Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

คุณข้องใจอะไรเกี่ยวกับ "อิสลาม" วันนี้เรามีคำตอบ !!

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่








       เท่าที่ได้รู้ ประชาชนชาวไทยเกือบครึ่งเกลียดอิสลามเพราะ "ความรู้แบบผิดๆ" ข้าพเจ้าในฐานะชาวไทยคนหนึ่งที่นับถือศาสนาอิสลามก็เป็นกังวล เพราะมีผู้คนบางกลุ่มพยายามสร้างความขัดแย้งระหว่างชนสองศาสนา ยุแยงบางคนที่เกลียดอยู่แล้วให้ลุกขึ้นต่อสู้หรือกล่าวร้าย 

       ...วันนี้เลยอยากแถลง อย่างมีคำถามหนึ่งที่ชาวเด็กดีเคยตั้งไว้


       ถามเรื่องศาสนาอิสลาม

          1 ทำไมชาติที่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ต้องยึดถือกฎหมายที่มีรากเหง้ามาจากตาต่อตาฟันต่อฟันของฮัมบูราบี ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรง ?

          2 ทำไมคนที่แต่งงานกับอิสลาม ต้องเปลี่ยนมานับถืออิสลามด้วย ?

          3 ศาสนาอิสลามมีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจยังไง ?


       ข้าพเจ้าจะตอบเรียงข้อเลยนะคะ

          1 ทำไมชาติที่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ต้องยึดถือกฎหมายที่มีรากเหง้ามาจากตาต่อตาฟันต่อฟันของฮัมบูราบี ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรง ?

          - สำหรับข้อนี้คือความเข้าใจผิดคะ อิสลามไม่ได้ใช้กฏตาต่อตาฟันต่อฟันของฮัมบูราบีนะคะ เพราะอิสลามมีกฏหมายและรัฐธรรมนูญของตัวเองคะ ซึ่งทุกอย่างอยู่ในอัลกุรอาน (วัจนะของพระเจ้า) อัล-ฮาดีษ (คำพูดของศาสดามูฮัมหมัด) อัล-อิจญ์มาอฺ และอัล-กิยาส
          อิสลามแปลว่าสันติ แปลว่าธรรมนูญของชีวิต กฎหมายที่มนุษย์ร่างเอง อิสลามไม่ใช้คะ แต่ระบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ก็ยอมรับว่าอิสลามใช้คะ แต่จะใช้ในกรณีที่อิสลามเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ห้ามใช้ก่อกวนหรือหาเรื่องผู้อื่น ห้าม ที่หมายถึง ห้ามจริงๆ ถ้าฝ่าฝืนมีบทลงโทษ อิสลามสอนเพียงว่า หากถูกรุกราน ก็จงลุกขึ้นต่อสู้

          2 ทำไมคนที่แต่งงานกับอิสลาม ต้องเปลี่ยนมานับถืออิสลามด้วย ?

          - เพราะอัลลอฮฺตรัสว่า "จงอย่าได้สมรสกับชาย/หญิงใด จนกว่าพวกเขาจะศรัทธา แท้จริงทาสชาย/หญิงที่ศรัทธานั้น ดียิ่งกว่าชาย/หญิงที่ปฏิเสธศรัทธา แม้เขา/เธอนั้นจะเป็นที่ต้องใจของสูเจ้าก็ตาม"
          มันคือศาสนบัญญัติ ต้อง เน้น ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด (สำหรับผู้ศรัทธา)

          3 ศาสนาอิสลามมีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจยังไง ?

          - ไม่เชื่อคะ อิสลามห้ามเชื่อเรื่องงมงาย มิเช่นนั้นจะตกศาสนา กลายเป็นกาฟิรคะ



ส่วนท่านใดมีข้อสงสัยอะไรก็โพสต์ไว้นะคะ แล้วข้าพเจ้าจะแวะมาตอบ



เข้ามาแก้คำผิด :)


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 ตุลาคม 2554 / 00:23

PS.  เค็มแล้วนิยายตู

แสดงความคิดเห็น

>

114 ความคิดเห็น

สงสัย 17 ต.ค. 54 เวลา 20:40 น. 1

อยากรู้ว่าทำไม
1.ทำไมถึงไม่ทานเนื้อหมู
2.ทำไมถึงต้องห้ามเลี้ยงสุนัข

แค่นี้ล่ะครับ :)

2
วิทยา 28 พ.ย. 58 เวลา 07:26 น. 1-1

ห้ามทานหมูเพราะเป็นบททดสอบของพระเจ้าครับ ว่าสิ่งที่อนุมัตให้ทานได้มีมากมายหลายสิ่ง แต่ห้ามบางสิ่งบางอย่างจะทำได้ไหม และไม่ได้ห้ามแค่หมูนะครับ ห้ามหลายอย่าง

-อิสลามไม่ได้ห้ามเลี้ยงสุนัขครับ เลี้ยงได้ แต่ใม่ให้ไว้บนบ้าน เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านข้างล่าง หรือต้อนสัตว์ เพราะน้ำลายมันเป็นนายิสหรือสิ่งสกปรก ถ้าโดนจะต้องล้างถึงเจ็ดน้ำ ก็เลย ไม่เลี้ยงจะดีกว่า ส่วนใหญ่น่าจะคิดแบบนั้น

0
มุร สะ 15 ก.พ. 60 เวลา 15:06 น. 1-2

ห้ามทานหมูเพราะในเนื้อหมูมีพยาธิตัวตื่ดที่เป็นสัตว์ตายอยากถึงแม้จะผ่านความร้อนอุณหภูมิสูงและเมื่อเรารัปประทานเนื้อหมูจะทำให้เสี่ยงต่อการทำลายสมอง
จากวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสุจแล้วว่าเป็นความจริง
ศาสนาท่ห้ามทานหมูไม่ใช่อิสลามอย่างเดียวนะคะศาสนาคริศศาสนายูดายในคัมภีร์ของพวกเขาก็มีการห้ามเช่นกัน

0
- F e r n P iฺ n ta. 17 ต.ค. 54 เวลา 20:47 น. 4

 ทำไมเห็นว่าคนไทยบางส่วนมีปัญหากับคนอิสลาม ? 
ข้องมากค่ะ เห็นมีเรื่องกันบ่อย ( เราไม่ใช่พวกนั้นนะ แค่สงสัย )


PS.  I love you, Sangha jung <'33333 kiss me pleaseee! >3<
0
mcl;x 17 ต.ค. 54 เวลา 21:22 น. 5

อยากรู้ว่า ทำไมมุสลิมไม่สามารถเปลี่ยนมานับถือศาสนาอื่น หรือไม่สามารถเคารพศรัทธาสิ่งต่างๆที่เป็นของศาสนาอื่นได้
ทั้งๆที่ศาสนาอื่นสามารถเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม และสามารถเคารพศรัทธาสิ่งต่างๆที่เป็นของอิสลามได้
มันเป็นเพราะอะไร(ไม่อยากได้คำตอบแบบว่า "พระเจ้า/ท่านนบีฯ บัญญัติบัญญัติมาแบบนี้") อยากได้เหตุผลที่มันเป็นเหตุผลจริงๆ เพราะทุกอย่างมันย่อมมีที่มาจริงมั้ย

ปล. คำถามของเราหยาบคายไปหรือเปล่า ต้องขออภัย

2
Apisit 17 มิ.ย. 59 เวลา 05:59 น. 5-1

ที่มุสลิมเปลี่ยนศาสนาไม่ได้เพราะ เมื่อมุสลิมเปลียนเป็นศาสนอื่นเขาก็ไม่ใช่มุสลิม และ มุสลิม ที่ศรัทธาในสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระเจ้าเขาก็ไม่ใช่มุสลิม (ห้ามเพื่อไม่ให้มุสลิมออกจากการเป็นมุสลิม) ถ้าต้องการออกแค่ทำอย่างหนึงอย่างก็ได้ออกสมใจแล้วคับ
#
0
จักรี บุญยพิมพะ 19 พ.ค. 60 เวลา 21:50 น. 5-2

ศาสนาอิสลามมาจาก อัลลอฮ์ ไม่ใช่ใครๆที่คิดขึ้นเอง เพราะก่อนหน้านั้น ก็ส่งศาสนาอื่นที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวลงมาก่อน สุดท่ายก็อีหร็อบเดิมคือ เอาความรู้สึกของมนุษย์เข้าไปเติมแก้ไขตัดทอนในคำภร์ ด้วยอ้างว่าไม่ทันสมัยและอีกหลายๆเหตุ ไม่ใช่แค่ 1 แต่ 3 คำภีร์แล้ว อัลลอฮ์จึงห้ามทำการชำระคำภีร์ไม่ว่าด้วยเหตุใด ปล* ผมเคยเป็นคนพุทธ สิ่งที่คุณสงสัยผมย่อมเข้าใจดี ทุกอย่างอัลลอฮ์เป็นผู้สร้าง และทรงให้มันมีมา เช่นความดีความชั่ว อัลลอฮ์ไม่ได้สร้างสิ่งดีอย่างเดียว สิ่งชั่วนั้นก็ให้มันมีมาเพียงแต่ใครจะทำเท่านั้น คุณลักษณะของอัลลอฮ์ เป็นผู้สร้างสิ่งอื่น แต่ไม่ถูกสร้าง ถ้าอัลลอฮ์ถูกผู้อื่นสร้าง เราจะมานับถืออัลออฮ์ทำไม ทุกคนคงเป็นผู้เป็นเจ้าได้ เพราะถูกสร้างเหมือนกัน

0
secret girl 17 ต.ค. 54 เวลา 21:27 น. 6

อยากรู้ชื่อของศาสดาและเหล่าสาวกของอิลลามค่ะ
อันนี้เราอยากรู้เพื่อศึกษาค่ะ มันมีออกสอบo-netน่ะค่ะ
อ้ออีกข้อค่ะ ถ้าพ่อเราแต่งงานกับแม่ที่นับถืออิลลามแต่พ่อนับถือพุทธ
อย่างนี้พ่อต้องเปลี่ยนตามแม่หรือเปล่าค่ะ

2
faruk 22 ม.ค. 59 เวลา 08:31 น. 6-1

นบีอาดัม
นบีอิดรีส
นบีนั๊วฮ
นบีฮูด
นบีซอและฮ
นบีอิรอฮีม
นบีลูฏ
นบีอิสมาอีล
นบีอิสฮาก
นบียะกู๊บ
นบียูซุฟ
นบีอัยยูบ
นบีซุลกิบ
นบีมูซา
นบีฮารูน
นบีดาวูด
นบีสุลัยมาน
ชูอัยบ์
นบิอิลยาส
นบีอัลยะซะฮ
นบียูนุส
นบีซักรียา
นบียะฮยา
นบีอีซา
นบีมุฮัมหมัด

0
faruk 22 ม.ค. 59 เวลา 08:33 น. 6-2

ต้อง เปียนครับ ถ้าผู้ชายไม่เปียน ก็ไม่สามารถ แต่ง งานได้

0
karano 17 ต.ค. 54 เวลา 21:38 น. 7

         เลขสี่มีความหมายพิเศษในศาสนาอิสลามไหม ทำไมต้องจำกัดให้มีภรรยาแค่สี่?
ถ้าผู้หญิงเต็มใจจะมีห้า หก เจ็ดจะเป็นไรไป?  แล้วภรรยาคนที่สอง สาม สี่ กฎหมายไทยไม่รับรอง
มรดกจะทำไง สามีตายก็ไม่ได้แบ่งสมบัติสิ
   
         นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่ทะเลาะกับคริสต์บ่อยจัง  เกี่ยวกับเชื้อสาย ชาตินิยมหรือเปล่า

       


PS.  
1
Apisit 17 มิ.ย. 59 เวลา 06:28 น. 7-1

อิสลาม มีการสอนหลักการแบ่งมรดกอยู่คับ เรียกว่า วีชาฟารอแอด สามารถคำนวนแบ่งได้ทุกกรณี
4ไม่มีความหมายอะไรพิเศษคับ
แต่ที่เพราะ ถ้ามากกว่านั้น ฝ่ายชายอาจไม่ได้พักผ่อน และฝ่ายหญิงอาจไม่ได้รับความเท่าเทียม หรือ ต้องรอนานกว่าจะรอบตัวเอง (การมีเมีย4นั้นเมียทุกคนต้องได้รับความเท่าเทียมในทุกๆเรื่อง(เงินทองของใช้ และเซ็ก) และห้ามสวิงกิง (จัดได้ครั้งละคน))
และไม่ควรให้เมียยุบ้านเดียว ต่อให้เมียทุกคนยอมก็ยังไม่ควรให้ยุบ้านเดียวกัน
สู้สู้

0
Raylun 17 ต.ค. 54 เวลา 22:22 น. 9

เรามีเพื่อนคนนึง เป็นคนอิสลาม แต่ว่าเขาเริ่มงงๆว่า เขาจะนับถือศาสนาอะไรดี เพราะบ้านเขาเป็นอิสลามแล้วเขาเป็นผู้หญิงเลยถูกบังคับนู่นนี่ตลอด ทั้งเรื่องส่วนตัว การแต่งตัว และความรัก สุดทท้ายเพื่อนเราคนนี้หากต้องการเปลี่ยนศาสนา จะทำได้ไหมคะ

เพราะว่าเขาไม่เชื่ออะไรๆในอิสลามเลย ทั้งชอบที่จะไปกับเพื่อนที่เป็นชาวพุทธ และปฏิบัติตามเรื่องการทำบุญ ปล่อยปลาอะไรแบบนี้มากกว่า

ที่จะถามคือ ทางศาสนาอิสลาม มี บทลงโทษคนที่จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นไหมคะ คือเราไม่กล้าถามเพื่อน แล้วกลัวเพื่อนจะทำอะไรไป ทำให้ทางบ้านเขาไม่พอใจหน่ะค่ะ

ปล.สงสารเพื่อนเรามาก


PS.  
1
faruk 22 ม.ค. 59 เวลา 08:37 น. 9-1

มีความผิด มาก ครับ ถ้าเข้าไป นับถือสิงอืน เข้าก้ตกจากศาสนาอิสลาม ที่ทางบ้านบังคับ เพราะมันเป็นคสังไชของคนทีเป็นอิสลาม ทุกคน ต้องกระทำ

0
เวอซ่า 17 ต.ค. 54 เวลา 23:23 น. 10
เพราะการตีความที่ผิด สื่อสารไม่เข้าใจ พอคนหนึ่งไม่เข้าใจ ก็บอกต่อๆ กันไป มันก็กลายเป็นความไม่ชอบ โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้เกลียดคนอิสลามทั้งหมด แต่เกลียด 'คนที่นับถืออิสลามบางคน' นิสัยเลวๆ มันเลยพาลให้ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ (ประมาณว่าปลาเน่าตัวเดียว เหม็นไปหมด พลอยทำให้คนดีเขาถูกเกลียดไปด้วย ) แต่นับถือคนอิสลามในการรักษากฎระเบียบอันเคร่งขัด ซึ่งเราไตร่ตรองแล้ว ไม่สามารถทำได้อย่างแน่ๆ

ทุกศาสนามีคนเลวอยู่ทั่วไป ขึ้นกับว่าจะหยิบยกศาสนาไหนขึ้นมาพูด อย่างชาวพุทธเรา ก็ต้องยอมรับว่ามีพวกมารศาสนาอาศัยอยู่ไม่น้อย มันเป็นความจริงที่ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่คนดี

จะศาสนาใดแต่ขอแค่เป็นคนไทย เราก็สามารถสามัคคีกันได้

คหสต.
0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 00:58 น. 11

ตอบ คห.1




ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน


เหตุที่มุสลิมไม่ทานหมูข้าพเจ้าขอชี้แจงดังนี้...


