โต้วาที: การบ้านของเด็กไทยมากเกินไป ควรลดให้น้อยลง
ตั้งกระทู้ใหม่
"การบ้านของเด็กไทยมากเกินไป ควรลดให้น้อยลง" สนับสนุน หรือ เห็นต่าง แสดงความคิดเห็นกันได้เลย
139 ความคิดเห็น
เรียน 10 วิชา การบ้าน 10 วิชา
อาจารย์น่าจะลองปรึกษากันก่อน
งานเยอะไม่ว่า แต่อย่ามาพร้อมกัน
มันปวดใจ T____T
ควรลดความยากด้วย
และที่สำคัญ
ถ้าจะให้งานใหญ่
(รายงาน โครงงานฟิวเจอร์บอร์ด การแสดง โปรเจกต์ ป้ายนิเทศ ฯลฯ)
ควรสั่งตั้งแต่ต้นเทอมและ
ห้ามสั่งงานเล็กซ้อนกันอีก
การบ้านยากน่ะไม่เท่าไรเพราะอย่างน้อยก็มีเฉลย
แต่ไอที่การบ้านแสนง่าย แต่ออกข้อสอบมหาเซียนไทเก๊ก
มันหมายความว่ายังไงคะท่านอาจารย์
คิดถึงวัยเรียนแล้วเหมือนถูกแกล้วยังไงพิลึก?
-________________-
การบ้านถ้าทำเอง ยิ่งเยอะก็ยิ่งเป็นผลดีกับตัวเราเอง แต่ส่วนมากกลับลอกกัน แล้วกลายเป็นค่านิยมมาจนโต ลอกไปเหอะ ใครๆก็ลอก หึหึ โตไปไม่โกง เย้
เรื่องนี้มีผลประโยชน์ทับซ้อน
ยังไงเด็กที่อยู่วัยเรียนก็ไม่อยากทำการบ้านอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าการบ้านจะเยอะจริงหรือไม่ ยังไงผลโหวตก็ย่อมเอียงไปทางการบ้านหนักอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแจกแจงว่าการบ้านที่เป็นอยู่นี้มีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไรเสียก่อนที่จะสรุปว่าการบ้านที่เป็นอยู่นั้นมากเกินไปจริง
อย่างไรก็ตาม มีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนคิดว่าการบ้านยิ่งเยอะยิ่งดี... เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ? ขอยกเรื่องนี้มาพูดคุยเสียก่อน
เด็กมีหน้าที่เรียนหนังสือ ดังนั้นเรียนยิ่งหนักการบ้านยิ่งเยอะยิ่งดี
...เป็นคำพูดที่ฝังหัวจนผ่านมาหลายยุคหลายสมัย แต่ส่วนตัวไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง
เด็กไม่ได้มีหน้าที่เรียนหนังสือ หากมีหน้าที่เรียนรู้เพื่อที่จะอยู่รอดในสังคมด้วยตัวเองในอนาคต
การเรียนหนังสือเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้อยู่รอดในสังคม
ดังนั้นจะพบได้ว่าความรู้ที่เราเรียนในโรงเรียนหลายครั้งจะเป็นความรู้พื้นฐานที่เราจำเป็นต้องรู้เพื่ออยู่รอดในสังคมให้ได้
และเมื่อปูพื้นฐานจนดีแล้ว ความรู้ต่อไปที่ต้องมี คือความรู้ที่เอาไปใช้ในอาชีพที่เด็กคนนั้นจะประกอบในอนาคต
แค่จุดนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว !
อันดับแรก แวดวงการศึกษาไทยรวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง ต่างลืมไปแล้วว่าเด็กเรียนเพื่อให้มีความรู้พื้นฐานให้อยู่รอดในสังคม !
การเรียนหลายอย่างเน้นเพื่อการสอบแข่งขันเป็นหลัก ทำให้เด็กรู้แต่วิธีทำข้อสอบ แต่ไม่รู้ที่จะประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง
ต่อมาความรู้ที่จะเอาใช้ในการประกอบอาชีพ มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนว่าเด็กต้องการจะทำอะไรในอนาคต
หากไม่รู้ก็ป่วยการเปล่าที่จะขวนขวายความรู้ในตรงนั้น เพราะแต่ละอาชีพล้วนแต่มีลักษณะเฉพาะ ด้วยความรู้หลายอย่างไม่ได้ใช้ในหลายอาชีพ การจะเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวประกอบอาชีพที่ยังไม่รู้เป็นการเสียเปล่า
และไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่เด็กต้องเรียนรู้เพื่ออยู่รอดในสังคมไม่ได้มีความรู้ทางวิชาการ
หากยังเป็นศีลธรรม จริยธรรม วิถีประชา ทัศนคติ และแนวคิด อันยากที่จะหาได้ในห้องเรียน หากตัวเด็กต้องเรียนรู้มันจากการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
ดังนั้นย้อนกลับมาถาม... ว่าการบ้านที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมีมากหรือน้อย ?
ตรงนี้ต้องเริ่มก่อนว่า การบ้านมีเพื่ออะไร ?
เพื่อให้ทบทวนบทเรียน เพื่อฝึกความขยัน และฝึกความรับผิดชอบ
ซึ่งจุดนี้ ยิ่งทำการบ้านมาก ยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นจริงหรือ ?
ทบทวนบทเรียน - การให้การบ้านเด็ก ถือเป็นการที่ทำให้เด็กได้ทบทวนบทเรียนจริงหรือ ?
จุดนี้ถามว่า หากเด็กผู้นั้นไม่รู้ หรือจำไม่ได้ว่าสิ่งที่เรียนคืออะไร จะสามารถทำการบ้านที่ให้มานี้เพื่อเกิดการทบทวนบทเรียนได้หรือไม่ ?
คำตอบคือ ไม่
เพราะในเมื่อเด็กจำไม่ได้ ย่อมทำการบ้านไม่ได้ แล้วเช่นนี้จะถือว่าเป็นการทบทวนบทเรียนได้อย่างไร
การจะหวังว่าเด็กจะสามารถถามผู้รู้ได้ หาจากหนังสือหรือในเน็ตได้ จะเป็นเช่นนั้นเสมอไปจริงหรือ ? การจะไปคาดหวังว่าเด็กต้องเก่งเองคงไม่ใช่อย่างแน่นอน
หากจะให้เด็กรู้ได้เองว่าการบ้านที่ทำได้ยังไงแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีครูมาสอนตั้งแต่ต้น
การทบทวนบทเรียนจะเกิดได้กับเด็กที่เรียนในห้องเรียนจนรู้ หรือพอรู้แล้วเท่านั้น การบ้านมีเพื่อให้เด็กแน่ใจว่าตัวเองสามารถทำโจทย์ข้อนั้นโดยตนเองได้
ซึ่งกระบวนการนี้สามารถเกิดขึ้นในห้องเรียน ไม่จำเป็นจะต้องเกิดนอกห้องเรียน และจะเหมาะสมกว่าหากเกิดในห้องเรียน เพราะเด็กมีครูซึ่งเป็นผู้รู้อยู่ใกล้จึงสามารถทำได้เสมอ
และหากต้องการให้เด็กเก่งด้วยการทบทวนบทเรียนมาก ๆ เด็กควรที่จะเลือกทำด้วยตนเอง หรือด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
เช่นการไปเรียนติวพิเศษหลังเลิกเรียนอะไรพวกนี้เป็นต้น การโยนการบ้านให้แล้วคาดคั้นว่าจะต้องทำไม่ถือว่าเป็นการที่ให้เด็กสามารถทบทวนบทเรียนตัวเองได้จริง
ดังนั้นสรุปว่าการบ้านทำให้เด็กทบทวนบทเรียนได้หรือไม่ ?
คำตอบคือได้ สำหรับเด็กที่รู้บทเรียนและมีจิตใจที่ต้องการจะทบทวนบทเรียนมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
กระนั้นก็ใช่ว่าจะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะการไปเรียนพิเศษเด็กจะได้ประโยชน์กว่าเพราะมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยอย่างมากที่สุด ดังนั้นการบ้านเพราะเรื่องนี้อาจให้เป็นแค่ทางเลือกก็ได้ แต่ไม่มีการตรวจในภายหลัง
ส่วนเด็กที่ไม่รู้บทเรียนที่สอน หรือไม่มีจิตใจจะทบทวนบทเรียน ในส่วนนี้จะถือว่าไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร เพราะมีโอกาสสูงที่จะไม่ทำการบ้าน หรือทำการลอกในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ในห้องเรียนที่มีเด็กเยอะ ผู้สอนย่อมไม่รู้ว่าเด็กที่สอนรู้ในสิ่งที่สอนจริงหรือไม่ การให้การบ้านไปทบทวนจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการวัดผลว่าเด็กรู้สิ่งที่เรียนหรือไม่นอกเหนือจากการสอบ
ทว่าหากมีมากหรือยากจนเกินไป เด็กอาจเลือกที่จะไม่ทำแทนก็ได้ ทั้งยังเป็นการตรวจสอบที่ทับซ้อน การจะทราบว่ารู้ในสิ่งที่เราสอนจริงหรือไม่ โจทย์เพียงข้อเดียวในเรื่องนั้นน่าจะให้คำตอบได้อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องทำให้มีหลายข้อ และไม่จำเป็นต้องทำให้ยากมากนักเพราะอาจจะทำให้ไม่ทราบได้ว่าที่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร
ด้วยเหตุนี้ ต้องแยกให้ออกว่าการบ้านมีเพื่ออะไร
หากต้องการให้เด็กทบทวนความรู้เพื่อจะได้เก่งมากขึ้น ให้เป็นแค่ตัวเลือก และไม่จำเป็นต้องทำส่ง แต่หากสงสัยก็เปิดโอกาสให้ถามในวันถัดไป
หากต้องการตรวจสอบว่าเด็กรู้สิ่งที่เราสอนหรือไม่ บังคับให้ทำแค่ไม่กี่ข้อด้วยโจทย์เพียงง่าย ๆ และควบคุมไม่ให้ลอกกันได้ก็พอ
ขยันและรับผิดชอบ - เป็นคำพูดหนึ่งที่มักใช้เพื่อความชอบธรรมในการให้การบ้านที่มาก ๆ
ทว่า... การบ้านที่เยอะอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กขี้เกียจและขาดความรับผิดชอบแทนก็ได้
เนืองด้วยอย่างที่ได้กล่าวไว้ในช่วงต้น เด็กไม่ได้มีหน้าที่ในการเรียนเพียงอย่างเดียว หากมีหน้าที่ในการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดในสังคมได้ในอนาคต
ดังนั้นความขยันและรับผิดชอบจึงไม่ได้มีแค่เพียงแค่การทำการบ้าน หากทำและสมควรจะทำได้ด้วยงานบ้านต่าง ๆ
ไม่ว่าจะกวาดบ้าน ถูพื้น ซักผ้า รดน้ำต้นไม้ เลี้ยงน้อง ดูแลหมา ทำอาหาร ฯลฯ
แต่การบ้านที่เยอะจะทำให้เด็กไม่สามารถทำและรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ได้ อีกทั้งการบ้านที่เยอะจะเป็นข้ออ้างที่เด็กจะใช้เพื่อไม่ทำงานบ้านเหล่านี้อีกต่างหาก
ดังนั้นการบ้านที่เยอะจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กขาดความรู้ความรับผิดชอบในการทำงานบ้าน ที่ถือเป็นความรู้ที่จำเป็นในการอยู่ร่วมกับสังคมได้
นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวที่ว่า "ฉลาดแต่ขี้เกียจ ดีกว่า โง่แต่ขยัน"
การขยันแต่ขยันในเรื่องที่เปล่าประโยชน์และผิดทาง จะทำให้ไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้
การบ้านที่มีเยอะหลายครั้งไม่ได้มอบความรู้อะไรให้กับเรา เพียงแต่ทำสิ่งที่ซ้ำซากจำเจและแบบถึก ๆ ไม่ได้ให้คิดหรือใช้ทักษะจนให้เราเมื่อยมือเพียงเท่านั้น
หากเด็กต้องการจะเก่งมีความสามารถในการเรียน ก็มีทางลัดที่สามารถที่ทำได้ดีและเร็วกว่าการทำการบ้านที่มาก ๆ คือการเรียนพิเศษ
โดยการให้การบ้านเยอะ ๆ จะทำให้เด็กที่เลือกจะขยันด้วยการเรียนพิเศษ ไม่อาจจะเรียนพิเศษได้เต็มที่เพราะต้องเจียดเวลากับการทำการบ้านแทน
ไม่เพียงแค่ส่วนนี้ การทำการบ้านที่มากจนเกินไปยังทำให้เกิดผลเสียอื่นด้วยเช่นกัน
...แม้แต่เครื่องจักร ยังมีเวลาที่จะต้องพักและซ่อมบำรุง
การนอนของมนุษย์ไม่ถือว่าเป็นการพัก เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องทำแต่ต้นอยู่แล้ว
ทว่าการพักของมนุษย์คือการผ่อนคลายทางจิตใจ เช่นการทำงานอดิเรกต่าง ๆ
การให้การบ้านจนมากเกินไปทำให้เด็กไม่อาจหาเวลาว่างมาทำงานอดิเรกได้อย่างเท่าที่ควร
ซึ่งแม้แต่เครื่องจักรที่ทำด้วยเหล็กด้วยโลหะยังสามารถพังได้ แล้วเด็กที่ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบและไม่ใช่เครื่องจักรจะทนได้แค่ไหน ?
ยังไม่รวมถึงเด็กไม่ได้มีหน้าที่แค่การเรียน หากต้องเรียนรู้เพื่ออยู่รอดในสังคม การเรียนที่มากไปจะทำให้เด็กขาดการเรียนรู้ในส่วนนี้แทน
ทั้งตัวเด็กจะต้องแสวงหาตัวเองเพื่อจะให้ทราบว่าตนเองถนัดอะไรชอบอะไร และจะได้มุ่งหน้าสู่สายอาชีพนั้นในอนาคต
ทว่าการที่เรียนจนมากเกินไปทำให้เด็กไม่สามารถค้นหาตัวเองได้
และเรื่องนี้เองก็ยังส่งผลต่อการเรียนในอนาคตของเด็ก เพราะว่าไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรจึงได้แต่เรียนแบบจับฉ่ายมั่วไปหมดไว้ก่อน
ทำให้ไม่สามารถเจาะจงเจาะลึกกับวิชาที่สนับสนุนต่ออาชีพที่จะทำในอนาคตของเด็กได้อย่างเต็มที่
อีกตัวเด็กเองยังไม่มีแรงกระตุ้นที่จะขยันเพราะไม่มีเป้าหมายแน่ชัด ทำให้ขาดการกระตือรือร้นในการเรียนอย่างไม่ควรจะเป็น
จากทั้งหมด สรุปได้ว่า การบ้านที่มากเกินไปไม่มีประโยชน์ ซ้ำยังจะมีแต่โทษ
ดังนั้นย้อนกลับมาดูว่า เด็กไทยเรียนมากไปหรือไม่ ?
