ทำไมหลักสูตรจิตวิทยาประเทศไทยยังให้เรียนทฤษฎี sigmund freud อยู่ ???
ตั้งกระทู้ใหม่
เพราะมันคือการมโนเอาเอง
ไม่เป็นไปตามหลักการทาง "วิทยาศาสตร"์ ที่เกิดมาจากระเบียบวิธีวิจัย หรือทางสถิติ ถึงจะสรุปออกมาวัดผลที่สังเกตได้
ไม่ใช่ไปศึกษาเรื่องอะไรที่ไม่มีอยู่จริง หรือเชื่อมโยงต่อกันมั่วๆ เช่น ให้วาดรูป ต้นไม้ คน บ้าน แล้วจินตนาการเหมาไปเองว่าเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว -*- แบบนี้เขาเรียกว่านั่งเทียนเขียนสรุปเอาเอง ทั้งๆที่สิ่งที่อยู่ภายในใจ อาจไม่ได้ตรงกับสิ่งที่คิด
ดังนั้นทฤษฎีฟรอยด์ เป็นเรื่องของ "แนวโน้ม"
มิใช่เรื่องที่จะเอามาวัดผล หรือ แปลความหมาย อะไรได้อย่างจริงจัง
และนั่นจึงทำให้คนยกเลิกเรียนทฤษฎีฟรอยด์ แต่ไปศึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ท่านอื่นๆ ที่เป็นไปตามหลักการศึกษาจิตวิทยา ที่เป็นกระบวนการทางจิตและพฤติกรรมที่คนแสดงออกมา
9 ความคิดเห็น
เรียนให้รู้เฉยๆ หรือเปล่า
ไอที่แปลๆ ผลต้นไม้ใบหญ้ากัน นี่มันคนโตๆ ที่เรียนผ่านๆ กันมาแล้วว ตอนนี้ให้เรียนเฉยๆ ให้รู้ว่าทฤษฎีของฟรอยด์คืออะไรเท่านั้นหรือเปล่า? จะเรื่องเก่าเรื่องใหม่ก็เรียนรู้ให้หมดนั่นแหละ ประเทศไทยจิตวิทยาไม่ได้เฟื่องฟูหลักสูตรจะได้เท่าเทียมบ้านอื่นเมืองอื่นกันไปหมด คนเรียนเองต่างหากที่ต้องพยายามผลักดันและตั้งใจหาความรู้เพิ่มเติมให้กว้างขวางเอง
.............
"ทฤษฎีของฟรอยด์ เป็น Armchair Theory (คือ นั่งเทียนเขียน) คุณอ่านเจอแต่อะไรเซ็กส์ๆ ไม่แน่ว่าฟรอยด์อาจจะชอบเรื่องนี้เสียเอง" ....
⊙ เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วว่าฟรอยด์เป็นจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงมากๆ คนหนึ่ง ได้รับยกย่องให้เป็นบิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์จนโด่งดังไปทั่วโลก แต่จริงๆแล้ว ศาสตร์ที่เกี่ยวกับจิตใจไม่ได้มีเพียงฟรอยด์เท่านั้นที่ศึกษา เพราะยังมีทฤษฎีอีกมากมายจากท่านอื่นๆ ซึ่งแตกแขนงความคิดออกไปหลายแบบจนตั้งเป็นกลุ่มความคิดต่างๆ ขึ้นมามากมายทางจิตวิทยา
หลายคน (พวกฟรอยเดียน) อาจยกย่องซิกมันด์ ฟรอยด์ ว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จริงๆ ในมุมของวงการนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมนิยม (Behaviorism - พวกนี้ได้แก่ 'สกินเนอร์'ที่ใช้หนูทดลองสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้, หรือ'พาฟลอฟ'ที่ทดลองสั่นกระดิ่งสุนัขน้ำลายไหล) โจมตีทฤษฎีฟรอยด์อย่างหนักว่านั่งเทียนเขียน หมายถึง มันไม่มีอะไรมารองรับว่าสิ่งที่ฟรอยด์คิด เชื่อถือได้ว่ามันมีอยู่จริง? ให้เห็นประจักษ์ จับต้องได้ สัมผัสได้ พิสูจน์ในเชิงวิทยาศาสตร์ได้[*1] ก็เพราะว่าฟรอยด์เขียนขึ้นเอง
ฟรอยด์พูดถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมเกินไป เช่น อิด, อีโก้, ซูเปอร์อีโก้ สามอย่างนี้มันดูยังไง มันอยู่ในส่วนไหนของร่างกาย แน่ใจได้ไงว่ามีอยู่จริงๆ แล้วเชื่อมั่นได้อย่างไรว่ามันกำลังทำอะไรกับพฤติกรรมหรือความคิดของเราอยู่อย่างจริงแท้เที่ยงตรงและวัดได้
ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อและมุมมองที่แตกต่างทำให้จิตวิทยาในสมัยนั้นจึงแบ่งออกเป็นหลายก๊ก พวกที่ชอบนามธรรมในจิตใจที่ไม่เห็นก็นิยมไปเรียนฟรอยเดียน (freudian) แต่ถ้าใครเน้นพฤติกรรมเชิงประจักษ์จะตามไปกับพวก Behaviorism ทั้งหลาย (การดูพฤติกรรมที่ถูกวางเงื่อนไขให้หมาพาฟลอฟน้ำลายไหล ฯลฯ)
ต่อมา ศาสตร์จิตวิทยาจึงเจริญไปในเชิง "วิทยาศาสตร์" มากขึ้น จับต้องได้ พิสูจน์ได้ ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง! เห็นได้จากมีการเปิดห้องที่เป็นห้องแล็บทางจิตวิทยาครั้งแรกที่ประเทศเยอรมนี จนเกิดบิดาแห่งวิชาจิตวิทยาสมัยใหม่ นั่นคือ John B. Watson (นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน) นั่นเอง
คนสมัยนี้นึกย้อนไปสมัยก่อน อาจจะขำที่ฟรอยด์เสนอว่า "มนุษย์มีแรงขับพฤติกรรมต่างๆเกิดมาจาก libido และ thanatos" .... .... 2 ตัวนี้มัน'ควบคุม'เราอยู่จริงหรือ? สมัยนี้วิทยาการสมัยใหม่ได้อธิบายเป็นรูปธรรมแล้วว่า "สมองเรา" สั่งการให้มนุษย์ทำพฤติกรรมต่างหากล่ะ (สมัยก่อนยังศึกษาสมองคนที่มีชีวิตไม่ได้ เนื่องด้วยความเชื่อทางศาสนาที่ให้ศึกษาได้เฉพาะสมองคนที่ตายแล้ว -_-)
และยุคหลังมา การศึกษาในโครงสร้างของ "สมอง" เจริญขึ้นมาก เราจึงรู้ว่า "หัวใจ"ไม่เกี่ยวกับอารมณ์/ความรู้สึก/การรู้คิด หากแต่เป็นสมองเราต่างหาก ซึ่งพบว่า แค่สารเคมีในสมองที่มากไปหรือน้อยไปก็ทำให้เกิดพฤติกรรมแปลกๆได้ (เช่น คนซึมเศร้าจะมี serotonin ต่ำ หรือ สมองส่วนอะมิกดาลาโตมาแต่เกิดเลยทำให้เป็นคนก้าวร้าว ดังเช่น case ของฆาตกรโรคจิตชื่อชาร์ล วิตแมน)
แต่หลายคนก็ยังพูดติดปากว่า จิตวิทยาศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ (จริงๆหัวใจไม่ได้มาคิดอะไรให้เราเลย มันทำหน้าที่แค่เพียงสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงให้คุณมีชีวิตอยู่) มันถึงทะเลาะกันอีกพวกเรียนสมอง แก่นหลักๆของจิตวิทยา Cognition Perception Learning ก็พูดถึงสมองเป็นหลัก
จะพบว่านักจิตวิทยาสมัยใหม่นำเอาวิทยาศาสตร์โต้แย้งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ว่า"เราไม่เคยเห็นลิบิโด้กับทานาทอส" ...บางทีก็อยากรู้ว่าถ้าฟรอยด์ยังมีชีวิตอยู่ จะตอบยังไง
แต่ถึงจะมีข้อครหามากมายอย่างไรก็ตาม นักศึกษาจิตวิทยาก็ยังต้องเรียนฟรอยด์อยู่เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจกับมนุษย์ และทฤษฎีจิตวิเคราะห์ก็ยังเป็นที่ใช้กันอยู่ในหลายประเทศ ทั้งนี้จิตวิทยามีหลายทฤษฎีอีกมากมายที่เมื่อเรียนในปีสูงๆ จะรู้จักมากขึ้น .. . เราไม่ได้นำทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งเป็นหลักไปตลอดกาล การนำความรู้ของแต่ละทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบุคคลและสภาพการณ์นั้นๆ นั่นจึงจะทำให้ช่วยเหลือคนได้อย่างเหมาะสม
หมายเหตุ:
