Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เมื่อเราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า !

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่




สวัสดีค่าเพื่อนชาวเด็กดีทุกคนนะคะ ~ 
เห็นชื่อกระทู้ต้องคิดว่าหูวว นี่มันต้องดราม่าแน่นอน
ท่านคิดถูกเเล้วค่ะ 
ราขอแทนตัวเองว่า ริน นะคะ ชื่อเราเอง ตอนนี้เราเรียนอยู่ ม.5 เเล้วค่ะ เรียนโรงเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงพอสมควร ..

ถ้าในสายตาของคุณครู เเละเพื่อนๆที่ไม่รู้จักรินเค้าจะมองเราเป็นแค่เด็กธรรมดาคนนึง แต่ถ้าในห้องคือเพื่อนๆจะรู้หมดว่ารินเป็นโรคที่คนอื่นๆเรียกว่าโรคซึมเศร้า โดยส่วนตัวของรินเอง รินเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ อาจจะมีอาการ คิดมาก คิดเล็กคิดน้อยตามที่กล่าวมาด้านบน เเต่!! อาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการสำออ.ย แต่ประการใด ถ้าในสายตาคนอื่น คือแบบ เห้ยยย~ นางไรอ่ะ ว่าไรนิดว่าหน่อยก็ร้องไห้เเล้ว เราเข้าใจนะคะ ว่าถ้าทุกคนมีเพื่อนแบบนี้ (แบบที่พูดไปนั่นแหละ 55555) เป็นริน รินก็เครียดค่ะ 5555  


แต่เรามาดูในมุมของผู้ป่วยแบบเราดูค่ะ  ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่มีใครอยากเป็นโรคแบบนี้หรอกค่ะจริงๆ T_T แอบดราม่าการที่จะมาก่อตัวเป็นโรคประการนี้ได้ จะต้องเจอเรื่องอะไรมาบ้าง แล้วก็ แน่นอนค่ะ รินขอคอนเฟิร์ม ฟันธงเลยว่า คนที่เป็นโรคพวกนี้ (ในระยะที่ไม่ออกอาการมาก) สามารถใช้ชีวิตกับคนปกติทั่วไปได้ อาจจะมีไปทะเลาะกับชาวบ้านนิดหน่อย รินก็เคยเป็นค่ะ ช่วง ม.ต้น รินมีปัญหากับเพื่อนในห้อง ทุกคนเรียกรินว่า อีโรคจิต ! เพราะเพื่อนๆคิดว่า รินเป็นโรคประสาท ตอนนั้นรินรู้สึกแบบเเย่มากๆ มีทั้งข่าวเสียหาย จนรินต้องไปหาหมอจิตเวชค่ะ ในสายตาคนอื่น การที่เข้าแผนกจิตเวช นี่แมร่.งต้องบ้าแน่เลย แผนกจิตเวชที่รินไปเป็น รพ.เอกชน ค่ะ เค้าจะแยกเป็นฝั่ง ศูนย์วัยรุน เเละปัญหาของผู้ใหญ่ค่ะ รินไปฝ่ายศูนย์วัยรุ่น เพราะว่าตอนนั้นแค่เด็ก ม.ต้น อายุประมาณ 15 ขวบค่ะ 55555 พอกลับมาโรงเรียน ทุกคนก็ยังตราหน้ารินว่าเป็นโรคประสาทเหมือนเดิม ทั้งๆที่รินมีใบรับรองแพทย์เเละ ยาที่มาทาน ว่ารินเป็นแค่โรควิตกกังวลในวัยรุ่นเท่านั้น :( เชื่อมั้ยคะ นักเรียน ม.3 คนนึงต้องอยู่แบบไม่มีเพื่อนคบตลอด 1 ปี (ตอนนั้นจากแค่โรควิตกกังวล กลายเป็นโรคเครียด เเละเป็นโรคซึมเศร้าในที่สุดค่ะ)จนย้ายโรงเรียน สังคม ม.ปลายถูกเปลี่ยนไปค่ะ รินมีอาการที่เรียกว่าโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จนใช้ชีวิตในสังคมได้อยา่งปกติ .. ได้เจ้าค่ะ  
** โรคจิตเภทกับโรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคเดียวกันนะคะ อันนี้แค่มาแชร์ประสบการณ์**
โรคจิตเภท (Schizophrenia) คือ กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้มีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การดูแลตัวเอง การใช้ชีวิตในสังคม ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเริ่มเป็นเมื่ออายุประมาณ 14-16 ปี หรือช่วงปลายวัยรุ่น 