จากคีย์เวิร์ดที่ให้ไป หากเด็กเสียเวลาทั้งหมดกับการเรียนและทำการบ้าน จนไม่อาจมีเวลาที่จะเรียนรู้อย่างอื่นเพื่ออยู่ในสังคมในอนาคตได้เลยคือการที่เด็กไทยเรียนและมีการบ้านมากจนเกินไป
ประเด็นไม่น่าจะที่เยอะหรือไม่เยอะ น่าจะดูว่ามีวิธีไหนทีทำให้เด็กรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำการบ้านเอง
การจะให้เด็กเลือกที่จะทำการบ้านเอง ต้องใช้วิธีชักจูงให้อยากทำ
แต่ปัจจุบันเป็นวิธีบังคับให้ต้องทำ ซึ่งส่งผลให้เด็กไทยไม่รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำการบ้าน
โดยวิธีชักจูงที่เห็นผลได้ชัด และยั่งยืนมากที่สุดคือการทำให้เด็กรู้เป้าหมายในอนาคตว่าอยากเป็นอะไร
เด็กก็จะขยันเอง แน่นอนว่ารวมถึงการบ้านด้วย
ทว่าในปัจจุบัน เด็กไม่ได้ออกไปไหนเลยนอกจากหน้าโต๊ะเรียน
เวลาที่เหลืออย่างมากก็เพียงพอที่จะตักตุนความผ่อนคลายด้วยงานอดิเรก
นอกจากนี้แล้ว เด็กไม่อาจจะขวนขวายหาตัวเองได้เลย
และเมื่อขวนขวายหาตัวเองไม่ได้ก็จะไม่มีเป้าหมาย
เมื่อไม่มีเป้าหมายก็จะไม่มีแรงจูงใจ
เมื่อไม่มีแรงจูงใจก็จะไม่ขยัน
เมื่อไม่ขยันก็ไม่อยากคิดที่จะทำการบ้านเอง เพราะไม่เห็นว่ามีประโยชน์
ซึ่งปัจจุบันการเรียนและการบ้านที่เป็นอยู่ทำให้เด็กไม่อาจจะมีเวลาขวนขวายหาตัวเองได้
ยังไม่รวมถึงปัจจุบัน ข้อมูลเชิงสถิติเมื่อเทียบกับทั้งโลก เด็กไทยทุ่มเทกับการเรียนมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
แต่เมื่อดูทางสถิติกลับพบว่า แม้แต่ในอาเซียน การศึกษาไทยก็อยู่ที่ระดับ 8 จาก 10 ซึ่งต่ำกว่าเขมรเสียอีก
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าในปัจจุบันการศึกษาของไทย เรียนหนักจนเกินความจำเป็น
แต่แน่นอน
การบ้านที่เยอะเกินไป ซ้ำซากจำเจ ไม่เห็นประโยชน์ แถมบังคับให้ต้องทำ
ย่อมทำให้เด็กไม่คิดที่จะอยากทำการบ้านอยู่แล้ว
แต่หากการบ้านน้อยข้อ ทว่าท้าทาย ไม่ได้บังคับให้ทำ หากเป็นทางเลือก
เด็กย่อมอยากคิดที่จะทำมากกว่า
เทียบกับผู้ใหญ่นั่นแหละ
บังคับให้ทำโอที แต่เงินเดือนไม่เพิ่ม ตำแหน่งก็ไม่เลื่อน แถมบังคับให้ทำทุกคน
ผู้ใหญ่อยากที่จะทำกันเหรอ ?
ถึงจะใจดีใจกว้างแค่ไหน ทุ่มเทไปก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะมันถูกมองว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำอยู่แล้วก็ไม่มีใครอยากที่จะทำกันหรอก
คนที่จะทุ่มเทเต็มร้อย ต้องเป็นคนดีจ๋าจนถูกคนอื่นเอาเปรียบ หรือพวกขยันแต่โง่
กลับกันหากไม่ได้บังคับให้ทำ
ผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ก็อยากที่จะทำมากกว่า
เพราะมันไม่ได้รู้สึกว่าถูกบีบบังคับ ทำแล้วรู้สึกว่าเสียสละมากกว่า
ทั้งที่งานที่ให้ทำอาจจะเบากว่าที่บังคับให้ทำเสียอีก
แต่คนที่ทำจะรู้สึกภูมิใจมากกว่ากับการที่จะทำ และคนที่จะเลือกทำมีมากกว่า
เพราะทำแล้วรู้สึกได้ประโยชน์ อย่างน้อยก็ความรู้สึกนั่นแหละ
ซึ่งกลุ่มนี้ คนดีจ๋า คนขยันแต่โง่ก็ทำได้ คนธรรมดาทั่วไปก็ทำได้
ด้วยเหตุนี้ ถึงจะพูดถึงเรื่องว่าทำยังไงให้เด็กอยากทำการบ้าน
การบ้านที่น้อย ๆ และไม่บังคับนี่แหละ ก็ทำให้เด็กภูมิใจที่จะทำการบ้านเองมากกว่าที่จะให้การบ้านเยอะ ๆ อยู่ดี
ทว่าในภาพรวม หากดูว่าการบ้านเยอะหรือการบ้านน้อย ผลที่ได้ การบ้านแบบไหนจะมีจำนวนข้อที่ทำมากกว่า คำตอบคือการบ้านที่เยอะ
ก็เพราะเขาบังคับให้ทำทุกคนนี่นา...
แต่ประโยชน์ที่ได้ก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
การบ้านเยอะแล้วไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลย!!
เพราะเด็กบางคนต้องเรียนพิเศษถึง1ทุ่ม2ทุ่ม พอเลิกแล้วต้องมานั่งทำการบ้านอีก
ไหนจะต้องอ่านหนังสืออีก แล้วยังงี้จะอ่านรู้เรื่องเหรอ
ถ้าเอาความคิดเรานะเราว่ามันก็เยอะอยู่ แต่ว่านะเราคิดว่าครูเขาให้การบ้านไม่ถูกมากว่า ถ้าลองมองจริงๆโรงเรียนเราก็ไม่ได้ให้เยอะ แล้วคำว่าไม่ถูกของเราก็คือ... ไอช่วงที่งานมันไม่มีก็แทบไม่สั่งเลย แต่พอถึงช่วงใกล้สอบหรือใกล้วันที่เราควรเริ่มอ่านหนังสืองี้ พวกครูก็ชอบมาสั่งงานกันเอาตอนนั้นแล้วบอกให้อ่านหนังสือ ทั้งๆที่งานก็สั่งกันไม่ยอมหยุด(บอกเพื่อ- -?) แล้วมักจะสั่งวันที่ใกล้ๆกันด้วย แถมวันส่งยังจะเอาพร้อมๆกันอีก พอส่งช้าก็หาว่าไม่ยอมทำ พอบอกว่างานมันเยอะก็หาว่าข้ออ้าง(เออ..เจริญ) ทั้งๆทีวันหยุดก็มีแค่สองวันทำเกือบทั้งคืนหนังสือก็แทบไม่ได้แตะ เฮ้อ..เซงงง-0-
- แอบน้อยใจเบาๆที่โดนด่า ทั้งๆที่เราทำเองแค่คนอื่นมันมาลอก!! -
จะลดไม่ทำไม -คนที่ไม่อยากทำการบ้าน ส่วนใหญ่ก็ลากกันอยู่แล้วไม่ได้ทำเอง -คนที่อยากทำก็ได้ประโยชน์ดี
ขณะ ม.2 เอง การบ้านยังโครตเยอะเลย นอนเที่ยงคืนตลอด เร็วที่สุดก็ ตี 9.30 ตอนนี้จะสอบแล้วไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลย
การให้การบ้านเพื่อให้นักเรียนฝึกทักษะของตน แต่ทำไมทุกวันนี้เด็กสอบตกยังมีกันให้เกลื่อนไปหมด แล้วพอเวลาสอบ...ก็คือการอ่านเพื่อจำไปสอบ ไม่ใช่อ่านให้เข้าใจ ประยุกต์ใช้ได้และสามารถจำมันไปได้ตลอดแม้จะสอบกลางภาคหรือปลายภาคเสร็จไปแล้ว ทุกวันนี้การเรียนที่ใช้เกรดเป็นตัวตัดสินความเก่งของนักเรียน ก็คือใครทำงานมาก ได้คะแนนมาก ก็คือเด็กเก่ง
แต่งานทุกวันนี้ การบ้านทุกวันนี้ที่มากจนนักเรียนไม่อยากจะทำ มันไม่ได้สร้างความสามารถทางการศึกษาให้มากขึ้นเลย ถ้าคิดว่าการให้การบ้านคือการฝึกทักษะที่ดี
แล้วทำไมทุกวันนี้เด็กไทยถึงต้องขวนขวายหาที่เรียนพิเศษกันล่ะ ??? แล้วทำไมทุกวันนี้ยังมีเด็กอีกมากมายที่สอบตกกันอยู่
เอาจริงๆผมว่ามันเป็นเรื่องมาตรฐานและหลักการในการแจกงานนะ
มากน้อยหรือเท่าไหร่มันขึ้นกับใจอาจารย์มากเกินไป
ที่นักเรียนส่วนใหญ่จะทนไม่ได้จริงๆผมว่าน่าจะเป็นเรื่องอาจารย์อารมณ์เสียเลยจัดการบ้านหนัก
หรือเวลานักเรียนโห่แล้วขู่ว่าเดี๋ยวให้การบ้านเพิ่มเสียมากกว่า
อาจารย์หลายคนคงจะลืมไปแล้วว้าจุดประสงค์ของการบ้านคืออะไร
ตรงจุดนี้ผมว่าน่าจะมีเกณฑ์ไปเลย มีการปรึกษาและทำการแสดงความคิดเห็นในหมู่อาจารย์
ประชุมและช่วยกันคิดว่าหัวข้อใหนแบ่งเป็นเท่าไหร่ ควรให้ความสำคัญกับอะไร
โดยมีประเด็นสำคัญ คือระยะเวลาเฉลี่ยที่จำเป็นต้องใช้ ลำดับความสำคัญของเนื้อหา และความยากง่าย ที่จะต้องปนกันอย่างลงตัว
ส่วนตัวผมมองว่าถ้าไม่สามารถทำตรงจุดนี้ได้มันก็จะเถียงกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ความเห็นของผมค่อนไปตรงกลางแต่ผมเลือกโหวตไม่เปลี่ยนจากประสบการณ์ส่วนตัว
คนที่ทำการบ้านไม่ทันคือคนที่บริหารเวลาไม่เป็นรวมไปถึงอาจจะไม่ใส่ใจในสายตาของผม
และข้ออ้างที่ว่าเด็กต้องการเวลาว่างเพื่อไปศึกษาหาความรู้นอกห้องเรียนนี่ผมขอยนะครับ
กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ผมว่ามันไม่ใช่หาความรู้ แต่เป็นการวิ่งเก็บครีบตีป้อมไล่ฆ่าฮีโร่เสียมากกว่า
(ผมเองก็เป็นไม่ใช่ไม่เป็น เลยรู้ว่าถ้าไม่บังคับเสียบ้างมันจะบรรลัย)
ถ้าอยากจะให้การบ้านลดเพื่อออกไปหาความรู้นอกห้องเรียนจริงๆผมว่าเด็กไทยก็ควรจะพิสูจน์ตัวเองให้ดูให้ได้ก่อน
ไม่ใ่เออะกจะเอาแต่ได้
อีกอย่างโตไปคุณจะรู้ว่าการบ้านที่เคยได้มาน่ะ มันของขี้ผง
ถ้าแค่นี้รับผิดชอบไม่ได้อนาคตก็ลำบาก
อยากบอกว่า
การศึกษาที่แคนาดากับญี่ปุ่นที่ไปสัมผัสมา
เขาให้ความสำคัญกับการศึกษานอกห้องเรียนที่มาก
มีการให้ไปสอบถามและหาข้อมูลชุมชนว่ามีประวัติศาสตร์ยังไง
มีการทัศนศึกษาท่องเที่ยวสถานที่สำคัญของชุมชนและประเทศบ่อย
เด็กจึงมีความรักต่อชุมชนและประเทศชาติที่สูง
ยังไม่รวมถึงเด็กรู้ว่าชุมชนที่ตัวเองอยู่มีอะไรน่าสนใจและอยากเลือกที่ไปศึกษาเอง
ทำให้เด็กค้นพบตัวเองได้ง่าย
------------------------------------
แต่ของไทยไม่มีในจุดนี้
ลำพังแค่เพียงทัศนศึกษาในตัวชุมชนมีน้อยมาก ๆ แล้ว
เวลาเหลือที่จะสามารถไปหาตัวเองยังน้อยอีก
...จริงอยู่ที่เด็กไปหาด้วยตัวเองคนเดียวอาจจะนอกลู่นอกทาง
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้ผู้ใหญ่พาไปด้วย
ทว่าด้วยแบบที่เป็นไปในปัจจุบัน ขนาดเวลาว่างที่เจียดไปหายังไม่มีเลย
ยังไม่รวมถึงเวลาว่างของเด็กมีน้อยมาก
จึงมักจะทุ่มเทไปกับการผ่อนคลายมากกว่าการหาตัวเอง
หากผ่อนคลายจนถึงจุดอิ่มตัว นั่นแหละถึงจะเริ่มค้นหาตัวเองด้วยตนเอง
ซึ่งยิ่งเครียดมากเท่าไหร่ เวลาที่ใช้กับการผ่อนคลายก็ยิ่งมากตามเท่านั้น
ทว่าสภาพของเด็กไทยในปัจจุบัน แค่เวลาผ่อนคลาย ยังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
...เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่
เด็กไม่มีวุฒิภาวะเท่าผู้ใหญ่
เด็กจึงต้องได้รับการชี้นำที่เหมาะสมจากผู้ใหญ่
เด็กที่เก่งและพิสูจน์ตัวเองได้ว่ามีความน่าเชื่อถือ
ไม่ใช่เก่งที่เด็กเอง หากเด็กคนนั้นได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสมต่างหาก
เด็กที่ห่วยและไม่มีความน่าเชื่อถือ
ไม่ใช่ห่วยที่เด็กเอง หากเด็กคนนั้นได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม
ดังนั้นหากเกิดปัญหา ผู้ปกครองจึงต้องรับผิดชอบ
แต่ทว่าเด็กทำตัวดี ผู้ปกครองก็สมควรจะได้หน้า
*นี่เป็นสิ่งที่ทั่วทั้งโลกยอมรับและรับรู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง
เด็กไม่ได้ดีหรือเลวด้วยตัวของเขา หากการเลี้ยงดูที่ชี้นำไปในทางนั้น
ไม่เช่นนั้นคงไม่มีกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อผู้เยาว์ขึ้นมาโดยเฉพาะ*
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีความเชื่อที่ผิด ๆ
เป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสจนบิดเบือนความถูกผิด
คนไทยมักเชื่อว่า ผู้อาวุโสถูกทุกอย่าง
ส่วนผู้เยาว์นั้นผิดทุกอย่าง
ดังนั้นเวลาเกิดอะไรก็ตามจะโทษผู้เยาว์ก่อน
เรื่องการศึกษาก็เช่นกัน คนไทยจะโทษเด็กก่อนเสมอ โดยไม่ดูข้อเท็จจริงเลย
โอเค มันมีโอกาสที่เด็กจะแย่เองจนการผลลัพธ์ที่ออกมาแย่
ทว่า...
ข้อเท็จจริงคือ เด็กไทยมีผลการศึกษาเฉลี่ยที่ต่ำเมื่อเทียบกับทั้งโลก
มันไม่มีทางเป็นไปได้ ที่เด็กไทยจะแย่โดยพร้อมเพรียง จนทำให้ค่าเฉลี่ยของประเทศตกต่ำ
หากมันต้องมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เด็กไทยแย่พร้อม ๆ กัน
ดังนั้นการโยนว่าปัญหาเกิดขึ้นที่เด็ก จึงไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูก
แม้จะบอกว่าเด็กไทยส่วนใหญ่ติดเกมเลยทำให้ผลลัพธ์โดยรวมแย่ แต่หากเด็กไทยส่วนใหญ่ติดเกมพร้อมเพรียงกัน ความผิดคงไม่ใช่ที่เด็กอย่างแน่นอน ทว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กไทยส่วนใหญ่หันไปติดเกมต่างหาก เพราะเด็กไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะคิดอะไรได้เองแบบผู้ใหญ่
ดังนั้นวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่การให้เด็กแต่ละคนเลิกติดเกมแล้วหันมาเรียน
หากปรับระบบการศึกษาให้น่าสนใจจนเด็กเลือกที่จะมาเรียนแทนเล่นเกม
แล้วแบบนี้แปลว่าเด็กไม่ผิดเลยอย่างนั้นหรือ ?