*1 - ฟรอยด์ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในเชิง"วิทยาศาสตร์"มากนัก นั่นจึงไม่แปลกที่หลายๆ ครั้ง มีผู้ทดสอบสิ่งที่ฟรอยด์พูดไว้มากมาย เพื่อมาตอบกับคนสมัยใหม่ว่า มันจริงหรือไม่จริง ยกตัวอย่างเช่น ข่าวนี้ที่เขาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ MRI brain scans เพื่อหาข้อเท็จจริงในหัวข้อที่ฟรอยด์กล่าวว่า "ความรู้สึกผิดในตัวเองมีความเกี่ยวข้องกันกับอารมณ์หดหู่" (http://www.dailymail.co.uk/health/article-2154353/Freud-right-Depression-IS-linked-feelings-guilt.html)
*2 - หนังสือ 'ฉีกหน้ากากฟรอยด์' เขียนโดย อีริค ฟรอมม์ (นักจิตวิทยาสังคม) มีชาวไทยนำมาแปลเป็นภาษาไทยด้วย สามารถหาซื้ออ่านได้จาก http://book-dd.lnwshop.com/product/4801/
*3 - สรุป... แม้ทฤษฎีของฟรอยด์ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น Armchair Theory หรือทฤษฎีที่เขียนขึ้นเอง แต่ ดร.อุบลวรรณา ภวกานันท์ (อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มธ.) ได้ให้ข้อคิดเห็นไว้ดังนี้ http://youtu.be/7_firducoPc?t=11m (กรอไปดูนาทีที่ 11 จ้ะ)
[ ที่มา http://ow.ly/By3NN ]
ซิกมุนด์ ฟรอยด์ กล่าวว่า Cigar is just a cigar
การที่ทฤษฏีของฟรอยด์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีคุณค่า และไม่ได้แปลว่ามันยังไม่จริง ถ้าคุณมีความคิดแบบนักวิทยาศาสตร์จริงๆ แทนที่คุณจะพูดว่า ทำไมยังเรียนอยู่ คุณควรจะพูดว่า "เราจะพิสูจน์มันอย่างไร ?" หรือพูดว่า "ตอนนี้ความรู้ และเครื่องมือของเรายังไม่ถึงพอที่จะพิสูจน์มันได้"
.
บางทฤษฏีในยุคหนึ่งดูเป็นเรื่องมโน น่าตลก และไม่ได้รับการยอมรับ
ต่อมาเมื่อวิทยาการก้าวหน้าขึ้น ก็จะพบว่าหลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
.
นักศึกษาที่ดี ไม่ปฏิเสธความรู้
ตามมุมมองของผมที่ได้เรียนเอกจิต การที่มีการสอนเรื่องฟรอยด์นี่ผมถือว่าทำให้เราได้รู้ที่มาที่ไปของทฤษฏีหลายๆทฤษฏีเลยนะครับ และนักจิตหลายๆคนที่มีอิทธิพลต่อวงการและทุกวันนี้ก็ยังมีโรงเรียนที่ต่างประเทศเปิดสอนก็มีความคิดบางอย่างเหมือนกับฟรอยด์แต่เอามาปรับเปลี่ยนนิดหน่อยแล้วก็ตั้งชื่อเป็นทฤษฎีใหม่ของตัวเอง ตั้งศัพท์เทคนิคใหม่ๆให้ไม่เหมือนฟรอยด์ พูดง่ายๆก็คือมันเป็นรากของหลายๆทฤษฎีที่ใช้อยู่ในทุกวันนี้
"เขาบอกว่าจริงๆ แล้ว ตปท. เขาไม่เน้นสอนทฤษฎีฟรอยด์กันแล้วนะ"
อันนี้จะสื่อว่าในไทยเน้นฟรอยด์เกินไปรึเปล่าครับ ที่ผมได้เรียนก็ไม่ได้รู้สึกว่าจารย์เน้นอะไรนะ ก็สอนเท่าๆกับนักจิตคนอื่น แค่เนื้อหาของฟรอยด์มันอาจจะเยอะกว่าเลยกินเวลามากกว่า(มั้ง) อันนี้มุมส่วนตัวนะ
แบบทดสอบที่ให้วาดคน บ้าน ต้นไม้ ผ่านการวิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลนะครับ ไม่ใช่มโนหรือนั่งเทียนเขียนเอา
ไม่เห็นแปลกเลยค่ะ เราเรียนอยู่ อินเตอร์ ฝรั่งเข้าก็ยังสอนของsigmund freudอยู่
น้องเพิ่งเรียนแค่ขั้นต้นรึเปล่าคะ
