Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ถอดความ อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

อันนี้เห็นใจคนถอดเพราะเรานั่งถอดคำประพันธ์ดูแล้ว แบบว่ามัน..ยากจะบรรยาย
เอาเป็นว่าที่เราแปลมานี้ดีไม่ดียังไงก็บอกกันด้วยนะคะ ลงให้เพราะเห็นใจคนแปล T^T ไหนๆก็อุตส่าแปลมาแล้ว ส่งรายงานแค่ครั้งเดียว เอามาเผื่อเพื่อนๆด้วยน่าจะดีกว่าค่ะ หน้าที่เรามีแค่ 9 หน้าแรกนี้ อันอื่นก็สู้ๆละกันนะคะ ^^ ไม่รู้จะดีรึเปล่า เอาเป็นว่าถ้าไม่ดียังไงก็ช่วยแนะนำกันด้วยนะคะ

อิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง
ท้าวกะหมังกุหนิงปราศรัยกับระตูปาหยังและระตูประหมัน

       ครั้นแล้วท้าวกะหมังกุหนิงเสด็จนั่งที่ประทับที่ประดับด้วยมณีทั้งหลาย พระองค์มองเห็นถึงพระอนุชาทั้ง ๒ คน จึงเรียกให้มานั่งที่ประทับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ครั้นแล้วจึงความเป็นไปของบ้านเมือง และบอกถึงความประสงค์ของตนว่าที่เรียกอนุชาทั้ง 2 มาเพื่อจะให้ช่วยไปตีเมืองดาหาขอให้ทั้งสอง ช่วยตีเมืองให้ได้ชัยชนะเร็วไว เจ้าเมืองผู้น้องทั้งสองจึงได้รับสนองผู้เป็นพี่ ครั้งใดที่ท้าวกะหมังกุหนิงมีศึกเจ้าเมืองน้อยทั้งสองก็จะออกอาสาไม่ย่อท้อ ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิตจะสู้จนกว่ากำลังวังชาจะสูญสิ้นไป
เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงได้ยินเจ้าเมืองผู้เป็นน้องทั้งสองตรัสมาดังนั้น ดีใจเป็นอย่างยิ่ง พระองค์รับสั่งกับอนุชาทั้งสองให้พาทัพทหารไปพักให้สำราญ แล้วให้อนุชาทั้งสองเข้ามาอยู่ในพระราชวัง และท้าวกะหมังกุหนิงก็ได้ลงองค์ลงมานั่งข้างๆกับเจ้าเมืองทั้งสอง พร้อมกับเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังแล้วได้มอบสารให้เสนานำไปถวาย