เมื่อบุคคลใดเรียกตัวเองว่ามุสลิม ก็ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ คำสั่งห้าม/ใช้ ตามคัมภีร์ อัล-กรุอาน ซึ่งเป็นวัจนะของพระเจ้า และคำสั่งสอนของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ผู้เป็นศาสนทูตคนสุดท้ายของอิสลาม


"พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้านั้นเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกรและสัตว์ที่ถูกกล่าวนามอื่นนอกจากอัลลอฮฺ(เมื่อถูกเชือด) แต่ผู้ใดได้รับความคับขันโดย และมิใช่เจตนาขัดขืน และมิใช่เป็นผู้ละเมิดขอบเขตแล้วไซร้ ก็ไม่มีบาปใด ๆ แก่เขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ" จากอัลกุรอาน บทที่ 2 อัล-บะเกาะเราะฮฺ : โองการ 173


"แท้จริง พระองค์เพียงแต่ทรงห้ามสูเจ้า (มิให้บริโภค) สัตว์ที่ตายเอง และเลือดและเนื้อของสุกร และที่ถูกเปล่งนามอื่นนอกจากอัลลอฮฺ (เมื่อเชือด) แต่ผู้ใดก็ดีที่อยู่ในภาวะคับขันไม่เจตนาดื้อดึง และมิใช่ละเมิด ฉะนั้นแท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ" จากอัลกุรอาน บทที่ 16 อันนะหฺลฺ : โองการ 115


จากคำสั่งนี้ มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติโดยไม่มีเงื่อนไข

แต่ ในกุรอานมีตอนหนึ่งกล่าวว่า "แต่ผู้ใดอยู่ในภาวะคับขัน" เช่นอยู่ในภาวะอดอยากขาดแคลนจนไม่มีอะไรกินประทังชีวิต ก็อนุญาตให้รับทาน หรือถ้าหากมีใครเอาอาวุธ หรือถูกบังคับเพื่อให้ทานหมู และเขาไม่อาจต่อสู้ได้ ในกรณีนี้ก็สามารถทำได้ ถ้าหากว่ามุสลิมไม่เคารพตัวเองโดยตั้งใจที่จะกินหมู นั่นก็แสดงว่า เขาไม่เชื่อมั่นในหลักการ เป็นคนที่ไม่มีสำนึกในศาสนา และไม่มีความละอายต่อบาป


การไม่ทานหมูของอิสลามนั้นวางอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลเรื่องสุขอนามัยและความบริสุทธิ์สะอาดให้แก่ตัวมนุษย์


ในคำสอนของอิสลามนั้น การห้ามกินหมูเป็นเพียง ส่วนหนึ่งของคำสอนศาสนาอิสลาม และอิสลามยังมีข้อห้ามอย่างอื่นด้วยเช่นกัน มิใช่ห้ามแต่หมูเท่านั้น



"มนุษย์เอ๋ยจงบริโภคสิ่งที่อนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และอย่าปฏิบัติตามรอยเท้าของมาร แท้จริง มันเป็นศัตรูที่เปิดเผยสำหรับสูเจ้า" จากอัลกุรอาน บทที่ 2 อัล-บะเกาะเราะฮฺ : โองการที่ 168


คำว่า อนุมัตินั้น ภาษาอาหรับเรียกว่า "ฮะลาล" ไม่เฉพาะกับสิ่งที่เรากินเท่านั้น ยังหมายถึง วิธีการได้มาซึ่งเงิน และสิ่งๆอื่นๆที่ต้องห้าม สิ่งใดที่ห้ามไม่อนุมัติ จะเรียกว่า "ฮะรอม" การคดโกงมาก็เรียกว่า ฮะรอม เช่นกัน


อิสลาม จะทานอาหารที่ศาสนาอนุมัติเท่านั้น


ความจริง อิสลามไม่ได้ห้ามทานหมูอย่างเดียว แต่มีอีกหลายอย่างที่ ห้ามทาน แต่คนที่ไม่เคร่งครัด,ละเลย หรือขาดความรู้ด้านศาสนา เขาก็จะจำแค่อย่างเดียวว่าไม่ทาน หมู หรือถ้ากินอยู่ ห้ามทัก!! (มีมากสำหรับคนที่ไม่รู้จักละอายต่อบาป) ทั้งที่การบริโภคสิ่งต้องห้ามอื่นๆ มีบาปมากกว่า



ศาสนายูดาย หรือ ยิวก็เช่นกัน ที่ไม่ทานหมู มีหลายศาสนาเลย ก็ไม่ทานหมู ทางยูดาย หรือ ยิว อาหารที่ อนุมัติเรียกว่า "โคเชอร์" (กินได้) ไม่อนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า "เทรฟาห์" (สิ่งต้องห้าม)



ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่า บทเลวิกิโต11.7-8 ".. หมูเพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้าอย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซากของมันมันเป็นมลทินแก่เจ้า" ชาวยิวที่เคร่งครัดทั้งหลายก็ยังคงปฏิบัติเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด



สิ่งที่ศาสนาอิสลามห้ามทานคือ


1.) เนื้อหมู และผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ทำมาจากตัวหมู เช่น เจลาตินหากทำมาจากหมู มุสลิมก็ถือว่าเป็นที่ฮะรอม (ต้องห้าม) แต่ยิวจะถือว่าเป็นโคเชอร์(กินได้)

2.) เลือด ไม่ว่าจะนำไปต้มหรือไปทำพาสเจอร์ไรส์หรือไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็แล้วแต่ถือเป็นที่ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม

3.) เนื้อของสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายโดยไม่รู้สาเหตุ

4.) เนื้อของสัตว์ที่ตกจากที่สูงตาย ถูกทุบ และถูกรัดคอ

5.) เนื้อของสัตว์ที่เชือดโดยไม่กล่าวนามของพระเจ้า เหตุผลก็เพราะสัตว์มีชีวิตและชีวิตของสัตว์ก็เป็นของพระเจ้า ถ้าจะกินเนื้อของมันก็ต้องขออนุญาตจากพระเจ้าเพื่อเอาชีวิตของมันเสียก่อน

6.) ของเซ่นไหว้ทุกชนิด

7.) สัตว์ที่ใช้กรงเล็บและเขี้ยวจับหรือฉีกเหยื่อกินเป็นอาหาร เช่น นกอินทรี งู เสือ หมี และอื่นๆ

8.) สิ่งมึนเมาทุกประเภท โดยเฉพาะสุรา


"ไก่" ก็เช่นกัน หลายคนหวังดี ซื้อไก่ทั้งหลาย มาฝากเพื่อนมุสลิม เพราะคิดว่าทานได้ ความจริงทานไม่ได้ !! เพราะไม่ได้รับการเชือดโดยการกล่ามนามของพระเจ้าโดยมุสลิม อีกทั้งขั้นตอนของการประกอบอาหาร 

ส่วนไก่ทอดตามห้างใหญ่ เช่น KFC ก็ทานไม่ได้ หลายคนอาจจะบอกว่า เป็นไก่จากโรงงานเชือดไก่ CP ที่ได้รับเครื่องหมาย "HALAL" แต่ขั้นตอนการปรุงการประกอบอาหารขึ้นมา... และตอนนี้เขาก้ไม่ได้ขอฮะลาลแล้ว


อาหารอิสลามจะแตกต่างตรงที่มาของส่วนประกอบอาหาร ต้องเป็นสิ่งที่อนุมัติ ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปก็ต้องมีเครื่องหมาย HALAL ที่ออกโดย สำนักงานมาตรฐานฮาลาลของไทย  หรือมีตรา HALAL ของต่างประเทศ  สัตว์ที่ใช้รับประทาน ต้องเชือดด้วยมุสลิมด้วยการกล่าวนามพระเจ้า และต้องปรุงด้วยมุสลิม แต่ถ้าเพื่อนๆมาช่วยกันทำอาหารที่บ้านที่พัก ด้วยส่วนประกอบที่อนุมัติ ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าออกไปทานตามร้านค้าที่ไม่ใช่มุสลิมทำ ทางที่ดีก็หาอย่างอื่นทาน เนื่องจากว่าอาจจะมีส่วนประกอบที่ไม่ถูกต้องมาปรุงอาหาร และเครื่องใช้ต่างๆก็ปะปนกันไม่ได้ทำความสะอาด 



ส่วนคำถามที่ว่า ...ทำไมถึงต้องห้ามเลี้ยงสุนัข


สรุปสั้นๆง่ายๆ เพราะเป็นบทบัญญัติของศาสนาทั้งไม่ทานหมู และ เรื่องเลี้ยงสุนัข


อิสลามนั้น ไม่ได้ทำตามอำเภอใจ ไม่ใช่คิดว่าน่าเอาเอง
ถ้านับถือก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งใช้/และห้ามที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าค่ะ


เลี้ยงได้ มิใช่ห้ามเลี้ยง แต่เพราะต้องล้างน้ำถึง7 หน หากภาชนะทั้งหลายเปื้อนน้ำลายสุนัข อีกทั้งการเลี้ยงไว้ดูเล่น เป็นเพื่อนเล่น เกิดการเลี้ยงเพื่ออำนาจบารมี ประกวดประชัน....ไม่ได้เอาไว้เลี้ยงหรือเฝ้าสัตว์ เขาก็ถูกตัดผลบุญไปก็เท่านั้นเอง


ส่วนหลักฐานทางศาสนาในข้อนี้คือ หะดีษ (คำพูดและการกระทำของท่านร่อซูลลุ้ลลอฮฺ ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า "บุคคลใดที่เลี้ยงสุนัข โดยไม่ใช่สุนัข (เลี้ยงไว้เพื่อ) เฝ้าปศุสัตว์, สุนัขล่าสัตว์ หรือสุนัขเฝ้าสวน เช่นนั้นผลบุญของเขาจะถูกบั่นทอนลงทุกวันๆ ละหนึ่งกีรอน" บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 3077, มุสลิม หะดีษที่ 2948 และติรมิซีย์ หะดีษที่ 1409


"บ้าน (มุสลิม) ใดที่ผูกสุนัขไว้ในบ้านของพวกเขา แน่นอนยิ่งการงาน (อะมัล) ของพวกเขาจะถูกบั่นทอนลงทุกวันๆ ละหนึ่งกีรอน ยกเว้น (มุสลิมที่เลี้ยงสุนัขไว้นอกบ้านเพื่อ) ล่าสัตว์, สุนัขเฝ้าสวน หรือสุนัขเฝ้าแกะ(แพะ)" บันทึกโดยติรมิซีย์ หะดีษที่ 1410, นะสาอีย์ หะดีษที่ 4206



สรุปว่า


1. ไม่เลี้ยงเพราะไม่สะดวกที่จะทำความสะอาดภาชนะหากถูกน้ำลายสุนัขนั่นเอง น้ำดิน 1น้ำ น้ำสะอาด 6 น้ำ ถูกแล้วก็ทำความสะอาดไป แต่ทำความสะอาดบ่อยๆคงไม่สะดวก ถ้ายิ่งอยู่บ้านเป็นในเมืองกรุงเมืองคอนกรีตเช่นนี้ น้ำดินจะหาที่ไหนล่ะคะ มาทำความสะอาด

2. เพราะกลัวถูกตัดผลบุญ เลยไม่เลี้ยงจะดีกว่า ถ้าไม่เกียวกับเลี้ยงเพื่อปศุสัตว์ ^^




เครดิต : annisaa






แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 ตุลาคม 2554 / 01:10

PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 01:15 น. 12
ตอบ คห.4


ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจเหตุผลของการขัดแย้งนั้นหรอกคะ บางทีก็ต่างศาสนิกที่หาเรื่องอิสลาม กลับกัน...บางครั้งอิสลามก็หาเรื่องต่างศาสนิก แต่นั้นก็แล้วแต่เหตุผลส่วนบุคคลของคนที่ก่อกวน ข้าพเจ้ามิบังอาจสรุปความในใจของใครได้

PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 02:18 น. 13
ตอบ คห.5


ไม่มีการบังคับในเรื่องการนับถือศาสนา ดั่งที่อัลลอฮตรัสว่า...


"ไม่มีการบังคับใด (ให้นับถือ) ในศาสนา อิสลาม แน่นอน ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด  ดังนั้นผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อ อัฎ-ฎอฆูต (ซัยตอน) และศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว   โดยไม่มีการขาดใดๆ เกิดขึ้นแก่มัน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้"   (กุรอาน 2:256)


จบประเด็นแรกแล้วนะคะ ...จากเดิมที อิสลาม เปลี่ยนเป็น พุทธ คริส ไม่ว่า ไม่บังคับคะ แล้วแต่ว่าใครจะศรัทธาอะไร

ประเด็นต่อมา เปลี่ยนแล้วบาปไหม?

บาปคะ (สำหรับผู้ศรัทธา)
แต่สำหรับคนที่เปลี่ยน...คงจะไม่บาปแล้วมั่งคะ เพราะเมื่อบุคคลนั้นเปลี่ยน ก็หมายถึง ไม่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ไม่เชื่อแล้วว่าบาป


ทีนี้...ท่านถามว่า ทำไมถึงห้ามเปลี่ยน (สำหรับผู้ศรัทธา)?

"และ ผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน" (กุรอาน 3:85)


"...และ ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล" (อัลบะเกาะเราะห์ 2 : 217)

"ผู้ ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว(เขาจะได้รับความ กริ้วจากอัลลอฮ์) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่าง มหันต์" (กุรอาน 6:106)


เพราะศรัทธาในอัลลอฮฺ ศรัทธาในคัมภีร์อัล-กุรอาน มุสลิมจึงเชื่อ/ศรัทธาว่าหากเปลี่ยนศาสนาแล้ว นั้นหมายถึงพวกเขาหลงจากทางนำ และผลตอบแทนของอัลลอฮฺในวันตัดสินนั้นสาหัสยิ่งนัก

มุสลิมที่ศรัทธาในอัลลอฮุ์และเชื่อในอิสลามอย่างแท้จริงจะให้ความสำคัญกับโลกหน้า (อาคีเราะห์ มากกว่าโลกนี้  (ดุนยา) เพราะเป็นโลกแห่งการตอบแทน  เป็นโลกที่จีรัง  ยั่งยืน



มันเป็นเพราะอะไร (ไม่อยากได้คำตอบแบบว่า "พระเจ้า/ท่านนบีฯ บัญญัติบัญญัติมาแบบนี้") อยากได้เหตุผลที่มันเป็นเหตุผลจริงๆ เพราะทุกอย่างมันย่อมมีที่มาจริงมั้ย


แต่จากคำถามของท่าน ข้าพเจ้าไม่แน่ใจเลยว่าตอบได้ตรงประเด็นหรือเปล่า เอาแต่เป็นว่า...ถ้าท่านยังค้างในประเด็นนี้อยู่ ก็แวะมาถามใหม่ได้ หรือถ้าคิดว่าเป็นการปั่นกระทู้ก็เชิญหลังไมค์ได้ตลอดเวลาเลยนะคะ ข้าพเจ้ายินดีตอบใหม่ จะได้อาศัยช่วงนี้แว๊บไปหาข้อมูลเพิ่มด้วย



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 ตุลาคม 2554 / 02:19

PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 02:38 น. 14
ตอบ คห.6 คะ




รอซูล (ศาสดา) คือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบี และอัลเลาะห์ได้ทรงเลือกเฟ้นเลื่อนขึ้นให้รับตำแหน่งเป็นรอซูล เป็นผู้แทนของอัลเลาะห์ ได้รับ วาฮยู (โองการจากอัลเลาะห์) มาสู่เขา โดยให้เผยแผ่ประกาศศาสนาแก่มวลมนุษย์ทั้งหลาย มีหน้าที่แนะนำสั่งสอนมนุษย์ ให้ประกอบแต่ความดี และละเว้นความชั่ว และรอซูลจะแจ้งให้มนุษย์รู้ถึงผลตอบแทนที่จะได้รับจากการทำความดี และผลสนองที่จะลงโทษแก่ผู้กระทำความชั่ว เฉพาะที่ถูกใช้ให้นำออกไปเผยแผ่มีจำนวน ประมาณ 300 กว่าท่าน แต่ที่ มุสลิมทุกคนต้องรู้จัก ศึกษาประวัติของท่าน มี 25 ท่าน ด้วยกันค่ะ เรียงลำดับตามช่วงเวลา ดังนี้

1. อาดัม(อ.ล.)
2. อิดริส
3. นุฮ์
4. ฮูด
5. ศอและฮ์
6. อิบรอฮีม
7. อิสมาอีล
8. ลูฏ
9. อิสฮัก
10. ยะโกบ
11.ยุโสบ
12.อัยโยบ
13.ซุอีบ
14.มูซา
15.ฮารูน
16.ซุลกิบลี่
17.ดาวูด
18.สุไลมาน
19.อิลยาส
20.อัลยาชะอ์
21.ยูนุส
22.ซะการียา
23.ยะฮ์ยา
24.อีซา
25.มูฮัมมัด(ซ.ล.)


