Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

คำสอนของศาสนาเชนมีต้นกำเนิดมาจากคำสอนและแนวปฏิบัติของศาสนาพรามณ์ฮินดูแต่ตัดเรื่องการบูชาเทพเจ้าออกไป จนได้ศาสนาใหม่คือศาสนาเชน

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ศาสนาเชน เป็นศาสนาที่เก่าแก่มากศาสนาหนึ่งทางซีกโลกตะวันออก  ถือกำเนิดที่ดินแดนชมพูทวีป ปัจจุบันคือประเทศอินเดียก่อนพุทธศักราช 58 ปี ศาสดาองค์สำคัญที่ได้รับการนับถือในปัจจุบันคือ พระมหาวีระ ซึ่งถือเป็นศาสดาองค์ที่ 24 ของศาสนาเชน องค์มหาวีระมิได้เป็นผู้ก่อตั้งศาสนาเชนแต่พระองค์เป็นผู้สืบทอดและปฏิรูปหลักคำสอนตลอดจนวิถีปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นจากองค์ศาสดารุ่นก่อนทั้ง 23 องค์
       คำว่า "เชน" มาจากศัพท์ว่า "ชินะ" แปลว่า ชนะ มีนัยหมายถึงการเอาชนะภายใน คือ กิเลสของตนเอง ศาสนาเชนถือว่ากิเลสเป็นสิ่งเลวร้าย เพราะนำความทุกข์ ความวิบัติมาสู่ตนเองและผู้อื่น เช่น การทำสงครามหรือการเข่นฆ่าทำร้ายกัน เหตุปัจจัยของการกระทำเหล่านี้ก็เนื่องมาจากอำนาจของกิเลส  นอกจากนี้กิเลสยังเป็นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น
       องค์มหาวีระทรงสั่งสอนมนุษย์ผู้ให้เกิดปัญญาด้วยหลักแห่งการดำเนินชีวิต 5 ข้อ คือ
       1.  อหิงสา (Ahimsa: Non-violence) คือ การไม่เบียดเบียนกันและมีเมตตากรุณาเอื้ออาทรต่อกันทั้งทางกาย วาจา ใจ
         การไม่เบียดเบียน หมายถึงการไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนหรือความทุกข์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การไม่เข่นฆ่าทำร้ายชีวิตมนุษย์และสัตว์  หรือ การพูดและการคิดที่ไม่บริสุทธิ์   นอกจากนี้ผู้นับถือศาสนาเชนยังบริโภคอาหารมังสวิรัตอย่างเคร่งครัด  และหลีกเลี่ยงอาหารมังสวิรัตบางชนิดที่อาจทำให้เกิดการเบียดเบียนชีวิตพืชและสัตว์ เช่น ผลไม้ที่มีเมล็ดพันธุ์มาก  ผลไม้ที่มีราก  น้ำผึ้ง  นม  ไข่ ฯลฯ หลักแห่งการอหิงสาอีกข้อหนึ่งคือการให้ผู้ที่นับถือศาสนานี้ละเว้นอย่างเด็ดขาดในการประกอบอาชีพที่อาจก่อให้เกิดการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์  รวมไปถึงพืชพันธุ์นานาชนิด เช่น อาชีพเกษตรกรรม  ปศุสัตว์ การค้าอาวุธ หรืออาชีพพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมที่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น สรรพสัตว์และธรรมชาติอื่นๆ เป็นต้น
2. อมุสาวาท (Truthfulness) การไม่พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดโอ้อวด หลักการนี้ได้แก่การพูดแต่ความจริงและการไม่ใช้คำพูดเพื่อทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่น
3.     อทินนาทาน (Non-stealing) การไม่ลักขโมยเอาสิ่งที่ผู้อื่นหวงแหนและไม่ได้ให้ด้วยความเต็มใจ รวมทั้งไม่ฉ้อโกง ไม่ขูดรีด กรรโชก ทุจริตด้วยเหตุผลใดๆ การลักขโมยถือเป็นสาเหตุแห่งการเบียดเบียนผู้อื่นโดยตรง ข้อปฏิบัตินี้ยังรวมไปถึงการมิควรหยิบของของผู้อื่นมาใช้โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ที่เป็นเจ้าของ
4.     พรหมจรรย์ หรือ พรหมจริยา  (Chastity) การประพฤติพรหมจรรย์ คือ การประพฤติตนในหลักแห่ง เมตตา กรุณา และการยึดมั่นพอใจในคู่ครองของตน รวมไปถึงการดำรงตนให้บริสุทธิ์ด้วย กาย วาจา ใจ หลักปฏิบัติข้อนี้สำหรับนักบวชเชน คือการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ออกจากกามโภคี แต่สำหรับฆราวาส คือการมีความพอใจในคู่ครองของตน