โรคซึมเศร้า หรือ ภาวะซึมเศร้ารุนแรง (
อังกฤษMajor depressive disorder, Clinical depression, Major depression, Unipolar depression) เป็นความผิดปกติของจิตใจซึ่งมีลักษณะโดยรวมคือ มีภาวะซึมเศร้าร่วมกับขาดความเคารพตนเอง รวมทั้งมีภาวะสิ้นยินดี (anhedonia) คือไม่มีความสนใจหรือพึงพอใจในกิจกรรมที่โดยปกติเป็นที่น่าพึงพอใจ 

ส่วนที่อาการโรคซึมเศร้า จิตเวชต่างๆลองหาดูในกูเกิลค่ะ เเล้วเราจะเข้าใจพวกเค้ามากขึ้น ^^

ป.ล.อาจจะไม่ได้ตอบทุกคอมเมนต์นะคะ  รินพยายามปรับตัวเอง ไม่ได้ให้สังคมมาปรับให้ริน จากที่เป็นคนใจร้อนมากๆรินเปลี่ยนมาเป็นคนใจเย็น เปลี่ยนทุกอย่างให้ดีขึนกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ แต่รินไม่เห็นว่าอะไรจะดีขึ้น ไม่มีเพื่อนคบเหมือนเดิม (ไม่มีเพื่อนคบมาตั้งแต่ ป.4 )ทุกอย่างคนที่ตราหน้ารินว่าเป็นโรคจิตก็ยังเหมือนเดิม บางทีรินก็ปลงนะ แอบไม่อยากคิด แต่พอมีเรื่องใหม่ๆเข้ามารินก็อดคิดไม่ได้ แอบไปเห็นคอมเมนต์ในเฟสบุ๊คมา ถามว่ารินเหลือเพื่อนแค่ 3-4 คนใช่มั้ย ? บอกเลยว่าไม่ใช่ค่ะ ไม่มีใครคบเลยค่ะ สักวันนึงเราจะรู้ค่ะว่าปัญหาที่เราฝ่าฟันมันทำให้เรามีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งอื่นๆอีกมากมาย จนตอนนี้รินใกล้เรียนจบเเล้วค่ะ จากที่เคยสนใจฟังคำพูดชาวบ้านมากๆตอนนี้รินไม่ค่อยสนใจเเล้ว  ยังไงรินก็ขอเป็นกำลังใจให้ทั้งผู้่วยเเละเพื่อนๆที่มีเพื่อนป่วยเป็นโรคจิตเภทต่างๆค่ะ รินอยากจะขอร้องอย่างนึงคือ อยากให้เพื่อนๆที่มีเพื่อนที่เป็นโรคเหล่านี้ ปรับเปลี่ยนทัศนคติ เข้าใจเค้าให้มากขึ้น สู้ๆนะคะ ^ ^  
ขอแทรกค่ะเผื่อใครเข้าใจผิด ^^





ทั้งนี้ ที่มาตั้งกระทู้บ่นเป็นป้าแก่ แค่อยากให้เพื่อนๆเด็กดี ที่มีเพื่อนเป็นโรคจิตเวช จะบอกอะไรให้นะคะ การที่ถูกตราหน้าว่าเป็นโรคจิต  บลาๆ แค่นี้ก็เจ็บจนไม่อยากจะใช้ชีวิตในสังคมเเล้วค่ะ  แต่เชื่อเถอะค่ะ .. ว่าวันนึง ถ้าเราให้โอกาส หรือใช้เหตุผลกับเค้า เค้าจะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างพวกเราๆทั่วไปเลยค่ะ ^^  
#หากพิมพ์ผิด ตกหล่นไป ขอโทษด้วยนะคะ ^_^