ลักษณะที่สำคัญของ รอซูล มี 4 ประการ คือ
1. ศิดกุน คือ วาจาสัตย์ ไม่พูดเท็จ
2. อะมานะฮ์ คือ ไว้วางใจได้ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำความชั่ว ฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลเลาะห์
3. ตั๊บลีฆ คือ นำศาสนา ออกเผยแพร่ โดยทั่วถึง และไม่ปิดบังอำพราง
4. ฟาตอนะฮ์ คือ เฉลียวฉลาด ทันคน ไม่โง่เขลา

สำหรับ ในบรรดา รอซูล ทั้ง 25 ท่านนั้น ก็ มี 5 ท่านได้รับการขนานนาม ว่า "อูลุ้ลอัสมิ" หมายถึง "ผู้มีความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยว" เรียงตามลำดับความสำคัญคือ
1. ท่านนบีมูฮัมหมัด ซ็อลลัลลอฮ์ฮูอะฮิสลาม (ขออัลลอฮฺทรงประสาทพรแด่ท่านและวงศ์วานของท่าน)
2. ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยอิสลาม
3. ท่านนบีมูซา อะลัยอิสลาม
4. ท่านนบีอีซา อะลัยอิสลาม
5. ท่านนบีนูฮ์ อะลัยอิสลาม


หลังจากนบีมุฮัมมัด(ศ) วะฟาต (เสียชีวิต) ก็มีคอลีฟะฮ์ 4 คนที่สืบทอดต่อๆกันมาคือ

1. ท่านอบูบักร
2. ท่านอุมัร
3. ท่านอุษมาน
4. ท่านอะลี





แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 ตุลาคม 2554 / 02:38
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 18 ตุลาคม 2554 / 02:40

PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 02:48 น. 15
ส่วนคำถามอื่นๆ ข้าพเจ้าขออนุญาติตอบพรุ่งนี้นะคะ

คืนนี้จึงขอลาด้วยบทกลอนน่ารักๆ ...

"ผู้หญิง" ถูกสร้างมาจากซี่โครงของผู้ชาย
ไม่ใช่ศรีษะของเขา...เพื่อที่จะ
เหนือกว่า
ไม่ใช่เท้าของเขา...เพื่อจะถูกเ
หยียบย่ำ
แต่มาจากด้านข้างของเขา...เพื่อ
ที่จะเท่าเทียม
ไกล้แขนของเขา...เพื่อจะถูกปกป้
อง
... และชิดใจของเขา...เพื่อที่จะถูก
รัก ..^__^


และหากสังเกตกันดีๆ บทกลอนข้างต้นได้ตอบข้อสงสัยว่ามนุษย์มาจากไหน ถูกสร้างมาจากอะไร และจงไตรตรองก่อนการขีดเขียนทุกอย่าง เพราะแท้จริง แม้แต่ผงธุลีก็ยังถูกสอบสวน (ประโยคหลังไว้เตือนตัวเอง แฮะๆ)


คืนนี้ฝันดี ราตรีสวัสดิ์กันนะทุกคน (May Allah bless you :)...)





PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
โอโฮะ 18 ต.ค. 54 เวลา 11:47 น. 16

อิสลามนี่โหดจริงๆ นะ เคยเข้าไปดูเว็บนึง ตัดมือ ตัดแขน โอ้ พระเจ้า ทำไมโหดขนาดนี้
แถมมีปาหินผู้หญิงจนตาย น่าสงสาร ห้ามเอาศาสนาอื่นไปเผยแพร่ด้วย ไม่งั้นตาย แล้วถ้าเป็นเกย์จะมีคนกำจัด แล้วก็แขวนคอ ดูแล้วโหดมาก

อันนี้คือเราเห็นจากเว็บนึงที่เขารวบรวมมานะ

เราว่าถึงใครจะรุกราน เราก็ควรมีเมตตาต่อเขา เพราะถึงเขารุกรานแล้วเค้าจะทำอะไรเราได้

เรามีเพื่อนอิสลามผู้ชายเหมือนกันนิสัยดี แต่ผู้หญิงนี่เค้าจะทำตัวแปลกแยกออกมาหน่อย นั่งแยกออกมา บางทีก็ไม่กล้าคุยเทาไร กลัวอ่ะ

คือลึกๆ แล้วรู้สึกว่าน่ากลัว แต่อาหารอิสลามอร่อย สะอาดด้วย อันนี้ขอบอก แต่เคยเห็นเค้าฆ่าแพะ บังเอิญดันขับรถเข้าไปเห็น เวรกรรม น่าสงสาร ติดตามาก แทบอยากจะเข้าไปซื้อไปปล่อย

1
จักรี บุญยพิมพะ 19 พ.ค. 60 เวลา 22:00 น. 16-1

คุณกินไก่ย่างไม้นึง คุณแน่ใจใช่มั้ยว่าในนั้นมีไก่ชีวิตเดียว

ถ้าการป้องกันการรุกรานคือผิด ประเทศพุทธมีทหารไปรบเพื่อให้ตายกันทำไม ใช้เป่ายิ้งฉุบดีมั้ย


เค้าลงโทษเฉพาะคนชั่วครับ

0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 14:25 น. 17

แวะมาตอบ คห.16 ก่อน

 

 

 

 

เพราะทศันคติของท่าที่มีต่ออิสลาม มันทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจ...

 

 

...ประเด็นแรก

 

ตัดมือ คือ บทลงโทษว่าด้วยเรื่องขโมย อิสลามไม่ตัดมือใครเพรียวๆ เพราะความสนุก หรือ ความสะใจแต่ประการใด ทุกการกระทำ ย่อมมีเหตุมีผลเสมอ

 

 

การขโมยในอิสลามถือเป็นบาปใหญ่ ดั่งที่อัลกุรอานระบุไว้

 

"ขโมยผู้ชายและขโมยผู้หญิงจงตัดมือของเขาทั้งสองคนเพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่ทั้งสองนั้นได้แสวงหาไว้ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างในการลงโทษจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพทรงปรีชาญาณ แล้วผู้ใดสารภาพผิดหลังจากการอธรรมของเขาและได้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ" (อัล-มาอิดะฮฺ / 38 - 39)

 

ตีความ... เมื่อมีคนขโมย ทำไมอัลลอฮจึงสั่งให้ "ตัดมือ"

เพราะอัลลอฮฺทรงคุ้มครองและรักษาทรัพย์สมบัติของปวงมนุษย์โดยการบัญญัติให้ตัดมือผู้ที่ลักขโมย เพราะแท้จริงมือที่ทรยศเปรียบเสมือนอวัยวะที่เป็นโรค ซึ่งจำเป็นจะต้องตัดทิ้งเพื่อให้อวัยวะส่วนอื่นที่เหลือในร่างกายปลอดภัย และในการตัดมือเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้ที่คิดจะลักขโมยทรัพย์สินของบุคคลอื่น และเป็นการซักฟอกผู้ที่ลักขโมยจากบาป และยังเป็นรากฐานอันสำคัญยิ่งที่นำไปสู่ความปลอดภัยและความสันติสุขขึ้นในสังคมและเป็นการปกปักษ์รักษาทรัพย์สมบัติของมวลประชาชาติ


และกว่าขโมยคนหนึ่งจะถูกตัดมือ ต้องเงื่อนไขดังนี้...

 

1. ผู้ลักขโมยจะต้องบรรลุศาสนภาวะ  สมัครใจ  เป็นมุสลิม  หรือเป็นอิสลาม 
  

2. จะต้องเป็นทรัพย์สินที่มีค่าของผู้ที่ถูกลักขโมย  ดังนั้นจึงไม่มีการตัดมือในกรณีสิ่งที่ถูกขโมยเป็นของละเล่นหรือสุราอย่างนี้เป็นต้น

 

3. ทรัพย์สินของที่ถูกผู้ลักขโมยจะต้องครบพิกัดตามที่ศาสนากำหนด  หากเป็นทองคำต้องมีน้ำหนัก ¼ ดีนารขึ้นไป  หรือทรัพย์สินก็ต้องมีมูลค่าของมัน ¼ ดีนารขึ้นไป 

 

4. การเอาทรัพย์สินนั้นไปโดยวิธีการแบบลับ  หากไม่ใช่กรณีเช่นนั้นก็ไม่ต้องตัดมือ  เช่น  การกรรโชกทรัพย์  การข่มขู่บังคับ  และการปล้นสะดม  ฯลฯ  ในกรณีนี้ให้ใช้วิธีตักเตือนลงโทษ

 

5. ขโมยทรัพย์สินจากที่ๆ เจ้าของเก็บรักษาไว้อย่างมิดชิด…

การเก็บรักษา (อัล-หัรซฺ)  หมายถึง  การเก็บรักษาทรัพย์สินเอาไว้ด้วยกับวิธีการที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ  การเก็บรักษาเงินทองโดยการจัดเก็บไว้ในบ้าน  ธนาคาร  ร้านค้าสหกรณ์  และสำหรับแพะจัดให้อยู่ในคอกหรือฟาร์ม  ลักษณะนี้เป็นต้น

 

6. ปราศจากข้อคลุมเครือจากผู้ขโมย  ดังนั้นจึงไม่ตัดมือของผู้ขโมยในกรณีที่เขาขโมยทรัพย์ของพ่อหรือบรรพบุรุษที่สูงขึ้นไป  ผู้ที่ขโมยทรัพย์ของลูกหรือผู้สืบสันดานลงมา  และไม่ตัดมือกรณีขโมยทรัพย์กันนระหว่างสามีกับภรรยา  และทำนองเดียวกันการขโมยเนื่องจากความอดอยากหิวโหย

 

7. ผู้ที่ถูกขโมยเรียกร้องทรัพย์สินของเขาคืน

 

8. มีหลักฐานยืนยันถึงการลักขโมย  ด้วยกับประการหนึ่งประการใดจากสองประการต่อไปนี้

 

 -การรับสารภาพว่าเป็นผู้ขโมยด้วยตัวเขาเองสองครั้ง

 -มีพยานผู้ชายที่มีความเที่ยงธรรมสองคนมายืนยันว่าเขาเป็นผู้ขโมย

 

ดังนั้นสรุปได้ว่า...อิสลามไม่ได้โหด... เพียงแต่นั้นเป็นบัญญัติว่าด้วยการลงโทษผู้ทำผิด อาจจะดูร้ายแรงและรับไม่ได้สำหรับต่างศาสนิก แต่ก็ต้องยอมรับ...ว่าบทบัญญัติเหล่านั้นทำให้มุสลิม (ผู้ศรัทธา) กลัว และ ไม่กล้าฝ่าฝืน เป็นเหตุให้เกิดอาชญากรรมน้อยลง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...สำหรับมุสลิมที่ได้กระทำผิดไปแล้ว เมื่อเขาสำนึกและวิงวอนขออภัยโทษจากอัลลอฮ เขาก็จะพ้นจากบทลงโทษในปรโลก แท้จริง "อัลลอฮทรงกรุณาปราณี และทรงเมตตาเสมอ"


ลองอ่านฮาดีษบทนี้ดู...


ชายคนหนึ่งเข้าไปหาท่านรอซู 

ท่านรอซูลตอบว่า "มันจะถูกบันทึก"
ชายผู้นั้นกล่าวตอบว่า "แล้วถ้าฉันกลับเนื้อกลับตัว"
ท่านรอซูลตอบว่า "มันจะถูกลบออกไป"
ชายผู้นั้นกล่าวอีกว่า "แล้วถ้าฉันกลับไปทำมันอีก"
ท่านรอซูลก็ตอบว่า "มันจะถูกบันทึก"
ชายผู้นั้นกล่าวอีกว่า "แล้วถ้าหากฉันกลับเนื้อกลับตัว"
ท่านรอซูลตอบว่า "มันจะถูกลบออกไป"
ชายผู้นั้นกล่าวถามอีกว่า "แล้วถ้าฉันกลับไปทำมันอีก"
ท่านรอซูลตอบว่า "มันจะถูกบันทึก"
ชายผู้นั้นกล่าวถามว่า "แล้วถ้าหากฉันกลับเนื้อกลับตัว"
ท่านรอซููลก็ยังคงตอบว่า "มันจะถูกลบออกไป"
ชายอาหรับชนบทจึงถามว่า "จนถึงเมื่อไหร่ที่มันยังจะถูกลบ"
ท่านรอซูลจึงกล่าวว่า "แท้จริงอัลลอฮฺ ไม่เบื่อที่จะให้อภัยบ่าวของพระองค์ จนกว่าเขาจะเบื่อการขออภัยโทษจากอัลลอฮ"

รายงานความหมายโดย อัลบัยฮะกีย์


          ทุกความผิด จะได้รับการอภัย หากคนทำผิดสำนึกและขออภัยต่อพระเจ้า...การฆ่าคนยังถูกอภัย นับประสาอะไรกับคดีลักขโมย (คำอธิบายข้างต้น คงพิสูจน์ได้แล้วว่าอิสลามไม่ได้โหดแต่ประการใด)

 

ประเด็นต่อมา ตัดแขนนี้... ไม่ปรากฎนะคะ บทลงโทษในอิสลามไม่มีตัดแขน นอกจากตัดข้อมือ คงจะเป็นความเข้าใจผิด



อีกประเด็น ปาหินผู้หญิงจนตาย ...เป็นบทลงโทษคดีผิดประเวณีของหญิงม่ายหรือหญิงที่มีสามีแต่ลักลอบมีชู้


การผิดประเวณีถือว่าเป็นอาชญากรรมต่อสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง  และขัดต่อระบบที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้มาใช้ชีวิตในโลกนี้  ตามวิถีทางที่พระองค์ต้องการ  ดังนั้นการห้ามมิให้ผิดประเวณี (ซีนา)  นั้นมีเหตุผลมากมาย  ดังเช่น  เพื่อเป็นการรักษาสายเลือดสกุลของมนุษย์  ถ้ามนุษย์มั่วสุมกันในในเรื่องเพศ  ใครจะไปร่วมหลับนอนกับใครก็ได้ จะทำให้สังคมเสื่อมโทรม  ทำลายระบบของครอบครัว ทำลายคู่สามีภรรยา และ บรรดาลูก ๆ  จึงนำไปสู่การทำให้สังคมทั่วไปในโลกต้องพบความหายนะเหมือนดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


การผิดประเวณี เรียกในภาษาอาหรับว่า อัซ-ซินา หมายถึง การสมสู่ระหว่างชายหญิงที่มิใช่คู่สมรสของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหน้าหรือทวารหลังก็ตาม 

การผิดประเวณีถือเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาบาปใหญ่ (กะบาอิรฺ) รองจากการตกศาสนา (กุฟฺร์) การตั้งภาคีและการฆาตกรรม พระองค์อัลลอฮฺ ทรงบัญญัติห้ามการผิดประเวณีเอาไว้ใน อัลกุรฺอานว่า

"และสูเจ้าทั้งหลายอย่าเข้าใกล้การผิดประเวณี แท้จริงการผิดประเวณีคือความอนาจารและเป็นหนทางอันชั่วช้าเลวทราม"  (สูเราะฮฺ อัล-อิสรออฺ อายะฮฺที่ 32)


ส่วนหนึ่งจากวิทยปัญญาในการบัญญัติห้ามการผิดประเวณี คือการดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของสังคมมนุษย์, เป็นการรักษาเกียรติยศของผู้ศรัทธา และพิทักษ์ไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีของเชื้อสายโลหิตตลอดจนเป็นการป้องกันผู้ศรัทธาให้ห่างไกลจากความสำส่อนทางเพศอันเป็นสาเหตุของโรคร้ายที่รุนแรงเช่น เอดส์ เป็นต้น