ในช่วงการเรียนจิตวิทยาขั้นต้น จะค่อนข้างเน้นทฤษฎีเก่าๆเพราะเป็นการปูพื้นความรู้ทางจิตวิทยา ในเมื่อคุณคิดจะเรียนเอกจิตวิทยาของพวกนี้มันเป็นสิ่งที่ต้องรู้ขนาดที่ว่าทฤษฎีหลักๆของเขาคุณอธิบายได้เลยว่าคิดยังไง เนื่องจากฟรอยด์ช่วงหนึ่งเคยเป็นนักจิตวิทยาที่ดังมากๆ ในอดีตมีการนำทฤษฎีของเขามาใช้กันอย่างแพร่หลาย (ปัจจุบันบางคลีนิคก็ยังมีใช้อยู่บ้าง) นอกจากนี้ฟรอยด์ยังเป็นรากฐานของทฤษฎีหลายอันและฟรอยด์ยังมีลูกศิษย์อยู่จำนวนหนึ่งที่สร้างทฤษฎีสำคัญๆทางจิตวิทยาออกมามากมายอย่าง Erikson แล้วก็ลูกเขา ไม่แปลกที่ช่วงต้นจะเรียนของฟรอยด์เยอะมากเพราะทฤษฎีของฟรอยด์กว้างมากและประยุกต์ใช้ได้ทุกสาขาแม้ว่าเขาจะเน้นเรื่องเพศเยอะไปหน่อย
ถ้าน้องเรียนขึ้นไปขั้นสูงแล้วไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ น้องได้เรียนเยอะกว่านี้แน่นอนเพราะเมื่อเรียนสูงขึ้นจะเริ่มมีการเลือกสายว่าอยากไปจิตวิทยาสายไหน สายคลีนิค สายcounseling สายเด็ก ฯลฯ ถึงตอนนั้นน้องไม่ต้องมานั่งเรียนฟรอยด์แล้วเพราะมันต้องเรียนมาตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จะได้เรียนของคนอื่นและอ่านบทความอีกเป็นพันได้สมใจอยากแน่นอน
เอาจริงๆนะ ฟรอยด์นี่พื้นฐานแบบพื้นฐานที่สุด คือถ้าเรียนจิตวิทยามาแต่ไม่รู้ฟรอยด์นับว่าแย่แล้วนะคะ เพราะในหลาย journal ที่อิงฟรอยด์ก็มีอยู่เยอะพอสมควร เพราะฉะนั้นก็เรียนไปก่อนเถอะค่ะ ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้หมายความว่าเรียนรู้ไม่ได้ ถ้าคุณรู้สึกว่าอยากเรียนของคนอื่นก็ไปหาอ่านเพิ่มเอา บทความในเน็ตของตปท.ก็มีเยอะแยะ
เราเรียนเอกจิตวิทยาอยู่ที่อังกฤษ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ปี 2 ในปีแรกมีแค่การกล่าวถึง Freud เท่านั้น ไม่ได้เน้นสอนเรื่องทฤษฎีของเขา จะเน้นเรียนทฤษฎีเรื่องจำพวกชีวะ สมอง การพัฒนาการ evolution identiy stat วิธีเขียน lab etc. แต่เพื่อนที่เรียนจิตวิทยา counselling บอกว่าทางเขาจะเน้นการเรียนทฤษฎีของ Freud ค่อนข้างมาก เพราะบ้างทฤษฎีของ Freud มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ใน counselling section เราคิดว่าแต่ละมหาลัยจะมีหลักสูตรที่ค่อนข้างแตกต่างกัน จะเน้นสอนใม่เหมือนกัน และลำดับการสอนก็จะแตกต่างกันด้วย
มันเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของสมองและจิตใจ สภาพจิตใจส่งผลต่อสมอง เหมือนที่สมองส่งผลต่อจิตใจ
ประสบการณ์การเรียนรู้ในชีวิตบางครั้งก็มีผลต่อจิตใจ ต้องเข้าใจด้วยว่า มันมีทั้งคนที่ป่วยทางจิตตั้งแต่เกิด กับคนที่ป่วยทีหลังด้วยสาเหตุหลายๆอย่างเช่นความเครียด
นักจิตวิเคราะห์ที่อ้างถึง เขาพยายามแบ่ง วางโครงสร้าง+เขียนทฤษฎีความเป็นไปของจิตใจ ไม่ใช่เขียนเรื่องสมอง
แต่ที่ต้องเรียนเรื่องสมอง เพราะมันสัมพันธ์กับการเยียวยารักษา
ไม่งั้นคงไม่จำเป็นต้องมีนักจิตวิทยา ทุกคนคงหันไปเรียนประสาทวิทยากันหมด
ตอบคำถามให้ได้ก่อนว่าทำไมในหลายๆประเทศถึงให้ความสำคัญของสุขภาพจิตถ้าไม่ใช่เพราะคนมีความเครียดสูง ฯลฯ อีกมาก
ส่วนในวงการวิทยาศาสตร์ที่มีทั้งการค้านและการสนับสนุนทฤษฎีของกันและกัน เพราะวิทยาศาสตร์คือการตีแผ่ "ความจริง"
ไม่แน่ถ้าอนาคตมันพิสูจน์จับต้องได้มากกว่านี้ เราจะรู้อะไรลึกซึ้งกว่านี้
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?