บทความ พระเนตรขวาของในหลวง...เรื่องที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้
ตั้งกระทู้ใหม่
บทความ พระเนตรขวาของในหลวง...เรื่องที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้
ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
พระองค์ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ขณะทรงประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เมื่อตอนที่พระชนมายุครบ 20 พรรษา
ด่วน : ในหลวงประสบอุบัติเหตุ
ในหลวงประสบอุบัติเหตุอาการสาหัส
ประธานอภิรัฐ ฯ จะทูลถามอาการในวันนี้
นั่นคือข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ใหญ่ ๆ
ซึ่งตีพิมพ์จำหน่ายในกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2491
มีเนื้อข่าวด่วนจากวิทยุ B.B.C. เมื่อเวลา 13.00 น. แจ้งว่า
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงประสบอุบัติเหตุด้วยรถยนต์ ณ
ที่แห่งหนึ่งใกล้ ๆ เมืองโลซานน์ เมื่อค่ำวันที่ 3 เดือนนี้ พระอาการค่อนข้างสาหัส
วิทยุของรอยเตอร์ก็ส่งรายละเอียดกระจายเสียงไปทั่วโลกว่า
(รอยเตอร์) โลซานน์ 25 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
กษัตริย์ปัจจุบันผู้มีพรรษาครบ 20 แห่งประเทศไทย ซึ่งทรงได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อคืนวานนี้ (ที่ 4)นั้นในตอนบ่ายวันนี้ (ที่ 5) มีข่าวว่า
ทรงมีพระอาการดีขึ้นและพ้นเขตอันตรายแล้ว
วิทยุ บี.บี.ซี. กระจายข่าวว่าพระสาเหตุที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงประสบ
อุปัทวเหตุครั้งนี้ เนื่องจากรถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกคันหนึ่ง สมเด็จพระอยู่หัวฯ
กับนายอร่าม รัตนกุล ซึ่งเป็นบุคคลเดียวที่โดยเสด็จขึ้นในรถพระที่นั่งนั้นด้วย
ในคืนที่ทรงประสบอุปัทวเหตุนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงขับรถพระที่นั่ง
ไปถึงสี่แยกที่มีป้อมจราจรแห่งหนึ่ง และพอดีกับตำรวจจราจร ได้ให้สัญญาณหยุดเพื่อ
ให้ทางแก่จักรยานอีก 2 คัน รถบรรทุกคันหน้าจึงหยุดลงทันที ที่ได้สัญญาณจากตำรวจ
จราจร ขณะนั้นประจวบกับมีรถยนต์อีกคันหนึ่งขับสวนขึ้นมาและเปิดไฟหน้าสว่างจ้า
จึงทำให้พระเนตรพร่ามองไม่เห็นรถบรรทุกคันนั้น รถพระที่นั่งจึงชนเอาท้ายรถบรรทุก
โครมใหญ่
รายงานข่าวจากการออกประกาศล่าที่สุดของสถานีวิทยุ บี.บี.ซี.เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม
เวลา 14.47 น.แจ้งว่าพระการสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พ้นอันตรายแล้ว หลังจากได้รับบาดเจ็บ
จากถูกรถยนต์บรรทุกชน เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว
อย่างไรก็ดีราชเลขานุการแถลงว่าพระเนตรข้างขวาเศษกระจกเข้าและยังไม่ทราบว่า
อีกหลายวันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ จะทรงใช้พระเนตรข้างขวาได้หรือไม่
หนังสือพิมพ์สยามนิกรฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2491 ลงพาดข่าวขนาดใหญ่ว่า
อาจเสียพระเนตร ใกล้พระเนตรขวาสาหัสที่สุด
ตามเนื้อข่าวกล่าวว่า...รายงานข่าวล่าที่สุด ซึ่งสยามนิกรได้รับเมื่อเช้าวันนี้ (ที่7)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ผู้ทรงเป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรชาวไทยได้ทรงบาดเจ็บที่
พระเนตรข้างขวา หลวงประเสริฐราชไมตรี ราชเลขานุการในพระองค์แถลงข่าว
อันน่าเศร้าใจแก่ รอยเตอร์ว่า พระองค์อาจเสียพระเนตรข้างขวาก็ได้
วิทยุ บี.บี.ซี.เวลา 19.45 น. วันที่ 8 แจ้งต่อไปว่าพระอาการของ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ กำลังเป็นที่พอใจของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ทางตาถวายการรักษา เหตุการณ์กล่าวว่าอาการ
ของพระเนตรข้างขวาดีขึ้นบ้าง แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะหายดีดังเก่าหรือไม่