ผู้กระทำผิดในคดีลักษณะอาญาว่าด้วยการผิดประเวณีมี 2 ลักษณะคือ

1.ผู้ที่เป็นมุฮฺซอน ซึ่งมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

-บรรลุศาสนภาวะและมีสติสัมปชัญญะ

-เป็นเสรีชน

มีการกระทำผิดโดยสมัครใจ มิได้ถูกบังคับ

ผ่านการสมรสที่ถูกต้องและมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นจากการสมรสนั้น

2. ผู้ที่มิใช่มุฮฺซอน คือผู้ที่ยังไม่เคยสมรสมาก่อน

บทลงโทษในคดีลักษณะอาญาว่าด้วยการผิดประเวณี

- หากผู้กระทำผิดเป็นผู้ที่มิใช่มุฮฺซอน คือผู้ที่ยังไม่เคยสมรสมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะต้องถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยน (โบย) 100 ที และเนรเทศเป็นเวลา 1 ปี

- หากผู้กระทำผิดเป็นมุฮฺซอน คือผ่านการสมรสที่ถูกต้องมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะต้องถูกลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจนตาย

หลักฐานว่าด้วยการเฆี่ยน (โบย) 100 ที สำหรับผู้กระทำผิดประเวณีที่ของหญิงที่ยังไม่สมรสคือ อัลกุรฺอานที่ระบุว่า

(ซูเราะห์อันนูร อายะที่ 2)

 

หลักฐานว่าด้วยการขว้างก้อนหินจนตายในกรณีของผู้กระทำผิดที่เป็นมุฮฺซอนคือ การกระทำที่มีรายงานมาจากท่านนบี และอายะฮฺอัลกุรฺอานที่ถูกยกเลิกการอ่าน แต่ยังคงใช้ข้อตัดสินจากอายะฮฺนั้น คืออายะฮฺที่ว่า

"ชายที่แต่งงานแล้วและหญิงที่แต่งงานแล้ว เมื่อทั้งสองได้กระทำผิดประเวณี พวกท่านจงขว้างบุคคลทั้งสองโดยเด็ดขาด (ถึงตาย) อันเป็นการลงทัณฑ์จากพระองค์อัลลอฮฺ และพระองค์อัลลอฮฺทรงเกียรติยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง"


อธิบายเพิ่ม... อิสลามให้ความสำคัญในเรื่องครอบครัวเป็นอย่างมาก เรื่องผิดเพศจึงถือเป็นบาปใหญ่และการลงโทษนั้นหนักหนา (ในปรโลก/วันพิพากษา) เมื่อมีเกิดการผิดประเวณีขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของพ่อ/ผู้ปกครองตลอดจนผู้นำทางศาสนาที่จะต้องลงโทษผู้กระทำผิด ทั้งนี้ก็เพื่อผู้กระทำผิดเอง ที่จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากไฟนรกในวันพิพากษา (เมื่อทำผิด
>> ลงโทษ (บนโลก) >> บริสุทธิ์เหมือนเดิม (เพราะถูกชะล้างแล้ว) >> สวนสวรรค์)



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 ตุลาคม 2554 / 15:23

PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
can u see la 18 ต.ค. 54 เวลา 15:34 น. 18

อยากให้ จขกท เเสดงความเห็น เกี่ยวกับความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หน่อยได้มั้ยครับ
ขอบคุณครับ

0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 16:05 น. 19
ต่อ...



ห้ามเอาศาสนาอื่นไปเผยแพร่ด้วย ไม่งั้นตาย...


ถึงเอาไปเผยแพร่ก็ไม่ตายหรอกคะ แต่โดยปกติ...คงไม่มีชาวพุทธเผยแพร่ศาสนาอิสลาม คริสเผยแพร่พุทธ แล้วอิสลามไปเผยแพร่คริสหรอก ใช่ไหม?

ให้คนต่างศาสนิกไปเผยแพร่อิสลาม ข้อมูลก็ไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนกับที่อิสลามไปเผยแพร่พุทธ หรือถ้าทำกันจริงก็คงเผยแพร่แบบถูกๆ ผิดๆ ทีนี้ศาสนาเสียหายหมด ...เพราะความคิดอุตริแท้ๆ


แต่ที่สำคัญอย่างหนึ่ง...หากมีบุคคลหนึ่งคิดเผยแพร่ศาสนา ย่อมหมายความว่า เขาศรัทธาต่อสิ่งที่เขาจะเผยแพร่

แล้วถ้ามุสลิมคิดไปเผยแพร่พุทธ นั้นหมายถึง มุสลิมคนนั้นมีความเชื่อเรื่องศาสนาพุทธ แต่อิสลามห้ามเชื่อ เคารพ สิ่งอื่นใดนอกจากอัลลอฮ เพราะจะกลายเป็นตกศาสนา (ข้าพเจ้าว่าท่านคงเข้าใจสลับกับประเด็นตรงนี้ละมั่ง)



ประเด็นสุดท้าย ...เกย์

อืม...ประเด็นนี้น่าสนใจ เป็นเกย์ทำไมผิด และอิสลามห้าม?

อันที่จริง...ไม่ว่าจะอิสลามหรือพุทธ คริส ฮินดู การเป็นเกย์ก็ถือเป็นการผิดเพศกันทั้งหมด แต่อิสลามบทลงโทษจะร้ายแรงกว่า ...ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?


เพราะจุดประสงค์ในการสร้างมนุษย์ ก็เพื่อสร้างสังคมมุตตากีน เพื่อสืบเชื่อสายซอและฮฺ/ซอลีฮะฮฺ โดยอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้สร้างมนุษย์คนแรก (อดัม) จากดิน และได้สร้างฮาวาจากซี่โครงนบีอดัม (ตอบคำถาม...ทำไมชายคู่กับหญิง) เพื่อให้ทั้งสองสมรสและผลิตทายาทเพื่อสร้างครอบครัวที่ดี จนขยายกลายเป็นสังคมที่น่าอยู่

ดังนั้น...เกย์ จึงเป็นการประท้วงสิ่งที่อัลลอฮฺสร้าง ไม่พอใจในสิ่งที่อัลลอฮฺให้ และชายรักชายก็ขัดกับพระประสงค์ของพระองค์ที่ต้องการให้คู่รัก/สมรสผลิตทายาท จึงถือว่าผิด


แต่ในอิสลามไม่ปรากฏบทลงโทษเกย์อย่างชัดเจน แต่เกย์ก็เปรียบเสมือนคนที่ตายไปแล้วเนื่องจากพวกเขาหลงผิด และ...พระองค์ก็ได้สาปแช่งพวกเขา ในปรโลก...พวกเขาจะอยู่ในนรกตลอดกาล



ส่งท้ายด้วย...เราว่าถึงใครจะรุกราน เราก็ควรมีเมตตาต่อเขา เพราะถึงเขารุกรานแล้วเค้าจะทำอะไรเราได้


ต่างศาสนาก็ต่างคำสอน และอิสลามไม่สอนให้นิ่งดูดาย หากถูกรุกราน ก็จงลุกขึ้นต่อสู้ โดยเฉพาะถูกรุกรานทางศาสนา


สาวอิสลามไม่ได้ไม่น่าคบ ลองท่านเปิดใจให้กว้าง และเรียนรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง แล้วท่านจะรู้จักกับมิตรภาพที่แสนบริสุทธิ์ เพราะมุสลิมส่วนใหญ่นั้น "จริงใจ" เพราะเรายึดมั่นต่อคำสอน และศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และพระองค์ก็สอนให้เป็นมิตรกับทุกคน (ไม่แบ่งแยก/ฐานันดร/เชื่อชาติ/สีผิว/ศาสนา) เพราะการเป็นมิตร คือ อีบาดัตอย่างหนึ่ง




PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 16:14 น. 20
ขอบคุณ คห.18 ที่เปิดประเด็นนี้


แต่สงคราม (หย่อมๆ) ในสามจังหวัดภาคใต้ การแบ่งแยกดินแดนเพื่อกอบกู้รัฐอิสลามคืน เป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ประเด็นหลักจริงๆ ก็ "การเมืองเน่าๆ" ของพรรคไม่กินเส้นกันนั้นแหละ แต่อย่าให้พูด เดี่ยวกระทู้จะถูกลบ WM ส่องอยู่นะท่านนะ


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 ตุลาคม 2554 / 16:55

PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
soamm mkorea 18 ต.ค. 54 เวลา 16:51 น. 21
 เห็นรายชื่อพวกโจรที่ 3 จังหวัดไหมคะ ? อิสลามทั้งนั้นเลย
เค้าสอนมาไม่ให้ฆ่าคน ให้รักใคร่กัน.. ทำไมไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ ?
0
RaiNe 18 ต.ค. 54 เวลา 16:51 น. 22

1.ท่านนบีมูฮัมมัดทำไมถึงเป็นนบีท่านสุดท้ายแล้วไม่มีใครทำหน้าที่ต่อจากท่านเลยหรือว่ามีตำแหน่งอย่างอื่นขึ้นมาแทน?
2.ตอนนี้ศาสนาอิสลามมีใครเป็นผู้นำสูงสุดอย่างเช่นศาสนาคริสต์จะมีพระสันตะปาปาเป็นประมุขสูงสุด?
3.ต้องละหมาด5ครั้งใน1วันแล้วถ้าชาวมุสลิมทำงานอยู่ในบริษัทจะสามารถละหมาดได้ที่ไหนบ้างหรือว่าละหมาดได้ที่มัสยิดเท่านั้น?
4.เหมือนได้ยินว่าหากละหมาดตามเวลาที่กำหนดไม่ทันจะสามารถมาละหมาดที่มัสยิดหลังจากนั้นได้ ถ้าไม่ได้ละหมาด2ครั้งจะต้องไปมัสยิดละหมาด2ครั้งติดกันหรือว่าละหมาดเพียงครั้งเดียวพอ?
อยากรู้มานานแต่ไม่มีเพื่อเป็นมุสลิมเลยไม่รู้จะถามใคร ถ้าคำพูดไม่สุภาพไปหรือยังไงก็ขอโทษนะ

0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 17:00 น. 23
ตอบ คห.7 (ขอโทษที่ลัดคิ้ว :)...)




ถ้าใครบอกว่าศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่อนุญาตมีภรรยาได้เยอะที่สุด  ผมก็จะขอเถียงว่าอิสลามเป็นศาสนาที่อนุญาตให้มีภรรยาได้น้อยที่สุดต่างหากล่ะครับ!  งงใช่ไหมล่ะครับ?  ยังไม่พอแค่นั้นครับ ผมจะให้คุณงงเพิ่มเข้าไปอีก.. เนื่องจากสังคมปัจจุบันมองว่าอิสลามเป็นศาสนาที่กดขี่สตรีเพศ ผมก็จะขอเถียงว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ยกฐานะของสตรีต่างหากล่ะครับ! งงว่าทำไมมันถึงกลับตะละปัดอย่างนี้ใช่ไหมครับ? สาเหตุที่คุณงงก็เพราะคุณไม่เคยดูคัมภีร์หรือบัญญัติศาสนาของคุณเลย ส่วนอีกประการคือคุณไม่เคยใคร่ครวญถึงอดีตเลย นอกจากมีประวัติศาสตร์ไว้เป็นเพียงตำนานเล่าขานหรือไว้เรียนเพื่อให้สอบผ่านก็เท่านั้น

 
       ประการแรกเรามาดูเรื่องบทบัญญัติของคัมภีร์กัน..  คัมภีร์อัล-กุรอานได้บัญญัติเรื่องแต่งงานไว้ว่า “หากพวกเจ้าไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่บรรดา(สตรี)กำพร้าได้ ก็จงแต่งงานกับสตรีที่ดีแก่พวกเจ้า จะสองคน หรือสามคน หรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็จงแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว หรือไม่ก็สตรีที่มือขวาของเจ้าครอบครองอยู่(คือทาสหญิง) นั่นเป็นสิ่งดียิ่งกว่าในการที่พวกเจ้าจะไม่ลำเอียง” (คำแปลบทอัน-นิซาอฺ โองการที่ 3) ดังนั้นคัมภีร์อัล-กุรอานของศาสนาอิสลามจึงเป็นคัมภีร์เดียวนะครับที่มีระบุประโยคที่บอกว่า “จงแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว” ซึ่งประโยคนี้ไม่มีถูกบัญญัติไว้ในคัมภีร์ของศาสนาอื่นเลยซักเล่มเดียว และศาสนาอิสลามได้จำกัดจำนวนของการมีภรรยาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งการจำกัดจำนวนของการมีภรรยานั้นไม่มีในศาสนาอื่นนะครับ นั่นหมายความว่าศาสนาอื่นอนุญาตให้มีภรรยากี่คนก็ได้โดยที่ไม่จำกัดจำนวนไงครับ แต่สังคมเราปัจจุบันลืมข้อนี้ไปซะสนิท มนุษย์เราขี้ลืมจนถึงขั้นลืมประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษตน.. คนไทยในอดีตมีภรรยากันเป็นสิบ ยิ่งมียศศักดิ์สูงก็ยิ่งมีภรรยามาก แต่การมีภรรยาหลายคนของคนในอดีตเขาไม่ได้ให้ความเท่าเทียมแก่บรรดาภรรยา เขาจะยกย่องภรรยาคนแรกมากที่สุด ส่วนคนต่อๆมาจะถือว่าเป็นนางสนมหรือไม่ก็เมียน้อย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ศาสนาอิสลามไม่เห็นด้วย ดังนั้นอิสลามจึงเป็นศาสนาที่มายกเลิกอนารยธรรมเหล่านี้ต่างหากล่ะครับ อิสลามไม่มีเมียหลวงเมียน้อย แต่จะมีกฎข้อบังคับให้สามีให้ความเท่าเทียมกับภรรยาทุกๆคน เราจะไม่เรียกว่าใครเป็นเมียหลวงเมียน้อย แต่จะเรียกเป็นภรรยาคนที่ 1..2..3..4..  นอกจากนั้นแล้วอิสลามก็เป็นศาสนาที่มายกสถานะของสตรี จากในอดีตที่ผู้คนถือว่าสตรีเป็นสินค้า แต่อิสลามได้เข้ามายกสถานะสตรีซึ่งเป็นเพศแม่ ให้ได้ถูกรับการปกป้องคุ้มครองจากสามีและกฎหมายอิสลาม ในขณะที่สังคมยุคปัจจุบันกำลังจะนำอนารยธรรมในอดีตกลับมาใช้คือ เห็นผู้หญิงเป็นสินค้าและมีหน้าที่ไว้บำเรอให้ความสุขแก่ผู้ชาย ไม่ว่าจะปรากฏในรูปของโสเภณี, ดารานักร้อง, หรือนักเต้นโชว์ก็ตาม(ในอดีตกาลก็มีสิ่งเหล่านี้) ซึ่งสังคมเราก็กำลังนำสิ่งต่ำทรามในอดีตกลับมาใช้ใหม่

 

       ประการต่อมาคือเหตุผลของการตั้งกฎบัญญัติ ซึ่งเราก็ทราบแล้วว่าเป็นบัญญัติที่มาจากพระเจ้า   ซึ่งหวังดีและเอื้ออำนวยประโยชน์ให้มนุษย์เสมอ ไม่ใช่มนุษย์ผู้ชายหน้าไหนมาตั้งกฎเอง หรือนบีมุฮัมมัดซึ่งเป็นผู้ชายได้ออกบัญญัติเพื่อเข้าข้างเพศตนเอง(ดังที่คนชอบกล่าวหากัน) แต่กฎระเบียบทั้งปวงมาจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งสร้างมนุษย์มาและรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์อย่างดียิ่ง

 

       ธรรมชาติของผู้ชายนั้น จะมีความชอบหรือพอใจในผู้หญิงหลายคน โดยธรรมชาตินั้นมีความแข็งแรง มีความเป็นผู้นำ ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นเพศที่อ่อนแอ มีความพอใจที่จะอยู่ในการดูแลของผู้ชาย และโดยธรรมชาติแล้วเป็นช้างเท้าหลัง (ถ้าไม่มีเท้าหลัง ช้างก็เดินไม่ได้)

 