แสดงความคิดเห็น

>

133 ความคิดเห็น

JusminePP 10 ต.ค. 57 เวลา 20:36 น. 3

สู้ๆนะค่ะ จขกท. เป็นกำลังใจให้นะค่ะ เข้าใจความรู้สึกเลยค่ะ อย่าท้อนะค่ะ ^___^ 

0
Hibird FC 10 ต.ค. 57 เวลา 21:31 น. 4

เราก็มีเพื่อนประมาณนั้นนะ คือไม่เชิงว่าเป็นโรคหรืออ่อนไหว เเต่จะค่อนข้างคิดมากกับเรื่องนู่นนี่นั่นอ่ะ เราก็ไม่ว่าอะไรนะ คอยบอกให้มันมั่นใจเเละช่างมันเถอะ สู้ๆนะคะ ใครจะว่าอะไรก็ไม่ต้องสนใจ เชิดไว้ เดี๋ยวเค้าก็ลืมๆไปจากสมองเอง

0
mini-xoxo 11 ต.ค. 57 เวลา 12:32 น. 6

80 % ของคน ล้วนแต่มี อาการทางจิต เพียงแต่ จะสามารถใช้ ชีวิตปรับตัวเข้ากับคนปกติได้หรือไม่

0
Panida 12 ต.ค. 57 เวลา 11:09 น. 7

เราก็เป็นโรคซึมเศร้าตอนนี้รักษาอยู่ เวลาเพื่อนแกล้งว่าโรคจิตประสาทเราเสียใจน่ะ เวลาทำอะไรเหมือนไม่มีคนเข้าใจ ว่าสำออยทั้งๆที่เราเป็นแบบนั้นจริงๆ เราเป็นคนเงียบๆถ้าไม่รู้จักไม่สนิทแต่รู้จักจะรั่วมากแต่ก็มีเรื่องให้คิดเล็กคิดน้อยตลอดเวลาชอบประชดประชัน :( แค้นแต่มานั้งร้องไห้คนเดียว เพราะไม่อยากทำอะไร :( เข้าใจน่ะอย่างน้อยก็มีคนที่เป็นเหมือนเราเศร้าจัง

0
white*lotus*love* 12 ต.ค. 57 เวลา 11:14 น. 8

เรื่องแบบนี้ขอบอกเลยว่า พวกเขาไม่เข้าใจเราหรอกค่ะ บางคนนะคะ นอกจากที่ว่าเราจะไม่พูดไม่บอกเขาว่าเราไปหาหมอจิตเวช เพราะเราก็เคยไปหาตั้งแต่ประถมสามจนถึงม.4ค่ะ แล้วก็ไม่ยอมไปหาอีกเลย เราเป็นโรคสมาธิสั้นค่ะ แต่เพื่อนที่รู้ก็จะว่าเราแบบที่เขาว่าคุณนั้นแหละว่า ว่าโรคจิตเหรอ ซึ่งเราก็ไม่เก็บมันมาคิด แต่ในกรณีของคุณมันเป็นโรคซึมเศร้าและเก็บทุกอย่างมาคิด เราต้องคิดซะว่า เราไม่ได้เป็นแบบนั้นและเราไม่จำเป็นต้องสนใจในสิ่งเขาพูด อย่างเรานี้โดนมาตลอดค่ะ หาว่าเป็นบ้า เป็นโรคจิตบ้างอะไรบ้าง เราก็ไม่ได้สนใจ กลับกัน คิดแบบนี้ด้วยซ้ำค่ะ ว่ากุนักใช่ปะ กุจะเอาจุดนี้แหละแกล้งพวก- 5555555 ประมาณนั้นเลยค่ะ เราไม่ได้ใส่ใจอะไร บอกตรงๆเลยนะคะ ผู้ป่วยจิตเวชที่เป็นบ้าจริงๆบางคนยังน่ารักกว่าคนปกติแบบพวกที่ชอบล้อชอบหาว่าเราเป็นบ้าเป็นนั้นเป็นนี้เยอะเลยค่ะ เพราะงั้นไม่ต้องไปสนใจหรอกนะคะ เราไม่ได้เป็นบ้าเราก็รู้ตัวเราค่ะ ถ้ากังวลใจก็ไม่ต้องบอกใคร ไม่ต้องสนใจ ช่างหัวพวกเขาค่ะ

