ก็ตีความมาได้ ๒ ข้อดังนี้ครับ

๑. เพราะตอนนั้นขุนนางที่ไม่อยากรบมีมากกว่าพวกที่อยากรบ เมื่อไม่มีใจที่จะสู้ไปแม้นจะมีพลมากกว่าก็ไม่มีทางชนะ(หรือถ้าเกิดชนะคงมี การล้างบางครั้งยิ่งใหญ่ในรัชกาลนี้แน่นอน)

๒. บุเรงนองเองแม้นว่าจะชนะมาโดยตลอดทางแต่เพราะเสียเวลากับหัวเมืองเหนือทั้ง ปวงจึงทำให็กว่าจะมาถึงเกาะกรุงก็เกือบจะฤดูน้ำหลาก จะถอยเองรึก็เสียหน้า ดังนั้นส่งพระราชสาส์นมาขอไมตรีหย่าศึกกับอยุธยาอย่างน้อยก็ไม่เสียหน้ากลับ ไป กอรปกับปัจจัยข้อแรกทำให้ทุกอย่างลงตัวครับว่าทั้งคู่พร้อมที่จะเจรจาไม่ใช่ เวลาที่ต้องมาทำสงคราม


ผล การเจราพระเจ้าบุเรงนองนำตัวแกนนำฝ่ายให้รบ คือพระราเมศวร พระยาจักรี พระสุนทรสงครามไปยังหงสาวดีและขอช้างเพิ่มจากสองเป็นสี่ช้าง และยัมีบันทึกที่เพิ่มมาว่ากรุงศรีอยุธยาต้องส่งช้างปีละ ๓๐ เชือกกับเงินปีละ ๓๐๐ ชั่งรวมทังขอเก็บส่วยเมืองมะริดซึ่งเป็นขัณฑสีมาของกรุงศรีอยุธยา ส่วนพระ มหาจักรพรรดินั้นขอเชลยศึกที่จับมาทั้งหมดคืน แล้วต่างฝ่ายก็ต่างกลับ บุเรงนองก็ได้ช้างเผือกกลับไปหงสาวดีตามพระราชประสงค์...จึงเรียกสงคราม ครั้งนี้ว่า สงครามช้างเผือก

****************

ข้อ สังเกต ๑ บุเรงนองยกทัพมากระทำศึกกับกรุงศรีอยุธยาอุบายของเขาที่ถนัดคือการยุให้แตก เป็นสองฝ่าย ในครั้งนี้เขาทำให้หัวเมืองเหนือไม่ลงรอยกับอยุธยารวมทั้งขุนนางภายในกรุง เองก็ตาม ต่อมาคราวศึกเสียกรุงครั้งที่ ๑ อุบายก็ทำให้แตกกันเองอีกโดยใช้พระยาจักรีเข้าไปเป็นไส้ศึก บุเรงนองไม่เคยชนะกรุงศรีอยุธยาด้วยกำลังทหารประจัญบานกัน แต่เขาใช้การเมืองให้เป็นประโยชน์แล้วจึงตามด้วยการทหาร

ข้อ สังเกต ๒ หากมองว่าการที่เราเสียช้าง เสียรัชทายาท ขุนนาง รวมทั้งบรราการทุกปี นั่นคือสูญเสียเอกราชแล้ว ดังนั้นการที่พระมหินทราธิราช(ครองราชย์ครั้งแรก)ขึ้นไปเอาตัวพระวิสุทธิ กษัตรี พระองค์ขาวและพระสุพรรณกัลยา มาจากเมืองพิษณุโลก ก็มีความหมายว่าคิดกบฎเพราะเมืองพิษณุโลกตอนนั้นก็เป็นของหงสาวดี พระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาอีกครั้งคราวนี้จึงน่าจะเรียกว่าทัพปราบกบฎซะมากกว่า แต่พงศาวดารไทยระบุว่าเป็นการเสียกรุงครังที่ ๑

หมาย เหตุ ทังหมดนี้เพียงเพื่อเสนอแนวคิดให้ได้อ่านกันนะครับ ทุกสิ่งก็ไม่แน่นอน ใช่ว่าพงศาวดารไทยจะถูกไปซะหมด ของพม่าจะถูกไปซะหมด ประวัติศาสตร์นั้นอ่านเอาสนุก สอนใจ แต่อย่าไปใช้เป็นเหตุทางการเมือง