       การที่มนุษย์สร้างแนวคิดใหม่ๆ ขึ้นมาว่าผู้หญิงเท่าเทียมกับชายหรือสามารถทำอะไรได้เหมือนผู้ชายนั้น ขัดกับหลักความเป็นจริงทางธรรมชาติของมนุษย์โดยสิ้นเชิง เป็นเพียงการหลอกตัวเองและเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อ.. เราลองคิดตามกันดูว่า..นักวิ่งที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..นักมวยที่เก่งที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..นักแข่งรถที่เก่งที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..นักยกน้ำหนักที่ทำสถิติได้สูงที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..และตกลงเพศชายหรือเพศหญิงครับที่เป็นฝ่ายตั้งท้องและให้นมลูก? ..นี่คือธรรมชาติครับ ผู้หญิงไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนผู้ชาย และผู้ชายก็ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนผู้หญิง

 

       ..ในมุมมองของผู้คนสังคมปัจจุบันนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกล้างสมองให้มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อระบบ“ผัวเดียวเมียเดียว”กันไปหมดแล้วไม่เว้นแม้แต่มุสลิมเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วการกำหนดให้ผู้ชายทุกคนมีภรรยาคนเดียว เป็นสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริงในทางปฏิบัติ เพราะอย่างที่เราทราบกันว่าจำนวนของผู้หญิงบนโลกนั้นมีมากกว่าชาย

 

       ในนิวยอร์ครัฐเดียวมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 1 ล้านคน  ในรัสเซียมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 9 ล้านคน  และในอเมริกานั้นมีสตรีที่หาสามีไม่ได้จำนวนมากกว่า 30 ล้านคน! (เนื่องจากผู้ชายชาวอเมริกันไปเป็นเกย์กันเยอะด้วยส่วนหนึ่ง) ส่วนในอังกฤษสตรีมีมากกว่าชาย 4 ล้านคน  ในเยอรมันมีหญิงมากกว่าชาย 5 ล้านคน  และสำหรับเฉพาะรัสเซียแค่ประเทศเดียวมีสตรี 9 ล้านคนที่ยังหาสามีไม่ได้!  ….เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ถึงความเป็นจริงข้อนี้แล้วยังจะมีคำถามอยู่อีกหรือไม่ว่า “ทำไมไม่ให้ผู้หญิงมีสามีได้ 4 คน บ้าง”!  (นึกภาพดู ถ้าคุณมีสามี 4 คน แล้วในขณะที่คุณท้องอยู่น่ะนะ สามีทั้ง 4 คุณวุ่นแน่นอนครับ)

 

 

 

       เมื่อเราทราบสถิติข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้แล้ว ตกลงจะเลือกแบบไหนดี

ระหว่างให้สตรีที่เป็นโสดได้ไปแต่งงานกับคนที่มีภรรยาแล้ว..? หรือให้สตรีที่เป็นโสดได้เป็นโสดต่อไป หรือไปเป็นโสเภณีไว้รับใช้ในสถานบริการสำหรับสามีที่แอบหนีภรรยามาเที่ยว?

 

       และสำหรับเรื่องสถานขายบริการทางเพศ(ไม่ว่าจะปรากฏในรูปของสถานบันเทิงชนิดใดก็ตาม) นั่นก็คืออีกปัญหาหนึ่งของสังคม บรรดานักเรียกร้องสิทธิสตรี(ที่เกลียดระบบเมีย 4 ของอิสลาม) เขาไม่เคยเล็งเห็นถึงโทษของการบังคับให้ผู้ชายมีภรรยาได้คนเดียว เขาคิดว่าสถานบริการต่างๆทั่วโลกที่ทำกำไรมหาศาลทุกวันนี้ได้ลูกค้ามาจากไหนกันนักหนาล่ะ? ก็สามีพวกคุณทั้งนั้นแหละ! เพราะความพอใจในผู้หญิงหลายคนนั้นเป็นนิสัยโดยธรรมชาติของผู้ชาย ดังนั้นอิสลามจึงป้องกันปัญหาเรื่องความมักมากของผู้ชายไม่ให้ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นอย่างไม่ถูกต้อง จึงให้มีการแต่งงานซะ แล้วสตรีคนนั้นก็ถือว่าเป็นภรรยาของคุณ ซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับการดูแลให้ความรักและความคุ้มครองอย่างดี ..ศาสนาอิสลามได้วางระบบระเบียบไว้เหมาะสมแล้วสำหรับมนุษย์ ทั้งเรื่องการอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่า 1 แต่ไม่เกิน 4  และทั้งกฎหมายอิสลามที่ไม่อนุญาตให้มีสถานบันเทิงซักชนิดเดียว ซึ่งถ้าประเทศไหนรัฐไหนนำกฎนี้ไปใช้ สังคมนั้นก็จะเกิดความสันติสุข(ดังชื่อของศาสนา)

 

       เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา เขาจึงไม่รู้เบื้องลึกเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นบรรทัดฐานกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ได้อุตริตั้งขึ้นมาเองตามอารมณ์เห็นชอบของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นผลดีกับพวกเขาเลย แล้วยังกลับทำให้สังคมเสื่อมทรามไปทั้งระบบ และต้นตอของปัญหาก็คือมาจากสถาบันครอบครัวนั่นเอง เพราะฉะนั้นศาสนาอิสลามจึงสนับสนุนให้มนุษย์มีครอบครัว มีการแต่งงาน และสมควรที่รีบแต่งงานเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือวัยหนุ่มสาว แต่ถ้าเราฝ่าฝืนหรือปฏิเสธกฎข้อนี้ มันก็จะเกิดปัญหาสำหรับวัยรุ่นอย่างที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน



เนื่องจากข้อความดังกล่าวได้ตอบคำถามได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ข้าพเจ้าเลยยกมาแแบบไม่ได้แก้ไข ....


เคดิต : รักนบี เดินตามนบี

http://th-th.facebook.com/notes/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B5-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B5/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-4-%E0%B8%84%E0%B8%99/289955991033160


PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
เติมเต็ม 18 ต.ค. 54 เวลา 17:07 น. 24

รัก จขกท. มากมาย
ดะวะฮฺทางโลกออนไลน์ ที่ไม่ค่อยมีคนมาทำกัน
ในฐานะมุสลีมะห์คนหนึ่ง เอาใจช่วยค่ะ (สู้ๆๆน่ะ^^)

0
LOVE SECRET 18 ต.ค. 54 เวลา 17:29 น. 25
สรุปจาก คห.23


ดังนั้น ที่อิสลามอนุญาติให้ผู้ชายมีภรรยาได้ 4 คน ก็เพื่อป้องกันการแอบไปมีน้อยข้างนอก และช่วยลดภาวะผู้หญิงโสดล้นโลกอีกด้วย


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น... การที่ผู้ชายจะมีภรรยา 4 คน ก็ต้องคำนึงด้วยว่า ตนสามารภให้ความเท่าเทียมต่อภรรยาได้หรือเปล่า ทั้ง...ที่อยู่อาศัย ถ้าภรรยาคนที่ 1 ได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่ คนที่ 2...3...4 ก็ต้องได้อยู่ด้วย หากลำเอียง ก็...บาป บาป และ บาป ดั่งที่ข้าพเจ้าบอกไว้ในทุกๆ คห. ว่า ทุกการกระทำของมนุษย์จะถูกสอบสวนในวันพิพากษา หากตราชั่งฝั่งซ้ายหนักกว่า ก็...นรกละนะ


อีกทั้งปัจจัยยังชีพ เงินเดือน เสื้อผ้า (แม้แต่ร่วมหลับนอน) ชายที่มีภรรยา 4 ก็ยังต้องแบ่งให้เท่าๆ กันทุกคน (ดังนั้น...หากใครไม่มีความสามารถ มีภรรยาคนเดียวดีที่สุด)


ส่วนการแบ่งมรดก มุสลิมทุกคนจะไม่ใช้หลักการตามกฏหมายไทย เพราะเรามีหลักของเราอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับครอบครัวที่สามีมีภรรยา 4 คน



มรดกเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง อิสลามได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นดังกล่าวไม่น้อยไปกว่าบัญญัติอื่น ๆ เพราะเล็งเห็นว่าทรัพย์สินสฤงคารแม้ว่าจะเป็นเป็นเรื่องนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้อีก แต่ในความเป็นจริงประเด็นนี้มีความสำคัญต่อสังคมอย่างยิ่ง มักมีข่าวออกมาเสมอว่าลูกสังหารบิดามารดาตนเอง เพื่อครอบครองมรดก หรือไม่ก็พี่สังหารน้อง หรือน้องสังหารพี่ หรือพี่น้องฆ่ากันเองเพื่อแย่งมรกดก ฉะนั้น ไมว่าอย่างไรก็ตามทรัพย์สินมีความสำคัญไปตามลำดับโดยตัวของมันเอง ดัวยเหตุนี้ อิสลามจึงไดักำหนดหลักการในการแบ่งมรดกไว้แก่สังคม เพื่อป้องกันเหตุการณ์ร้ายที่ไม่คาดคิดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ และตลอดเวลา เพื่อให้หลักการนี้เป็นมาตรฐานสำหรับการแบ่งมรดกต่อไป และเมื่อทุกคนยึดมั่นต่อหลักการของศาสนาความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้น บทความนี้จึงขอนำเสนอหลักการแบ่งมรดตามหลักการของอิสลาม โดยเริ่มต้นจากอัล-กุรอานโองการที่กล่าวถึงเรื่องมรดกดังนี้ว่า

อัลลอฮฺได้ทรงสั่งสูเจ้าเกี่ยวกับลูก ๆ ของสูเจ้าว่า สำหรับลูกชายจะได้รับ (มรดก) เยี่ยงส่วนของลูกหญิงสองคน ถ้ามีลูกสาว (สองคน) หรือเกินสองคน ดังนั้น สองในสามของมรดกเป็นของพวกนาง แต่ถ้าผู้ (รับมรดก) เป็นลูกสาวคนเดียว ครึ่งหนึ่งของ (มรดก) เป็นของนาง สำหรับบิดาและมารดา แต่ละคนจะได้รับมรดกหนึ่งในหก ถ้าเขา (ผู้ตาย) มีบุตร ครั้นถ้าเขาไม่มีบุตร เฉพาะบิดามารดาเท่านั้นเป็นทายาทรับมรดก ดังนั้น หนึ่งในสาม (มรดก) เป็นของมารดา ถ้าเขามีพี่น้อง หนึ่งในหกเป็นของมารดา (ห้าในหกที่เหลือเป็นของบิดา) ทั้งหมดเหล่านี้ หลังจากได้จัดการพินัยกรรมตามคำสั่งเสีย หรือหลังการชำระหนี้ สูเจ้าไม่รู้ดอกว่า บรรดาบิดา (มารดา) และลูก ๆ ของสูเจ้า ผู้ใดให้ประโยชน์ใกล้ชิดยิ่งกว่าแก่สูเจ้า (กฎนี้) เป็นบัญญัติจากอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ - มรดกครึ่งหนึ่งของภรรยาเป็นของสูเจ้า ถ้าพวกนางไม่มีบุตร แต้ถ้าพวกนางมีบุตร ดังนั้น หนึ่งในสี่ของมรดกของนางเป็นของสูเจ้า หลังจากได้จัดการพินัยกรรมตามคำสั่งเสีย หรือหลังการชำระหนี้ และหนึ่งในสี่ของมรดกของสูเจ้าเป็นของพวกนาง ถ้าสูเจ้าไม่มีบุตร แต่ถ้าสูเจ้ามีบุตร หนึ่งในแปดของมรดกของสูเจ้าเป็นของนาง หลังจากได้จัดการพินัยกรรมตามคำสั่งเสีย หรือหลังการชำระหนี้ แต่ถ้ามีชายหรือหญิงที่ไม่มีญาติโดยตรงรับมรดก (ไม่มีบุตรและบิดามารดา) พี่น้องเป็นผู้รับมรดก ถ้าเขามีพี่หรือน้องชาย หรือมีพี่หรือน้องสาว (ร่วมบิดามารดา) หนึ่งคน แต่ละคนจะได้รับหนึ่งในหก แต่ถ้าเขามีพี่น้องมากกว่าหนึ่งคน พวกเขามีส่วนร่วมหนึ่งในสามของมรดก หลังจากได้จัดการพินัยกรรมตามคำสั่งเสีย หรือหลังการชำระหนี้ ขณะที่ (พินัยกรรม) ต้องไม่นำความเสียหายมาสู่ นี่เป็นคำแนะนำจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงขันติ (อัล-กุรอาน บทอันนิซาอ์ โองการที่ 11,12)


ส่วนแบ่งมรดก


หนึ่งในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสิทธิด้านทรัพย์สินของประชาชนคือ มรดก ซึ่งโองการนี้และโองการถัดไปสาธยายไว้ อิสลามได้กำหนดส่วนและสิทธิพึงได้รับของแต่ละคนไว้อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งก่อนหน้าการมาของอิสลาม อาหรับในยุคโฉดเขลาไม่เคยแบ่งมรดกให้แก่สตรี ดังนั้น พวกนางจึงไม่เคยได้รับมรดกทั้งจากบิดามารดา สามี และบุตรของนาง เมื่ออิสลามมาประกาศสั่งสอนได้ฟื้นฟูสิทธิของสตรีให้กลับมีชีวิตอีกครั้ง และเนื่องจากว่าค่าใช้จ่ายของพวกนางอยู่ในความรับผิดชอบของสามี ผู้หญิงจึงมีสิทธิ์รับมรดกแค่ครึ่งหนึ่งของผู้ชาย


โองการกล่าวถึงทายาทชั้นแรกที่มีสิทธิ์รับมรดกได้แก่ บรรดาบุตร และบิดามารดา ซึ่งสิทธิของแต่ละคนได้ถูกกำหนดไว้อย่างเรียบร้อย กรณีที่ผู้ตายมีทายาทรับมรดกหลายคนส่วนแบ่งของแต่ละคนได้ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกัน แต่ถ้าผู้ตายมีทายาทเพียงคนเดียวเขาก็จะได้เฉพาะส่วนของเขา ส่วนที่เหลือเขาจะได้รับในฐานะของการปัดส่วน


โองการกล่าวถึงประเด็นมรดกของทายาทชั้นที่หนึ่งดังนี้


1.ถ้าผู้ตายทีบุตรชายและบุตรสาวหลายคน บุตรจะได้รับมรดกมากว่าบุตรสาวสองเท่า ซึ่งกฎข้อนี้ถือว่าเป็นกฎโดยทั่วไปที่ทุกที่ต้องนำมาปฏิบัติลูกชายจะได้รับ (มรดก) เยี่ยงส่วนของลูกหญิงสองคน


2.ถ้าผู้ตายมีบุตรสาวสองคนหรือมากกว่า พวกนางมีสิทธิ์ได้รับสองในสามของมรดก ถ้าผู้ตายไม่มีทายาทคนอื่นในชั้นนี้อีกแล้ว ดังนั้น มรดกส่วนที่เหลือให้แบ่งในหมู่พวกนางคนละเท่า ๆ กัน ในฐานะของการปัดส่วน


ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ณ ที่นี้คือ โองการกล่าวถึงการมีบุตรสาวเกินสองคน ซึ่งอาจเป็นสามหรือสี่ ส่วนกรณีของบุตรสาวสองคนเข้าใจได้จากประโยคก่อนหน้านี้ ที่ว่าบุตรชายได้รับมรดกสองเท่าของเด็กผู้หญิง ด้วยเหตุนี้ ถ้าผู้ตายมีบุตรชายและบุตรหญิงอย่างละคน สิทธิของบุตรสาวคือ หนึ่งในสาม ถ้าผู้ตายมีบุตรสาวสองคน สิทธิของนางคือ สองในสาม ถ้ามีบุตรสาวสามคน สิทธิของพวกนางมิใช่สามในสาม ทว่าสิทธิของพวกนางคือ สองในสาม เนื่องจากโองการกล่าวถึงสิทธิ์ของบุตรสาวสามคน หรือมากกว่านั้น อย่าคิดว่าสิทธิของบุตรสาวสามคนคือ สามในสามของมรดก ดังนั้น ถ้าในชั้นนี้ไม่มีทายาทคนใดอีกแล้ว ส่วนที่เหลือให้แบ่งเท่า ๆ กัน ในหมู่พวกนาง