เปล่า เด็กผิดได้ แต่ให้ดูที่ค่าเฉลี่ย
หากเลี้ยงดูมาเหมือนกัน สภาพแวดล้อมเหมือนกัน
แต่เด็กเพียงคนเดียวจากหลายสิบหลายร้อยคนเถลไถล เด็กถึงจะผิด
ทว่าสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เด็กพร้อมเพรียงกันติดเกมและเรียนแย่ ย่อมไม่ใช่การที่เด็กเลือกด้วยตัวของเขาเองอย่างแน่นอน หากเป็นสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กเป็นเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน
-----------------------------------------
บางคนอาจจะไม่เข้าใจและไม่ยอมรับในเรื่องที่เรากล่าวว่าเป็นจริง แต่เราจะสมมติเรื่องง่าย ๆ ให้ฟัง
มีโรงเรียนหนึ่ง สุ่มเด็ก 200 คน ลงในสองห้อง และเมื่อเรียนไป 1 ปี ผลสอบออกมาได้ว่า...
ห้อง A สอบได้คะแนนเฉลี่ย 80/100
ห้อง B สอบได้คะแนนเฉลี่ย 20/100
ถามว่า เป็นไปได้ไหมที่เด็กห้อง A จะบังเอิญเรียนดีกันทั้งห้อง ?
และเป็นไปได้ไหมที่เด็กห้อง B จะบังเอิญเรียนแย่กันทั้งห้อง ?
สมมติว่าถ้านาย ก. ห้อง A ได้ 20/100 คิดว่าเพราะอะไร ?
สมมติว่านาย ข. ห้อง B ได้ 80/100 คิดว่าเพราะอะไร ?
ห้อง A กับ ห้อง B ได้คะแนนเท่านั้น คงไม่ใช่เพราะตัวเด็กเองแน่ ๆ
น่าจะสภาพแวดล้อมบางอย่างที่ทำให้ได้รับผลเช่นนั้น
ตัวอย่างเช่นครูห้อง A สอนดี ครูห้อง B สอนห่วย เป็นต้น
ส่วนนาย ก. ทั้งที่อยู่ในห้อง A กลับได้ 20/100 ถึงจะบอกว่าเป็นที่เด็กเอง
เช่นกัน นาย ข. ทั้งที่อยู่ในห้อง B กลับได้ 80/100 ก็น่าจะเพราะเป็นที่เด็กเอง
และนอกจากนี้ คิดหรือไม่ว่า หากนาย ข. ย้ายไปห้อง A คะแนนที่ได้น่าจะมากกว่า 80/100 ?
จะเข้ามหาลัยยังให้ทำจนหลังแข็งก็มี
ไอที่ถามว่า มีเด็กไทยที่ทำการบ้านเยอะแล้วฆ่าตัวตายรึเปล่าอะ จะบอก มันมีความคิดแบบนั้นเกิดขึ้นในสังคมแน่ๆ แต่แค่ไม่มีใครกล้า - - เอาจริงๆเลยนะ คนไทยเป็นพวกขี้เกรงใจอะ ไม่ชอบ แต่ก็ทนๆไปก่อน
ข้อมูลเสริม
ฟินแลนด์ ประเทศที่ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก
Are Finnish schools the best in the world?
Why there’s no homework in Finland
*ที่จริงมีนะ แต่มีน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น*
จะบอกว่าบริบทไม่เหมือนกัน เอามาเทียบไม่ได้ ???
แล้วทำไมถึงคิดว่าการที่มีมาก ๆ แล้วจะดีกว่า ในเมื่อประเทศที่การศึกษาดีสุดในโลกมีการบ้านน้อย ?
บางทีการลดการบ้านลงสักนิด....จะทำให้เรามีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำมากขึ้น เช่น เราชอบอ่านหนังสือ ก็จะได้ไปห้องสมุดอ่านหนังสือมากขึ้น ใครที่ชอบเล่นกีฬาก็จะได้มีเวลาไปซ้อมกีฬา เป็นต้น....
การให้การบ้านเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เราได้็ทบทวนบทเรียนไปด้วยถึงเเม้ว่าบางคนจะลอกมาส่งก็ตามทีเเต่นั่นก็ทำให้มันผ่านหูผ่านตามาบ้าง เเต่บางครั้งมันก็ทำให้เราเอาเวลาที่ควรจะทำอย่างอื่นมาทำการบ้านเสียหมด เเล้วอย่างนี้เราจะได้ทำการบ้านเพราะเราอยากทำจริงๆหรือ ไม่ใช่เเเค่ทำให้มันผ่านๆไปเฉยๆโดยที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
1วันมี8วิชา
วิชาละ10ข้อ
ส่งพรุ่งนี้
วันต่อมา เด็กทำไม่ทัก บางคนลอกกัน บางคนลอกไม่ทัน
ครู - "สมชาย ทำไมถึงไม่ทำการบ้าน"
สมชาย - "การบ้านเยอะครับผมทำไม่ทัน"
ครู - "เยอะอะไรมีแค่10ข้อ แล้วทำไมสมหญิงถึงทำเสร็จล่ะ"
สมหญิง - นั่งลอกการบ้านวิชาอื่นอยู่
พี่ๆไม่เป็นไรวันเเรกผมเจอโครงงาน,รายงาน 2-3 วิชา
การบ้านเยอะ หรือว่า ดินพอกหางหมูจ๊ะ >___<? เด็กไทยชอบหมกการบ้าน ใกล้วันส่งค่อยทำ แล้วก็มาบ่นว่ามันเยอะ จนทำไม่ทัน แต่อย่างวิชาเลขมันต้องทำแบบฝึกหัดถึงจะเข้าใจจริงๆ ถ้าทำแบบฝึก การบ้านได้(ด้วยตัวเอง) ก็สอบได้จริงๆ คอนเฟริมเลย
แต่ยกเว้นบางวิชาที่ชอบสั่งทีสิบกว่าข้อยี่สิบข้อแต่ให้เวลาทำวันเดียว ในกรณีอันนี้น่ะ เราเห็นด้วย ว่าควรจะให้เวลาทำมากกว่านี้หรือลดการบ้าน :) เช่น วิชาฟิสิกส์ข้อนึงใช้เวลาเยอะพอสมควรเลย - -"
พูดตามตรง
ถ้าการบ้านมันมีสาระ มันจำเป็นจะต้องทำ ทำในห้องไม่ได้จะไม่ว่าเลยหากการบ้านนั้นหนักและต้องทำนาน
ทว่าการบ้านที่เป็นอยู่ในโรงเรียนคือการบ้านที่ซ้ำซาก สามารถสอนและเรียนรู้ในห้องเรียนได้ ไม่จำเป็นต้องวัดผลนอกห้องเรียนก็สามารถรู้ได้ว่าเด็กทำได้หรือไม่
ดังนั้นจะให้ทำเยอะ ๆ ไปทำไม ?
แต่การบ้านในชั้นมหาวิทยาลัยจะให้หนักกว่านั้นก็เป็นสิ่งสมควร
เพราะการบ้านบางอย่างมันไม่อาจจะรู้ได้ว่าเรียนในห้องเรียนแล้วรู้รึเปล่า
ตัวอย่างเช่น การบ้านบางวิชา มีแค่ข้อเดียว แต่ให้รวมกลุ่ม 5คน ใช้เวลา 1 สัปดาห์ในการหาคำตอบ เพราะคำถามคือ... วัสดุใดเหมาะสมสุดในการใช้ปูพื้นและผนังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงสะท้อน ...เล่นต้องคำนวณถึงพื้นที่ร่างกายของคนที่จะเข้าไปอยู่ในโรงหนังกันเลยทีเดียว
...แถมเวลาส่ง แต่ละกลุ่มยังได้คำตอบที่ไม่เหมือนกันอีกต่างหาก (ฮา)
...เราว่า ขีดที่ชี้วัดว่า การบ้านเยอะหรือน้อย ไม่ควรเป็นเส้นแบ่งระหว่างทำการบ้านทันหรือไม่ทันนะ
เพราะถึงจุดนั้นแล้ว เราว่า การบ้านเยอะไปแล้วชัวร์ ๆ !
เพราะการบ้านที่พอดี ยังไงก็ควรจะแน่ใจว่าเด็กต้องทำมันได้ทันแม้จะมีกิจกรรมอื่นที่ต้องทำในวันนั้นด้วยสิ !
ส่วนเรื่องดินพอกหางหมู ก็เห็นด้วยว่าหากพอกเอาไว้ก็สมควรจะทำไม่ทันกัน แต่ส่วนนี้มักจะเป็นกับรายงานมากกว่า
ทว่าหากให้เดทไลน์ตรงกัน เราก็ว่าเป็นการจัดสรรที่ไม่เหมาะอยู่ดี
เพราะมันจะทำให้จัดเวลาในการทำงานยาก
จะให้ทยอยผลัดกันทำ รับรองว่าสับสนแน่ ส่วนใหญ่จึงมักทำปรู๊ดเดียวจบมากกว่าทยอย ๆ กันทำ
และหากทำก่อนเพื่อน โอกาสทำงานหายก่อนถึงวันส่งก็มีสูงอีก (เคยเป็นง่ะ ทำทิ้งไว้แล้วหางานที่ทำไม่เจอ แถมลืมอีกว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง)
ถ้าในระดับมหาลัย
การบ้านที่ได้รับ
เช่น
- โปรเจ็คนิตยสาร 1 เล่มเวลา 50 วันโดยประมาณ
- เขียนบท (2สัปดาห์/ชิ้นบางทีสั่งเดียวและกลุ่มพร้อมกัน)
- เขียนสารคดี (อันนี้ให้งานทุกคาบ และทุกคาบต้องมีงานส่ง)
- เขียนเชิงประชาสัมพันธ์ (ความถี่เฉลีย 2สัปดาห์/ชิ้น)
ปีนั้นลงไป 7 ตัว นี้เป็นตัวอย่างการบ้าน 4 จาก 7 วิชา
มันไม่ได้ยากมากมายเพราะเราเลือกแล้วว่าจะเรียนทางนี้ แต่คุณพระ มันจะมาทำไมพร้อมกันทุกวิชา บางวิชาต้องส่ง2ชิ้นพร้อมกันอีก จนไม่รู้จะเลือกทำวิชาไหนก่อนดี ข้าน้อยก็เร่งปั่น 2 ชั่วโมงก่อนส่งไปซะหลายชิ้น
เว้นแต่งานกลุ่มที่บางทีต้องออกนอกสถานที่ ตั้งแต่ 5โมงเย็น ยันตี 4 แทบไม่มีเวลานอนกันเลยทีเดียว ซึ่งงานเดียวก็มีที่ต้องเทียวหาข้อมูลตอนกลางคืน เฮ่อ นี้ไม่นับกิจกรรมประจำปี บราๆอีก ตายๆๆ
/หมายถึงเด็กมัถยมหรอ โทดทีๆๆๆ
การบ้านมันเยอะจริงๆ เยอะมากๆ สั่งแต่ละอย่างต้องเป๊ะ ต้องเป๊ะ ตอนนี้นอนเที่ยงคืน-ตีหนึ่งทุกวัน การบ้านสั่งแล้วได้อะไร? ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นนอกจาก
"เด็กลอกกันมาส่ง"
แล้วดีใจกันหรือคะคุณครู? เด็กลอกงานกันมาส่ง แทนที่จะสอนให้เข้าใจมากกว่านี้ ช่วยเด็ก ไม่ใช่เอะอะก้อสั่งๆ คิดว่าเรียนวิชาคุณคนเดียวรึไง คาบนึงก้อสั่งงานนึง อีกคาบนึงก้อสั่งอีกงานนึง แล้วนัดส่งพร้อมๆกัน คิดว่าจะทันเหรอ แล้วพอทำได้ไม่ดีก้อมาว่าเด็กอย่างนั้นอย่างนี้
ลดการบ้านลงเถอะ ตราบที่เด็กยังลอกการบ้านกันมาส่ง การให้การบ้านเยอะๆก้อไม่มีประโยชน์อะไรหรอกค่ะ
เราก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนะ เราเพิ่งเรียนแค่ม.ต้นไง เลยคิดว่าการบ้านตอนนี้ยังไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ แฮ่ๆ แต่เราว่ามันก็เยอะพอสมควรอยู่เหมือนกันนั่นแหละ เลยขอโหวต 'สนับสนุน' ไปก่อนแล้วกัน (เราว่าเด็กส่วนใหญ่ยังไงก็อยากได้การบ้านน้อยๆอยู่แล้วล่ะ 555555 )
แต่เราว่าเราอยากให้การบ้านออกแนวให้เด็กใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทำอะไรใหม่ๆ ความรู้ที่ได้มาเอาไปประยุกต์ใช้ซะมากกว่านะ ไม่ใช่สักแต่ว่าสั่งๆๆๆๆ มาเยอะๆๆๆๆ
แต่.....ส่วนที่บอกว่าการบ้านน้อยลงแล้วจะมีเวลาทำอะไรมากขึ้น แบบ ...ทำงานบ้าน ไปเรียนพิเศษ อ่านหนังสือทบทวน เราว่ามันก็ไม่จริงไปซะหมดนะ บางทีถ้ามีเวลาว่างมากขึ้น ก็ไม่ใช่เด็กไทยทั้งหมดนะที่จะไปทำอะไรเหล่านี้ เราว่ามันก็ต้องมีบ้างแหละที่จะไปเล่นเกม โซเชี่ยลมีเดีย หรืออะไรสักอย่างที่มันไม่ได้มีประโยชน์อะไร
สรุปเราว่ามีบ้างมันก็ดีแหละการบ้าน ข้อดีมันก็มีอยู่แล้ว ทำให้ได้ทบทวน (ตราบใดที่ยังทำเองนะ) ได้ขยันบ้าง แต่เราว่าสั่งจนล้นๆๆ งานชิ้นใหญ่ๆ จนเด็กไม่มีเวลาหายใจหายคอมันก็ไม่ใช่แหละจ้าา...
ย้ำทั้งหมด !
ตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอมมา
จะไม่ว่าสักคำ
นี้เล่นร่วมใจกัน
สั่งทีเดียว!
ตอนก่อนสอบ!
1อาทิตย์!!
กลับบ้านทุกวันนี้ก็2ทุ่มละ T_T
ที่จริงการบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญมากนะค้ะ เราไม่เห็นด้วยมากๆเลยที่จะมาลดการบ้าน
จริงอยู่ที่บางทีมันอาจจะหนักไป มันอาจจะเหนื่อย ไม่ค่อยมีเวลา ถ้ามันไม่เป็นดินพอกหางหมู มันก็ยังพอสู้ไปได้ ในฐานะนักเรียน มันก็ต้องมีบ้าง ดูอย่างสมัยก่อนสิค้ะ งานมันหนักกว่าสมัยนี้ตั้งเยอะ เเล้วก็ไม่มีเทคโนโลยีเหมือนสมัยนี้ด้วย เเต่เค้าก็ยังผ่านมาได้ ด้วยจิตสำนึกของคำว่านักเรียนคือต้องสู้เเละพยายาม
ขนาดครูสอนวิชาเดียวไม่ไหว แล้วเด็กจะไปเหลืออะไรให้การบ้านคนละวิชาแล้วถ้าเรียน 10 วิชา มันจะไม่ไหวรึ? แถมต้องทำให้ทันส่งด้วยถ้าทำไม่ทันก้อโดน อีกวิชานึงถ้าเสร็จทันก้อรอดตัวไป นี่มันเกี่ยวกับดวงหรือเปล่าเนี้ย?
วิชาเคมี เราคิดว่าเข้าใจ และทำข้อสอบออกมาโอเครทีเดียว
แต่เกรดห่วยแตกบรม เพราะอาจารย์เอาคะแนนจากการบ้าน
ที่เราทำผิดบ้าง ส่งไม่ทันบ้างเป็นเกณฑ์ชี้วัดความสามารถ
เสียความรู้สึกอย่างแรง ตอนทำการบ้านคือไม่เข้าใจไง
ทำผิด แต่พอเรียนศึกษาไปก็เริ่มเข้าใจทำข้อสอบได้
แต่ดันให้น้ำหนักการบ้านมากกว่าคะแนนสอบเนี้ยนะ
ซึ่งอาจารย์ดังกล่าวได้หนีออกจากโรงเรียนไปเปนที่เรียบร้อยแล้ว
ดัวยเหตุใดไม่ทราบ เน้นว่าหนี เพราะไม่มีใครรู้ จู่ๆก็ไม่มาสอนซะงั้น!!!