ขอบพระคุณที่อ่านนะครับ

แสดงความคิดเห็น

>

13 ความคิดเห็น

สมุหพระกลาโหม 10 ม.ค. 53 เวลา 15:22 น. 2

ขอให้อ่านให้จบนะครับ อย่าอ่านครึ่งๆกลางๆนะ
ขอบอกไว้ก่อนว่าแค่แนวคิด เรื่องนี้มีพูดกันมามากแล้ว
ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะพูดกันวันสองวันนี้

0
เเค่ถ้วยชาใบหนึ่ง 10 ม.ค. 53 เวลา 15:44 น. 3

เราคิดว่าเพราะว่านักโบราณคดีเค้ารวบรัดเอาเหตุการณ์สงครามช้างเผือกมารวมมากกว่า มันเป็นเเค่ฉนวนไม่ใช่การเสียอย่างเเท้จริง มันไปเสียในรุ่นพระโอรส เเต่ไม่ว่ายังไงนะ ขอตำหนิตามตรง ปัจจุบันกับอดีตก็เริ่มคล้ายๆกันเเระ มันจะเป็นจุดจบเหมือนกันหรือเปล่า น่าจะเอาประวัติศาสตร์มาทบทวน มันก็คล้ายๆกัน เราไม่ชอบพวกชักศึกเข้าบ้านมันเรียกว่าเนรคุณเเผ่นดิน&nbsp เราก็ต้องปกป้องเเผ่นดินต่อไป

0
kimbum 10 ม.ค. 53 เวลา 16:52 น. 4

อ สังเกต ๑ บุเรงนองยกทัพมากระทำศึกกับกรุงศรีอยุธยาอุบายของเขาที่ถนัดคือการยุให้แตก เป็นสองฝ่าย ในครั้งนี้เขาทำให้หัวเมืองเหนือไม่ลงรอยกับอยุธยารวมทั้งขุนนางภายในกรุง เองก็ตาม ต่อมาคราวศึกเสียกรุงครั้งที่ ๑ อุบายก็ทำให้แตกกันเองอีกโดยใช้พระยาจักรีเข้าไปเป็นไส้ศึก บุเรงนองไม่เคยชนะกรุงศรีอยุธยาด้วยกำลังทหารประจัญบานกัน แต่เขาใช้การเมืองให้เป็นประโยชน์แล้วจึงตามด้วยการทหาร


ลองอ่านดี ๆ

เหมือนประเทศไทยตอนนี้หรือเปล่า ??

0
New 10 ม.ค. 53 เวลา 19:45 น. 7

คิดไปคิดมาไอคนที่พยายามยุให้คนไทยแตกกันในปัจจุบัน
แถมยังลบหลู่เบื้องสูง ต้องเป็นพม่ากลับชาติมาเกิดแน่ ๆ

0
สมุหพระกลาโหม 10 ม.ค. 53 เวลา 20:18 น. 8

คำว่าเสียกรุง ไม่จำเป็นต้องโดนเผาบ้านเผาเมือง

แค่เราต้องส่งบรรณาการให้เขาทุกปีก็เท่ากับว่าเรายอมอยู่ใต้อำนาจเขา

0
raining-sahara 11 ม.ค. 53 เวลา 12:59 น. 9

จริงๆมันไม่ถูกตั้งแต่ที่บอกว่าประเทศไทยไม่เคยเสียเอกราชแล้วมั้งครับนั่น = =;

ผมว่าดูยังไงๆมันก็เสียไปแล้ว แต่เหมือนว่าเราจะดันทุรังเอาเอง


PS.  Because I'm Sahara Deverite~
0
wiwek 16 มี.ค. 58 เวลา 16:11 น. 12

เสียกรุง 2 ครั้ง ก็เพียงพอแล้วมั้ง ที่จะยับเยินเกินกว่าจะสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ ใช้อาวุธ กำลังเข้าปล้น ฆ่า เขาถือว่าเป็นความชอบธรรมครองอำนาจ เหมือนปัจจุบัน เลือกตั้งบังหน้า ใช้ระบอบมาเฟีย อาวุธสงคราม RGD 5 จากรัสเซีย ประชาชน ถุกมองว่าเป็นกบฎ จากเจ้าพ่อมาเฟียหมด

0