เมื่ออนุชาทั้งสองได้ฟังถึงเรื่องราวทั้งหมดจึงได้คัดค้านไปว่าเมืองที่จะไปตีนั้น มีความเก่งกาจและชำนาญเรื่องการรบ อีกทั้งทางทหารในเมืองนั้นก็เก่งในเรื่องการรบ เลื่องลือในแคว้นชวาและต่างเกรงกลัวในฤทธิ์เดชเมืองเขาเป็นเมืองใหญ่เมือง เราเป็นเมืองน้อยเปรียบเหมือนหิ่งห้อยจะเปล่งแสงแข่งกับดวงอาทิตย์ ทั้งสองคิดว่าจะผิดจากเดิมมา ผู้หญิงงามไม่ได้มีคนเดียวในแผ่นดิน 
เจ้าเมืองน้อยทั้งสองได้ขอให้ท้าวกะหมังกุหนิงได้คิดเสียใหม่ ไม่อย่างนั้นประชาชนจะเดือดร้อนได้ แต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็ยังทำศึก เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนจึงเลี่ยงที่จะตอบเจ้าเมืองน้อยทั้งสอง เพราะตอนนี้ลูกสาวของท้าวดาหา จะถูกยกให้จรการูปชั่วตัวดำ พวกเราจะต้องยกทัพไปรบเพื่อชิงนาง
เจ้าเมืองน้อยทั้งสองก็ได้ตอบกลับไปว่า นางยังอยู่กับผู้เป็นพ่อที่เมืองดาหา หากเกิดสงครามชิงลูกสาว ท้าวดาหาคงไม่นิ่งดูดาย และอาจจะส่งทัพเข้ามาร่วมรบก็เป็นได้ และเราอาจจะถูกล้อม หากทางเราเสียท่าและแพ้ขึ้นมา จะอับอายจรกาได้
ท้าวกะหมังกุหนิงจึงได้แย้งขึ้นว่า เจ้าทั้งสองนี้ไม่เข้าใจอะไรเลย ทั้งเสนาต่างๆ ก็ขัดแย้งข้ากันไปหมด ไปอยู่เมืองหมันหยามาหลายปี หากที่ไหนจะยกทัพมาจะกลัวอะไรหนักหนา เราก็มีตั้ง ๓ เมืองก็ใหญ่เหมือนกัน เราไม่ต้องกลัว ถ้าเราตีพวกนั้นให้แตกเดี๋ยวพวกนั้นก็มันก็วิ่งเข้าป่า พวกเจ้าอย่ากลัวเลย สงสารวิหยาสะกำเถอะ ถ้าไม่ได้นางมาคงจะขาดใจตาย แม้นวิหยาสะกำสิ้นชีวิตตนคงได้ตายตามเป็นแน่ ไหนๆแล้วก็จะตายถึงช้าเร็วก็ไม่ต่างกัน แม้นว่าผิดก็จะลองทำสงครามดู หากเคราะห์ดีก็คงจะได้สมดังใจนึก เมื่อสองเจ้าเมืองได้ฟัง ก็ก้มหน้าไม่พูดจา เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงเห็นทั้งสององค์ไม่มีคำโต้แย้งใดๆแล้วก็ชวน ทั้งสองเจ้าเมือง เข้าพักผ่อนในที่บรรทมให้สบายใจ