0
สวยๆ 12 ต.ค. 57 เวลา 13:24 น. 9

สู้ๆนะคะ ^^ แล้วก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลและประสบการณ์ที่มาแชร์กัน จขกท น่ารักมากเลย
รักเลย

0
0.00000 12 ต.ค. 57 เวลา 13:26 น. 12

เพื่อนเราก็มีอาการแบบนี้ค่ะ พ่อกับแม่มันหย่ากัน เพราะพ่อมันมีเมียใหม่
แต่พ่อกับแม่มันหย่ากันตั้งแต่มันเด็กๆแล้ว บ่องตงมันอารมณ์ง่ายมากและร้องไห้ง่ายมาก-0-
อันที่พ่อแม่หย่ากันเรารู้มาจากมันเองแหละค่ะ

0
jess 12 ต.ค. 57 เวลา 13:29 น. 13

สู้ๆน้าา~~ เราก้เป็นโรคนี้เหมือนกัน คือของเราหนักกว่าต้องอยู่ รพ. เป็นเดือนเลย ตอนนี้คือผ่านมาได้แล้ว พ่อแม่เราก็เข้าใจเรานะ เพื่อนก็โอเคอยู่ ยังไงๆ พ่อแม่ก็เป็นกำลังใจให้น้าาเยี่ยม

0
โปเนียร์ 12 ต.ค. 57 เวลา 13:33 น. 14

จขกท. ยินดีที่ได้เจอคนที่เหมือนกันค่ะ เราเป็นโรคนี้อยู่ค่ะ เราพยายามบำบัดด้วยตัวเอง ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาเราโดนคล้ายกับ จขกท.แล้วค่ะ แต่ไม่เป็นไรนะคะ สู้ๆค่ะ มาพยายามไปด้วยกันนะคะ ไม่ใช่คนเราเกิดมาเลือกได้ ถ้าไม่มีใครเข้าใจเรา เราก็ต้องเข้าใจตัวเองดูแลตัวเอง แล้วเราจะสามารถแก้ไขปัญหา หรือเวลาโดดเดี่ยวเราจะดีขึ้น ถึงเวลานั้นตัวเราจะเปลี่ยนไปเองอย่าง งงๆ ค่ะ 555 

0
MIsoo 12 ต.ค. 57 เวลา 13:37 น. 15

ขอแชร์ประสบการณ์ด้วยค่ะ
เราก็มีเพื่อนที่มีอาการทางจิตเวชเหมือนกัน แต่ไม่รู้รายละเอียดมาก
ตอนนั้น ม.6 ค่ะ เพื่อนคนนี้เรียกได้ว่าปกติมาก เรียนเรื่อยๆ(แต่อยู่เกณฑ์ดี) รั่วๆก็มีบ้าง
จู่ๆ ช่วงใกล้สอบ GAT-PAT เพื่อนก็เป็นเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร
พอเราเข้าไปคุยด้วยก็เหมือนฟังก็จริง แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร ถ้ามองตาจะรู้ว่าเพื่อนคนนี้ไม่ได้สบตาเรา
ตอนนั้นเราก็ตกใจนะ คิดว่าเพื่อนอาจจะเครียด แต่พอสังเกตหลายๆอย่างจะรู้สึกว่าเพื่อนเปลี่ยนไป