วันที่ 17 เวลา 16.00 น. เศษ ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ได้ส่งโทรศัพท์ทางไกลถามพระอาการอีก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
มีพระราชดำรัสตอบโดยพระองค์เองจากโรงพยาบาลที่ประทับอยู่นั้นว่า
ฉันปลอดภัยแล้ว ขอฝากความขอบใจมายังคณะผู้สำเร็จราชการ
คณะอภิรัฐมนตรี คณะรัฐบาล และประชาชนของฉัน
ที่มีความห่วงใยในอาการป่วยของฉัน
เช้าวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
ได้เสด็จเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แพทย์ทำการผ่าพระเนตรข้างขวา
หลังจากนั้นพระองค์ท่านทรง มีพระอาการแทรกซ้อนเรื่อง พระเนตรขวา
ซึ่งแพทย์ที่ถวายการรักษาอีกหลายครั้งก็ไม่ดีขึ้น จึงได้ถวายการแนะนำ
ให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด
พระองค์ทรงเก็บความทุกข์ส่วนพระองค์ไว้
จากนั้นก็ทรงใช้พระเนตรเพียงข้างเดียว
ทรงศึกษาค้นคว้า อ่านหนังสือต่างๆมากมาย
เพื่อทรงงานของบ้านเมือง บำบัดทุกข์บำรุงสุข
แก่ราษฎรของพระองค์มาตลอดระยะเวลา ๖๐ ปี
พระองค์ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ขณะทรงประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เมื่อตอนที่พระชนมายุครบ 20 พรรษา
ด่วน : ในหลวงประสบอุบัติเหตุ
ในหลวงประสบอุบัติเหตุอาการสาหัส
ประธานอภิรัฐ ฯ จะทูลถามอาการในวันนี้
นั่นคือข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ใหญ่ ๆ
ซึ่งตีพิมพ์จำหน่ายในกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2491
มีเนื้อข่าวด่วนจากวิทยุ B.B.C. เมื่อเวลา 13.00 น. แจ้งว่า
ที่แห่งหนึ่งใกล้ ๆ เมืองโลซานน์ เมื่อค่ำวันที่ 3 เดือนนี้ พระอาการค่อนข้างสาหัส
วิทยุของรอยเตอร์ก็ส่งรายละเอียดกระจายเสียงไปทั่วโลกว่า
(รอยเตอร์) โลซานน์ 25 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
กษัตริย์ปัจจุบันผู้มีพรรษาครบ 20 แห่งประเทศไทย ซึ่งทรงได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อคืนวานนี้ (ที่ 4)นั้นในตอนบ่ายวันนี้ (ที่ 5) มีข่าวว่า
ทรงมีพระอาการดีขึ้นและพ้นเขตอันตรายแล้ว
วิทยุ บี.บี.ซี. กระจายข่าวว่าพระสาเหตุที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงประสบ
อุปัทวเหตุครั้งนี้ เนื่องจากรถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกคันหนึ่ง สมเด็จพระอยู่หัวฯ
กับนายอร่าม รัตนกุล ซึ่งเป็นบุคคลเดียวที่โดยเสด็จขึ้นในรถพระที่นั่งนั้นด้วย
ในคืนที่ทรงประสบอุปัทวเหตุนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงขับรถพระที่นั่ง
ไปถึงสี่แยกที่มีป้อมจราจรแห่งหนึ่ง และพอดีกับตำรวจจราจร ได้ให้สัญญาณหยุดเพื่อ
ให้ทางแก่จักรยานอีก 2 คัน รถบรรทุกคันหน้าจึงหยุดลงทันที ที่ได้สัญญาณจากตำรวจ
จราจร ขณะนั้นประจวบกับมีรถยนต์อีกคันหนึ่งขับสวนขึ้นมาและเปิดไฟหน้าสว่างจ้า
จึงทำให้พระเนตรพร่ามองไม่เห็นรถบรรทุกคันนั้น รถพระที่นั่งจึงชนเอาท้ายรถบรรทุก
โครมใหญ่
รายงานข่าวจากการออกประกาศล่าที่สุดของสถานีวิทยุ บี.บี.ซี.เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม
เวลา 14.47 น.แจ้งว่าพระการสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พ้นอันตรายแล้ว หลังจากได้รับบาดเจ็บ
จากถูกรถยนต์บรรทุกชน เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว
อย่างไรก็ดีราชเลขานุการแถลงว่าพระเนตรข้างขวาเศษกระจกเข้าและยังไม่ทราบว่า
อีกหลายวันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ จะทรงใช้พระเนตรข้างขวาได้หรือไม่
หนังสือพิมพ์สยามนิกรฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2491 ลงพาดข่าวขนาดใหญ่ว่า
อาจเสียพระเนตร ใกล้พระเนตรขวาสาหัสที่สุด