ท้าวดาหาเสด็จออกรับทูตกะหมังกุหนิง

     ครั้นเมื่อเวลาบ่ายสามนาฬิกาองค์ท้าวดาหาก็เสร็จเข้าสรงน้ำในคงคา จากนั้นก็แต่งองค์ทรงเครื่องประดับทั้งหลาย แล้วจึงเสด็จเยื้องย่างอย่างสวยงามดุจดั่งหงส์ ออกมายังท้องพระโรงแล้วนั่งลง ณ บัลลังก์อันงดงาม เสนาบดีตำแหน่งยาสานั้นได้บังคมทูลเบิกทูตนำราชสารให้พระองค์ ดังนั้นจึงรับสั่งให้เหล่าเสนานำแขกเข้ามาพบในทันที ครั้นอำมาตย์ได้รับรับสั่งแล้ว จึงออกไปพาสองทูตเข้ามาเข้าเฝ้าพระองค์ แล้วเสนาชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายทหารจึงให้พนักงานผู้รับผิดชอบรับราชสารมาอ่านถวายพระองค์
ในสารนั้นบอกถึงองค์ผู้ครองเมืองกะหมังกุหนิงขอถวายบังคมถึงพระองค์ ขอพระองค์ทรงประนีประนอมไม่เขื้องโกรธกัน ด้วยว่าตนมีโอรสอยู่องหนึ่งได้ไปท่องป่าล่าสัตว์และได้พบเจอกับรูปของพระธิดาในกลางป่า เชื่อว่าคงเป็นบุพเพสันนิวาส  อาจเกิดจากเทวานำพาให้ พระโอรสตกอยู่ในเสน่หาและมีความอาลัย เฝ้าแต่หลงใหล ใฝ่ฝันหาพระธิดาน่ารันทดยิ่ง หวังเพียงรับใช้รองบาทพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์วงศ์เทวัญ ขอพระธิดาผู้สูงศักดิ์ให้กับโอรสของตนได้สมดังใจหวัง อันกรุงของเราทั้งสองจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันในวันข้างหน้า และขออาศัยพึ่งพิงบารมีไปจนกว่าจะสิ้นชีวัน
เมื่อองค์ท้าวดาหาผู้เป็นใหญ่ได้รับฟังสารทราบถึงข้อความแล้ว จึงรับสั่งแต่เสนาทั้งสองของท้าวกะหมังกุหนิงที่มาเข้าเฝ้าว่าอันนางบุษบาพระธิดาของเรานั้น ในครั้งก่อนเราไปยกให้แก่จรกาที่มาหมายหมั้นไว้ไปก่อนแล้ว และได้ปลงใจจะให้แต่งงานกันแล้ว อันจะรับของสู่ของท้าวกะหมังกุหนิงนี้ ก็ดูจะผิดประเพณียิ่งนัก เหล่าประชาราชอาจนินทาได้ จึงขอให้นำสิ่งของเหล่านี้กลับคืนไป
เหล่าทูตเมื่อรับแจ้งแล้วก็ทูลบอกพระองค์ว่า ท้าวกะหมังกุหนิงรับสั่งให้ตนทูลพระองค์ว่าถ้าแม้นพระองค์ไม่ยินยอมยกพระราชธิดาให้ ก็ให้ระวังพระองค์ให้ดี ให้สร้างบ้านเมืองของพระองค์ให้มั่นคง ครั้นแล้วองค์ท้าวดาหาก็ประกาศิตอย่างองอาจว่า หากจะยังคงทำสงครามก็ตามใจ พลางเสด็จลงจากที่นั่งแท่นทองเข้าด้านในอย่างฉับพลัน ธารกำนัลก็ปิดม่านในทันที ฝ่ายทูตก็ได้ออกจากเมืองดาหาพากันกลับทันใด ฝ่ายองค์ผู้เป็นสุริย์วงศ์องค์ดาหาเปิดหน้าต่างแล้วมีบัญชาสั่งเสนาให้เร่งไปทูลเหตุการณ์แก่ผู้เป็นพี่ของพระองค์ และทูลกับผู้เป็นน้องอีกสองคนของพระองค์ ไปบอกระตูจรกาอย่าจรกาอย่ามัวช้าเพราะจะมีข้าศึกยกทัพมาชิงชัย