5.     สันโดษ หรือ สมชีวิตา (Aparigrah: Non-
possessiveness) การใช้ชีวิตให้พอเหมาะ ไม่โลภอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้รับ นอกเหนือจากความสมเหตุสมผล ศาสนาเชนเป็นศาสนาที่สอนให้มนุษย์ลดละความต้องการทางวัตถุและทรัพย์สิน และไม่พึงปรารถนาสิ่งใดจนเกินควร การไม่ยึดติดในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเหตุให้ผู้ละมีจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ และเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นในเบื้องหน้า
ทัศนคติและความเชื่อในศาสนาเชน
       ศาสนาเชนเชื่อว่าโลกและจักรวาลไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ ปฏิเสธทัศนะเรื่องการสร้างโลกและความเชื่อเรื่องพระเจ้า ศาสนาเชนเชื่อเรื่องกรรมและการเกิดใหม่ ทัศนคติที่ผู้นับถือศาสนาเชนยึดถือและปฏิบัติคือ การมีชีวิตอยู่เพื่อให้ชีวิต (ช่วยเหลือผู้อื่นและสรรพสิ่ง)  ( live and let live)  องค์มหาวีระทรงสอนว่า เราคือมนุษย์ ดังนั้นเราจงใช้ชีวิตในการช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนี้ มิได้หมายถึงเพียงแค่การช่วยเหลือชีวิตมนุษย์เท่านั้น แต่พระองค์ทรงหมายถึงสรรพชีวิตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ รวมไปถึงพืชพันธุ์ อากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ หลักอหิงสาในศาสนาเชนเชื่อว่าทุกอณูพื้นที่เต็มไปด้วยชีวิต ชีวิตทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกัน ศาสนาเชนสอนว่า ธาตุธรรมชาติทั้งหลายที่เป็นแหล่งก่อกำเนิดชีวิต  ธาตุธรรมชาติเหล่านี้มีความเป็นชีวิตอยู่เช่นกัน ดังนั้น เราจึงควรเคารพธรรมชาติและไม่เบียดเบียนสิ่งเหล่านี้
       ในทางปรัชญา เสาหลัก 3 ข้อที่ศาสนาเชนถือเป็นพื้นฐานสำคัญต่อความเชื่อ คือ
1. หลักอหิงสา (Ahimsa) หลักแห่งการไม่เบียดเบียน
2. ปริจาคะ / อนุปาทาน  (Aparigraha)  คือ การรู้จักเสียสละ เอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นตามสมควร รู้จักแบ่งปัน และการไม่ยึดติดในวัตถุหรือสิ่งรอบกายจนกลายเป็นความเดือดร้อน ปรัชญาเชนสอนให้มนุษย์รู้จักประมาณความต้องการและความปรารถนาของตนเอง การไม่ยึดติดในที่นี้หมายถึง การไม่ยึดติดในวัตถุอันเป็นทรัพย์สมบัติและความเป็นบุคคล (รูป สี เสียง กลิ่น รส) ศาสนาเชนเชื่อว่าความต้องการในวัตถุและความยึดติดเป็นเหตุแห่งทุกข์ การลดละความต้องการถือเป็นหนทางแห่งการละซึ่งกิเลส อันเป็นไปในทางพ้นทุกข์ อีกทั้งยังนำความสุขสงบมาสู่โลกอีกด้วย
3. อเนกวาทะ หรือ นานาจิตตัง (Anekantvaad) หรือ (Syadvaad)  ทัศนะการมองโลกแบบสัมพัทธ์ คือ การรับฟัง และพิจารณาว่ามีความจริงในความเชื่อหรือทัศนะของบุคคลอื่นที่ต่างกับของเรา ข้อนี้นำไปสู่การยอมรับในตัวตนและความคิดของปัจเจกบุคคล (Individual) และการเปิดใจไม่ปิดกั้นทัศนะที่แตกต่างจากความคิดตน  ปรัชญาอเนกวาทะนี้เห็นว่าสัจจธรรมมีลักษณะซับซ้อนและหลากหลาย  ทัศนะของเราที่มองหรือเข้าใจความจริงถือเป็นทัศนะในลักษณะของปัจเจกบุคคลที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อดั้งเดิมและประสบการณ์ส่วนตัว  ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะมีความคิด  ความเชื่อ หรือทัศนะอื่นๆ ที่แตกต่างจากเราที่มีความถูกต้อง ความดี ความงาม และความจริง   เช่นกัน  หลักการมองโลกในลักษณะสัมพัทธ์นี้  ถือเป็นทัศนะที่หลีกเลี่ยงการเชื่อแบบฝังหัวและความมีทิฐิว่าทัศนะของตนถูกต้องแต่ฝ่ายเดียว   นอกจากนี้ปรัชญาอเนกวาทะนี้ยังนำมาสู่ขันติธรรม และความประนีประนอมในความสัมพันธ์ต่อบุคคลอื่น  และเป็นพื้นฐานที่ดีต่อการเผชิญหน้ากับทัศนะที่หลากหลาย (พหุนิยม –Pluralism ) จากความคิดของคนหลายกลุ่ม ในมิติทางศาสนาแล้ว อเนกวาทะหรือทัศนะการมองโลกแบบสัมพัทธ์นี้นับได้ว่าเป็นอหิงสา หรือการไม่เบียดเบียนผู้อื่นโดยแท้ ทั้งทางความคิด ความรู้สึก และทางใจ
ไตรรัตน์ คือ คุณค่าแห่งชีวิต 3 ประการ (The Three Jewels):
         คุณค่าแห่งชีวิต 3 ประการ  ถือเป็นหลักปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร และเอาชนะกรรม
1.  สัมมาทัศนะ/สัมมาทิฏฐิ (Right Faith)
การมีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเหตุผลและความเป็นจริง          
คือ การสามารถแยกแยะมองเห็นสิ่งต่างๆว่าสิ่งใดหรือการกระทำใดถูกต้องและไม่ถูกต้อง
2. สัมมาสังกัปปะ (Right Knowledge)
ได้แก่ การมีความรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริงคือ รู้ว่าสิ่งไหนเป็นโทษ สิ่งไหนเป็นประโยชน์ สิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ คือการมีความรู้ที่จะทำให้จิตวิญญาณมีความสะอาด บริสุทธิ์ เช่น การรู้ว่าความต้องการวัตถุในทางโลกและการยึดติดเป็นเหตุแห่งความทุกข์และการติดข้องอยู่ในวัฏสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด)
3. อาชีวะปาริสุทธิ  (Right Conduct)
ได้แก่ ความหมดจดแห่งการใช้ชีวิต คือ การปฏิบัติตนอยู่ในหลักแห่งความถูกต้อง ความเหมาะสมและความดีตลอดเวลา ไม่ทำกิริยาใด ๆ ที่จะทำให้ตัวเองและผู้อื่นได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจทั้งต่อหน้าและลับหลังตามทัศนะของเชนการปฏิบัติตนอยู่ในหลักแห่งความถูกต้องคือการปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนา โดยเฉพาะเรื่องการไม่เบียดเบียน บุคคลใดมีความเห็นและความรู้ที่ถูกต้องแล้ว  เขาย่อมมีการกระทำที่ถูกต้อง ในทางตรงกันข้าม บุคคลใดปราศจากความเห็นและความรู้ที่ถูกต้อง การกระทำที่ถูกต้องย่อมมิอาจที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน
หลักแห่งการบริจาค
       การครอบครองวัตถุหรือสิ่งของจนเกินความพอดีถือเป็นสิ่งที่ผู้นับถือศาสนาเชนพึงตระหนักและลดละเสีย หรือกระทำให้น้อยที่สุด การให้ทาน หรือบริจาคสิ่งของ แบ่งปันสิ่งของแก่ผู้ที่ด้อยโอกาส  หรือดำเนินงานการกุศลต่างๆให้แก่โรงพยาบาล  โรงพยาบาลสัตว์  โรงเรียน   ผู้พิการ  บ้านพักคนชรา  และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฯลฯ ถือเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของผู้นับถือศาสนาเชนอันเป็นไปตามหลักคำสอนของศาสนา คือ การมีชีวิตอยู่เพื่อให้ชีวิต (ช่วยเหลือผู้อื่น) เมื่อเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักถึงคือ การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของบุคคลอื่นเพื่อสังคมและโลกที่ดี

แสดงความคิดเห็น

>