3.ถ้าผู้ตายทีบุตรสาวเพียงคนเดียว มรดกครึ่งหนึ่งเป็นของนาง ถ้าผู้ตายไม่มีทายาทคนใดอีกส่วนที่เหลือก็เป็นของนางในฐานะของการปัดส่วน


4.ถ้าผู้ตายมีทั้งบิดามารดา และบุตร บิดากับมารดาจะได้รับมรดกคนละ หนึ่งในหก ส่วนที่เหลือเป็นของบุตรโดยให้แบ่งไปตามกฎที่กล่าวมาแล้ว


5.ถ้าผู้ตายมีแค่บิดามารดา ไม่มีบุตรและพี่น้องคนอื่น หนึ่งในสามของมรดกเป็นของมารดา ส่วนมรดกที่เหลือเป็นของบิดา


6.ถ้าผู้ตายมีบิดามารดา และพี่น้องหลายคน แต่ไม่มีบุตร พี่น้องไม่มีสิทธิ์รับมรดก เนื่องจากเป็นทายาทชั้นที่สอง แต่พวกเขาเป็นอุปสรรคสำหรับมารดา ดังนั้น มารดาจึงมีสิทธิรับมรดกเพียง หนึ่งในหกเท่านั้น มิใช่หนึ่งในสาม ส่วนที่เหลือเป็นของบิดา สาเหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่ารายจ่ายของพี่น้องคนอื่นอยู่ในความรับผิดชอบของบิดา ดังนั้น ส่วนของมารดาจึงลดน้อยลงไป


โองการข้างต้นหลังจากกล่าวสาธยายแล้ว กำชับว่าทั้งหมดที่กล่าวมาให้กระทำหลังจาก การจัดการตามพินัยกรรม และชำระหนี้สินก่อน ซึ่งเป็นหน้าที่ของทายาทต้องจัดการตามพินัยกรรมก่อนอื่นใด เมื่อทรัพย์สมบัติเหลือจึงตกลงแบ่งกันตามเงื่อนไขทีกล่าวมาข้างต้น


สิ่งสำคัญต้องกระทำก่อนเป็นอันดับแรกคือ การชำระหนี้สิน หลังจากนั้นให้ปฏิบัติไปตามพินัยกรรม เมื่อเหลือแล้วจึงแบ่งไปตามสิทธิ์ที่ทุกคนพึงได้รับ การที่โองการกล่าวถึงพินัยกรรมก่อนการชำระหนี้ มิได้หมายความว่าต้องการจัดการตามพินัยกรรมก่อนการชำระหนี้ ทว่าเป็นการเน้นให้ถึงเห็นความสำคัญของพินัยกรรม เนื่องจากโดยปกติทายาทมิค่อยให้ความสำคัญต่อพินัยกรรมเท่าที่ควร


สุดท้ายโองการกล่าวถึงกฎเกณฑ์ทั่วไปโดยที่สูเจ้าไม่เข้าใจว่าผู้ใดระหว่างบิดามารดาและบุตรให้ประโยชน์ยิ่งแก่เจ้า ด้วยเหตุนี้ สูเจ้าจึงไม่สามารถจำแนกได้ว่าส่วนของแต่ละคนเทาไหร่ ซึ่งบางคนอาจคิดว่าส่วนของบิดาและมารดามากกว่า แต่บางคนคิดในทางกลับกัน ซึ่งในความเป็นจริงพระเจ้าทรงปรีชาญาณ และรอบรู้ปัญหาดีกว่าคนอื่น



เพราะเหตุใดมรดกของผู้ชายมากกว่าผู้หญิงสองเท่า


คำถามดังกล่าวอยู่ในความคิดของผู้คนมาโดยตลอดนับตั้งแต่เริ่มประกาศอิสลาม บางครั้งพวกเขาถามกับบรรดาอิมามในสมัยนั้น เช่น ในยุคของอิมามอะลีริฎอ (อ.) ประชาชนถามอิมามเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งอิมามตอบพวกเขาว่า การที่ส่วนแบ่งของผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชายเป็นเพราะว่า เมื่อผู้หญิงแต่งงานเธอจะได้มะฮัรจากฝ่ายชาย ซึ่งฝ่ายชายจำเป็นต้องจ่าย นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายของฝ่ายหญิงขึ้นอยู่กับฝ่ายชาย ขณะที่สตรีไม่มีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนั้น



ส่วนแบ่งของสามีและภรรยา


โองการที่ 12 สาธยายถึงปัญหามรดก การรับมรดกของสามีภรรยา การรับมรดกของทายาทชั้นที่สอง และรวมถึงปัญหาอื่น ๆ โดยอธิบายไว้ดังนี้


1.ถ้าภรรยาเสียชีวิต โดยที่นางไม่มีบุตรมรดกครึ่งหนึ่งเป็นของสามี แต่ให้แบ่งมรดกภายหลังจากการจัดการเรื่องพินัยกรรมและการชำระหนี้สิน


2.ถ้าภรรยาเสียชีวิต แต่นางมีบุตร ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มรดกหนึ่งในสี่เป็นของสามี


3.ถ้าสามีเสียชีวิต โดยที่ไม่มีบุตรหนึ่งในสี่ของมรดกเป็นของภรรยา


4.ถ้าสามีเสียชีวิต แต่เขามีบุตร หนึ่งในแปดของมรดกเป็นของภรรยา แน่นอน ให้แบ่งมรดกภายหลังจากการจัดการเรื่องพินัยกรรมและการชำระหนี้สิน


5.ถ้าชายหรือหญิงเสียชีวิตโดยที่ไม่มีทายาทโดยตรง (กะลาละฮฺ) หมายถึง ไม่มีบุตร และไม่มีบิดามารดา ซึ่งทายาทรับมรดกคือพี่น้องของพวกเขา แต่ละคนจะได้รับมรดกหนึ่งในหก


6.ถ้าผู้ตายมีพี่น้องทั้งผู้ชายและผู้หญิงเกินหนึ่งคน ทั้งหมดมีสิทธิ์เพียงหนึ่งในสามของมรดก


หมายเหตุ คำว่ากะลาละฮฺ สามารถใช้ได้ทั้งผู้ตายและพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นทายาทรับมรดก แต่ในโองการคำว่ากะลาละฮฺ ใช้กล่าวกับผู้ตายโดยกล่าวว่า ถ้ามีชายหรือหญิงที่ไม่มีญาติโดยตรงรับมรดก (ไม่มีบุตรและบิดามารดา) พี่น้องเป็นผู้รับมรดก



มรดกของพี่น้อง


ประเด็นสำคัญ จุดประสงค์ของคำว่าพี่น้องในโองการหมายถึง พี่น้องร่วมมารดา ตามหลักการเรียกว่ากะลาละฮฺอุมมีย์แต่โองการดังกล่าวรวมไปถึงพี่หรือน้องชาย พี่หรือน้องสาวร่วมบิดามารดาเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า กะลาละฮฺอบีวะอุมมีย์เนื่องจากพี่น้องร่วมบิดาเพียงอย่างเดียวจะอธิบายในโองการต่อไป คำว่ากะลาละฮฺ ที่กล่าวในโองการนี้กับโองการที่จะอธิบายต่อไปมีความแตกต่างกัน


อีกประเด็นหนึ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงคือ โองการพยายามเน้นการจัดแบ่งมรดกภายหลังจาก การจัดการเรื่องพินัยกรรมและชำระหนี้สินเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น ถ้าคนหนึ่งขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่เขียนพินัยกรรม ย่อมบังเกิดผลเสียแก่ทายาทและตนเอง ขณะเดียวกันการเขียนพินัยกรรมเกี่ยวกับหนี้สิน หรือการยอมรับภาวะหนี้สิน มีเงื่อนไชว่าต้องไม่เกิดผลเสียแก่ทายาทรับมรดก


สุดท้ายโองการกล่าวเน้นว่า นี้เป็นคำแนะนำจากพระเจ้า พระองค์ทรงรอบรู้และทรงปรีชาญาณยิ่ง หมายถึง จำเป็นต้องให้เกียรติและเคารพคำแนะนำของพระองค์ เนื่องจากพระเจ้าทรงรอบรู้ถึงผลดีและผลเสียของสูเจ้า พระองค์จึงกำหนดกฎเกณฑ์ดังกล่าวขึ้นมา และทรงรอบรู้ถึงเจตนาของผู้เขียนพินัยกรรม ขณะที่พระองค์ทรงขันติ ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่ง พระองค์จะไม่ลงโทษอย่างเฉียบพลัน


เครดิต : al-shia.org


หมายเหตุ... ในอิสลามไม่ลูก ใน/นอก สมรส เพราะฉนั้นลูกทุกคนมีสิทธิได้รับตามหลักการอย่างเท่าเทียม


อย่าสงสัย...ทำไม ผู้ชายถึงได้มากกว่าผู้หญิงถึงสองเท่า?
ก็เพราะหน้าที่การเลี้ยงดูครอบครัวเป็นของผู้ชาย (ในอิสลาม) ผุ้ชายจึงมีสิทธิได้เยอะกว่า ทั้งนี้...ที่ผู้หญิงได้น้อย ก็เพราะผู้หญิงมีสิทธิได้รับส่วนนั้นของผู้ชายเมื่อกลายเป็นภรรยาเขาอีกที (ยุติธรรมที่สุด) ตกลงสุดท้ายชาย/หญิงก็ได้อย่างเท่าเทียม






แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 ตุลาคม 2554 / 17:31
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 18 ตุลาคม 2554 / 17:36

PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
สงสัย 18 ต.ค. 54 เวลา 18:10 น. 26

แล้วอัลลอฮฺสร้าง (ความรู้สึก) เกย์ขึ้นมารึเปล่า
แล้วใครเป็นผู้สร้างอัลลอฮฺขึ้นมา มีที่มากล่าวไว้รึเปล่า สงสัย

แต่ฟังดูแนวทางจะคล้ายๆ ของคริสต์ในความเชื่อที่ว่าพระเจ้าสร้างโลก คหสต. น่ะ

0
Raylun 18 ต.ค. 54 เวลา 19:28 น. 27

เราอยากรู้อีกอย่างอ่ะ พวก สัตว์ต่างๆอย่าง สุนัข แมว ไก่ โค เสือ นก อะไรแบบนี้ พอมันตายแล้วมันจะเป็นเหมือนมนุษย์ตามความเชื่อของอิสลามหรือเปล่า ว่าพอตายก็ต้องรอ วันพิพากษา


หรือว่าพอพวกมันตายไปแล้วจะเป็นไปแบบอื่น เพราะพวกมันก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างใช่มะ การดำรงชีวิตและระบบต่างๆของมัน พระเจ้าก็สร้างขึ้นมาด้วยใช่มะ ทั้งเพศของมัน การขยายพันธุ์ของมัน นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เหมือนที่มีพระประสงค์ให้มนุษย์ สือทอดทายาทหรือเปล่า

ถ้าเป็นอย่างนั้น ตอนมันตายมันก็มีสถานะเดียวกับมนุษย์หรือต่างออกไปหล่ะ


PS.  
0
karano 18 ต.ค. 54 เวลา 21:23 น. 28

ในสังคมอิสลามไม่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้าครอบครัวเหรอ? ให้ผู้หญิงน้อยกว่าเพราะผู้ชายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผู้หญิง แล้วถ้าผู้ชายไม่ดูแลล่ะ มีบทลงโทษหรือเปล่า

เอาความสามารถมาวัดความเท่าเทียมกันไม่ถูกเท่าไร
เท่าเทียมหมายถึงศักดิศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ใครมีความสามารถมากกว่ากัน
และความสามารถก็มีหลากหลายไม่ใช่วัดจากกำลังอย่างเดียว
อย่างทำงานขุดดินได้ค่าแรงสามร้อยต่อวันทำงานบริษัทนั้งโต๊ะได้เดือนเป็นหมื่น
สังคมก็ให้ความสำคัญกับปัญญา ความสามรถเฉพาะตัวด้วย
จะบอกว่าผู้หญิงอ่อนแอเลยต้องให้ผู้ชายปกป้องพิลึกไปหน่อย

ไม่ได้ติดใจอะไรกับผู้ชายมีภรรยาหลายคน� แต่ถ้าเรื่องความเท่าเทียม ทำไมครอบครัวหนึ่งถึงเป็นกลุ่มไม่ได้ สมมุติว่า ผู้ชายสองผู้หญิงสี่เงี้ย� มีห้ามไหม เพราะถ้าเอาเหตุว่าธรรมชาติของผู้ชายชอบผู้หญิงหลายคน� ผู้หญิงก็ชอบผู้ชายหลายคนเหมือนกัน� และถ้าผู้ชายเป็นสินค้าที่ดี มีมากยิ่งดี
ตามหลักเหตุผลถูกไหม (ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง สมมุติว่าชอบส้ม มีสองลูกดีกว่าลูกเดียว)

อ่านเรื่องเกย์แล้วแปลกใจ� สร้างมนุษย์เพื่อให้มีครอบครัว� คัมภีร์บอกเหรอ?
เคยได้ยินว่าถูกไล่ลงจากสวรรค์เพราะไปกินแอปเปิ้ล เลยโดนไล่ออกจากอีเดน
ให้เป็นมนุษย์ที่ตายได้ โอกาสกลับใจทำอะไรสักอย่าง�
แต่ไม่เคยได้ยินว่าแต่งงานเป็นหน้าที่หนึ่งของมนุษยน์นะ ��



PS.  
0
LOVE SECRET 19 ต.ค. 54 เวลา 11:07 น. 30

เคลียประเด็นภรรยา 4 และมรดกให้จบก่อนแล้วกันนะคะ



อย่างที่ท่าน Karano สงสัย....


ในสังคมอิสลามไม่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้าครอบครัวเหรอ? ให้ผู้หญิงน้อยกว่าเพราะผู้ชายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผู้หญิง แล้วถ้าผู้ชายไม่ดูแลล่ะ มีบทลงโทษหรือเปล่า


-ในครอบครัวอิสลามมีผู้หญิงเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือเปล่า? ...ตอบว่า มี คะ แต่อาจจะน้อย สาเหตุก็....ผู้ชายไม่สามารถทำหน้าที่ตรงนั้นได้

...ถ้าผู้ชายไม่ดูแล ก็บาปสิคะ นั้นคือบทลงโทษของเขา (ในปรโลก) แต่ถ้าเป็นบนโลกใบนี้ ก็เหมือนๆ กับกฏหมายไทยนั้นแหละ ไม่มีใครคิดยุ่งเรื่องครอบครัวใคร เว้นเสียจากฝ่ายหญิงจะทนไม่ไหวแล้วออกมาฟ้องศาล บทลงโทษบนโลกของเขาถึงจะปรากฏ (อันนี้ก็แล้วแต่ศาลจะวิเคราะห์...วินิฉัยคดี ว่าบทลงโทษของเขาจะเป็นแบบไหน)



เอาความสามารถมาวัดความเท่าเทียมกันไม่ถูกเท่าไร
เท่าเทียมหมายถึงศักดิศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ใครมีความสามารถมากกว่ากัน
และความสามารถก็มีหลากหลายไม่ใช่วัดจากกำลังอย่างเดียว
อย่างทำงานขุดดินได้ค่าแรงสามร้อยต่อวันทำงานบริษัทนั้งโต๊ะได้เดือนเป็นหมื่น
สังคมก็ให้ความสำคัญกับปัญญา ความสามรถเฉพาะตัวด้วย
จะบอกว่าผู้หญิงอ่อนแอเลยต้องให้ผู้ชายปกป้องพิลึกไปหน่อย




-แต่ประเด็นการแบ่งมรดก ที่ชายได้มากกว่าหญิง ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ...ก็ถูกต้องแล้ว อิสลามไม่ได้วัดว่าผู้ชายมีความสามารถ/กำลังมากกว่าถึงได้ "เยอะกว่า" และผู้หญิงมีความสามารถ/กำลังน้อยกว่าจึง "ได้น้อยกว่า" ...แบบนั้นมันไม่ปะตะปัดหรือคะ?