 
ท้าวกุเรปันมีราชสารถึงอิเหนาและระตูหมันหยา

   ฝ่ายองค์ท้าวกุเรปันได้รับแจ้งว่าจะมีข้าศึกมารุกราน จึงให้แต่งสารหนังสือลับแล้วสั่งให้สองเสนาถือไปยังเมืองหมันหยา ฉบับหนึ่งเร่งนำกองทัพกำชับให้อิเหนาเร่งยกมาช่วย อีกใบหนึ่งไปให้กับเจ้าเมืองผู้ครองเมืองหมันหยา แล้วสั่งให้รีบไปให้ถึงเมืองหมันหยาภายใน 15 คืน ครั้นแล้วขุนนางได้รับคำสั่งแล้วจึงรีบนำสารไปจากท้องพระโรงในทันที พร้อมกับเรียกทั้งบ่าวไพร่ให้มาพร้อมหน้า แล้วรีบขึ้นขี่ม้าออกจากนครกุเรปันอย่างเร่งรีบในทันใด
ฝ่ายองค์ท้าวกุเรปันผ็เป็นใหญ่หลังจากที่ขุนนางได้ทูลลาไปแล้วพระองค์ก็ตรึกตรองในคดีความด้วยพระปรีชา แล้วตรัสกับกะหรัดตะปาตี ว่าสงครามนี้เห็นว่าจะสาหัส หากกลัวอนุชาจะเปล่าเปลี่ยวเศร้าใจ ไม่มีที่ปรึกษา จึงรับสั่งให้ยกพลยกกองทัพ ไปสมทบกับทัพของอิเหนาให้ทันอย่างเร็วไว อย่าให้ข้าศึกทันยกทัพมาประชิดเมืองได้
ฝ่ายกะหรัดตะปาตีผู้เป็นโอรสทูลสนองรับสั่งพระองค์ แล้วบอกว่าจะถวายบังคมลาในวันพรุ่งนี้ ครั้นถึงรุ่งสางก็เข้าอาบน้ำชำระมลทินจากร่างกาย สรงน้ำศักดิ์สิทธิ์แสนบริสุทธิ์ ลูบไล้ด้วยเครื่องหอม แล้วบรรจงสวมใส่สนับเพลาสวมใส่ภูษาสีดำอำไพ ในวันเสาร์ คาดผ้ารัดเอวใส่เข็มขัดเพชรแสนจะงดงาม ห้อยด้วยตาบทิศสวมสร้อยสังวาลทั้งทองกรทั้งแก้วช่างงดงาม ธำมรงค์ประดับด้วยพลอยเพชรมากมาย ทรงสวมชฎามาลัยมีดอกไม้ทัดที่แสนจะเจิดจ้าเปล่งประกาย พร้อมด้วยเหน็บพระแสงแล้วเข้าเฝ้าพระบิดา
แล้วเคารพกราบบังคมพระบิดาคอยฟังวาจารับสั่งจะให้บัญชาให้ยกทัพ ฝ่ายองค์ท้าวกุเรปันก็อวยพรให้โชคดีให้มีฤทธิ์เดชเก่งกล้าสามารถ ให้ศัตรูผู้มุ่งร้ายทั้งหลายจงพ่ายแพ้ ให้มีอานุภาพสามารถสยบศัตรูได้รอบทิศ ให้ศัตรูจงเกรงในฤทธิ์ในตัว ครั้นแล้วกะหรัดตะปาตีก็กราบบังคมไหว้รับพรจากพระบิดาแล้วทูลลาไป ครั้นทัพถึงถึงหน้าพระลานพร้อมด้วยบริวารทหารมากมาย ก็เสด็จขึ้นทรงม้าแล้วรับสั่งให้เคลื่อนพลออกไป รอนแรมอยู่ในป่าจนถึงทางร่วมเข้าสู้เมืองหมันหยาแล้วสั่งให้หยุดพลทัพไว้ คอยทัพของอิเหนาที่จะตามมา

