หน้าปัดเครื่องวิ่งวัดระยะทาง หน้าปัดสติวัดความดีเลวในตน
วันก่อนไปฟิตเนส มีเครื่องวิ่งว่างอยู่เครื่องเดียว เป็นเครื่องที่ผมไม่เคยใช้
พอขึ้นไป กดสตาร์ท ตั้งความเร็วที่ 4.0 มันก็หมุนเร็วจี๋ จนเดินไม่ทันต้องวิ่งเอา
งงอยู่แป๊บหนึ่ง (งงไปวิ่งไป) เพราะเครื่องอื่นๆ นั้นคิดหน่วยเป็นกิโลเมตร/ชั่วโมง
ถ้าความเร็ว 4.0 กม. ก็จะเป็นความเร็วตอนเราเดินเร็ว ซึ่งถือว่าช้ามาก
(ความเร็วในการเดินของคนทั่วไป อยู่ที่ประมาณ 1-2 กม./ชม. - ไม่นับคนทำงานที่ญี่ปุ่นนะ)
ทีแรกก็หงุดหงิด ที่ไม่ได้อย่างใจ แต่คิดดูอีกที ก็ช่างมัน เพราะถึงหน้าปัดจะแสดงตัวเลขยังไง
แค่เราตั้งให้วิ่งด้วยความเร็วเท่าเดิมก็พอแล้ว
ในที่สุดผมจึงตั้งไปที่ 3.6 ซึ่งก็ได้ความเร็วพอๆ กับ 7 กม./ชม.
(หน้าปัดมันไม่มีหน่วยให้ แต่เดาว่าหน่วยน่าจะเป็นไมล์/ชม. หรือไม่อีกทีก็คือเครื่องมันเสีย!)
ผมก็วิ่งไปยี่สิบนาทีเหมือนเดิม ได้เหงื่อพอๆ กับเดิม ตัวเลขจะเป็นยังไงช่างมัน
เพราะผมได้บริหารหัวใจกับปอด ให้เลือดลมสูบฉีด เกิดประโยชน์แก่ตัวเองครบตามที่ต้องการแล้ว
ดูแล้วเหมือนเรื่องปกติธรรมดา เราจะไปยึดติดกับตัวเลขบนหน้าปัดทำไม
ในเมื่อความจริง อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ เป็นสิ่งที่เราจะรู้ได้เมื่อดูลงมาในกายและใจของตัวเอง
แต่หลายคนก็ยังยึดติดกับตัวเลขบนหน้าปัดอยู่
บางคนโดนคนอื่นด่า (ในกรณีที่คำด่าเป็นไปด้วยโทสะ และไม่ชี้จุดบกพร่องใดๆ ให้เรา)
ก็รู้สึกเจ็บใจ ทั้งที่เสียงนั้นเงียบหายไปนานแล้ว แต่ก็ยังดังก้องอยู่ในใจ
บางคนยึดมั่นในความเห็นตัวเอง พอมีใครไม่เห็นด้วยก็ต้องเอาชนะให้ได้
(ทั้งที่ในหลายกรณี ถึงชนะไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร)
บางครั้งอัตตาก็มีอำนาจเสียจน บงการให้เราฆ่าคนได้เพียงแค่เพราะอีกฝ่ายขับรถปาดหน้า
คำด่าก็ดี การโต้เถียงกันก็ดี เหตุการณ์ใดๆ ที่มากระทบให้เราหวั่นไหวก็ดี
ล้วนแล้วก็เหมือนหน้าปัดบนเครื่องวิ่ง
มันไม่ได้วัดคุณค่าอะไรในตัวเรา ไม่ได้ทำให้เราดีขึ้นหรือเลวลง
พระพุทธเจ้าสอนว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งหมายถึง
ถ้าเราทำดี ก็จะบ่มเพาะนิสัยที่ดีในใจเรา ทำให้ใจเราคุ้นชินและเองเอียงไปในทางที่ดีได้ง่ายขึ้น
ถ้าเราทำชั่ว ก็จะบ่มเพาะนิสัยที่ชั่วในใจเรา ทำให้ใจเราคุ้นชินและเอนเอียงไปในทางที่ชั่วได้ง่ายขึ้น
คนเราจะดีจะชั่วจึงอยู่ที่การกระทำของตนเอง ไม่ใช่เพราะลมปากของผู้อื่น หรือเหตุการณ์ภายนอก
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเลือกที่จะเงียบกับคนที่เห็นว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์
เลือกที่จะเป็นฝ่ายแพ้เมื่อเห็นว่า การโต้แย้งเริ่มไม่สามารถจรรโลงสิ่งใดได้
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมเลือกการวิ่งเป็นการบริหารร่างกาย
และเลือกที่จะเงียบหรือยอมถอยเมื่อเห็นสมควร เป็นการบริหารจิตใจ
เจริญสติ เพื่อระลึกรู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ
ระลึกรู้ว่า วันนี้เราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน
ระลึกรู้ว่า เรายังขาดคุณธรรมอะไรบ้าง เรายังมีข้อบกพร่องอะไรต้องปรับปรุงบ้าง
ตัวเลขบนหน้าปัดเครื่องวิ่งจะเป็นยังไงก็ช่าง
ขอเพียงเรามีหน้าปัดแห่งสติ ก็สามารถวัดความดีเลวในตนได้
โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องชี้วัดใดๆ จากสังคม
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 26 มิถุนายน 2554 / 10:38
แสดงความคิดเห็น