งานที่โรงเรียนเยอะมาก พอทำไม่ทันก็ลอกกัน เราเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยลอกการบ้านเพื่อน ถ้าไม่จำเป็นมากๆ เทอมนึงก็ไม่เกิน2ครั้งอ่ะนะ จะลดหรือไม่ลดเราว่าขึ้นอยู่กับตัวเราว่าขี้เกียจมากแค่ไหน บางคนได้งานน้อยก็ลอก งานมากก็ลอก ให้เยอะอ่ะดีแล้ว เพราะข้อสอบที่ได้ส่วนมากก็มาจากการบ้านทั้งนั้น เด็กไทยสู้ค่ะ
จุดประสงค์ของการบ้านคืออะไร?
คือการให้เด็กได้พัฒนาทักษะของตนไม่ใช่หรือ
โจทย์ที่ให้อาจารย์ควรให้ที่น้อยแต่หลากรูปแบบ เพื่อให้เด็กพัฒนาตนเอง อันนี้เคยเจอมาจริงๆรู้สึกว่าอาจารย์ที่สอนทำงานได้ดีมาก
อาจารย์ท่านนี้สอนวิชาคณิตศาสตร์ อีกท่านสอนวิทยาศาสตร์แต่ขอพูดถึงวิธีที่ท่านอาจารย์ที่สอนคณิตให้การบ้านคือ
ให้น้อยข้อ แต่หลากรูปแบบ
ซึ่งทำให้เด็กได้รู้วิธีในการแก้โจทย์ปัญหาในรูปแบบต่างๆได้มากยิ่งขึ้น สามารถทำข้อสอบได้ดี
แต่คิดว่าอาจารย์ส่วนมากให้การบ้านแบบที่มีรูปแบบคล้ายกันหลายๆข้อ นั้นไม่ทำให้เด็กได้พัฒนาทักษะเลย
มีอาจารย์อีกบางท่านที่ให้การบ้านแบบลอกมาส่ง ซึ่งนั้นไม่ใช่การให้เด็กได้พัฒนาทักษะที่แท้จริง การพัฒนาทักษะของเด็กคือ ให้เด็กสามารถคิดเองได้แม้ไม่ถูกก็ตาม เผื่อให้เด็กกล้าคิด กล้าทำ เพราะผลสุดท้ายมันจะทำให้เด็กสามารถคิดเองเป็น
คุณว่าอย่างนั้นมั้ย?
คือ ดินพอกหางหมูก็ไม่นะครับ แต่การบ้านมันมีทุกวันต้องดูว่าวิชาไหนมาก่อน-หลัง ทำให้ต้องทำบางวิชาก่อนแต่คือปัจจุบันมันเยอะเวอร์อะ นอนตี1ตี2เกือบทุกวันตื่นตี5ไปโรงเรียนงี้มันก็ไม่ไหวนะ
โดยเฉพาะช่วงใกล้สอบนอนวันละชั่วโมงได้ TT แล้วไหนมีสอบย่อยอีกจะเอาเวลาไหนไปอ่านหนังสือ
ผลสอบไม่ต้องพูดถึงเลย
เยอะไมว่า ขอร้องเถอะ อย่ามาพร้อมกัน =A= ผมไม่ได้เรียนวิชาเดียว
555+
ครูคนนึงก็สอนหนึ่งวิชา แล้วทำไมนักเรียนคนนึงถึงเรียนหลายวิชาละคะคุณครู T______________T
การบ้านมีก็ดีเพื่อจะได้ทบทวนในเรื่องที่เรียนว่าเข้าใจเนื้อหาหรือไม่ แต่ไม่ใช่สั่งเยอะๆหนักๆหรือตามอารมณ์แล้วเด็กก็ลอกกันถ้าทำไม่ทัน ก๊อปมาจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งเห็นว่าจุดตรงนี้ไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าไหร่ ส่วนตัวอยากให้เป็นการสั่งการบ้านที่เด็กอยากจะทำหรือได้ใช้ทักษะต่างๆ เกิดความคิด มากกว่า แล้วก็มีไม่ต้องเยอะมาก ถึงมีน้อยแต่ก่อให้เกิดความเข้าใจ และได้นำไปใช้จริงๆและเพื่อให้เด็กได้ใช้เวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง จะได้มีเวลาพักผ่อน ได้อ่านหนังสือ ได้ทำกิจกรมที่ชอบ
เราอยากจะทำกิจกรรมอีกสารพัดแต่ต้องติดแหง่วกับการบ้านที่หนักอึ้ง เลยกลายว่าการบ้านเยอะเป็นข้ออ้างเวลาอยู่บ้านไปเลย...แย่จัง ; A ; อีกอย่างต้องทนอนดึกเพื่อการบ้านที่สั่งปุ๊บส่งปั๊บด้วยอ่ะ ไม่โอๆ
สมัยก่อนนี่ การบ้านเยอะกว่าสมัยนี้จริงเหรอ ?
คิดไม่ออกแหะว่าสมัยก่อนจะการบ้านเยอะกว่าสมัยนี้ได้ยังไง
เพราะสมัยก่อน... สมุดเรียนยังไม่ค่อยมีกัน ดินสอปากกายังต้องรอรับแจก เวลาไปไม่มีรถ มีแต่เดินเท้าไม่ก็ปั่นจักรยาน
แบบนี้ทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะทำการบ้านกันหรอก
ไหนจะเรื่องที่ต้องช่วยผู้ใหญ่ทำงานบ้าน หรือช่วยประกอบอาชีพเช่นขายของอะไรพวกนี้อีก
ติวพิเศษ เรียนพิเศษก็ไม่มี ดังนั้นการบ้านสมัยก่อนไม่น่าจะมีเยอะเท่าสมัยนี้
อืม... จะบอกว่าสมัยก่อนสภาพเป็นแบบนี้ ดังนั้นจึงคงสภาพแบบที่เราว่าไว้... ไม่ใช่แน่ ๆ ยุคสมัยเปลี่ยนแล้ว ทุกอย่างก็ควรเปลี่ยนตามให้สอดคล้องสิ
ทว่า... การบ้านเยอะขึ้นนี่ มันเหมาะสมจริงเหรอ ? ไม่เห็นจะมีอะไรมากรองรับนอกจากการคิดไปเองว่ายิ่งเยอะยิ่งดี
ส่วน... ที่บอกว่า ข้อสอบที่ให้ ก็การบ้านทั้งนั้น...
จริงเหรอ ?
1. ไม่มีความจำเป็นที่ข้อสอบจะตรงกับการบ้านที่ให้
ครูออกข้อสอบเอง จริงอยู่อาจจะมาจากการบ้าน แต่ไม่มีอะไรการันตรีว่าเป็นเช่นนั้นเสมอไป
และข้อสอบที่ออกมาจากการบ้าน ถือว่าเป็นข้อสอบที่มีประสิทธิภาพอย่างนั้นหรือ ? ทำไมไม่ออกตามที่สอนล่ะ ? ถ้าที่ให้ทำการบ้านไม่เป็นตามที่สอนจะทำยังไง ?
2. ข้อสอบเข้ามหาลัย มักไม่เป็นไปตามที่ครูสอนในโรงเรียน
แต่มักจะตรงกับที่ติวพิเศษมากกว่า อันนี้เห็นบ่นมาหลายคน ดังนั้นการบ้านจึงไม่ได้ช่วยให้มีโอกาสสอบติดมหาลัยมากขึ้นสักนิด
3. การจำจนทำได้ ไร้ประสิทธิภาพ ต้องเข้าใจจนทำได้
ทำการบ้านเยอะ ๆ คงไม่ใช่เข้าใจหรอก แต่มันเป็นการจำจนทำได้ต่างหาก ถ้าเข้าใจ แค่ข้อเดียวก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้น ก็นำที่ทำได้ข้อเดียวนั่นแหละมาประยุกต์จึงจะเหมาะสมกว่า
ทว่าหากไม่เข้าใจแล้ว การให้การบ้านมา มันก็ไม่มีทางที่จะให้เด็กจู่ ๆ จะเข้าใจเองได้ ดังนั้นจึงต้องมีครูช่วยอธิบายและช่วยสอนจนกว่าจะให้เด็กเข้าใจได้
แต่การบ้านที่ไม่มีครูมาสอนอยู่ข้าง ๆ จะให้มาทำไม ?
ให้การบ้านมาข้อเดียวเพื่อให้เด็กรู้ว่าไม่เข้าใจตรงไหนเพื่อที่จะถามไถ่ในภายหลังก็โอเค แต่ให้มามาก ๆ จะให้มาทำไม ?
...แต่เรื่องการบ้านมหาลัยของเราโคตรหนักเลย
มีตัวนึงที่ไม่ว่าจะเร่งแค่ไหน ก็ต้องทำข้ามคืน ตั้งแต่มืดจรดเช้า (จริง ๆ)
ซึ่งการบ้านตัวนั้น ดันต้องทำส่งทุก ๆ สองครั้งในสัปดาห์เพื่อดูความก้าวหน้าและพัฒนาการบ้านให้ดี ๆ ยิ่งขึ้นกว่าเดิม
แน่นอน อดนอนกันเป็นเรื่องปรกติ
และถ้าจะยิ่งทำให้ดี แค่เวลามืดจรดเช้ามันไม่พอหรอก
ที่สำคัญ มันไม่ได้มีแค่การบ้านของวิชานี้วิชาเดียวด้วยนี่สิ
หากเจอการส่งงานครั้งสุดท้าย ที่ต้องสรุปผลงานทั้งหมดที่ทำมาเป็นตัวไฟนอล ยังไงก็ต้องทำอย่างน้อยที่สุด 3 - 4 วัน
แน่นอน บางคนอดนอนข้ามวัน 2 - 3 วัน ก็เป็นเรื่องปรกติ
แต่หนักแบบนี้เรารับได้นะ
เพราะมันไม่ได้ไร้สาระแบบการบ้านสมัยโรงเรียน
มันมีการพัฒนา มันมีจุดหมาย และที่สำคัญเรียนรู้แค่ในห้องเรียนไม่ได้ เพราะมันไม่มีผลลัพธ์ให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน
ซ้ำยังเป็นสิ่งที่ต้องทำจริงเวลาออกไปทำงานยังภายนอกอีกต่างหาก
ทว่าที่ให้ทำในโรงเรียนมันอะไร ?
ความรู้พื้นฐานเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ทำไมต้องทำหนักขนาดนั้น ?
แถมไม่ใช่ความรู้ที่จะประกอบอาชีพอีก แต่เป็นความรู้ที่จะสอบเพื่อไปเรียนต่อคณะที่จะประกอบอาชีพ... ซ้ำยังไม่รู้ว่าจะได้ใช้วิชานั้นสอบหรือเปล่า เพราะหลายวิชาก็ไม่ได้ใช้สอบ
ไหนเรื่องที่จะใช้เวลาทำการบ้านเหล่านี้ไปติวพิเศษโดยตรงยังได้ผลกว่าอีก
ดังนั้นจะให้ขยันไปทำไม ? ขยันกับสิ่งที่ไม่ให้อะไรเราจะขยันไปทำพรื้ออะไร ?
ขยันเพื่อให้ติดเป็นนิสัย ?
ตลกล่ะ คนโง่ไม่ได้คิดอะไรเท่านั้นที่จะขยันไปกับเรื่องที่เปล่าประโยชน์ เพราะมนุษย์เรายังไงก็ชอบความสุขสบายอยู่แล้ว
กลับกันหากมีอะไรที่ชอบ อยากทุ่มเทและมุ่งมั่นจริง ๆ ยังไงก็ขยันขึ้นมาได้ อย่างเช่นเล่นเกมเป็นต้น อดหลับอดนอนยังทำได้กันหลายคน
หากรู้ว่าอนาคตอยากทำอะไร เด็กย่อมจะขยันเช่นนี้ได้อยู่แล้ว
ยังไม่รวมถึงหากขยันในการเรียนเด็กย่อมเลือกขยันไปกับการเรียนพิเศษและติวพิเศษอยู่แล้ว การบ้านจะให้เยอะไปทำไม ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร แถมไปถ่วงเวลาที่เด็กขยันจะไปขวนขวายหาที่เรียนพิเศษอีก
เรื่องของเรื่องอาจมาจากความมักง่ายของผู้สอน?
อยู่ ม.6 ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เพราะต้องมานั่งทำการบ้าน ไปสอบ มข. กลับมา การบ้านตรึม
เพื่อทบทวนบทเรียน - มีไม่กี่ข้อก็ทบทวนบทเรียนได้แล้ว ทำไมต้องมีเยอะ ?
เพื่อให้เด็กเก่งขึ้น - เรียนในโรงเรียนมีเพื่อให้รู้และเข้าใจก็พอแล้ว โรงเรียนไม่ได้มีไว้เพื่อติวให้เด็กสอบโอลิมปิกส์วิชาการ ดังนั้นไม่ต้องทำการบ้านเผื่อไว้ถึงขั้นนั้น ถ้าเด็กอยากเก่ง เค้าก็ไปหาที่ติวที่เรียนเองได้
เพื่อให้เด็กขยันและมีความรับผิดชอบ - เด็กสามารถหาความรับผิดชอบจากสิ่งอื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการบ้าน และการบ้านมีวิธีทุจริตมากมายที่สามารถขี้เกียจและขาดความรับผิดชอบก็ยังมีผลงานเพราะไม่มีใครไปคุมได้ หากอยากให้เด็กขยันและมีความรับผิดชอบ การจัดให้มีเวรทำความสะอาดห้องเรียนยังได้ผลลัพธ์ที่ตรงกว่า
ดังนั้นไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะให้มีการบ้านเยอะ ๆ
(มีได้แต่ไม่ควรจะมีเยอะ และอาจจะสรุปว่าการบ้านมีน้อยก็เพียงพอต่อเด็กแล้ว)
เเต่ที่โหวตฝั่งนี้เพราะว่า 'มันเยอะเกินไป'
ประเด็นสำคัญของโจทย์ในข้อนี้ถามว่า
การบ้านเยอะไปไหม?
ไม่ใช่ถามว่าควรมีการบ้านมั้ย ?
ใครบางคนอาจจะเขาใจผิด.
เราคิดว่ามีการบ้าน ดีตรงที่เราได้หมั่นทบทวน
เเต่รู้อะไรมั้ย ?
บางคนไม่คิดเเบบนั้น
บางคนต้องนอนดึกคำเคร่งเกือบทุกวัน ก็เพราะว่า 'การบ้าน'
มีน่ะ มีได้ค่ะ เเต่บางอย่างก็ควรจะลดบ้าง
เเล้วเอาส่วนที่ลดมาหากิจกรรม 'สร้างสรรค์' ดีกว่ามั้ย ?
อันนี้คือความเห้นเรานะ เราคิดว่าถ้าได้เรียนอะไรที่สนุกๆ
ใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น
ไม่มีใครชอบการบ้านหนักๆ เรียนหลับคาห้องหรอก
เราอยากให้ใครหลายๆ คนพิจารณานะ
ในเรื่องของการบ้าน
(ความจริงปัญหาการศึกษาไทยไม่ใช่เเค่การบ้าน
อีกทั้งยังมีเรื่องของการเรียน เเละอะไรอีกหลายๆ อย่าง
อะไรที่เเก้ไขได้ก็ควรเเก้ไข
อย่านึกเลียนเเบบชาติอื่นเป็นหลัก
เเต่ให้เห็น 'ชาติไทย' เป็นหลัก มองว่าเด็กไทยเหมาะกับการศึกษาเเบบไหน เเล้วปรับปรุงให้ดีขึ้นจะดีกว่ามั้ย ? )
บางคนที่ดีอยู่เเล้ว คิดเองเป็นเเล้วก็คงจะเข้าใจความเห็นนี้
ส่วนใครบางคนที่อ่านเเล้วยังไม่เข้าใจก็..
