Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวการสอบ TOEFL iBT สำหรับคนที่อ่อนภาษาอังกฤษถึงขั้นสุด!!

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีครับ ผมอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ชั้นปีที่ 4 นะครับ ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าผมเป็นคนอ่อนวิชาภาษาอังกฤษมาก มากชนิดที่เรียกว่า เติม s หรือ es ก็ยังไม่คล่อง ถ้าเจอประโยคซับซ้อน หรือแม้กระทั่งการจะใช้ has / have ก็ยังไม่ชำนาญ ไม่ต้องคำนึงถึงพวก Adj Adv ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ด้วยความที่ห่างหายจากการเรียนภาษาอังกฤษไปนาน และในชีวิตประจำวันก็แทบจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ และเมื่อรู้ตัวอีกทีตอนกำลังจะสอบเรียนต่อ ป.โท มีเงื่อนไขนึงที่บอกว่าต้องใช้ TOEFL iBT ไม่น้อยกว่า 45 คะแนน จากคะแนนเต็ม 120 เอาล่ะที่นี้ ทำไงดี เวลาเตรียมตัวก็น้อยมากๆ แถมการสอบโทเฟลมันก็ไม่ธรรมดา มันต้องฟัง อ่าน เขียน พูด ตลอด 4 ชั่วโมง พาร์ทละ 30 คะแนน มันไม่ใช่ข้อกาๆ แบบการสอบทั่วไป ยังไม่พอเท่านั้น! ด้วยราคาอันแสนแพงประมาณห้าพันกว่าบาทในการสมัครสอบ ทำให้เราจะสอบเล่นๆไม่ได้ เอาว่ะ! ชนเป็นชน ผมจึงสมัครสอบไปเรียบร้อยครับ