ตามเนื้อข่าวกล่าวว่า...รายงานข่าวล่าที่สุด ซึ่งสยามนิกรได้รับเมื่อเช้าวันนี้ (ที่7)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ผู้ทรงเป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรชาวไทยได้ทรงบาดเจ็บที่
พระเนตรข้างขวา หลวงประเสริฐราชไมตรี ราชเลขานุการในพระองค์แถลงข่าว
อันน่าเศร้าใจแก่ รอยเตอร์ว่า พระองค์อาจเสียพระเนตรข้างขวาก็ได้
วิทยุ บี.บี.ซี.เวลา 19.45 น. วันที่ 8 แจ้งต่อไปว่าพระอาการของ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ กำลังเป็นที่พอใจของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ทางตาถวายการรักษา เหตุการณ์กล่าวว่าอาการ
ของพระเนตรข้างขวาดีขึ้นบ้าง แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะหายดีดังเก่าหรือไม่
วันที่ 17 เวลา 16.00 น. เศษ ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ได้ส่งโทรศัพท์ทางไกลถามพระอาการอีก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
มีพระราชดำรัสตอบโดยพระองค์เองจากโรงพยาบาลที่ประทับอยู่นั้นว่า
ฉันปลอดภัยแล้ว ขอฝากความขอบใจมายังคณะผู้สำเร็จราชการ
คณะอภิรัฐมนตรี คณะรัฐบาล และประชาชนของฉัน
ที่มีความห่วงใยในอาการป่วยของฉัน
เช้าวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
ได้เสด็จเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แพทย์ทำการผ่าพระเนตรข้างขวา
หลังจากนั้นพระองค์ท่านทรง มีพระอาการแทรกซ้อนเรื่อง พระเนตรขวา
ซึ่งแพทย์ที่ถวายการรักษาอีกหลายครั้งก็ไม่ดีขึ้น จึงได้ถวายการแนะนำ
ให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด
พระองค์ทรงเก็บความทุกข์ส่วนพระองค์ไว้
จากนั้นก็ทรงใช้พระเนตรเพียงข้างเดียว
ทรงศึกษาค้นคว้า อ่านหนังสือต่างๆมากมาย
เพื่อทรงงานของบ้านเมือง บำบัดทุกข์บำรุงสุข
แก่ราษฎรของพระองค์มาตลอดระยะเวลา ๖๐ ปี
PS. ชีวิตคนเราเกิดมา ทำรัยให้มันคุ้มดีกว่า...!!
20 ความคิดเห็น
อ่านแล้วน้ำตาจะไหลเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ
                                                    ไม่เคยรู้จริงๆๆๆๆๆ
                                          ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
                                      โชคดีจริงๆที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย
PS. " ทำดีเพื่อพ่อทำดีเพื่อไทย ยิ้มๆเข้าไว้โลกสดใสคนไทยมีความสุข "
แต่พระเนตรของพระองค์ทรงดูแลประชาชนของพระองค์มา ๖๐ กว่าปี...
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
พระองค์ทรงใช้เพียงพระเนตรเดียว
พัฒนาประเทศซึ่งเปรีบยเหมือนบ้านของพวกเรามาเป็นระยะเวลานาน
โดยพระองค์ไม่เคยท้อ
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้รักพ่อได้อย่างไร!!?
ใครไม่รักพ่อก็ช่างแต่หนูรักพ่อนะคะ!!
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ....
น้ำตาจะไหล...ขนาดท่านใช้พระเนตรเพียงข้างเดียวดูแลประชาชน...มาตลอด60ปี
แล้ว..ประชาชนทุกคนล่ะ...ทำให้พ่อของเรามีความสุขรึยัง...
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน...อยู่เป็นมิ่งขวัญของคนไทย..ตลอดไป
มีสองตาแล้ว ยังทำอะไรไม่ได้แม้แต่เสี้ยวของพระองค์ท่านเลย
โชคดีจริงๆ ที่เกิดมาในแผ่นดินนี้
ทรงพระเจริญ
อันนี้ เราก็รู้แล้ว
ท่านส่งอดทนทำงานเพื่อบ้านเมืองมานาน
ทำให้เมืองไทยร่มเย็น
ถ้าไม่มีท่าน
คงไม่มีประเทศไทยทุกวันนี้
ขอจงทรงพระเจริญ
อ่านแล้วน้ำตาจะไหล  รู้สึกขนลุกแบบบอกไม่ถูกอาจจะเป็นเพราะรู้ถึงความรัก ความห่วงใยที่พระองค์มีให้ประชาชนของท่านอย่างใหญ่หลวง
รู้สึกโชคดีจริงๆๆที่ได้เกิดมาในแผ่นดินไทย
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
อยากให้คนที่มีสองตาบางคนได้ลองอ่านบทความนี้บ้าง  ท่านทรงทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนมากมายขนาดนี้  ทำไมถึงยังมีพวก....
ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง  สงสัยพ่อแม่มันคงไม่ได้สั่งสอนให้รักท่าน  คนที่เกิดมาเป็นคนไทยทุกคน  มีหน้าที่เกิดมาเพื่อรักท่าน  ท่านไม่ได้ทำประโยชน์ให้
ใครคนใดคนหนึ่ง  แต่ทำประโยชน์ให้คนทั้งประเทศชาติ  ถ้าไม่มีปัญญาทำไ้ดอย่างท่าน  ก็อย่ามาทำร้ายหรือรังเกียจท่านสิ  พวกหน้าเงิน
ตายไปมันคงอยู่ที่อเวจีขุมสุดท้ายเป็นแน่
ว่าทำไมพระองค์ถึงรักและเสียสละเพื่อประชาชนของพระองค์ได้มากขนาดนี้
PS. ความเห็นส่วนตัวนะ ห้ามโกด 55
ซึ้งมากเลยค่ะ รักพระเจ้าอยู่หัว ^^
PS. "it takes a great deal of bravery to stand to our armies, but as much as to stand to our friends"
ร้องไห้เลย เราก็ใส่ตา แบบพระองค์
ที่จริง..ท่านน่าจะได้พัก เพราะท่านเหนื่อยมา ตลอด สี่สิบปี..เต็ม แต่ท่านก็ไม่ยอมลดละ แม้จะเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหน
ที่ท่านทำไปทั้งหมดนี่ ความจริง มันเพื่ออะไรเหรอ..
หากที่จริงท่าน ไม่ทำก็ได้ เพราะท่านควรพักผ่อน
แต่ท่านก็ยังทำ ... "เหตุผล" ที่ท่านทำน่ะ หาไม่ได้หรอกค่ะ ..
PS. ความรักก็เหมือนตำรา มีไว้ให้เราไขว่คว้าได้หาความรู้
รักในหลวงมากค่ะ่
ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานนน รักในหลวงงมากกก
แม้ท่านจะเสียพระเนตรข้างขวาไป ท่านก็ยังคงอยู่ดูแลและพัฒนาประเทศไทยถึง60ปี
แม้จะมีพระเนตรข้างเดียว ท่านก็ยังสามารถศึกษาและมองกาลไกลได้อย่างน่ายกย่อง
หากวันนี้ ท่านมีพระเนตรที่สมบูรณ์แบบทั้ง2ข้าง ท่านจะสามารถมองกาลของประเทศได้ไกลถึงแค่ไหนกัน?
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
บทความในหลวงของเรา
ในหนังสือว่า...หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่าเสร็จสิ้นลงแล้ว
ราชเลขาฯของสมเด็จย่ามาแถลงในที่ประชุมต่อหน้าสื่อมวลชนว่า
ก่อนสมเด็จย่าจะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ 93
ในหลวงเสด็จจากวังสวนจิตรไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน
ไปทำไม?  ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่ ไปทำให้แม่ชุ่มชื่นหัวใจ
ในหลวงของเราเสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่ สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหม?
5 วัน
มีใครบ้าง? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน
หายาก...