อ่านใหม่อีกรอบนะคะ : )
การบ้านเยอะไปก็ไม่ดีน๊า าา เค้าทำไม่ไหว T^T
#46
ขอเสริมตรงนี้สักหน่อย...
ความจริงปัญหาการศึกษาไทยไม่ใช่เเค่การบ้าน
อีกทั้งยังมีเรื่องของการเรียน เเละอะไรอีกหลายๆ อย่าง
อะไรที่เเก้ไขได้ก็ควรเเก้ไข
อย่านึกเลียนเเบบชาติอื่นเป็นหลัก
เเต่ให้เห็น 'ชาติไทย' เป็นหลัก มองว่าเด็กไทยเหมาะกับการศึกษาเเบบไหน เเล้วปรับปรุงให้ดีขึ้นจะดีกว่ามั้ย ?
ปัญหาก็คือ
1. วิธีที่ต่างชาติทำหลายชาติเขาพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ดังนั้นการจะนำของเขามาใช้ก็ไม่แปลกอะไร
ทว่าหลายครั้งภาครัฐนำมาแต่เปลือก โดยไม่เข้าใจสาระที่ต่างชาติทำเลยสักนิด เช่นแอดมิดชั่น การวัดผลของแต่ละโรงเรียนมันมีคุณภาพได้ผล เขาเลยใช้แอดมิดชั่น ทว่าไทยเราไม่มีคุณภาพ ดันเอามาใช้เลยมีปัญหา
2. หลายครั้งที่คนไทยทำอะไรโดยไม่มีการศึกษาอย่างถี่ถ้วน
ที่บอกว่าทำแบบนี้แล้วจะเหมาะสมกับคนไทย เป็นการนั่งเทียนคิดแล้วทำออกมาเลยเป็นส่วนใหญ่ ทว่าของต่างชาติจะทำ เขาจะมีการศึกษามาหลายปี มีการเก็บข้อมูล รวบรวมสถิติแล้วโต้เถียงว่าวิธีไหนดีที่สุดแล้วจึงค่อยสรุปผลเลือกวิธีที่ต้องการ
แต่ของไทยไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน
เอาจริงๆนะ ปริมาณการบ้านที่เยอะ ไม่ได้หมายความว่าเด็กจะเรียนรู้เรื่องขึ้น
อาจารย์ที่ฉลาดและเก่ง จะสามารถแจกการบ้านในโจทย์ที่ฉลาด และคลอบคลุมเนื้อหาได้
การบ้านต่อคาบ มีการวิจัยออกมาแล้วว่าตกประมาณ5-8ข้อมั้งถ้าจำไม่ผิด จะสัมฤทธิ์ผลดีสุด
แจกเยอะไปรังแต่จะทำให้เด็กทำไม่ทัน/ไม่อยากทำ สุดท้ายก็ไปลอกเพื่อนอยู่ดี
ที่บ่นๆกันว่าหนัก มันไม่ใช่แค่การบ้านทบทวนบทเรียนไง มันพวกรายงาน โครงงาน บลาบลา ที่มันกลายเป็นผลงานอาจารย์ ไม่ใช่ผลงานนักเรียนมากกว่า
มันผิดตั้งแต่ระบบการประเมิณอาจารย์แล้ว
ไม่ได้วัดว่าอาจารย์สอนนักเรียนเก่ง แต่วัดว่าอาจารย์มีผลงานอะไร
อาจารย์ก็มาลงกับนักเรียนให้สร้างผลงานให้อาจารย์
นักเรียนก็ต้องเอาเวลามาทำงาน ให้อาจารย์ไปประเมิณ
แล้วเราก็ต้องไปเรียนเนื้อหาจริงจังเอาจากที่เรียนพิเศษ
มันสมควรจะเป็นแบบนี้จริงๆเหรอ?
ควรเลิกการบ้านที่ไร้ซึ่งสาระจนเกินไป เช่นลอกในหนังสือเอาไปส่งเพราะคิดผิดๆว่ามันจะผ่านตาเด็ก หรืออีกประเภทที่เยอะเกินไปมันมากจนไม่สนใจแล้วลอกส่งๆไปเหอะ ยิ่งม.6 นี่แบบขอเวลาหนูอ่านหนังสือเถอะ ปิดเทอมยังวิ่งส่งงานไม่เว้นวันว่างเสาร์อาทิตย์แบบนี้ไม่ไหวนะ
เยอะน้อยไม่ต่างกัน ความรับผิดชอบมันแย่ มันก็แย่
เพราะอย่างไง จำนวนมากก็เอามาให้บนเว็บบอร์ดช่วยทำ ให้คนอื่นช่วยทำ
พอครูเห็นว่ายังไม่มีความรู้ เลยให้เพิ่ม เพราะคิดว่าถ้าทำเพิ่มจะมีความรู้...หารู้ไม่ว่าที่มันมีส่ง มันไม่ได้ทำเอง
ฉะนั้นการบ้านเยอะ ไม่ได้ทำให้เด็กเรียนดี การบ้านน้อย ก็ไม่ได้ทำให้เด็กเรียนดี
สนับสนุนให้ให้เป็นโปรเจครายงาน วิชาละโปรเจค ให้เวลาทั้งเทอม และเด็กที่ไม่ส่ง ทำแบบขอไปที หรือลอกมา ให้ซ้ำชั้น
แค่นี้หนึ่งเทอมก็มีการบ้านแค่ 10 งาน...คนที่ทำไม่ทันถือว่าขี้เกียจ ไม่คู่ควรกับศักดิ์และศรีของการเรียนจบ
ผมคิดว่าอีกปัญหาก็ คือการที่ต้นเทอมครูไม่ให้การบ้านเพราะทำตามนโยบายลดการบ้านของรัฐบาล แต่ปัญหาที่ตามมาคือ
เด็กไม่มีคะแนน!!! เพราะเรียนและทำงานเล็กๆ น้อย ตอนไกล้สอบ
จึงสั่งการบ้านจนทำไม่ทันเพราะต้องเก็บคะแนนเด็ก นี่คือปัญหาที่ผมเจออยู่ตอนนี้ครับ
วันมาฆบูชา พระสงฆ์1250ออกมาเจอกันโดยมิได้นัดหมาย
วันเปิดเทอม อาจารย์1250ท่านสั่งงานโดยมิได้นัดหมาย
วันนี้รายงานเป็นเล่มหนามาก ส่ง...พรุ่งนี้ หรือ วันศุกร์
คาบสุดท้าย..... งานกลุ่ม...ครูพูด..เด็กๆอย่ารบกวนผู้ปกครองนะ..ทำรายงานรูปเล่ม..ชิ้นงาน..พรีเซนท์ด้วยนะคะ....ส่งวันจันทร์นะคะ
งานกลุ่ม..วันศุกร์คาบสุดท้าย..ส่งจันทร์คาบแรก..ห้ามรบกวนผู้ปกครอง
การบ้านปัจจุบันโรคจิตและเถื่อนมาก.. บางวิชา..
สั่งรายงาน พรุ่งนี้ส่ง...
สั่งชิ้นงาน วันถัดมาส่ง
สั่งใบงาน ตอนเย็นส่ง
เวลานอนเฉลี่ยของเด็ก ร.ร. เราประมาณ 5 ทุ่มถึงตีสอง...
อยาก...จะร้องไห้...
อยากให้มีเวลากว่านี้
ขอเวลา...สักหน่อย
อยาก..ถาม..ว่า..ครู..
ให้เด็กรีบทำไปไหน..
วันหนึ่งเรียน9 ชั่วโมง การบ้านมีประมาณ 6 วิชา ใช้เวลาทำการบ้านเกือบ2 ชั่วโมง บางวัน 3 ชั่วโมง และไหนจะกิน ข้าว อาบน้ำ อ่านหนังสือ รวมๆ ก็เกือบ 1 ชั่วโมง บางคนก็ทำหามรุ่งหามค่ำ บางคนก็ทำการบ้านจนนอนดึก และการที่นอนดึกก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กโง่(แรงไปก็ขอโทษด้วยนะ)และเรียนไม่รู้เรื่อง
คุณครูคะ อย่าสั่งโครงงาน กับรายงานพร้อมกันตอนใกล้สอบสิคะ
มีการบ้านไม่ว่าหรอก มันเป็นการฝึก
เพียงแต่ว่าควรลดให้มันน้อยลง ไม่ใช่เอ๊ะอะไม่รู้จะสอนอะไร สอนไม่ทันก็ให้การบ้าน
ยิ่งช่วงสอบการบ้านเพียบบบบบบบบบบบ เพื่ออะรายยยยยยยยย
ใจจริงอยากโหวตทั้งเห็นด้วยและเห็นต่างเลยนะ แต่ที่โหวตเห็นต่างไป เพราะว่าตอนนี้เราอยู่มหาลัยแล้ว วิชาไหนที่อาจารย์เอาแต่สอนๆๆๆ การบ้านไม่ให้ แบบฝึกไม่มี ถือเป็นวิชาหายนะของเราเลยทีเดียว เรื่องจะให้ไปหาโจทย์ทำเอาเอง สันดานเด็กไทยบอกได้เลยว่ายากกกส์
เรื่องความยากความง่ายเราไม่เกี่ยงนะ ขอให้มีเฉลยละเอียดและถามข้อสงสัยได้ทุกเวลาเราก็พอใจแล้ว ถามในเฟสบุ็คได้จะเยี่ยมมาก เพราะปัจจุบันอาจารย์มหาลัยที่ใส่ใจเด็กมากๆ ถามออนไลน์ตอบภายใน 24 ชั่วโมงมีจริงๆค่ะ แม้จะยังมีจำนวนน้อยก็ยังถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี
ส่วนเรื่องเห็นด้วย เราก็ดูน้องสาวเราเป็นตัวอย่าง เด็กมอสามการบ้านเยอะมากก กองพะเนิน แต่ถ้าเอาเวลาเล่นโซเชียลเนตเวิร์คมาจัดการการบ้านเราว่าก็น่าจะพอไหว ตอนนี้แม้แต่เราเองก็ยังมีปัญหาก่ะโซเชียลอยู่นะ
อีกประเด็นที่จตะเล่าให้ฟังคือพวกโครงงาน หรือรายงานใหญ่ทั้งหลายที่อาจารย์บอกว่าเป็นงานช่วย จะมีอยู่สองอย่างคือ อาจารย์สั่งกระชั้นชิดใกล้สอบ กับสั่งตั้งแต่ต้นเทอมแต่ทำเป็นลืมกันและมาปั่นใกล้สอบ อันนี้เจอมาทั้งสองแบบ ก้มหน้าก้มตาทำไปเพราะว่าทุกอย่างเป็นคะแนนทั้งนั้น
อยากให้เด็กๆรุ่นน้องลองคิดให้ดีซิว่า วันหนึ่งเราหมดเวลาไปกับอินเทอร์เนตและโซเชียลเท่าไหร่ สองชั่วโมงรึเปล่า หรือมากกว่านั้น ปกติเราเอาเวลาสองชั่วโมงนั้นทำอะไรได้บ้าง พิมพ์รายงานหนึ่งหน้า พิมพ์ๆๆทั้งหน้าใช้เวลาแค่ 5-10 นาทีเท่านั้นเอง (ตอนนี้ทำอยู่ นั่งจับเวลาต่อหน้าเลย)
ยังไงๆเราก็ยังเห็นความสำคัญของการบ้านอยู่ดี เพราะอาจารย์เค้ารู้สันดานเด็กไทย ถ้าไม่สั่งเยอะเข้าไว้ ก็เอาเวลาไปเล่นอย่างอื่นหมด เรื่องมีสาระน่ะหาไม่เจอ เรื่องเลยเป็นเช่นนี้แล...
จะมีการบ้านไม่ว่ามันก็ดีได้ทบทวน
แต่อาจารย์ชอบสั่งงานพร้อมกัน
มันเยอะมาก แล้วก็ทำไมเวลาสั่งงานถึงชอบสั่งพร้อมกัน
ตอนที่ว่างก็ไม่มีใครสั่งเลยซักคน ToT
เด็กนะค่ะ ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ข้อมูลชุดหนึ่งมาที(การบ้าน) แทบดิ้น ทำส่งไม่ทันก็ตัดคะแนน เพื่อ??
คือการบ้านอ่ะ
มันมาแบบ เกินไป...
เราอยู่ ม.4 รร.ชื่อดังแห่งหนึ่ง
รายงานเขียนทั้งเล่ม หนึ่งอาทิตย์
รายงานพิมพ์ สองวันส่งยังมี
ใบงาน สั่งต้นคาบ ส่งท้ายคาบ เด็กไม่ฟังครูสอนเพราะทำใบงาน
โจทย์เลขร้อยข้อ สั่งเย็นเอาเช้าวันรุ่งขึ้นยังมี
สั่งละครห้องตอนกลางวัน เอาตอนเย็น
งานที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นรายงาน ไม่ค่อยมีเป็นโจทย์
และมันก็มีทุกคาบ แทบทุกวิชา
เลิกเรียนห้าโมงเย็น และบางวันถึงสามทุ่ม
ทำการบ้านถึงเที่ยงคืนทุกวัน แต่ก็ไม่เสร็จ
นักเรีนยต้องตื่นตั้งแต่หกโมง...เข้าแถวเจ็ดโมงยี่สิบ
นักเรียนมีเวลานอนไม่เพียงพอ และต้องไปหลับในคาบ เรียนไม่รู้เรื่อง การบ้านทำไม่ทัน ต้องแอบทำในคาบอื่นๆ ไม่ได้เรียนกัน บางวันต้องอดข้าวเพื่อทำงาน
การบ้าน ควรจะมีการประสานงานระหว่างครู
บางช่วงการบ้านสามปีก็ไม่เสร็จ ต้องแบ่งกับเพื่องในห้องแล้วแชร์ๆ กัน บางช่วงก็ว่างยิ่งกว่าว่าง
สรุปว่า ทุกวันนี้การบ้านเยอะไปหน่อย แต่อยู่ในขั้นพอรับได้
แต่สิ่งที่เกิดคือ เวลาทำการบ้านที่น้อยไป และความยากของการบ้าน
ที่ยากกว่าที่เรียนหลายเท่า
แต่ก็นะ รร.นี้ก็ยังเป็น รร.ที่ดีที่สุดเสมอ<3
จริงอยู่ที่การบ้านมีเยอะและการบ้านแต่ละวิชาที่เราได้รับในวิชาเรียนต่างๆนั้นจะช่วยเราในการฝึกทักษะทางด้านต่างๆ..แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการบ้านที่ครูแต่ละท่านสั่งนั้นจะช่วยเราได้มากเท่าไหร่ครูบางท่านให้การบ้านโดยหลงตัวเองซะมากกว่าว่าสิ่งที่ตนเองมอบให้นักเรียนนั้นดีและถูกต้องเสมอโดยไม่คำนึงถึงการบ้านในวิชาอื่นๆครูแต่ละท่านจะทราบได้อย่างไรในแต่ละวันที่เราเรียนวัน 7-8 วิชานั้นการบ้านมีมากหรือมีน้อยเท่าไหร่ครูบางท่านไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าการบ้านที่ให้นักเรียนมานั้นเยอะหรือสมเหตุสมผลมากแค่ไหนไหนจะโครงงานรายงานบางทีทำแบบทดสอบหรืออะไรต่อมิอะไรมากมายประเดประดังเข้ามาเรียนวันละ 7-8วิชาการบ้านก็วันละ 7-8วิชาไม่ใช่แค่เพียง ข้องสองขอแต่มากมายและมาเททับกันจนไม่อยากทำเลยด้วยซ้ำแต่ที่กล่าวมาก็ใชว่าจะให้ลดการบ้านเพื่อความสบายแก่ตัวนักเรียนเองแต่ควรจะมีขอบเขตในการสั่งการบ้านไม่มากไม่น้อยและคำนึงถึงวิชาอื่นๆด้วยใช่ว่าแต่ละดรงเรียนจะมีเรียนแค่วันละสองสามวิชาที่ไหนวันละ7-8วิชาใครจะไปทำไหวถึงไหวก็ทำด้วยจำใจและโดยเฉพาะช่วงใกล้สอบเวลาอ่านหนังสือสอบก้ไม่มีไหนจะโครงงาน รายงานสั่งมาพร้อมกันส่งก่อนสอบมั่งละหลังสอบมั่งละเมื่อมันเยอะก็ไปก็อบๆมาแทนที่จะได้ศึกาาหาความรู้จริงเพียงแต่ก็อบความรู้จากสื่อต่างๆไปส่งเท่านั้นเอง..และ-ข้อสอบน่ะน้อยนักที่จะออกตรงตามหนังสือไปเอาอะไรไม่รู้มาออกไม่ได้อยู่ในหนังสือเรียนสอนอย่างหนึ่งการบ้านอย่างหนึ่งแทนที่จะทำการบ้านแล้วได้ความรู้เรียนแล้วได้ความรู้มากขึ้นกลับกลายเป้นว่าไม่ได้อะไรเลยที่สำคัญในความคิดเราเราว่าควรลดเวลาเรียนเถอะมันเยอะไปเรียนเยอะการบ้านก็เยอะอันนี้เป็นมุมมองของเราเราเจอมาแบบนี้คนอื่นเราไม่รู้
การบ้านเยอะอะ ไม่ว่านะ แต่ที่เราคิดอะ ควรให้มีการเลือกลงเฉพาะวิชาที่เรียนแล้วจะต้องเอาไปสอบ เลือกเรียนเฉพาะไปเลย ไม่ใช่เรียนสายสามัญแล้วต้องเรียนทุกวิชา เพราะถ้าหากเราไม่เข้าใจหรือเรียนไม่รู้เรื่อง ความรู้ที่เราได้มาแต่ละวิชาตีกันหมดแน่นอน แต่เราไม่ห้ามเรื่องงาน การบ้านหรือแบบฝึกนะ เพราะถ้าเราแบ่งเวลาจริงๆอะ ทันอยู่แล้ว และมันก็เป็นตัวช่วยเพิ่มความเข้าใจในเนื้อหาและบทเรียนด้วย ส่วนความรู้รอบตัวอะ เราคิดว่าผู้เรียนคงมีวิจารณญาณในการรับรู้และจดจำเองได้ ไม่จำเป็นต้องเอามาบังคับให้เรียนก็ได้ เพราะถ้าผู้เรียนสนใจจริงก็ต้องพยายามหาความรู้ให้ตนเองอยู่แล้ว
คนอื่นคิดไงเราไม่รู้นะ แต่เราคิดแบบนี้อะ จากใจเด็ก ม6 เลยย
บ่องตง มีไม่มีเราก็ไม่ทำอ่ะ -__________- 5555 แต่ลดก็ดีนะ ลอกไม่ทัน ><
เรียนเยอะแล้วงานยังเยอะอีก เรียนวันละหลายๆชม.แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำไมประเทศที่เขาเรียนกันน้อยๆเขาเก่งกว่าล่ะ ทำไมเขาทำกันได้ ทำไมไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุด ? ลดชั่วโมงเรียนครูยิ่งสั่งงานเยอะเลย การศึกษาไทยน่าจะพัฒนาได้แล้วล่ะไม่งั้นคงไม่ทันชาวบ้านชาวเมืองเขา บางทีเราก็คิดว่าน่าจะไปเรียนเมืองนอกดีกว่าอาจจะได้อะไรที่มากกว่านี้...