ผ่านไปไม่ถึง 2 วัน รู้กันทั้งห้องค่ะ ว่าเพื่อนผิดปกติ แต่พวกเราไม่ได้มองว่าเพื่อนแปลกหรือตัวประหลาดนะ
คือรู้เพื่อที่จะเข้าใจเพื่อน หาวิธีรับมือ ตอนชวนคุยจะไม่คุยเรื่องเครียด พาเล่น สร้างบรรยากาศไม่ให้ห้องเครียด
แต่ไม่ช่วยอะไรค่ะ ฮ่าๆ
สุดท้ายก็ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ค่ะ เรื่องแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ดีแน่
เลยต้องโทรเรียกพ่อแม่เค้า เล่าให้อาจารย์ฟัง
เรื่องไปบำบัดกินยาหรืออาการที่แท้จริงเราก็ไม่ทราบรายละเอียดนะ

ปรากฏว่าปีนั้นแกทแพทเลื่อนสอบพอดี 5555+ เป็นโชคดีของเพื่อนคนนี้จริงๆ ไม่งั้นคงเครียดกว่าเก่า

พอปีใหม่มาเพื่อนก็ปกติดี มีมึนๆบ้างเล็กน้อย แต่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
จนปัจจุบันก็กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว

สิ่งที่เราอยากบอกนะ อย่ารังเกียจ เค้าอาจจะผิดปกติ แต่เราต้องเข้าใจ และช่วยๆกัน อย่าทิ้งเพื่อน
ตอนนั้น ม.6 ยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่เห็นแก่ตัวมาก ทุกคนกังวลแต่เรื่องสอบกัน
ไม่อยากให้เครียดขนาดนั้นนะ
ที่สำคัญคือบอกผู้ใหญ่ให้รับรู้ และช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดจะดีกว่า
ตั้งใจ

0
LOVE 12 ต.ค. 57 เวลา 13:49 น. 18

พี่เองก็เคยเป็นนะคะ
ของพี่แบบคืออยากกระโดดตึกฆ่าตัวตายทุกวัน
สาเหตุที่พี่เป็นโรคนี้ก็หนักมากๆเลยหล่ะ
พี่ต้องอยู่ในสภาพนี้ถึง 5 ปีกว่าจะโอเคขึ้น
พี่ก็กะว่าจะไปหาหมอเหมือนกันจะได้หายขาด
ปล.ไม่มีใครอยากเป็นหรอกโรคพวกนี้
เป็นแล้วทรมานมากๆ

0
Lima Fracodesco 12 ต.ค. 57 เวลา 13:55 น. 19

มีอยู่บางช่วงชีวิตของเราที่คิดว่าคงเป็นแบบจขกท. แต่ว่าเราคงเป็นน้อย ยังโชคดีที่เจอหมอให้คำปรึกษาในเน็ต เราก็ไปปรึกษา+ระบายจนดีขึ้น ขอให้จขกท.อย่าเครียดนะ

สู้ๆนะคะ

0
หุบเขาริมทะเล 12 ต.ค. 57 เวลา 14:00 น. 20

เราพอเข้าใจนะคะ เพราะครั้งหนึ่งเราเคยมีอาการประมาณนี้ แต่ไม่ได้รับการรักษาอะไรนะคะ รักษาตัวเอง 5555ตั้งแต่เด็กจนถึงป.3เราไม่มีเพื่อนเลยค่ะ กินข้าวคนเดียว ทำทุกอย่างคนเดียว เพื่อนๆไ่ม่รู้ว่าเราอยู่แถวนั้นด้วยซ้ำ เป็นอะไรที่ทำสิ่งที่มีคนบอกให้ทำอ่ะค่ะ(เหมือนไม่ใช่คน 555 ) ไม่มีชีวิตจิตใจแสดงออกไม่เป็นเลยแม้แต่ยิ้มยังดูฝืนๆ แสดงออกไม่ได้เพราะถูกสอนให้อย่าแสดงออกน่ะค่ะ เคยดูแล้วอาการแบบเป็นโรคกลัวการเข้าสังคมแบบเริ่มต้น
แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วค่ะ เราพยายามทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนตัวเองและมุมมองต่างๆ จากที่เมื่อก่อนคิดว่าอยู่คนเดียวแล้วไง มืดมน ก็ดีขึ้นตามลำดับค่ะ
เราโชคดีกว่าคุณตรงที่ไม่มีใครกล้าล้อค่ะ เพราะงั้นอย่าไปคิดมากเลยนะ คนพวกนั้นไม่มาเป็นคุณเขาไม่รู้หรอกค่ะ สนใจไปก็เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ หันมาปรับปรุงตัวเราให้ดีขึ้นเพื่อตัวเราเองดีกว่า
พยายามเข้านะคะ เราเชื่อค่ะว่าคุณทำได้