 
ทัพเมืองกาหลังยกมาสมทบ

        ฝ่ายขุนนางตำมะหงงกาหลังรวมทั้งดะหมังและมหาเสนาใน ก็เร่งเกณฑ์ทัพในทันใด ได้จัดทหารอาสาผู้มีพื้นฐานการรบที่แข็งขันจำนวนห้าหมื่นคน มีช้างม้าและอาวุธอย่างครบครัน มีพลธงที่สำคัญคอยนำกองทัพ สองจอมทัพขึ้นขี่ม้ากองทัพแน่นอัดเต็มถนนข้ารับใช้เดินเคียงคอยกางสัปทน แล้วเคลื่อนพลออกจากเมืองไป
เมื่อมาถึงทางร่วมริมป่าก็พบกับกองทัพของกะหรัดตะปาตี ทั้งสองกองทัพได้สมทบกันพากันเคลื่อนตามทางมาพร้อมกัน
มาถึงฝ่ายทูตทั้งสองของท้าวกะหมังกุหนิงซึ่งได้ถือสารไปเมืองดาหานั้นก็พากันกลับมายังเมืองของตน จนถึงตัวเมืองกะหมังกุหนิง ก็ตรงดิ่งมายังวังใหญ่ เมื่อถึงเวลาก็เข้าเฝ้ากะหมังกุหนิงเหนือหัวในท้องพระโรง แล้วจึงก้มกราบบังคมทูลเหนือหัว ว่าได้ไปถวายสารมาแล้ว องค์ท้าวดาหาได้ทราบเนื้อความทุกประการ ทรงตรัสอย่างเฉียบขาดว่าพระธิดาของพระองค์นั้น มีจรกามาสู่ขอและได้ยกให้ทั้งยังได้กำหนดนัดหมายงานวิวาห์ไปแล้ว ส่วนบรรดาของถวายนั้นท่านไม่รับ ให้ส่งกลับมาทั้งหมด ท่านไม่ได้คิดเกรงองค์พระ คอยแต่จะตัดรอนซะทุกเรื่อง และได้ทูลความตามได้รับนอกสาร ถ้าท้าวดาหาไม่ให้พระธิดา ก็จงรีบเร่งทำการปรับแต่งพระนครให้มั่นคง รับทัพเหนือหัวที่จะยกมา จะชิงพระธิดาให้ได้หากใครที่ได้รับชัยชนะจะสมปรารถนา แต่องค์ท้าวดาหากลับตรัสว่าแล้วแต่ตามวิญญาณ์ ขอพระองค์จงทราบด้วย
เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงได้สดับฟังทั้งสองทูตทูลความดังนั้นก็โกรธอย่างยิ่ง จึงมีบัญชาตรัสออกมาด้วยความขัดเคืองใจว่า ดูดู๋เจ้าเมืองดาหา เราอุตส่าห์อ่อนน้อมง้อขอไปในสาร จะรับไว้ก็ไม่มีเลย ถึงแม้จรกามาขอนางไว้ แล้วได้ยกนางให้เขาไปก่อนก็สมควรอยู่ที่จะปราศรัยมาให้ดี แล้วดูสิมาตัดไม่ตรีให้ขาดกัน เรานั้นก็มีศักดามีบารมีมาก อาณาจักรก็กว้างขวางอยู่พอที่ จำเป็นจะต้องมีความพยายามไม่ละวาง จะต้องชิงนางบุษบามาให้ได้ หากไม่ได้สมดั่งใจหมายก็จะไม่ขอกลับคืนพระนครแห่งนี้อีก จะทำสงครามตามรังควาญอยู่ทุกครา จนกว่าชีวิตจะหาไม่
สองทูตทูลความอีกครั้ง ข้าได้ยินได้ตระหนักในใจว่าท้าวดาหาตรัสให้เสนารีบไปแจ้งเหตุแก่เชษฐา กับเมืองสิงหัสส่าหรี อีกทั้งพระอนุชาแห่งกาหลัง ทั้งยังเมืองแห่งระตูจรกา เห็นว่ากษัตริย์ทั้งสี่เมืองนั้นจะมาช่วยป้องกันเมืองดาหา เมื่อตอนที่ข้าออกมาจากเมืองนั้น เสนาก็ไปพร้อมกันด้วย
ฝ่ายท้าวกะหมังกุหนิงได้ฟังก็ยิ่งกริ้วโกรธยิ่งนัก จึงประภาษไป ถึงว่ากษัตริย์ทั้งสี่เมืองจะมาช่วยท้าวดาหารบเป็นศึกใหญ่ ตัวกูก็ไม่เกรงกลัวใคร จะหักล้างให้เป็นธุลีจงได้ พูดพร้อมสั่งอำมาตย์ดะหมังตำมะหงงให้เร่งเกณฑ์ไพร่พลที่มาความสามารถในสงคราม ให้เลือกสรรทหารทั้งสี่หมู่ที่เคยทำลายค่ายทำลายศัตรูมาแต่กองร้อยให้มารบในฉับพลับอย่าได้ครั่นคร้าม หาให้ได้ครบสามสิบหมื่นนายที่มีพื้นฐานการรบดี นำเอาวิหยาสะกำเป็นกองหน้า คอยตรวจตราเตรียมกระบวนทัพให้ถี่ถ้วน ส่วนกองหลังรั้งที่พลมนตรีของทั้งสองอนุชา กูจะเป็นจอมพลทัพ คอยหนุนทัพลูกให้เข้าโจมตี ไม่เกรงวงศ์เทวาแต่อย่างใด ให้ปรากฏถึงยศศักดิ์ในครั้งนี้ ครั้นแล้วเสด็จสั่งมหาเสนาถามขุนโหราทั้งสี่คนว่าการที่เราจะยกทัพไปต่อตีในวันพรุ่งนี้ จะดีร้ายประการใด