ให้การบ้านวันนี้ บอกให้ส่งวันพรุ่งนี้
พอบอกว่า 'อาจารย์คะ วันอื่นได้มั้ยคะ งานมันเยอะมากเลย'
อาจารย์บอก 'เยอะตรงไหน ง่ายๆ นิดเดียวเอง'
คาบต่อมา ...
'ส่งรายงานวันพรุ่งนี้นะ'
'เอ่อ.. อาจารย์คะ..'
อาจารย์เดินออกจากห้อง
ไม่ฟังตูเลยยยยยยยยยยยยยยย คาบเรียนก็เยอะ ปวดหัวโว๊ยยยยยยยย
สำหรับเรา เราเห็นด้วยกับเหตุผลเห็นต่างมันก็จริงอ่ะ
มีเพื่อให้เราได้ทบทวน
แต่มันเยอะเกินไปจริงๆ ทำไม่ทันก็ลอกกันอีก สุดท้ายได้อะไร ????
คะแนนเด็กไทยก็เลยที่โหล่อย่างนี้ไง เป็นเพราะหลายๆด้านนะ ทั้งเด็ก ทั้งครู ทั้งรร ไม่เข้าใจครูสมัยนี้เลยนอกจากจะไม่สอนแล้ว ยังสั่งงานแบบง่ายๆแต่สอบยาก ครูคงจะคิดว่าเด็กทุกคนไปเรียนพิเศษมาแล้วสินะ ???
ไม่ใช่ให้ก่อนสอบ สั่งๆๆๆ เกือบทั้งเล่ม
ม.6 แล้วด้วย งานเยอะ แถมต้องสอบเข้าอีก
เหนื่อยมากนะคะ
การบ้านเยอะเรายิ่งโง่ แต่ถ้ามีในปริมาณพอเหมาะ อาจจะทำให้เรามีเวลาทำกิจกรรม ต่างๆได้มากขึ้นนี่
มันจะไม่เยอะหรอกถ้าอาจารย์ไม่สั่งอะไรไร้สาระ ประมาณว่าไม่อยากให้ว่าง ไปทำอันนี้มานะ เลยสั่งเเบบส่งๆมาเรียนวันละ10วิชาสั่ง10วิชา วิชาหน่วยกิต0.5สั่งเยอะกว่าวิชาหน่วยกิต1.5ซะอีก เเถมใกล้ๆสอบยิ่งสั่งเยอะขึ้น ไม่รู้เป็นอะไรกัน
สำหรับบางคนการบ้านที่ได้มาไม่ได้ช่วยทำให้เก่งขึ้น เช่นเพื่อนบางคนในห้องที่ไม่เห็นทำการบ้านไรเลยแต่ได้topห้อง
เพราะเขามีวิธีเรียนของเขา บางคนต้องฝึกทำบ่อยๆ บางคนเน้นอ่านเอาเองไม่ต้องทำ การบ้านที่เยอะไปจะทำให้เด็กเบื่อแล้วลอกในที่สุด (อย่าลืมว่าการบ้านไม่ได้มีวิชาเดียว ครูไม่ค่อยสนวิชาอื่นเท่าไหร่ว่าเขาก็ให้งานมาแล้วนะ แล้วก็สั่งงานวิชาตัวเองอีก)
ควรเน้นการบ้านแบบโปรเจคหรืองานที่ใช้ได้ในชีวิตจริงมากกว่าทฤษฎี ไม่ต้องมีถูกมีผิด เป็นการฝึกให้ใช้ความคิด
เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการจบออกมาแล้วทำงานหาเงินได้ไม่ใช่ต้องการความรู้แบบเจาะลึกแต่ใช้จริงไม่ได้
นักเรียนจะได้ไม่ต้องมากังวลแล้วก็ลอกคนอื่นเพื่อส่งเอาคะแนน
ทุกวันนี้นอนตี3ตื่นตี5 การบ้างแม่งงงงงงงง
งานเยอะ - นอนดึกตื่นเช้า - เรียนไม่รู้เรื่อง - สอบท้ายหน่วย - สอบตก - สอบซ่อมคัด25จบ - งานเยอะ
มันเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น
มันก็ดีนะครับ ที่มีการบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ในสมุด รายงาน โครงงานมาให้นักเรียนได้ฝึก เพราะความสำเร็จเล็กๆย่อมนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่สิ่งที่เด็กทุกวันนี้ได้รับ มันคือความเหน็ดเหนื่อย..โห งานอีกตั้งเยอะ จะทำยังไงให้งานเสร็จ ทำยังไงให้มีส่ง ความจดจ่อต่องานก็จะไม่มี มุ่งแต่ว่าต้องเสร็จๆ คะแนนไหลมาเทมาที่ฉ้านนนนน!!
แต่หากลดการบ้านลง ให้นักเรียนได้มีเวลา อาจจะนั่งสมาธิ ผ่อนคลายความล้า ปลูกป่า ดูประการัง ดู.. เด็กก็จะใส่ใจกับงานที่ได้รับมอบหมายได้มากขึ้น มีสมาธิกับงานนั้นๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะเสร็จทันหรือไม่ ให้เด็กได้โซเดมาคอมกับงานนั้นๆ(O.O) ได้อย่างเต็มความสามารถ แล้วมาดูว่าแท้จริงแล้ว ความถนัดแท้จริงที่ซ่อนอยู่นั้นคืออะไร???????
การที่จะลดการบ้านของเด็ก นร.นั้นควรดูความเหมาะสมค่ะ ความจริงการบ้านคือสิ่งที่ให้เรามาทวบทวนว่าวันนี้ฉันเรียนอะไรไปบ้าง เพราะในหนึ่งวันคงไม่มีรร.ไหนที่เรียนแค่วิชาเดียวหรอกค่ะ เพราะงั้นเราจะจำได้ทุกอย่างที่เรียนมาได้ไงถ้าไม่มีการกลับมาทวบทวน
ทุกวันนี้หลายคนอาจจะมองว่าการบ้านเยอะบางทีมันก็จริงนะค่ะ เราะเราก็เป็นบ่อย แต่ใช่ว่าจะต้องทำให้เสร็จภายในคืนเดียวแล้วนำไปส่งในวันรุ่งขึ้น ครูทุกคนย่อมรู้ดีค่ะว่าไม่ได้มีแต่ตัวเองที่ส่งการบ้านเพราะงั้นเขาก็คงพิจารณาถึงความเหมาะสมแล้วว่าได้สั่งอะไรไป การบ้านเยอะก็จริงแต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราด้วยที่จะต้องรู้จักบริหารเวลา ถึงบางครั้งจะมีการลอกมาส่งอย่างนี้มันก็ได้ผ่านตาอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าไม่มีไรใสสมองเลย เด็กต่างประเทศเขาอาจจะไม่ไม่ต้องทำการบ้านแต่ก็เก่งจริงเพราะได้ประสบการณ์จากการเรียนรู้นอกห้องเรียน เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขามีระเบียบวินัย ควบคุมตัวเองได้ แต่เราบางคนไม่ใช่นี่ค่ะยิ่งมีเวลาว่างมากเท่าไหร่แทนที่จะทำการบ้านทำงานกลับเล่นเกมส์อะไรต่างๆ
การบ้านก็ถือว่าเป็นการฝึกความคิดอีกรูปแบบหนึ่งนะค่ะแต่อยู่ที่ตัวเราว่าจะมองมันเป็นปัญหาที่ทำให้ทุกข์หรือมองว่ามันเป็นอุปสรรค์ที่จะสร้างปัญญาให้ตัวเอง
#ขึ้นอยู่กับวิธีการคิดค่ะ
วิชาที่ควรจะลดก็ลดเถอะค่ะ ถ้าอย่างคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ภาษาอังกฤษ ก็ไม่ต้องลดก็ได้มั้ง เพราะมันต้องอาศัยความชำนาญ ความคุ้นเคยอ่ะ แต่อย่างวิชาที่บรรยายหรือเนื้อหาทั่วๆไป เอาเวลาไว้ให้อ่าน ให้ทบทวนเอาน่าจะดีกว่ามาสั่งทำรายงาน ทำชิ้นงาน หรือทำอะไรที่มันไม่ต้องใช้จริงๆในชีวิตนะคะ
การบ้าน อ่ะ ถ้ามีนะ มันก็ดีอยู่หรอกน่ะ แต่ถ้ามันมาที!! ล่ะ เยอะๆฉันก็ไม่ไว้ เหมือนกันน่ะ เว้ย!!!!!!!!!!!!!! โคตรเยอะ อ่ะ ยิ่งช่วงเวลาใกล้จะถึงวันสอบ น่ะ สั่งโน้น สั่งนี้... รายงานบ้างล่ะ ใบงานบ้างล่ะ!! ใครเขาจะไปทันก้านนนน!!!
แทนที่จะได้เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบ แม่งต้องนั่งมาทำงาน แล้วใคร !!! มันจะไปสอบผ่านกัน เหล่า!! หัวหมุน...ปิ้ว!!*^%$ ปิ้ว*^%$ ปิ้ว*^%$
ทุกวันนี้ครูอาจารย์สั่งการบ้านมากไปจริงๆค่ะ
เข้าใจว่าการบ้านนี่มีเพื่อวัดผล ประเมิน และพัฒนาทักษะต่างๆของเด็ก แต่การที่ทุกบทมีการบ้านทุกชิ้น ไม่ใช่แค่แบบฝึกหัดท้ายบท แต่เป็น โครงงาน รายงานกลุ่ม เดี่ยว เมื่อเอามารวมกับวิชาอื่นๆที่สั่งการบ้านเช่นเดียวกัน ผลคือตอนนี้ตีสามครึ่งแล้วค่ะ การบ้านยังไม่เสร็จ พอดีเปิดมาเจอกระทู้นี้ เลยเข้ามาเสนอความคิดเห็น แล้วพรุ่งนี้เรียนแปดโมงครึ่ง จะเอาสติที่ไหนไปเรียนค่ะ
เบลอขนาดนี้ งานที่ทำเมื่อมันไม่ได้ตั้งใจ เพราะเราเหนื่อยก็ออกมาแย่ เรียนไปทั้งที่ไม่มีสติก็เรียนไม่รู้เรื่อง เกรดก็ตก มีอะไรดีมั่งค่ะ จากการที่การบ้านเยอะเกินไป
เราว่าลดบ้างก็ดีนะ คือแบบเรียน 10 วิชา ถล่มให้หมดในวันเดียว
ที่สำคัญกว่านั้น
โครงงาน การบ้าน โปรเจคต่างๆ
ให้มาทำกันก่อนสอบทั้งนั้น
ข้อนี้ละค่ะที่เพลีย =____=
"เธออ่ะโตแล้ว งานง่ายๆอ่ะมันคงง่ายสำหรับพวกเธอ เธอไม่ใช่เด็กประถมนะที่ต้องทำงานง่ายๆอย่างงี้ แล้วต่อไปจะทำอะไรเป็น"
คือครูขา ถ้าเทอมนึงมันมีงานแค่เทอมละคนสองคนโปรเจ็คใหญ่ๆก็ไม่ว่านะคะ แต่นี่เรียนกับครู 4-5 คนแล้วทุกคนสั่งงานแต่โปรเจ็คใหญ่ๆให้เวลาทำอาทิตย์เดียวก็ไม่ไหวจริงๆ สงสารนักเรียนเถอะค่ะ ; ;
แล้วยิ่งก่อนสอบนะ งานมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ แล้วมันจะมีเวลาอ่านหนังสือหรอคะ โรงเรียนมันเน้นเรื่องการบ้านมากกว่าความรู้แล้วหรอ เรื่องการบ้านอ่ะไม่บ่นหรอกเพราะมันเอาไว้ฝึกได้ แต่บางวิชาเงี้ยมันไม่น่ามีการบ้านเลยก็มาสั่งๆกัน สรุปวันนึง 8 คาบการบ้าน 8 อย่าง โอยตายพอดี
บางวิชาครูแม่งแจกแต่ชีทมาให้ทำ แล้วก็ไม่ค่อยสอนอะไรเลย เสียเวลาทำการบ้านวิชาอื่นหมด! กลับถึงบ้านทีก็ล่อไปเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว
ส่วนตัวไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไรมากนะ แต่ว่าคิดว่าไม่ควรลด เพราะนิสัยคนไทยโดยส่วนใหญ่คือ ขี้เกียจ ที่เค้าให้ทำเยอะๆก็เพราะว่านี้สัยนี้แหละ กลับไปก็ไม่ทบกวนที่เรียนมา เลยต้องทำให้ทบทวนด้วยการบ้านไง แค่นี้ยังไม่อยากทำกันเลย ทั้งที่คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ ตัวเราเองแท้ๆ
บางคนอาจคิดว่าการบ้าเยอะมันดีเนอะ เด็กกลับมาทำการบ้าน
การบ้านมากไม่เท่าไหร่ รู้อยู่คือแบบฝึกหัดเพื่อให้เด็กๆได้ฝึก มีความขยัน มีความรับผิดชอบมากขึ้น
แต่บางทีการที่สั่งๆมาทั้งๆที่ไม่ไปดูตารางงานของนักเรียนที่มีอยู่ก็จะทำให้เสียความรับผิดชอบเอาได้
เพราะคำว่าขี้เกียจ มีขอบเขตง่ายๆ คือมากไป
เราเป็นเด็กที่ไม่ใช่ว่ามีงานมาแล้วไม่ทำ
แต่บางทีก็เหนื่อยใจ มันเยอะมากจนท้อคุณครูก็น่าจะเข้าใจ.