...หรือถ้าจะวัดค่าควรได้มรดกตามกำลังความสามารถ ผู้ชายต้องได้น้อยกว่าสิคะ เพราะมีความสามารถ/กำลังที่จะหามาเพิ่มอีกมากกว่า และผู้หญิงก็ควรจะได้มากกว่า เพราะพวกเธอมีความสามารถและกำลังไม่เท่าผู้ชาย (อันนี้ตามที่ท่านสงสัยนะ)  


...ตามอิสลาม ที่ผู้ชายได้มากกว่า ก็เพราะผู้ชาย...ต้องมีค่าสินสอดในการขอแต่งงาน (ผู้หญิงได้) เมื่อแต่งงาน...ผู้ชายต้องเลี้ยงดูครอบครัว (จ่ายออกไปลูกเดียว) ค่าเรียนลูก ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่ากินภรรยา ...ทุกอย่างอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ชาย มันจึงเป็นที่ยุติธรรมแล้ว ที่ผู้ชายจะได้มากกกว่าถึงสองเท่า



ให้เอาศักดิ์ศรีวัดความเท่าเทียม!!


- เอาจริงๆ นะ ท่าน ศักดิ์ศรีมันเท่าเทียมกันจริงเหรอ? ท่านไม่ต้องดูที่ไหนไกล...ในสังคมรอบๆ ตัวที่ท่านอยู่ (ในสังคมไทยน้้นแหละ) คนจนศักดิ์ศรีจะน้อยกว่าคนรวย ...แล้วศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมที่ท่านเรียกร้องอยู่ตรงไหน (กรุณาอย่าอ้างอิงนิยายและละครหลังข่าว) 

...ข้าพเจ้าไม่ดูถูกสังคมไทยหรอกที่เป็นแบบนั้น เพราะข้าพเจ้าก็คือคนไทย เกิดในแผ่นดินไทย รักพระมหากษัตริย์ไทย รักบ้านเกิด เรียนอยู่ในไทย ทำมหากินอยู่ในไทย แต่นั้น...คือความจริงที่เราต้องยอมรับ คนรวย อะไรๆ มันก็เลิศเลอและดีกว่า คนจน (อย่างเรา) หลายเท่า ...แล้วความเท่าเทียมมันอยู่ตรงไหน?

...ในครอบครัวอิสลาม ศักดิ์ศรีวัดความเท่าเทียมของท่าน ...เป็นหลักการที่ใช้ไม่ได้ผล เพราะความเท่าเทียมอบอวลอยู่ในบ้าน สัมผัสได้จากทุกมุม เพราะหากขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ทุกคนก็เท่าเทียมกันหมดแล้ว มีสองตา สองมือ สองขา ไม่มีใครมีมากกว่านั้น

...ภรรยา (อิสลาม) ไม่ถูกกดขี่ เพราะสามี (มุมีน) จะยกระดับพวกเธอให้เท่าเทียมเขา เพราะเธอคือแม่ของลูก เพราะเธออยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ดั่งกลอนบทนี้


"ผู้หญิง" ถูกสร้างมาจากซี่โครงของผู้ชาย
ไม่ใช่ศรีษะของเขา...เพื่อที่จะ
เหนือกว่า
ไม่ใช่เท้าของเขา...เพื่อที่จะถูกเ
หยียบย่ำ
แต่มาจากด้านข้างของเขา...เพื่อ
ที่จะเท่าเทียม
ไกล้แขนของเขา...เพื่อที่จะถูกปกป้
อง
... และชิดใจของเขา...เพื่อที่จะถูก
รัก ..^__^


ในความเข้าใจของข้าพเจ้า มันก็อธิบายทุกอย่างได้ชัดเจน ซึ่งทัศนคติที่พวกท่านเชื่อมั่นว่า "สตรี (ภรรยา) ในอิสลามนั้นถูกกดขี่" มันมาจากไหน?...บางทีก็ยังงงๆ อยู่


สตรีในอิสลาม...

-หรือเพราะแต่งสั้นไม่ได้ ...จึงมองว่าถูกกดขี่
-หรือเพราะปิดหน้า ...จึงมองว่าถูกกดขี่
-หรือเพราะไม่ออกไปทำงานนอกบ้าน ...จึงถูกมองว่าถูกกดขี่
-หรือเพราะอะไร?


ในทางกลับกัน สตรีสามัญ...

-แต่งยาว ...ถูกยกย่องว่า "กุลสตรี"
-ไม่คบแฟน ...ถูกยกย่องว่า "รักนวลสงวนตัว"
-ไม่ออกไปทำงานนอกบ้าน ...ถูกยกย่องว่า "ศรีภรรยา แม่บ้านแม่เรือน"


ความยุติธรรมระหว่างสองสตรีมันอยู่ตรงไหน?
 

และความสามารถก็มีหลากหลายไม่ใช่วัดจากกำลังอย่างเดียว
อย่างทำงานขุดดินได้ค่าแรงสามร้อยต่อวันทำงานบริษัทนั้งโต๊ะได้เดือนเป็นหมื่น
สังคมก็ให้ความสำคัญกับปัญญา ความสามรถเฉพาะตัวด้วย
จะบอกว่าผู้หญิงอ่อนแอเลยต้องให้ผู้ชายปกป้องพิลึกไปหน่อย


ข้าพเจ้าคงจะเข้าใจประเด็นของท่านผิดนิด ...

ท่านคงจะสื่อว่า ผู้หญิง ณ ปัจจุบันก็เก่งและทำรายได้ได้มากกว่าผู้ชาย ...ก็มี แล้วทำไมถึงบอกว่าผู้หญิงอ่อนแอและต้องให้ผู้ชายปกป้อง ...พิลึกไปไหนไหม?

อ่าฮะ...ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ละสิท่า...

เอาใหม่ท่าน ...ผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงเงินเดือนเยอะกว่าผู้ชาย ท่านมองแต่ปัจจุบันนิ ไม่กี่สิบปีเองที่ผู้หญิงขึ้นมามีอำนาจเหนือกว่าหรือเท่าเทียมผู้ชายในสังคม เพราะการศึกษาที่เปิดกว้าง ข้าพเจ้าเองก็ยอมรับ ถึงไม่มีสามี...ด้วยอาชีพของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเลี้ยงตัวเองได้ โดยไม่ต้องแบมือขอเงินใคร

...แต่อดีต ท่านก็ลองศึกษาประวัติศาสตร์ไทยดูสิ มีผู้หญิงกี่คนที่ไม่ต้องง้อผู้ชาย (ในเรื่องค่าใช้จ่าย) ผู้หญิงไทยในอดีตตกต่ำกว่าผู้หญิงอิสลามหลายเท่านัก ด้วยว่าพวกเธอไม่มีความสามารถเท่าผู้ชายที่จะหาเงินมาเลี้ยงดูตัวเอง (อย่ามองปัจจุบัน) ในอดีตที่โรงเรียนจำกัดเฉพาะ ผู้ชายเข้าเรียน ขุนนางมีแต่ผู้ชาย แล้วผู้หญิง...บางคนโชคดีหน่อย ได้เป็นภรรยาหลวง ถูกยกย่องให้เป็น คุณหญิง แล้วคนที่เหลือละ (มองโลกให้กว้างหน่อย)

...และในปัจจุบัน แม้ผู้หญิงจะเก่งแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว แต่ธรรมชาติของผุ้หญิงก็ยังคงอ่อนไหว ยังต้องการความอบอุ่น ยังต้องการคนดูแล/ปกป้อง แม้แต่ในตอนฝนตกฟ้าผ่า ก็ยังต้องใครสักคนไว้กอด/ปลอบโยน ...หรือไม่จริง?


...และที่อิสลาม ยกหน้าที่ การเลี้ยงดู/ดูแลค่าใช้จ่าย ให้ผู้ชายแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็เพราะอิสลามตระหนักว่า หน้าที่แม่นั้น สาหัสยิ่งกว่า การจะอบรมเลี้ยงดูให้ลูกเติบโตเป็นคนดี และธำรงซึ่งอิสลามนั้น ถือเป็นงานหนักมาก ซ้ำผู้หญิงยังต้องรับผิดชอบงานในบ้าน อย่างปัดกวาดเช็ดถู หุ่งข้าวทำแกงอีก โดยรวมแล้ว งานผู้หญิงนั้นหนักเท่าๆ ผู้ชาย  ...ในความรู้สึกของข้าพเจ้า อิสลามแบ่งหน้าไว้ถูกต้องและสมดุลที่สุดแล้ว ลองคิดดู...หากสตรีคนหนึ่ง มีงานในภาคบังคับถึงสองอย่าง คือ งานบ้านและงานนอกบ้าน ที่นี้ละ คงเหนื่อยน่าดู


หมายเหตุ...หน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวของผู้ชายเป็น วาญิบ...หมายถึงบังคับทำ หากไม่ทำถือว่า บาป และ หน้าที่ดูแลบ้านช่องและเลี้ยงดุบุตรของผู้หญิง เป็น วาญิบ...หมายถึงบังคับทำ หากไม่ทำ หรือ บกพร่อง ก็ บาป (อย่าง...หน้าที่แม่ หากแม่ (อิสลาม) ทำหน้าบกพร่องโดยไม่สามารถเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีได้ แม่บาปนะคะ ฐาน...บกพร่องต่อหน้าที่)





แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 19 ตุลาคม 2554 / 11:36
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 19 ตุลาคม 2554 / 11:37

PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
LOVE SECRET 19 ต.ค. 54 เวลา 12:48 น. 31
ต่อ



ไม่ได้ติดใจอะไรกับผู้ชายมีภรรยาหลายคน  แต่ถ้าเรื่องความเท่าเทียม ทำไมครอบครัวหนึ่งถึงเป็นกลุ่มไม่ได้ สมมุติว่า ผู้ชายสองผู้หญิงสี่เงี้ย  มีห้ามไหม เพราะถ้าเอาเหตุว่าธรรมชาติของผู้ชายชอบผู้หญิงหลายคน  ผู้หญิงก็ชอบผู้ชายหลายคนเหมือนกัน  และถ้าผู้ชายเป็นสินค้าที่ดี มีมากยิ่งดี
ตามหลักเหตุผลถูกไหม (ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง สมมุติว่าชอบส้ม มีสองลูกดีกว่าลูกเดียว)



แหม่ท่าน...ถ้าท่านเป็นผู้ชาย ท่านคงไม่ดีใจที่ได้ภรรยาที่มีสามีเป็นตัวตน แค่หญิงม่ายก็ดูท่าจะไม่ปลื้มเท่าไรแล้ว แต่นี้ มีภรรยาที่มีสามีถึงสองคน ...คราวมีลูกคงเถียงกันแทบคอแตกละสิ ว่าใครเป็นพ่อ ยิ่งถ้าปัจจุบัน วงการแพทย์ไม่เจริญและพัฒนาถึงขั้นนี้ คงเถียงไปถึงตาย ว่า "เด็กนั้น" ลูกใครกันแน่หว่า?

อันที่จริง...ที่ท่านว่า ผุ้หญิงชอบผู้ชายหลายคน ข้าพเจ้าว่า...มันเป็นทัศนคติที่น่ารังเกียจนะ (ในสายตาผู้หญิงทุกศาสนา ทั่วโลก) ผู้ชายยังไม่ชอบให้ผู้หญิงมาชี้นิ้วว่าเจ้าชู้เลย นับประสาอะไรกับผู้หญิงถ้ามีคนมาชี้นิ้วว่า "อีนี่ สำส่อนว่ะ" ...ให้ตายเถอะ...เกลียดไปจนตายเลย

ผู้หญิงนะท่านนะ ...ลองได้เป็นภรรยาใครแล้ว มันจะมีความรู้สึกผูกผันและก่อเกิดเป็นความรัก ถ้าท่านเชื่อว่าผู้หญิงก็ชอบผู้ชายหลายคน ที่นี้...ท่านคงไม่เชื่อใจ/ไว้ใจ แฟน/ภรรยา ท่านไปจนตาย ว่าไหม? ก็ผู้หญิงชอบผู้ชายหลายคนนี้ อิอิ

และอีกอย่าง...ผู้ชายไม่ใช่สินค้า ที่ว่า...คนนั้นก็ดี คนนี้ก็ถูก คนโน้นก็โดน แล้วซื้อยกแพ็กกลับบ้าน เป็นท่านคงไม่ปลื้มถ้าตกเป็นสินค้าใคร ที่เขาเตรียมไว้ใช้ยามฉุกเฉินนะน่ะ


อันที่จริงประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องศาสนาแล้วนะท่านนะ ...ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง หรือ ยกอัล-กุรกาน โองการไหนมายืนยันกับท่าน แต่ท่านลองคิดดู สามีหนึ่งภรรยาสี่ กับภรรยาหนึ่ง สามีสี่ อันไหนมันน่าเกลียดและน่าปวดหัวกว่ากัน (ไตร่ตรองถึงผลกระทบด้วยนะท่าน)


อ๋อ... อีกอย่างที่น่าสนใจ หากภรรยาหนึ่ง สามีสอง ถ้ารู้แน่ชัดแล้วว่าสามีคนที่หนึ่งเป็นพ่อเด็ก สำหรับภรรยา...จะให้ ลูก เรียกสามีคนที่สองของตัวเองว่าอะไรดี ลุง อา หรือ พ่อ อีกคน ...ก็เขาก็สามีแม่เหมือนกันนี้หน่า มันเป้นปัญหาเรื่องการนับเครือญาตอีก โอ้ย...ไม่รู้จะอิบายยังไงเหมือนกัน



อ่านเรื่องเกย์แล้วแปลกใจ  สร้างมนุษย์เพื่อให้มีครอบครัว  คัมภีร์บอกเหรอ?
เคยได้ยินว่าถูกไล่ลงจากสวรรค์เพราะไปกินแอปเปิ้ล เลยโดนไล่ออกจากอีเดน
ให้เป็นมนุษย์ที่ตายได้ โอกาสกลับใจทำอะไรสักอย่าง 
แต่ไม่เคยได้ยินว่าแต่งงานเป็นหน้าที่หนึ่งของมนุษยน์นะ


คัมภีร์บอกคะ ...ที่พระองค์สร้างมนุษย์ ก็เพื่อให้สร้างครอบครัว สร้างสังคม




ประวัติศาสตร์ที่ท่านยกมานั้น เป็นของคริสต์ ของอิสสลาม...คือ... ก่อนหน้าที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์นั้น พระองค์ได้สร้างโลกใบนี้ก่อนหน้าแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อส่งสิ่งถูกสร้างลงมา (วัลลอฮฮูอะลัม) เมื่อสร้างนบีอดัมขึ้นจากดิน ซัยตอน (มารร้าย) ก็ไม่ยอมเคารพ (อดัม) เนื่องจากคิดว่าตนสูงส่งกว่า เพราะถูกสร้างมาจากไฟ พระองค์เลยกริ้ว (ซัยตอนมาก) จึงได้สาปให้ซัยตอนอยู่ในหมู่ผู้ลงผิด และนรกคคือผลตอบแทน แต่ซัยตอนไม่ยอมตกนรกฝ่ายเดียวจึงขอพระองค์ล่อลวงอดัม ภรรยา และลูกหลาน เพื่อจะตกนรกไปกับตน พระองค์เห็นว่าสมควร เพราะจะได้ทดสอบ อดัม และลูกหลานถึงความอดทนและศรัทธา จึงอนุญาตให้ซัยตอนล่อลวง สุดท้าย อดัมก็หลงกล ยอมกินผลไม้ต้องห้ามในสวรรค์ (ตามคำลวงของซัยตอน) (ซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นผลอะไร แต่ไม่ใช่แอปเปิ้ล) พระองค์เลยกริ้วอดัมมาก เลยส่งอดัมลงมาบนโลกเป็นการทำโทษ โดยนบีอดัมกับภรรยาฮาวาถุกส่งลงมาคนละทิศ คนละขั้วโลก ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าทั้งสองจะมาเจอกัน และได้ บัยตุลลอฮฺ ในนครเมกกะ (ที่ๆ ทั้งสองพบกัน) เพื่อวิงวอนขออภัยโทษต่ออัลลอฮ และได้สร้างครอบครัว มีลูกป็นฝาแฝดชายหญิง ซึ่งในยุดแรก คือ ยุคนบีอดัม กฏคือสามารถสมรสพี่น้องร่วมสายเลือดได้ โดย นบีอดัมจะมีลูกเป็นแฝดชายหญิงเป็นคู่ๆ คือ จะอธิบายยังไงดี ประมาณ A กับ B เป็นฝาแฝด (A=หญิง B=ชาย) และ C กับ D ( D=หญิง C = ชาย) ก็จะได้ A คู่กับ D ส่วน B คู่ C แต่ห้ามแต่งงานร่วมฝาแฝด คือ A แต่งกับ B ไม่ได้ ตลอดขยายจนกลายเป็นสังคม