กลับมาต่อค่ะ ได้นิดนึง จะต่อไปเรื่อยๆถ้าทันนะคะ แหะๆ 
ลิงค์นี้ๆ >>> http://writer.dek-d.com/beamzang/writer/view.php?id=749745


PS.  ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ ยินดีเป็นเพื่อนกับทุกคน

แสดงความคิดเห็น

>

9 ความคิดเห็น

deer 2 พ.ย. 56 เวลา 10:15 น. 3

อยากได้ตอนตะหมันกุเรปันเฝ้าถวายสารท้าวหมันหยาและอิเหนา ขอด่วน ขอบคุนค่ะ เศร้าจัง

0
ปิ่นน 2 ก.ค. 58 เวลา 18:46 น. 7

เมื่อนั้น สังคามาระตาแข็งขัน
ขับม้าไวว่องป้องประจัญ เป็นเชิงชั้นชิงชัยในทีทวน
ร่ายรับกลับแทงไม่แพลงพล้ำ วิหยาสะกำผัดผันหันหวน
ต่างเรียงเคียงร่ายย้ายกระบวน ปะทะทวนรวนรุกคลุกคลี
ฯ๔คำฯ
เมื่อนั้น วิหยาสะกำเรืองศรี
ชักม้าวงวิ่งชิงที โหมหักไพรีก็แรงฤทธิ์
โถมแทงแล้วแปรเปลี่ยนกระบวน ทบทวนม้าที่นั่งไม่พลั้งผิด
หมายเขม้นเข่นฆ่าปัจจามิตร ตามติดต้านทานราญรอน
ฯ๔คำฯเชิด
นัยน์เนจรมุ่งหมายวิหยาสะกำ เห็นถลำเลี้ยวไล่ได้ที
พระแทงสอดลอดเกราะถูกไพรี ตกจากพาชีมรณา
ฯ๒คำฯเชิด
เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงใจกล้า
เห็นโอรสต้องศัสตรา ตกจากอาชาบรรลัย
กริ้วโกรธโกรธาบ้าจิต จะรอรั้งยั้งคิดก็หาไม่
แกว่งหอกคู่ขับอาชาไนย เข้ารุกไล่สังคามาระตา
ฯ๔คำฯ
เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์พงศ์อสัญแดหวา
เห็นไพรีรุกไล่อนุชา พระขับม้าถลันออกกั้นกาง
กลับกลอกหอกทรงพุ่งสกัด ระตูรับผันผัดไม่ขัดขวาง
พระชักอาชาไนยไว้วาง สะบัดย่างเชือนชายย้ายทำนอง
ฯ๔คำฯ
เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงว่องไว
ขับม้าวกวิ่งชิงคลอง เคล่าคลองกลับกลอกหอกซัด
ขยับกรผ่อนพุ่งข้างละที ระเด่นมนตรีป้องปัด
ระตูตามติดพันด้วยสันทัด ผันผัดอาวุธกันไปมาเศร้าจัง
ช่วยเเปลหน่อยคร้าาาา