บางครั้งก็ชอบนะที่มีการบ้านให้ทำ แต่ต้องเป็นวิชาที่ทำได้ เข้าใจเนื้อหา เพราะจะได้เพิ่มความเข้าใจของตัวเราเอง แต่จะไม่ชอบมากๆเลยก็เป็นวิชาที่สอนแบบมึนๆงงๆ สอนเนื้อหาไม่ครบ แต่สั่งการบ้านจนจบบท แล้วสั่งให้ส่งคาบต่อไป ไม่งั้นคะแนนติดลบ แล้วถ้าใครทำผิดก็โดนทำโทษฐานไม่ตั้งใจเรียน อะไรกันเนี้ย >_<
อยากให้เป็นแบบ เทอมนึงก็ให้ทำรายงาน ทดสอบ วิจัยอะไรก็ได้ แบบเดี่ยว (งานกลุ่มไม่อยากทำ = =) แล้วก็มาตรวจแค่ผ่าน ไม่ผ่าน อ่ะ
สำหรับเรา เราคิดว่าไม่ควรลดนะ แต่ควรเปลี่ยนเวลาเลิกเรียนให้เร็วขึ้น เราจะได้มีเวลาว่างพอมานั่งทำการบ้านจะดีมากๆเลย แถมเรายังมีเวลาว่างทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์ได้อีกด้วย
เด็กต่างจังหวัดไม่ได้เรียนพิเศษ เหรอ !!??? เรียนพิเศษเยอะจะตายเพราะต้องแข่งกับเด็ก กทม.ไง
คือเราจะไม่ว่านะถ้าให้การบ้านอย่างเหมาะสม กำหนดเวลาให้ได้อย่างเหมาะสม
คือ ให้การบ้านเด็กๆมา ให้มาทีเยอะจนนอนเที่ยงคืน ตีหนึ่งแทบทุกวัน อยากบอกครูว่าเราไปโรงเรียนวันหนึ่งมี 9 วิชานะไม่ใช่มีวิชาครูวิชาเดียว แล้วที่บอกว่าให้เพราะอยากฝึกเด็กเดี๋ยวสอบไม่ได้ พอเอาเข้าจริง เด็กทำไม่ทันจะส่งก็ต้องมานั่งลอกกันตอนเช้า งานที่เราเคยทำดึกสุด ตี 4 ตื่น ตี 5 ครึ่งอ่ะ ทำไม่ทันจริงๆ(งานกลุ่มนะ) ให้การบ้านอ่ะให้ได้แต่เอาแบบเน้นๆได้มั้ยอ่ะ ให้ทีบางวันรวมกันนี่เป็นสิบงานอ่ะ ส่งอาทิตย์หน้าเงี้ย ถ้าไม่เรียนพิเศษคงจะทำทันอ่ะ แต่เราก็เรียนเพราะถ้าไม่เรียนก็ตามเด็กกท.สุดท้ายให้งานมา = ไม่ให้การบ้าน เด็กก็ต้องมานั่งเครียดกันเงี้ย
การบ้านเป็นสิ่งที่ให้เด็กมาทบทวนวิชาเรียนก็จริงนะ
แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นแบบนั้นแล้วอ่ะ เราคิดว่ามันเหมือนเป็นสิ่งที่ให้เด็กมาลอกกันมากกว่า เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ลอกการบ้านเพื่อนนะเพราะมีหลายวิชาที่ไม่เข้าใจแล้วก็ไม่รู้เรื่องเลยโดยเฉพาะเลขอ่ะ ตอนนี้อยู่มหาลัยแล้วก็ยังมีอยู่นะแต่เป็นโปรเจคยาวๆไปเลย คิดแล้วเศ้รา
การบ้านเยอะ ค้าง ครูบอกว่า ไม่เคยคิดเลยว่าคนเรียนแบบเธอจะค้างงานหลายช่องขนาดนี้ ครูลองมาเรียนแบบที่เราเรียนอยู่สิแล้วจะรู้ มันคนละยุึคกันอะ เรียนไป ใช้ไม่ได้ ก็รกสมองเปล่าๆ ดีลีทก็ไม่ได้ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ของจริืง
เราก็ว่ามันเยอะเกินไปนะ
แม้ว่าตอนนี้จะเรียนวัยนี้ไปแล้วนะ เราอยู่ปี4แล้ว
แต่พอลองนึกเทียบกับเมื่อก่อนแล้วตอนนี้มันเยอะมากจริงๆ
เล่าประสบการณ์จริงให้ฟังกันเลยว่าที่รู้เพราะเรามีน้องสองคน
เราจะช่วยดูการบ้านน้องอยู่ทุกวัน
การบ้านก็แบบว่าสามสี่วิชา วิชาละหลายๆ หน้า
เลขสามหน้า(แสดงวิธีทำด้วย)
ภาษาไทยอีกหน้านึง
สังคมอีกสอง
อังกฤษอีกยี่สิบข้อ
เนี่ยแต่ละวันอย่างน้อยจะต้องมีอย่างนี้กลับมา
และก็มีใบงานเล็กๆน้อยๆอีก
ลืมบอกไปน้องเราอยู่ม.2
เราคิดว่าการบ้านเนี่ยแค่ทบทวนบทเรียนในแต่ละวัน เอาเฉพาะที่เป็นส่วนสำคัญๆๆๆจริงๆ ก็พอแล้ว
จะสั่งมาทำไหมมากมายนัก
แล้วอย่างงานใหญ่ๆ เช่น รายงานวิชาต่างๆอ่ะ
คุณครูช่วยคุยกันหน่อยได้ไหมว่าวันนี้มีงานอะไรที่สั่งเด็กไปแล้วบ้าง ไม่ใช่ต่างคนต่างสั่ง ไม่สนใจกันเลย
บางวันน้องเราต้องพิมพ์รายงานทีเดียวสองวิชาซึ่งครูกำหนดส่งวันเดียวกัน โอ้ อยู่ยาวเลยจ้า โต้รุ่งไปเลย
แล้วรายงานต่างๆก็ช่วยสั่งตั้งแต่เปิดเทอมมานิดๆได้ไหม
ไม่ใช่มาสั่งเอาอีกสองสามอาทิตย์จะสอบแล้ว
ทีนี้ละ มือก็พิมพ์รายงาน ตาก็อ่านหนังสือเตรียมสอบ
สรุปรายงานก็แค่มีส่งไม่เข้าใจเนื้อหา สอบก็ไม่ได้เพราะไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ บทเรียนไม่เข้าหัวเลย
อีกอย่างที่เราเห็นชัดเลยคือครูเดี๋ยวนี้สอนแต่ให้นร.จำๆๆๆ
จำอย่างเดียว จำว่าโจทย์เลขนี้ต้องแก้แบบนี้ โจทย์เคมีนี้ต้องเอาสูตรนี้
ไม่ได้สอนให้เด็กเข้าใจในบทเรียนเลยซักนิด
การเรียนถ้าสักแต่จำมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยนะ ต้องใช้ความเข้าใจสิ ถ้าเข้าใจซะอย่าง ต่อให้โจทย์พลิกแพลงมาแค่ไหนก็สามารถแก้มันได้สบาย
เรื่องท่องศัพท์ก็เหมือนกัน
ท่องไม่ทันก็ให้คัด5จบ10จบใส่กระดาษไปส่ง แล้วแบบนี้คำศัพท์มันจะเข้าหัวนร.ไหม
เวลานร.สอบตกก็บ่นๆๆๆแล้วก็ให้คัดข้อสอบพร้อมคำตอบไปส่ง
แทนที่จะอธิบายว่าแต่ละข้อมีวิธีการคิดยังไง จริงไหม
เฮ้อ ถ้าการศึกษาไทยยังเป็นแบบนี้ เด็กไทยคงโง่ขึ้นทุกวันแน่ๆ
นี่เป็น ความเห็นส่วนตัว+จากประสบการณ์จริงนะ
จริงด้วยยยยยยยยยยยยยยยย
คือ ยิ่งช่วงใกล้สอบนี่แบบมากันพรึบพรับอ่ะ
แบบไม่มีเวลาอ่านสือเลย โอ้ย จะบ้าตายก็ตรงนี้แหละ
ให้การบ้านเยอะไปก็ดีนะคะ แล้วทำไมการที่ให้การบ้านเยอะถึงทำให้เด็กไม่เก่งหรือฉลาดขึ้นเลย ? ต่างประเทศบางปะเทศที่เค้ามีการเรียนที่ดีกว่าเรา เด็กเด็กกว่าเรา เขาให้การบ้านเด็กเยอะเรียนหนักเหมือนไทยไหมค่ะ ? บางทีก็ทำให้เด็กท้อนะคะกับการที่ทำการบ้านไม่ทันส่ง บางคนก็ทำถึงเที่ยงคืนไม่ก็ตีหนึ่งตีสองเพื่อให้มีงานส่งครูน่ะ ? มันไม่โหดไปเหรอค่ะ ?
ที่อยากให้ลดการบ้านไม่ใช่ว่าไม่ให้ครูน่ะให้การบ้าน แต่อยากให้ครูลดจำนวน จากสิบข้อเหลือห้าข้อ จากงานสิบหน้ากระดาษเหลือห้าอะไรแบบนี้ค่ะ การลดลงไม่ใช่การหยุดให้นะคะ
ช่วงนี้ยิ่งจะสอบครูก็จะเร่งๆสั่งงานเพราะช่วงต้นเทอมครูสอนอย่างช้าๆ แบบนี้จะทำเพื่ออะไรไม่เข้าใจ:)
การบ้านเยอะจริงๆๆ ทำไม่ทันเลยค้ะ ยังไม่พอ โดนหักคะแนน อีก เซงจิต
การให้การบ้านมันก็ดีน้ะค้ะ
แต่ขอเถอะค่ะ อย่าเยอะเกิน
หยุดสองวัน เสาร์-อาทิตย์ การบ้านแบบว่า เหมือนกับคลื่นทะเล
ซัดเอาซัดเอา--
ให้ตายสิ สมองก็มีขีดจำกัดน่ะค่ะ
เอิ่ม นี่คือชีวิตหนูน่ะค่ะ....
หนูเรียนโปรแกรมพิเศษ มีการบังคับให้เรียนพิเศษตอนเย็น
เวลา 16.30-18.00 นานมากเรียนเยอะด้วย
และบ้านหนูก็อยู่ไกลจาก รร. ประมาณ 37 กม. นั่งรถตู้ไป-กลับ
เฮ้อ ถึงบ้านก็ 19.30 น. แล้วค่ะ
การบ้านก็ต้องกลับมาทำอีก สมุดทำความดี ทบทวนก่อนสอบนอกตารางเรียน และสอบในตารางเรียน
อาบน้ำ กินข้าว นอนแล้วก็ยังทำการบ้าน
อยากให้ประเทศไทยเรียนเหมือนต่างประเทศจัง
เหนื่อยยยยยยยยยยยย
ใครชีวิตคล้ายหนูบ้างค้ะ
สมองเด็กมีขีดจำกัด ให้เล่นบ้างเถอะ อย่าง 1 วัน สัก 2 วิชา
จะไม่ว่าเลย เวลาเรียนก็ง่าย พอให้การบ้าน ยากชิป
ไม่ทำการบ้านแล้ว แล้วจะเอาทักษะที่ไหนค๊าบ
การบ้านเยอะจริงไรจริง คือบางทีครูก็ไม่ควรสั่งเยอะเกินไปนะ อาจใช่ที่การบ้านคือการฝึกทักษะให้เข้าใจในเรื่องที่เรียนมา แต่บางอย่างมันก็ไม่ได้พัฒนาได้เลย ทางที่ดีควรให้นักเรียนฝึกทำอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่เอาเวลามาจมปรักอยู่กับการบ้าน อย่างนี้ไง การศึกษาไทยถึงลดลงฮวบๆ
ไม่เห็นด้วยค่ะ การบ้านเยอะเหมือนกัน แต่พอทำการบ้านก็จะพัฒนาการเรียนรู้อีกแแบบ
น่าจะลดคาบเรียนในแต่ละวันลงมากกว่า จะได้ไม่เครียด
ได้มีกำลังใจทำการบ้าน
แต่ถ้าไม่ลดคาบเรียน ลดการบ้านน่ะดีแล้ว - -b
เรียนเยอะ ทำข้อสอบแยะ แต่คิดวิเคราะห์ไม่เป็น
ต้องเรียนหลายวิชา การบ้านได้รับอย่างแสนสาหัส อยากเรียนอยากอ่าน อยากสนแต่เฉพาะวิชาที่เราชอบจริงๆ บอกว่า จะเป็นคนไม่รอบรู้ หน่วยกิตไม่พอ เข้าม.ดังไม่ได้
การเรียนไปตามกระแสนิยมอาชีพ....
ชอบมองว่าเก่งวิชาเดียว ถนัดอย่างเดียวเป็นคนโง่....
เบี่ย....
การบ้านเยอะไม่เป็นไร...
แต่อย่าสั่งพร้อมกันหมดทุกวิชาได้มั้ย T^T
ถึงเวลาจะส่งทีเด็กๆ แทบขาดใจ
อดนอน นอนดึก ไม่สบาย สภาพโทรม หัวสมองเบลอ
แล้วก็จะเรียนต่อไม่รู้เรื่องค่ะ
ผมว่ามันแย่ตรง "เวลาที่ให้งานมากกว่า"
แต่ครูบางคนนี่สิ ให้การบ้านไม่ปรึกษาครูคนอื่น หรือปรึกษาพวกเราก่อนก็ยังดี สั่งมาแบบ..
วันหยุดเทศกาล.. สั่งมาแบบไม่ให้ออกไปทำไรนอกบ้านเลย
วันไปทัศนศึกษา.. ผมจะไปทัศนศึกษาครูให้การบ้านมาทำแป๊ะยิ้มอะไรคับ
อันสุดท้ายนี่สุดๆเลยย
วันสอบ.. อาทิตย์หน้าจะสอบ สั่งมาแบบ.. อืมไอ***เอ้ย!
ส่วนที่บอกว่าเด็กบ่นว่า "การบ้านเยอะ การบ้านเยอะ" น่ะ ผมจะบอกให้นะ ถ้าการบ้านเยอะจริงๆแบบเยอะสุดๆน่ะ ใครเคยเจอกับตัวจะรู้เลยว่า.. "เค้าไม่บ่นกันหรอก" ไม่ใช่เพราะไม่อยากบ่นหรอกนะ แต่ความรู้สึกมันแบบ.. ไม่อยากพูดถึงมันน่ะ เอาเป็นว่าใครเคยเจอก็คงรู้แหละ
(จากประสบการณ์ตรง.. โปรเจคคอมฯ โครงงาน และบลาๆๆ มันส่งวันเดียวกัน ผมทั้งนั่งทำนอนทำยืนทำตั้งแต่บ่าย 3 ถึงตี 5 หลับประมาณครึ่งชม.แล้วตื่นมาทำต่อ ตอนนำเสนอโครงงานก็เอาบอร์ดไปแปะๆที่โถงนำเสนอมันนั่นแหละ กรรมการก็ยืนขำอยู่ จะบร้าตายยย อายชิบเป๋ง 55555 ปล.ผมไม่ได้ดองงานนะแต่งานใหญ่มันมาพร้อมกันทำไม่ทันเจงๆ Orz..)
