Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

สองนักคิดหนึ่งมุมมอง จากท่านว.วชิรเมธีและคุณนิ้วกลม

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

นักคิดนักเขียนสองท่าน เป็นที่รู้จักกว้างขวาง

ท่านหนึ่ง ว.วชิรเมธี อีกท่าน นิ้วกลม

(ผมพูดถึงสองท่านนี้ในฐานะนักเขียนไม่เกี่ยวว่า เป็นบรรพชิตหรือฆราวาสนะครับ)

 

ท่านว.วชิรเมธีพูดถึงละคร ดอกส้มสีทอง

กล่าวว่าสะท้อนมนุษย์ ผู้มีราคะ โลภะ โทสะ

หากมองให้เป็นธรรม ละครน้ำเน่าก็มีคุณไม่น้อยกว่าไปละครน้ำดี

(เพราะละครน้ำดีมีคนเสพน้อยและจบเร็วเกินไป จึงไม่ทันได้เรียนรู้เต็มที่)

ทำให้คนได้เรียนรู้และสมเพชกับชะตากรรมของมนุษย์ผู้ตกเป็นทาสกิเลส

 

อีกคนนิ้วกลมพูดถึงการเลือกตั้งว่า

คนไทยต้องไม่ผูกมัดความสุขของตนเองกับผลการเลือกตั้ง

(หรือจะเศรษฐกิจ ม็อบ ละคร ไอโฟนสี่ ฯลฯ อะไรก็ตามแต่)

แต่ต้องมีความสุขด้วยตนเองจากภายใน

จงรักและให้อภัยศัตรูของท่าน

ความสุขสงบสันติจึงจะเกิดขึ้นในใจเรา

มหาตมะคานธี กล่าวว่า จงรักเกียจบาปแต่อย่ารังเกียจผู้ทำบาป

ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นผู้ทำบาปเสียเอง

 

ถามว่าจะมีสักกี่คนที่เห็นธรรมะในละครดอกส้มสีทองเช่น ท่านว.วชิรเมธี

(ไม่ใช่แค่เด็ก แต่รวมถึงผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ให้คำแนะนำด้วย)

เด็กขอนแก่นลุกขึ้นด่าแม่ แม่ช็อก น้อยใจ โดดบึงฆ่าตัวตาย

เด็กบอกดูดอกส้มสีทอง เห็นว่าทีเรยายังด่าแม่ตัวเองได้

จริงเท็จเพียงใดไม่ทราบ

แต่เรยาไม่ใช่นางร้าย ไม่ใช่ตัวตลก เธอคือดาราน่าจอ เป็นฮีโร่ที่น่าเอาอย่าง

(อย่างน้อยก็จนถึงที่กำลังฉายอยู่ในปัจจุบัน)

ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดจะลงเอยยังไงก็ตาม

ตอนนี้วิบากกรรมได้เกิดขึ้นแล้ว...

 

จะมีสักกี่คนที่มองการเมืองไทยด้วยสายตาอันอบอุ่น

เห็นคนเป็นคน เปี่ยมด้วยความรักเช่นคุณนิ้วกลม

ขนาดหลวงพ่อไพศาลยังปรารภว่า

ตกใจที่เห็นผู้ปฏิบัติธรรมรู้สึกสะใจกับความตายของพวกป่วนเมือง

 

เมืองไทยไม่เคยขาดคนดีมีคุณธรรมซึ่งควรเอาเป็นแบบอย่าง

แต่ทำอย่างไรคนไทยส่วนใหญ่ถึงจะมีคุณธรรมสักเศษเสี้ยวของท่านเหล่านั้น

หรือต้องเอาขี้เล็บของท่านเหล่านั้นไปต้มให้ชาวไทยทั้งประเทศกินกัน

 

หากหวังให้โลกเป็นอย่างที่ต้องการ เราก็จะทุกข์เสียเอง

หากยอมรับโลกอย่างที่มันเป็น เราจะพบความสุข

นั่นคือมุมมองที่สะท้อนออกมาจากนักเขียนทั้งสองท่าน

คนที่มีความสุขจากภายในเช่นสองท่านนี้ จะพร้อมเป็นผู้แบ่งปันความสุขให้แก่ผู้อื่นอยู่เสมอ

 

ติช นัท ฮัน บอกว่า ความสุขแบบปัจเจกไม่มี

เราต้องทำให้สังคมผาสุก (ทำกุศล) ตัวเองจึงจะมีความสุขได้

ลองลงมือสร้างความสุขเสียแต่บัดนี้

ดีกว่าเอาเวลามานั่งตัดพ้อโลกที่ไม่เป็นอย่างใจ

เริ่มจากยิ้มให้ตัวเอง และคนรอบข้างก่อนเป็นไงครับ :)

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

littletree 17 พ.ค. 54 เวลา 17:29 น. 1

เสริมนะฮะ ^^

ปล. ความสุขใดไม่ได้เกิดจากเจตนาอันเป็นกุศล

(เช่นสมน้ำหน้าชะตากรรมของคนอื่น)

ความสุขนั้น ย่อมนำไปสู่ทางที่ชั่ว

 

"ยอมรับโลกอย่างที่มันเป็น" ไม่ใช่การปล่อยไปตามยถากรรม

แต่คือเห็นถูกต้องในความเป็นในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เห็นจริงตามกฎแห่งเหตุปัจจัย

ไม่เอาใจไปปรุงแต่งว่าสิ่งใด ควรเป็นอย่างไร ไม่ควรเป็นอย่างไร

เมื่อเห็นจริงได้ดังนั้น เราก็จะพยายามทำแต่เหตุ โดยไม่หวังผล

เหตุถึงพร้อมเมื่อไร ผลจะตามมาเอง (ไม่ว่าจะวิบากดำ หรือขาวก็ตาม)


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 พฤษภาคม 2554 / 17:31
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 17 พฤษภาคม 2554 / 17:34
0
PRINCEARM 17 พ.ค. 54 เวลา 19:52 น. 2

 จงรักและให้อภัยศัตรูของท่าน

และจงภาวนาแก่ผู้ที่เบียดเบียนท่าน...

ศาสนาคริสต์สอนเน้นเรื่องความรักครับ

เพราะเมื่อใดที่เรารักอย่างแท้จริง เมื่อนั้นไม่มีความทุกข์ที่แท้จริง

แต่ก่อนศาสนาคริสต์สอนว่า รักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง

แต่พระเยซูเจ้ามาปรับใหม่ เป็นว่า  รักเพื่อนมนุษย์เหมือนพระเยซูเจ้ารักเรา

เพราะพระเยซูเจ้า รักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง

เมื่อรักแบบนี้แล้ว แทนที่เราจะเห็๋นแก่ตัว แต่เรากลับแบ่งปันคนอื่นที่ไม่มี  

และเมื่อสังคมใด ที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว สังคมนั้นจะมีความสุข   


PS.  ความดี คือ การทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน รวมไปถึงการทำเพื่อหวังบุญ นั่นก็ไม่เรียกว่า ความดี
0