0
GITF 22 ธ.ค. 58 เวลา 19:00 น. 8

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงระตูจรกานาถา
ตั้งแต่ให้ราชสารา ไปกล่าวบุษษได้ดังใจ
พระยิ่งชื่นชมโสมนัส ในจิตต์ประดิพัทธ์พิสมัย
มีแต่เปรมปริ่มกระหยิ่มใจ ดังได้เสวยสวรรค์ชั้นฟ้า
เวียนคลี่กระดาษวาดรูปนาง ประทับกับทรวงพลางทางหวลหา
ป่านนี้พุ่มพวงดวงสุดา จะคิดคอยพี่ยาทุกนาที
พี่ก็ให้เร่งรัดจัดงาน จะยกไปทำการภิเษกศรี
แต่โหยหวนครวญคะนึงถึงเทวี ไม่เป็นอันที่จะนิทรา
๏ ครั้นรุ่งรังสีรวีวรรณ พระทรงธรรม์อ่าองค์ทรงภูษา
ย่างเยื้องยุรยาตร์คลาดคลา ออกมาพระโรงรัตน์ชัชวาล
๏ บัดนั้น เสนาดาหาราชฐาน
ก้มเกล้าประณตบทมาลย์ ทูลแถลงแจ้งการทันที
บัดนี้พระผู้ผ่านดาหา ใช้ข้ามาทูลบทศรี
ด้วยท้าวกะหมังกุหนิงภูมี ให้เสนีนำราชสารา
ไปกล่าวพระบุตรีโฉมยง ให้องค์พระโอรสา
สมเด็จพระราชบิดา ตอบว่าได้ให้แก่ภูวไนย
ในว่าไม่ให้ไม่ฟังกัน จะชิงตุนาหงันให้ได้
ป่านนี้เห็นจะยกพลไกร มาชิงชัยดาหาธานี
๏ เมื่อนั้น ระตูจรกาเรืองศรี
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี ดังอัคคีจี้จุดดวงใจ
แผดเสียงสิงหนาทอาจหาญ เหม่มันอหังการหยาบใหญ่
จะชิงดวงยิหวาของกูไป ดีแล้วจะได้เห็นกัน
จึงตรัสสั่งดะหมังมนตรี เร่งตรวจเตรียมโยธีทัพขัน
ม้ารถคชไกรครบครัน ให้ทันจะยกยาตรา
ตำมะหงงจงเร่งรีบไป ทูลไทธิเบศร์เชษฐา
ให้กรีธาทัพใหญ่ไคลคลา ไปช่วยเข่นฆ่าไพรี
๏ บัดนั้น ทั้งสองเสนาบดีศรี
รับสั่งแล้วรีบจรลี มาตรวจเตรียมโยธีรี้พล
๏ กรมช้างผูกช้างขะนะงา กรมม้าผูกม้าโกลาหล
เหล่าทหารจัดแจงแต่งตน แต่ละคนแข็งขันเคยพันตู
มาเข้ากระบวนทัพคับคั่ง ซ้ายขวาหน้าหลังเป็นหมวดหมู่
บ้างถือเสน่าเกาทัณฑ์ทวนธนู โล่เขนหอกคู่ปืนไฟ
พร้อมพรั่งดั้งพยุหโยธา ดาบดาดังสายน้ำไหล
ตำมะหงงเสนนั้นรีบไป ยังกรุงไกรล่าสำธานี
๏ เมื่อนั้น ระตูจรกาเรืองศรี
ครั้นใกล้พิชัยฤกษ์ดี ก็จรลีมาสรงคงคา
๏ ขัดสีสารพางค์สำอางองค์ บรรจงทรงสุคนธ์โอ่อ่า
ผัดพักตร์ลูบไล้ไปมา ให้กลบผิวพัตราพระภูมี
ใส่สนับเพลาทรงภูษา งามวิจิตรรจนาระบายสี
ฉลององค์ทรงกระสันอินทรีย์ ซึ่งพ่วงพีให้เห็นเป็นทรวดทรง
ห้อยหน้าผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณ ทับทรวงดวงกุดั่นดอกตันหยง
ทองกรกาบกิ่งยิ่งยง ธำมรงค์ร่วงรุ้งพาหุรัด
ทรงชฎาเดินหนกุณฑลทอง เรืองรองดอกไม้ไหวสะบัด
ห้อยอุบะบรรจงทรงทัด พระหัตถ์กุมกฤชแล้วจรจรัล
๏ เสด็จขึ้นทรงคอคชสาร สอดชนักหน่วงพานผูกมั่น
ได้ฤกษ์ยิงปืนเป็นสำคัญ ให้เคลื่อนพลขันธ์มิทันนาน