สรุปก็คือ.. ถ้าเอางานทั้งเทอมของทุกวิชามาปรึกษากันแล้วเฉลี่ยการให้ให้สัมพันธ์กับปฏิทินกิจกรรม นอกจากจะไม่โดนเด็กบ่นแล้ว คะแนนเฉลี่ยของเด็กไทยอาจจะสูงขึ้นจากตอนนี้มากก็ได้ครับ
ปล.คหสต.ล้วนๆ 5555
สู้ๆ ^^
การบ้านไม่ใช่ว่าไม่ควรให้นะ
แต่ว่า เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยค่ะ ไม่ว่าจะกลางภาค ปลายภาคปีไหนก็แล้วแต่
งานชอบมายัดไว้สัปดาห์สุดท้าย
แล้วเด็กก็เกรดตก ไม่มีเวลาอ่านหนังสือก่อนอาทิตย์นึง
เราก็ไม่ได้ชอบอ่านหนังสืออะไรนะ แต่พอไม่มีการบ้าน ขี้เกียจเล่นคอมแล้วมันก็อ่านเอง
บางทีให้การบ้านอย่ายัดไว้สัปดาห์ก่อนสอบค่ะ
และควรกำหนดส่งก่อนสอบประมาณสองอาทิตย์
-/\-
ไม่ได้ขอให้ไม่มีแต่ให้ลดปริมาณลงเท่านั้นเอง
เวลาการบ้านเยอะ ทำงานจนล้นมือ สับสนว่าจะทำอันไหนก่อน ทำไปทำมาไม่ทันส่งโดนหักคะแนน
เรื่องจริงเจอมากับตัว การบ้านเยอะแล้วเป็นไงรู้มั้ยค่ะ??
"จ้างเพื่อนทำไงค่ะำ!"
ในห้องเราแบบมีเยอะมากๆ ผู้ชายประมาน 4 - 5 คน จ้างเพื่อนทำการบ้าน แล้วขอถามว่า ให้การบ้านมามันให้ประโยชน์กับเราจริงๆเหรอค่ะ
แล้วเวลางานกลุ่มคือช่วงเวลาที่เกลียดๆสุด โดยเฉพาะงานที่สั่งให้ทำรายงาน เพาเวอร์พอยต์อะไรแบบนี้
คนในกลุ่มมี 6 - 7 ให้เราทำคนเดียว!!
ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ มันก็ให้เราทำคนเดียวทั้งนั้น เพราะมันทำกันส่งช้ามาก! บางคนเลยกำหนดส่งแล้วยังทำไม่เสร็จเลย พอเราไล่ทวงงานมันบ่อยๆ มันก็บอกเราขี้บ่น น่ารำคาญ เราเลยต้องจำใจรับไปทำเองทุกครั้ง หรือไม่บางครั้งเราก็ขออาจารย์ไปอยู่คนเดียวเลย จะได้ไม่ต้องปวดหัวและทะเลาะกับเพื่อน
ขอถามอีกครั้งค่ะการบ้านเยอะแล้วทำให้นักเรียนขยันทำและมีประโยชน์จริงๆหรือ??
ลดเหอะ ต่างจังหวัดอะ เราตื่นตีสี่ กลับถึงบ้านสองทุ่ม เสาร์อาทิดช่วยแม่ทำการบ้าน นี่ขนาดทำแล้วยังมี-ที่ยังไม่ได้ทำอีกบาน
เราอยู่นอกเมือง มีเพื่อนในเมืองเค้ายังมีเพื่อนที่ "จ้าทำการบ้าน" ถ้าไม่จ้าง ก็จะช่วยกัน "ลอกการบ้าน" แถมลายมือต้องเนียบ หักลม ตัวตรง จะทำทันมะ การบ้านจะมีก็มี แต่ลดๆกันหน่อยเหอะ เครียด ไม่ได้เครียดแค่เรื่องการบ้านนะ เรื่องครอบครัว เพื่อน สังคม สิ่งที่สนใจ ไม่ได้ทำอย่างที่ต้องการ เราไม่ได้ดูทีวีเป็นเดือนๆก็เพราะอีการบ้านเนี่ยแหละ ช่วยเพลาๆลงหน่อย สิบวิชา/วัน การบ้านก้อย่างน้อยแปดวิชา/วัน ทุกวัน แล้วมันจะทำทันไหม ถามความต้องการมั่ง
เห็นด้วยค่ะ เพราะยิ่งเด็กม.ปลายการบ้านก็เยอะแถมยังต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าคณะอีก ถ้าการบ้านเยอะ ระยะเวลาในการอ่านหนังสือก็จะน้อยลง และจะทำให้การสอบเข้าไม่ได้เป็นไปตามคณะที่เราต้องการค่ะ ^^ ( เป็นความเห็นส่วนตัวนะค่ะ )
คือแบบตอนม.4-5 ยังไม่เท่าไหร่ ยังพอทนกับพวกการบ้าน งานโปรเจค โครงงานรายงาน ป๊อบอัพ บลาๆ และสิ่งที่ครูแต่ละคนมักจะพูดคืองานครูให้นิดเดียว แต่ครูไม่นึกว่าเราเรียนกี่วิชา
ซึ่งนนี้ผมอยู่ม.6 แล้ว ผมควรจะได้มีเวลาในการอ่านหนังสือเพื่อที่จะสอบเข้ามหาลัยบ้าง ไม่ใช่ต้องมาตามงานงกๆ
และผมรู้ดีว่าหลายคนไม่ได้ดินพอกหางหมู แต่มันมาเรื่อยๆ
งานแรกมางานสองมางานสามมาทั้งที่กำลังทำงานแต่ละงาน แต่มันก็มาเรื่อยๆ ใช้คำว่าดินพอกไม่ได้ครับเพราะมันสำหรับคนที่ชอบพูดว่าค่อยทำตอนใกล้จะส่ง
ประเด็นคือม.4-5 จะให้งานก็ให้แต่ม.6 ขอเต็มกับการสอบได้ไหม?
การบ้านมีเยอะนั้นไม่ว่า...ขออย่างเดียวอย่ามาตอนใกล้สอบ..ทำไม่ทัน หนังสือก็ไม่ได้อ่านกันพอดี
การบ้าน เคยคุยกับทางเพื่อนต่างชาติว่า มีเยอะหรือป่าว?
เพื่อนต่างชาติบอก ''การบ้านเหรอเราไม่กังวลเลย มันไม่ค่อยมีหรอก ที่ฉันเรียนเขาเน้นการกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ แบบถาม-ตอบ ให้ข้อมูล และจดบันทึกเท่านั้น'' ผมอึงเลยคิดว่าการบ้านไม่สำคัญ เป็นเราไม่ทำการบ้าน ติด 0, ร, มส ได้เลยนะนั่น
ถ้าคุณครูอธิบายว่าอันนี้ต้องทำอย่างนี้หรือไม่ก็สอนให้นักเรียนเข้าใจก่อนสั่ง เเต่นี่...ครูบางท่านเข้ามาปุ๊ปสั่งปั๊ป เด็กนักเรียนคนไหนจะเข้าละค้าาา(บางครั้งที่ยากให้ส่งเร็ว- -เคยเจอมาเเล้วละ)
เเละขอร้องอย่างเดียวคือ..อย่าให้การบ้านตอนใกล้สอบ ไม่มีเวลาจะอ่านหนังสือด้วยซ้ำ ตอนป.1-5สอบตกเพราะการบ้านที่มากมายนี่เเหละ(โดยเฉพาะตอนสอบนี่เเหละ )เเละบางครั้งเพื่อนก็มาลอกการบ้านก็เพราะครูที่อธิบายเเล้วเด็กไม่เข้าใจหรือไม่ได้อธิบายเลย
เเละขออีกอย่างนึงคือ...ถ้าให้ความสำคัญในเวลาเรียนจะดีมากเลยเพราะบางครั้งถ้าเป็นงานกลุ่ม(หรืองานเดี่ยวบางวิชาทีโ่รงเรียนเรา)จะให้ทำในคาบเลย จนในที่สุด...ก็ไม่มีเวลาสอนให้เด็กทำกันงงๆเเบบนั้น พอเด็กทำไม่ค่อยสวยก็ว่า เฮ้อ...น่าเบื่อเหลือเกิน
ควรลดลงบ้าง ไม่ควรสั่งมาทีเดียวพร้อมกันและควรจะให้เวลาทำให้มาก ยิ่งให้เยอะเด็กยิ่งขี้เกียจทำ พอขี้เกียจทำก็ต้องลอก เวลาสอบก็ตก การศึกษามันจะถอยหลังไปเรื่อยๆไม่พัฒนา และถ้าเป็นไปได้ก็น่าจะมีเกมให้เล่นบ้างเวลาเรียน มีกิจกรรมสนุกๆให้ทำ เด็กจะได้ไม่เบื่อ
เด็กทำไม่ทัน แล้วมาบ่น
สั่งตอนจะปิดเทอม เนื่อยจุงเบย
การบ้าน ทับตัวตาย
เถิดเอยยยยย
ควรสั่งแบบ แต่พอดีอ่ะ แบบไม่ใช่ว่า หยุดวันนึงสั่งการบ้านให้ทำเหมือนหยุดปีนึง อะไรเทือกนั้น =_= แล้วก็ลดความยากลงหน่อยจะดีมากกก
นักเรียนเข้าเหนื่อยน่ะรู้ไหมมม
ควรลดให้น้อยลงจริงๆค่ะ เพราะจะดูชัดได้ว่า ทั้งเด็กในโรงเรียนเอกชนหรือรัฐบาล ต่างก็แสวงหาที่เรียนพิเศษเป็นส่วนใหญ่ ที่เรียนพิเศษก็ไม่ได้ให้นักเรียนทำการบ้านของโรงเรียนเลย มีแค่เรียนเสริม น้อยมากที่จะหาที่เรียนพิเศษแบบทำการบ้านได้ สังเกตดูจาก นักเรียนที่ได้การบ้านมา วันหนึ่งมีคาบเรียน 5 วิชาขึ้นไป ซึ่งถ้าสั่งการบ้านวิชาหนึ่งเป็นสิบๆข้อ วิชาต่อไปก็ไม่ได้ทำเสร็จกันพอดี ไหนจะวันเสาร์-อาทิตย์ ต้องมีเรียนพิเศษบ้างอะไรบ้าง เด็กบางคนต้องมีภาระในการทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ดูแลน้อง การบ้านเป็นสิบๆข้อ คงหาเวลานานๆทำได้ยากจริงๆค่ะ ไม่ได้บอกให้ไม่สั่งการบ้านเลยนะคะ แต่ขอให้มันน้อยลง บางวิชาที่ไม่สำคัญมาก หรือ นักเรียนเข้าใจง่าย ไม่จำเป็นต้องสั่งการบ้านเลย วิชาหน่วยกิตน้อยบางครั้งสั่งเป็นสิบๆข้อ แต่การสอบออกมายังไงก็ได้คะแนนแค่ 10 - 20 แต่กลับเก็บงานเป็น สิบๆ ชิ้น มันไม่มากเกินไปหรอคะ ? คิดว่า ลดลงหน่อย หรือ บางวิชาที่หน่วยกิตน้อย ไม่จำเป็นต้องฝึกมาก ดูเข้าใจง่าย ควรจะให้ทำชีตสรุปง่ายๆหรือทดสอบที่มันน้อยๆก็พอแล้วค่ะ สั่งไปสิบๆข้อ ยิ่งทำยิ่งไม่เข้าใจมากหรอกค่ะ ข้อสอบก็ไม่ได้ออกตามที่ทำเยอะๆเลย มันเฟลจริงๆนะคะ
จากชีวิตจริงนะคะ การบ้านไม่ได้มีผลสำหรับคนที่มาลอกการบ้านเราเลย พยายามแทบตายเค้ามาเอาไปง่ายๆแบบนี้เอง TT
สดๆ สอบมศววันที่ 21-22 กย. โรงเรียนสอบ 23กย ไล่ตามตูดติดๆ ยังไม่รวมการบ้านบานตจะไทที่ต้องรีบเคลียร์ ไหนยังจะสอบซ่อม อีกตั้งหลายวิชา เรียนสายวิทย์ค่ะ แต่จะเข้ามหาลัยคณะสายศิลป์ ไม่เข้าใจว่าจะให้เรียนดะทำไม ทำไมไม่เน้นเป็นเรื่องๆ เรื่องที่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์กับชีวิตได้จริงๆ คนกำหนดหลักสูตร แผนการเรียนพวกนี้ ได้มานั่งเรียนกับเรามั้ย??
ก็เอาการบ้านที่มันสำคัญสิคะ :( ให้การบ้านไปเยอะๆ ใช่ว่าจะออกสอบหมดทุกข้อนะ :/
ถ้าสั่งการบ้าน เพื่อเจตนาเป็นคะแนนให้นักเรียนนะ ผมก็ขอสนับสนุน แต่ถ้าคิดว่าให้การบ้านแล้วเด็กได้ความรู้น่ะ พลาดแล้วล่ะ เพราะทุกวันนี้ทำไม่ทันก็ลอกกัน
ไม่ต้องมีการบ้าน
เห็นใจคนที่ออกไปทำงานพิเศษหารายได้เสริม
เราว่าควรลดให้น้อยลงค่ะ เพราะล่าสุดปิดวันนี้ครูให้มาซะตั้ง 62 หน้า..แต่ทำเสร็จไปแล้วค่ะ =_= เราคิดว่ามันเยอะเกินไปน่ะค่ะ
เรียน 7 วิชา สั่ง 7 วิชา วชาล้ะ 2-3 งาน ส่งพรุ่งนี้
เพลียยยยยจิงครูขาาา
วันนึง5วิชาส่งพรุ่งนี้หมดเลยด้วย...........
ลดหน่อยก็ดีนะคะ
ถามหน่อยนะ คุณลองคิดดูสิการบ้านนะ ไหนจะงานกลุ่ม ไหนจะในสมุดหนังสือ เราเองเข้ากลุ่มไม่เก่งไง แต่ก็ทำไม่ทำลองคิดดูสิให้ดลการบ้านโครตยากส่งพรุ่งนี้- บอกว่าออกสงออกสอบไงตอนสอบนะไม่มีซักข้อเอาใหม่นะ ไม่-มี-ซัก-ข้อ!
ไหนบอกว่ามีไงละโกหกทั่งหมดเลย
แต่หนูว่า... ไม่จำเป็นที่ครูจะต้องสั่งเยอะหรือสั่งน้อยหรอกคะ
ขอแค่ครูสั่งให้มันพอดีๆก็พอแหละ (ความคิดหนูนะคะ)
คือตอนนี้เราเครียดมากเว่ย ในหัวมีแต่การบ้าน อาจารย์ก็สั่งงานทุกวันไม่มีว่าไม่ให้พอเราทำไม่เสร็จก็โดนตีก็ทำโทษอย่างเดียว บอกเลยว่าเราเครียดเครียดมาก วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มันแทบจะไม่มีคำว่าวันหยุดเลยต้องมานั่งปั่นรายงาน ทำการบ้าน งานบ้านก็ต้องทำ คือสมองคนเรามันไม่เท่ากันนะ สอนไปเด็กบางคนก็ไม่เข้าใจ สอนเสร็จแล้ว ก็สั่งการบ้านอย่างเดียว ทำไม่ได้ก็ต้องมานั่งลอกเพื่อน ถ้าให้ไปเรียนพิเศษ บอกเลยว่า การบ้านก็เยอะจะตายห่าอยู่ละ ยังจะให้เรียนพิเศษ มันไม่ไหวหรอก ถ้าแยกร่างได้ก็คงจะดีสิ ว่ามั้ย เลิกเรียนก็4โมงเย็น ถึงบ้านก็5โมงแล้ว ต้องมาทำงานบ้าน ก็หมดเวลาไปตั้งเท่าไรแล้ว บางคนก็ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น ลดการบ้าให้กุเหอะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?