หลังจากมนุษย์มีมากขึ้น ...ก็ได้มีกฏห้ามสมรสกับพี่น้องร่วมพ่อแม่


สรุปได้ว่า ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ก็ เพื่อต้องการสร้างสังคม สร้างครอบครัว สร้างประเทศ สร้างวัฒนธรมม เพื่อให้ ผู้คนในสังคม ประเทศ โลก ทำอีบาดัติต่อพระเจ้า นั้นคือข้อปฏิบัติ 5 ประการ ที่บังคับว่ามุสลิมทุกคนต้องทำ คือ ละหมาด ถือศิลอดในเดือนรอมฎอร ทำฮัจ ณ เมกกะ และบริจาคทรัพย์


และการแต่งงานก็ถือเป้นอีบาดัติหนึ่ง ถือว่า วาญิบ...บังคับทำ สำหรับผุ้ที่มีความสามรถ



ส่วนเรื่อง ความขัดแย้งระหว่าง อิสลาม คริสต์ ขอแวะมาตอบแล้วกันคะ ตอนนี้ต้องไปแล้ว



ดิท : แก้คำผิด



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 20 ตุลาคม 2554 / 07:30

PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
Raylun 19 ต.ค. 54 เวลา 14:33 น. 32
เอ๊ะ เห็นเรื่อง ภรรยา1สามี2 ก็อยากเล่าเรื่องนึ่งให้ฟัง เพราะว่ามันมีจริงๆนะ

ที่บ้านเกิดของแม่เรา ที่ หมู่บ้านไรสักอย่างที่กาฬสินธุ์อ่ะ มี ครอบครัวนึง ภรรยาคนเดียวมีสามี2คน แต่เขาไม่ทะเลาะกันนะ สามีอยู่กันแบบเพื่อน นอนห้องเดียวกัน ตอนเช้า พวกสามีก็ไปทำงาน ด้วยกัน

เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ว่า ใครจะรับได้ไหม แต่คนที่รับเรื่องแบบนี้ได้ก็มีน้อยมาก เพราะมนุษย์พอแต่งงานก็จยึดว่า สามี/ภรรยา นี้เป็นของๆตนที่ตนใช้ได้คนเดียว อะไรประมาณนี้ ใช่ไหมหล่ะ

ปล.ยังรอคำตอบ เรื่องที่เกี่ยวกับว่า พวกสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์ ตายแล้วจะเป็นยังไงอยู่ จ้าา เรารู้ว่าคำถามเรื่องศาสนาแบบนี้ ต้องหาข้อมูลเยอะมาก และบางเรื่องก็หายาก ยังไงจะรอคำตอบต่อไปจ้า ;)


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 19 ตุลาคม 2554 / 14:38

PS.  
0
karano 19 ต.ค. 54 เวลา 19:20 น. 33

เรื่องมรดก
������ ในเมื่อปัจจุบันผู้หญิงก็เป็นหัวหน้าครอบครัวแล้ว� และมีความจำเป็นใช้เงินพอๆกับผู้ชายการแบ่งมรดกให้ผู้ชายมากกว่าจึงไม่ยุติธรรม ไม่ควรถูกกำหนดเป็นค่าแน่นอน
สมมุติว่าครอบครัวหนึ่งมีลูกชายหนึ่งหญิงหนึ่ง� ผู้หญิงแต่งงานออกไปแล้ว� แต่ครอบครัวใหม่
ดูแลตัวเองไม่ได้� ผู้ชายตกงาน มีลูกเล็กๆ� มีความจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่าลูกชาย� ในกรณีนี้���� อิสลามทำยังไง แบ่งสมบัติเท่าเดิม?
� � � � �� ขณะที่คุณบังคับกฎหมายให้ผู้หญิงเสียเปรียบ อย่าเรื่องมรดกเงี้ย คุณก็ควรมีบทลงโทษที่ชัดเจน ว่าไม่เลี้ยงดูแล้วจะได้รับโทษอย่างไร� ไม่ใช่อ้างว่าเป็นเรื่องในครอบครัว� ขนาดมีชู้เป็นเรื่องในครอบครัวเหมือนกันยังกำหนดโทษปาหินเลย� พิสูจน์ว่าใครดูแลครอบครัวไหมยังง่ายกว่า
จับว่าใครเล่นชู้อีกนะ

� � ��

�เรื่องความเท่าเทียม
� � � � �� ศักดิ์ศรีไม่เท่ากัน� รวยจน� คือในอุดมคติมันควรเท่ากันไง ตามหลักประชาธิปไตย
คนจบปริญญาตรีมีเสียงหนึ่งเท่าคนไม่เรียนหนังสือ คนรวยคนจนมีเสียงเท่ากัน
จะมาแบบเจ็ดสิบสามสิบไม่ถูกต้อง�
จะบอกว่าสังคมไม่เท่าเทียมกัน ศาสนาจึงไม่เท่าเทียมด้วย� แล้วทำไมต้องเลียนแบบในเรื่องที่ไม่ดีล่ะ� ไม่ได้จะว่าอิสลามนะก็เห็นเป็นทุกศาสนา
����������� ถ้าวัดกันในอดีต� อิสลามยกย่องสตรี อันนี้เห็นด้วย น่าจะยกย่องกว่าศาสนาที่ไม่ให้ผู้หญิงบวชด้วยซ้ำ
���������� แต่ถ้าวัดด้วยสายตาคนปัจจุบัน ครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว ก็ออกแนวกดขี่� เพราะไม่มีความชัดเจนว่า คุณจะยุติธรรมต่อภรรยาทั้งสี่คนได้ยังไง� คือมันต่างกันที่ระดับการบังคับอันหนึ่งเป็นกฎหมายอันหนึ่งเป็นแค่ค่านิยมเท่านั้น�


������� ส่วนเรื่องใส่ผ้าคลุม� เราเห็นว่าเป็นสิทธิส่วนตัวใครจะแต่งไงก็แต่ง� ไม่ได้มองว่าเป็นการกดขี่ผู้หญิง� แต่ที่เขาโจมตีส่วนหนึ่งเพราะเรื่องความปลอดภัย ในต่างประเทศมีให้ผู้หญิงซุกอาวุธไว้ในเสื้อหลบด่านตรวจ เขาถึงได้ออกกฎห้าม� ส่วนในไทยเคยมีหญิงมุสลิมร้องทุกข์กับองค์กรสตรีนะว่า
เธอก็อยากโชว์ผมเหมือนคนอื่นๆเหมือนกัน�� แต่กระแสในไทยไม่แรง�
������� ส่วนตัวคิดว่าไม่ชอบใจศาสนาไหนก็เลิกนับถือก็สิ้นเรื่องแล้ว� ไม่ต้องวุ่นวายประท้วงให้มากความ� ถ้าเลิกนับถือแล้วมีโทษก็ทำเป็นนับถือต่อหน้าคนอื่นก็จบ�
������� เรื่องทำงานบ้านเป็นแม่ศรีเรือน� ทำไมต่างชาติโจมตีอันนี้ไม่รู้� แต่ถ้าผู้หญิงมุสลิมได้รับการศึกษาเท่าเทียมผู้ชาย แล้วเลือกที่จะอยู่บ้านเลี้ยงลูก� เราถือว่าเป็นความเท่าเทียมนะ�
ถ้าไม่ให้เรียนอ้างว่าจบมาทำงานบ้านแบบนี้ถึงจะกดขี่�
��������


��


PS.  
0
karano 19 ต.ค. 54 เวลา 19:45 น. 34

เรื่องความสำส่อน
            ผู้ชายมีภรรยาเยอะบอกปกป้องผู้หญิง  เป็นธรรมชาติผู้ชาย
            ผู้หญิงมีสามีเยอะ บอกสำส่อน  ทำไมไม่คิดว่าเป็นธรรมชาติผู้หญิงล่ะ
อันนี้เป็นแนวคิดที่ถูกแต่งขึ้น ถูกสอนให้เชื่อ มีอะไรพิสูจน์ว่าผู้หญิงตามธรรมชาติรักเดียวใจเดียว?

ปัญหาลูกใคร เรียกยังไง ?
แล้วลูกของภรรยาที่สอง สาม สี่ เรียกภรรยาที่หนึ่ง ว่าแม่ไหม? 
ถ้ามีพ่อสองคนก็เรียกอีกคนว่าพ่อ  มันจะเป็นปัญหาตรงไหน  เอาวิธีที่เรียกแม่ว่าใช้ก็ได้นี้

ถ้าท่านเชื่อว่าผู้หญิงก็ชอบผู้ชายหลายคน ที่นี้...ท่านคงไม่เชื่อใจ/ไว้ใจ แฟน/ภรรยา ท่านไปจนตาย ว่าไหม? ก็ผู้หญิงชอบผู้ชายหลายคนนี้ อิอิ

ผู้หญิงเชื่อใจผู้ชายที่มีภรรยาตั้งหลายคนได้ไง?  ถ้าผู้หญิงทำได้ ผู้ชายก็ทำได้  ถ้าจะให้เท่าเทียมก็ควรอนุญาติให้ชัดเป็นกฎหมายเลย  ส่วนใครจะมีหรือไม่มีก็เรื่องหนึ่ง

ผู้ชายไม่ใช่สินค้า   อันนี้ขอโทษทีใช้คำผิด  คือมันมีสินค้าดีกับสินค้าเลว  แบบดียิ่งมากยิ่งให้ความพอใจเพิ่ม  แบบเลวยิ่งมากยิ่งพอใจต่ำลง
ไม่ได้จะเปรียบว่าซื้อกลับบ้าน  ถึงในบางประเทศจะมีผู้ชายขายตัวแล้วก็ตาม
จะสื่อว่าทั่วๆไปอะไรที่ดีก็อยากมีเพิ่มขึ้น  จริงไหม  ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น  ไม่เกี่ยวกับว่าเพศหญิงเพศชาย  ที่เจ้าชู้สำส่อนก็อันเนี่ยแหละ 



สร้างครอบครัว

“และเราได้ให้พวกเจ้ามีหลายชาติพันธุ์ เพื่อจะได้ทำความรู้จักซึ้งกันและกัน”(49:13)

อันนี้น่าจะแปล เกี่ยวกับเชื้อชาติรึเปล่า จีน ฝรั่ง ไทย ลาว งี้  ให้เป็นมิตรกันมากกว่าไหม 
เป็นมิตรกับเพื่อนบ้านอะไรงี้

อ่านจากที่อธิบาย เป็นการตีความของนบีที่ถ่ายทอดศาสนา  พระเจ้าบังคับตรงไหน
เฉพาะเรื่องเลี้ยงดูให้ทำกิจทางศาสนามากกว่า  เกยน่าจะถูกบังคับเอาภายหลัง


ปล.เรื่องสร้างสัตว์อยากฟังเหมือนกัน  เคยได้ยินว่าแมวเกิดจากน้ำตา



PS.  
0
choco-mars 19 ต.ค. 54 เวลา 21:04 น. 35

 ก่อนหน้าที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์นั้น พระองค์ได้สร้างโลกใบนี้ก่อนหน้าแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อส่งสิ่งถูกสร้างลงมา

คำถามที่สงสัยคือ แล้วใครสร้างพระเจ้าขึ้นมา แล้วสร้างมนุษย์มาเพื่ออะไรมันน่าจะมีเหตุผลอยู่ คือในทางพุทธนั้นรากเหง้าแห่งอกุศล (ตัณหา) เป็นผู้สร้างสัตว์ขึ้นมา
เหมือนเราก็ต้องเกิดมาจากพ่อแม่ใช่ป่ะ คงไม่มีใครเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่อย่างที่เค้าพูดกัน

แล้วทำไมนบีอดัมกับภรรยาฮาวา (คริสต์: อดัมกับอีฟ) ไม่บอกลูกหลานให้บอกต่อๆ กันมาว่าพระเจ้าสร้างพวกเราขึ้นมานะ พวกลูกๆ ควรเคารพบูชาไปตลอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ และบอกต่อๆ กันไป

แต่ในหลักฐานทางที่เห็นคือมีการกล่าวขึ้นภายหลังว่ามีพระเจ้าโดยกล่าวโดยศาสดาแต่ละศาสนาเอง

อันนี้สงสัยเฉยๆ นะ ไม่ได้ต้องการว่าศาสนาใดๆ ^ ^


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 19 ตุลาคม 2554 / 21:13
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 20 ตุลาคม 2554 / 00:17
0
Raylun 19 ต.ค. 54 เวลา 23:58 น. 36
อีกอย่างเราเคยได้ข่าวว่า มีผู้หญิงที่เข้าประกวดอะไรไม่รู้ แล้วแต่งชุดว่ายน้ำ ปรากฎว่า พอเขากลับไปบ้านเกิดก็โดนรุมปาก้อนหินจนตาย ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ได้คบชู้ ทำไมโดนปาหินตายอ่า
PS.  
0
LOVE SECRET 20 ต.ค. 54 เวลา 06:43 น. 37
ข้าพเจ้าว่า ...ท่าน Karano คงอ่านเรื่อง กฏหมายผิดประเวณี ไม่ละเอียด



การจะขว้างหรือปาหินผู้หญิง/ชาย ผิดประเวณี หนึ่งต้องมีคนฟ้อง มีพยาน มีการยอมรับผิด (คนที่ก่อเรื่อง) ใช่แค่ได้ยินข่าวลือ ก็โป้งให้ ...มันก็เหมือนๆ กัน เรื่องในครอบครัวไม่มีใครคิดยุ่งหรอก นอกจากฝ่าย สามี/ภรรยา จะมาฟ้องศาล (อิสลาม = ในประเทศไทยไม่มี) แล้วศาลทำการตวรจหลักฐาน พิสูจน์หลักฐาน สอบสวนพยาน จนถึงได้บทสรุป แล้ว โทษปาหินของผู้ผิดประเวณีถึงจะเกิด

มันจึงเหมือนคดีไม่ได้รับการดูแลจากสามี ...เมื่อภรรยาฟ้อง (ศาล) โทษของเขาถึงจะเกิด ...ในทางกฏหมายอิสลามระบุโทษของผุ้ชายที่ไม่เลี้ยงดูครอบครัวอยุ่แล้ว แต่ข้าพเจ้าคงต้องใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้ให้ละเอียดก่อน ถึงจะแวะมาตอบท่านได้


หวังว่ามาอีกที กระทู้คงยังไม่วาย...



PS.  เค็มแล้วนิยายตู
0
&gt;&gt;&gt;NuT YuT 21 ต.ค. 54 เวลา 16:25 น. 38

เจ้าของของกระทู้ครับ
ในฐานะที่เป็นมุสลิมีนคนหนึ่ง
ขอดุอาต่ออัลลอฮฺให้การดะวะฮฺ ครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี
และขอดุอาให้พวกเขาได้รับฮิดายะฮ์(ทางนำ) จากอัลลอฮฺด้วยเถิด อามีน
เป็นกำลังใจให้นะครับ^^

0
ปักษาทิชากร 26 ต.ค. 54 เวลา 17:35 น. 39
 เพิ่งจะเข้าใจศาสนาอิสลาม ต้องขอบคุณ  จขกท. มากเลยนะคะ 
แต่ว่า การลงโทษมนุษย์แบบปาหินอะไรงี้มันทรมานนะ
มันเจ็บปวดสุดๆไปเลยล่ะ มันโหดนะ น่าจะแบบ คว่ำบาตร 
ก็พอแล้วนะ :)

PS.   ในความเป็นจริง .. ผู้หญิง คิดมากเสมอ
0