๏ ช้างเอยช้างต้น ชาญชนชะนะงากล้าหาญ
ใหญ่หลวงพ่วงพีพ้นประมาณ เคยเป็นคชาธารที่นั่งทรง
ทนปืนยืนสู้ศึกใหญ่ เข้าไหนไล่ลุยเป็นผุยผง
สำเนียงโกญจนาทอาจอง งางอนดังจะส่งสอยดาว
ผูกเครื่องเรืองรัตน์รายอร่าม ห้อยหูพู่จามรีขาว
ปกกระพองกรองแก้วแพรวพราว กระวินวาวชนักถักทอง
เครื่องสูงชุมสายรายเรียง แส้เสียงประโคมคึกกึกก้อง
ช้างม้ารน-ทะยานร้อง ยกกองทัพรีบคลาไคล
๏ เดินทางค้างทิวาราตรี หมายจะล้างไพรีให้ตักษัย
รีบเร่งบทจรไม่นอนใจ ถึงพิชัยดาหาธานี
๏ เมื่อนั้น ฝ่ายระเด่นมนตรีเรืองศรี
ไสยาสน์ในราษราตรี แสนทวีเทวษในวิญญาณ์
ม่อยหลัยแล้วกลับผวาตื่น คิดแต่จะคืนไปหมัยหยา
ป่านนี้โฉมงามสามสุดา จะละห้อยคอยหาทุกคืนวัน
เวลาดึกเดือนตกนกร้อง ระวังไพรไก่ก้องกระชั้นขัน
เสียงดุเหว่าเร้าเรียกหากัน ฟังหวั่นว่าเสียงทรามวัย
พระลุกขึ้นเหลือบแลชะแง้หา เจ้าตามมาร้องเรียกหรือไฉน
ลมชวยรวยรสสุมาลัย หอมเหมือนกลิ่นสะไบบังอร
ยิ่งเคลิ้มคลุ้มกลุ้มจิตต์พิศวง ทอดองค์ลงกับบรรจฐรณ์
กลิ้งกลับสับสนทุรนร้อน กรตระกองกอดหมอนถอนฤทัย
๏ ครั้นรุ่งรางสว่างเวหน สุริยนแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
จึงอ่าองค์ทรงเครื่องอำไพ ภูวไนยเสด็จออกหน้าพลับพลา
๏ ได้ยินเสียงแตรสังข์ฆ้องกลอง ครั่นครึกกึกก้องมาหนักหนา
จึงดำรัสตรัสสั่งปูนตา จงให้โยธาไปถามดู
ใครยกทัพมาแต่เมืองไหน เหตุใดจึงล่าช้าอยู่
หรือพวกอริราชศัตรู จะมาพันตูต่อตี
๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงประณตบทศรี
ออกมาสั่งกันทันที ตามมีพระราชบัญชา
๏ บัดนั้น ปะหรัดกะติกาใจกล้า
คำนับรับคำแล้วอำลา เผ่นขึ้นม้าควบขับไปฉับไว
๏ ครั้นถึงจึงถามถ้วนถี่ ทัพยกมานี้จะไปไหน
อยู่ยังถิ่นฐานบ้านเมืองใด คือใครเป็นจอมจตุรงค์
ระเด่นมนตรีตรัสใช้ มาถามไถ่ให้แจ้งโดยประสงค์
จงบอกเนื้อความตามตรง จะได้ไปทูลองค์พระทรงธรรม์
๏ บัดนั้น ปะหรัดกะติกาอัชฌาสัย
ได้ฟังจะแจ้งไม่แคลงใจ ก็เร่งรีบกลับไปไม่รอรั้ง
๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปหา ปูนตาพี่เลี้ยงผู้รับสั่ง
แล้วแถลงแจ้งความให้ฟัง โดยดังคดีทุกประการ

<ช่วยเราแปลน่อยสิ>

0
Apcy20 24 พ.ค. 60 เวลา 19:18 น. 9

เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี

จึ่งถอดโกลนโจนจากพาชี ภูมีไม่ยั้งรั้งรา

ทรงกระบี่รำเรียงเคียงร่าย ประปรายปลายกระบี่แล้วให้ท่า

กระหยับหันผันหลังออกมา แล้วกลับหน้าจ้วงโจมเข้าฟันแทง

0