สำหรับการเตรียมตัวนั้น ก็เริ่มจากอ่านรีวิวในเว็บไซต์ ว่าจะสอบที่ไหนดี? ข้อสอบให้เราทำอะไรบ้าง? และมันทำให้ผมรู้ว่า การสอบโทเฟลจะเนนทักษะการฟัง เป็นหลัก ไม่ว่าคุณจะสอบพูด ก็ต้องมีการฟังเลคเชอร์จากอาจารย์และพูดสรุปโต้ตอบออกไป หรือแม้กระทั่งเขียน คุณก็ต้องฟังอาจารย์เลคเชอร์ และเอามาประมวลเขียนเป็นบทความออกมา ซึ่งนับว่าโหดมากๆ สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลีกับภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง และเมื่อวันสอบมาถึงครับ เจอพาร์ทการอ่าน ผมได้เรื่องประวัติการก่อตั้งอาณาจักรโบราณอะไรสักอย่าง โหว! ทำไม่ได้เลยย แทบจะมั่วมาก โดยการสอบไม่ใช่แค่กาอย่างเดียวนะครับ มันจะมีบางข้อที่เราจะต้องเลือกเอาข้อความที่เหมาะสมไปแทรกในบทความให้ถูกต้อง และข้อสุดท้ายของการอ่านจะเป็นการเลือกข้อความ 3 จาก 6 ข้อความ ไปใส่ในกล่อง เป็นการสรุปเรื่องราวที่ได้จากการอ่าน ถ้าผิดไปตัวนึง ได้ 0 ถ้าถูกได้ 2 คะแนน สำหรับพาร์ทนี้ก็ประมาณ 3-5 บทความ บทความละ 10 กว่าข้อครับ เป็นอันจบพาร์ทการอ่าน ต่อมาพาร์ทฟัง อันนี้เงิบครับ สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินการฟังภาษาอังกฤษ เพราะมันจะรู็สึกเร็วมากๆ แปลไม่ทัน เพราะธรรมชาติของคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ จะรับสารมาก่อน แล้วเอามาเป็นเป็นไทยในหัว ซึ่งในความเป็นจริง มันไม่ทันครับ มันต้องฟังเป็นอังกฤษและเข้าใจเป็นอังกฤษไปเลย การฟังมันถึงจะมีประสิทธิภาพ ข้อสอบก็จะเป็นเรื่องทั่วไปครับ เช่น นักเรียนไปคุยกับบรรณนารักษ์แล้วยืมหนังสือแต่ลืมบัตรเอาไว้ จะทำไง? นอกจานี้ก็จะให้ฟังพวกเลคเชอร์ เช่น เรื่องไดโนเสาร์ เรื่องการเมือง เรื่องมนุษยวิทยา เยอะแยะมากมาย หลากหลายสาขา เข้าใจว่าเขาคงสุ่มๆมาครับผม ก็กาๆไป ไม่มีอะไรมาก นอกจากฟังให้ทัน ให้รู้เรื่อง และจดบันทึกย่อใส่กระดาษที่ทางศูนย์สอบแจกให้ในระหว่างฟังได้ แต่ผมว่าควรตั้งใจฟังดีกว่า ถ้ามัวแต่จด เราจะพลาดประเด็นสำคัญ เอาล่ะครับจากนี้ไปก็พัก 10 นาที ครับ เตรียมตัวเข้าสู่ความหฤโหดของจริง สองพาร์ทแรกคือน้ำจิ้มครับ เมื่อครบสิบนาทีแล้ว ก็จะเข้าสู่การสอบพูดครับ ทุกอย่างกระทันหันมาก เปิดมาข้อ 1 ถามว่าคุณชอบการเรียนแบบไหน จับเวลา 15 วินาที ให้ได้ตั้งตัว ขอบอกไว้เลยนะฮะ -จะมานั่งเขียนโพยในกระดาษเนี่ย ไม่ทันแน่นอน เข้าใจว่า 15 วินาที คือการทำใจ เรียกสติ มากกว่า เมื่อครบปุ๊ป ต้องพูดครับ! ในเวลา 45 วินาที มีนาฬิกาจับเวลา นับถอยหลังให้เสร็จ และยังไม่พอ คนข้างๆเราก็จะสปีคไปพร้อมกับเราครับ ถ้านั่งข้างคนเก่ง ก็ฝ่อเลยครับ เพราะเข้าจะสำเนียงดีมาก พูดดีมาก -เราสำเนียงบ้านๆ ลูกทุ่งๆ ก็มีอายกันบ้างครับ แต่ถือคติหน้าด้านเข้าไว้ครับ ไม่มีใครรู้จักเราหรอก จะมัวมานั่งอาย ไม่ได้แน่ๆ ค่าสอบตรูก็จ่ายไปแพง เอาว่ะ จัดเต็ม! ผมก็บรรเลงเลยครับ พูดดังๆให้ชัด แต่อย่าดังมาก เกรงใจคนอื่นเขา 555 สำหรับผมข้อแรกคือมั่วมาก พูดไม่เป็นประโยคเลย พูดเป็นคำๆ พูดตะกุกตะกัก เอาเป็นว่า อย่าเรียกว่าพูดดีกว่าครับ เรียว่าไปบ่นอะไรก็ไม่รู้ และแล้ว 45 นาที ก็จบไปแบบรวดเร็วจริงๆ สิ่งที่ผมพูดไปก็ประมาณว่า I like to learn with my friends. I will discuss with my friends. อะไรทำนองนี้ครับ กากมาก แกรมม่าไม่สนแล้ว ณ จุดนี้ ขอแค่พูดออกไปให้ได้ 555+ ข้อต่อไปก็ คุณชอบไปห้างหรือร้านสะดวกซื้อ ผมก็ตอบว่าไปห้าง มันมีของขายเยอะแยะมากมาย เช่น กระเป๋า รองเท้า 555+ ข้อต่อไป ก็เป็นอาจารย์มาเลคเชอร์และให้พูดสรุปครับ ดวงล้วนๆครับ ว่าข้อสอบจะสุ่มเอาเรื่องอะไรมาให้ ถ้าตรงกับความถนัดของเราก็โชคดีไป ของผมเจอเรื่องการหากินของนก การโฆษณา ครับ ถ้าสมมติคุณเรียนด้านนิเทศศาสตร์ เจอเลคเชอร์วิชาไดโนเสาร์ ก็ต้องใช้ความพยายามนิดนึงนะครับ และ พาร์ทนี้ก็จบไป เข้าสู่พาร์ทสุดท้าย ครับ การเขียน จะมีสองข้อย่อย ข้อแรกมีบทความให้อ่าน จากนั้นให้ฟังอาจารย์พูด และดูว่าบทความกับอาจารย์ มีความขัดแย้งหรือสอดคล้องกันอย่างไร ส่วนข้อสองก็อิสระครับ เป็นหัวข้อทั่วไป แล้วแต่ดวงครับว่าได้เรื่องที่ตรงใจกับเราหรือเปล่า เช่น คุณยายสามารถสอนหลานวัยรุ่น ได้หรือไม่? ก็เลือกเอาว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ขอบอกว่าเร็วมากๆครับ ให้เวลา 30 นาที ต้องเขียนให้ได้ 300 คำ และยังต้องจัดคำนำ เนื้อเรื่อง สรุป ใช้คำเชื่อม ใช้ไวยากรณ์ให้ถูก มีไอเดียในการนำเสนอดี เห็นภาพ เป็นต้นครับ และแล้วการสอบทุกอย่างก็จบลงด้วยความอ่อนล้า ตลอด 4 ชั่วโมงเต็ม

ผ่านไป 10 วัน ผลการสอบก็ออกครับ ผมได้ reading 18 / listening 11 / speaking 15 / writing 15 / Total 59 สำหรับคะแนนเท่านี้อาจจะดูน้อยมากๆ สำหรับบางคน แต่สำหรับผมมันเยอะมากสำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลีกับภาษาอังกฤษตลอดเวลา เตรียมตัวก็นิดๆหน่อยๆ เพราะต้องทำโปรคเจคจบ และ เรียนวิชาอื่นๆอีกมากมาย ผมหวังว่า รีวิวนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่กล้าๆกลัวๆกับภาษาอังกฤษนะครับ งานนี้ต้องชนอย่างเดียวครับ อย่าไปกลัว และมันจะผ่านไปได้อย่างดีครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ ^_^ รักเลย

แสดงความคิดเห็น

>

9 ความคิดเห็น

ChRiSt 2 ก.พ. 57 เวลา 14:50 น. 3

อยากทราบว่า คะแนนที่จะเข้ามหาลัยได้อ่ะครับ ต้อง 6.0 up แล้วจะเทียบเปนกี่คะแนนอ่ะครับ

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

นำรูปถ่าย หรือข้อมูลของผู้อื่น ที่มิได้เป็นบุคคลสาธารณะมาลง โดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม หรือมีลงเบอร์โทรศัพท์/ที่อยู่จริง