ในหลวงมีโครงการเป็นร้อยเป็นพันโครงการ มีเวลาไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน
พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก พลตรี อธิบดี ปลัดกระทรวง
ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่ บอกว่างานยุ่ง แม่บอกว่าให้พาไปกินข้าวหน่อย
บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ
ทุกครั้งที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า ในหลวงต้องเข้าไปกราบที่ตัก
แล้วสมเด็จย่าก็จะดึงตัวในหลวงเข้ามากอด กอดเสร็จก็หอมแก้ม
ตอนสมเด็จย่าหอมแก้มในหลวง เราคิดว่าแก้มในหลวงคงไม่หอมเท่าไร
เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม
แต่ทำไมสมเด็จย่าหอมแล้วชื่นใจ
เพราะท่านได้กลิ่นหอมจากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู
ไม่นึกเลยว่าลูกคนนี้จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้
ตัวแม่เองคือสมเด็จย่าไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดาสามัญชน
เป็นเด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์เหมือนเด็กหญิงทั่วไป
เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
ในหลวงน่ะ...เกิดมา เป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์
เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว แต่ในหลวงที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ก้มลงกราบคนธรรมดา...ที่เป็นแม่
หัวใจลูกที่เคารพแม่ กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว
คนบางคน พอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่ เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ
เป็นชาวนา เป็นลูกจ้าง ไม่เคารพแม่ ดูถูกแม่ แต่นี่ในหลวงเทิดแม่ไว้เหนือหัว
นี่แหละครับความหอม
นี่คือเหตุที่สมเด็จย่าหอมแก้มในหลวงทุกครั้ง ท่านหอมความดี หอมคุณธรรม
หอมความกตัญญูของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้วก็ร่วมโต๊ะเสวย
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่จำได้แม่น สมเด็จย่าเล่าว่า
ตอนเรียนหนังสือที่สวิส ในหลวงยังเล็กอยู่ เข้ามาบอกว่า อยากได้รถจักรยาน เพื่อนๆ
เขามีจักรยานกัน แม่บอกว่า ลูกอยากได้จักรยาน
ลูกก็เก็บสตางค์ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้สิ
เก็บมาหยอดกระปุกวันละเหรียญ สองเหรียญ พอได้มากพอ ก็เอาไปซื้อจักรยาน
พอถึงวันปีใหม่ สมเด็จย่าก็บอกว่า 'ปีใหม่แล้ว เราไปซื้อจักรยานกัน
เอากระปุก...ดูซิว่ามีเงินเท่าไร?'
เสร็จแล้วสมเด็จย่าก็แถมให้ ส่วนที่แถมนะ มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก
มีเมตตาให้เงินลูก ให้ไม่ได้ให้เปล่า สอนลูกด้วย สอนให้ประหยัด
สอนว่าอยากได้อะไร ต้องเริ่มจากตัวเรา
คำสอนนั้นติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้
เขาบอกว่าในสวนจิตรฯเนี่ย...คนที่ประหยัดที่สุดคือในหลวง
...คราวหนึ่งในหลวงป่วย สมเด็จย่าก็ป่วย ไปอยู่ศิริราชด้วยกัน
แต่อยู่คนละมุมตึก ตอนเช้าในหลวงเปิดประตู แอ๊ด...ออกมา
พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี ในหลวงพอเห็นแม่
รีบออกจากห้องมาแย่งพยาบาลเข็นรถ
มหาดเล็กกราบทูลว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว
ในหลวงมีรับสั่งว่าแม่ของเรา ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น เราเข็นเองได้
นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นกษัตริย์ ยังมาเดินเข็นรถให้แม่
ยังมาป้อนข้าว ป้อนน้ำให้แม่ ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่ เลี้ยงหัวใจแม่
ยอดเยี่ยมจริงๆ เห็นภาพนี้แล้วซาบซึ้ง...
...ในหลวงเฝ้าสมเด็จย่าอยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน จับมือแม่
กอดแม่ ปรนนิบัติแม่ จนกระทั่ง 'แม่หลับ...' จึงเสด็จกลับ
พอไปถึงวัง เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์
ในหลวงรีบเสด็จกลับไปศิริราช เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง
ในหลวงตรงเข้าไปคุกเข่า กราบลงที่หน้าอกแม่
พระพักตร์ในหลวงตรงกับหัวใจแม่
'ขอหอมหัวใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย'
ซบหน้านิ่งอยู่นาน แล้วค่อยๆ เงยพระพักตร์ขึ้น น้ำพระเนตรไหลนอง
ต่อไปนี้....จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว
เอามือกุมมือแม่ไว้ มือนิ่มๆ ที่ไกวเปลนี้แหละ
ที่ปั้นลูกจนได้เป็นกษัตริย์
เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง
ชีวิตลูก แม่ปั้น
มองเห็นหวี ปักอยู่ที่ผมแม่ ในหลวงจับหวี ค่อยๆ หวีผมให้แม่
หวี...หวี...หวี...หวี ให้แม่สวยที่สุด แต่งตัวให้แม่ ให้แม่สวยที่สุด
ในวันสุดท้ายของแม่...
เป็นภาพที่ประทับใจเราที่สุด...เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว
อ่านแล้วสะท้อนให้เห็นเลยว่า เราอย่าลืมพ่อ แม่ของเรา ควรให้เวลากับท่านบ้าง
ถึงแม้ว่าในหลวงจะมีโครงการมากมาย แต่ท่านไม่เคยลืมสมเด็จย่า
เด็กๆเดี๋ยวนี้ควรเอาเป็นตัวอย่างนะคะ
อยากให้ทุกคนช่วยส่งต่อความดี
พระองค์ทรงเสียสละเพื่อชาติมาก ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?