0
If You Want 12 ต.ค. 57 เวลา 14:02 น. 21

ผมมีเพื่อนคนนึงครับ 
คือมันออกบ้าๆ แต่ไม่ใช่เสียสติ คือมันทำอะไรแลดูติ๊งต๊อง 
แล้วเวลามันออกไปพรีเซนงาน หน้าห้องเป็นภาษาอังกฤษ(ภาษาไทยผมไม่รุ้เรียนคนล่ะคลาส)  มันจะเริ่มจากพยายามพูด เริ่มตะกุกกัก หยุดพูด ตบหัวตัวเอง พยามพูดต่อ ค้าง หอบ กุมขมับ ร ท่าทางเหมือนหายใจไม่ทัน
อาการแบบนี้มันเป็นอะไรเปล่าครับ 
//เสร็จจากคลาสมาสัก3ชม ก็คึกเหมือนเดิม

0
ky^-^ 12 ต.ค. 57 เวลา 14:04 น. 22

เราก็เคยเปนแบบเจ้าของกระทู้นะแบบโดนอย่างนี้อะ
เราไม่มีเพื่อนคบเลยตอนม.3แล้วก็มาโดนอีกตอนม.5
ทั้ง2ช่วงนี้หน้ักมากจริงๆ แบบทำเราเก็บกดเลยอะ ร้องไห้
แต่เราก็มองว่าถ้าแบบคนที่จะมาเปนเพื่อนกันแล้วพูดแบบนัี้ทำอย่างนี้ก็คงไม่ถือเปนเพื่อนจริงๆหรอก
แล้วคือจากตอนแรกมันไม่มีอะไรไม่ได้ป่วยเปนโรคอะไรด้วยแต่พอโดนเลยทำให้เรากลายเปนโรควิตกกังวลขึ้นมาคือไม่ได้ไปหาหมอนะแต่ญาติที่เปนหมอเค้าบอก แต่ตอนนี้ก็้เปนปกติแล้ว จริงๆอยากให้ึคนอื่นเข้าใจนะว่าแบบบางทีการที่เราแตกต่างไม่ได้หมายความตัดสินว่าเราบ้าหรือโรคจิตแปลกแยกอะไรงี้

0
Kobkab 12 ต.ค. 57 เวลา 14:15 น. 26

อยากรุ้จักเจ้าของกระทู้จัง เผื่อ จะช่วยให้ จขกท.หายเหงาบ้าง ^^
#มีเฟสมั้ยครับ :)

0
ชะนีตุ้งติ้ง 12 ต.ค. 57 เวลา 14:17 น. 27

เห้ยยยยย ไม่คิดว่าจะมีคนเจอเหมือนเรา555555
แต่เราว่าอาการเราคงน้อยกว่านิ๊ดดนึง

ประมาณมอสองมอสามเหมือนกันแหละ โดนบอตคอต เพื่อนไม่คบเลย เพราะหาว่าเราโรคจิต
แต่ด้วยความที่เราอึด (มั้ง) ก็เลยไม่เหวี่ยงไม่วีนไม่โวย แต่เก็บกดค่ะลูก

พอย้ายโรงเรียนมา เหมือนเจออะไรที่ใช่ สังคมที่ใช่ เพื่อนที่ใช่ มีพื้นที่ให้อยู่
ก็ร่าเริงนะ เป็นชะนีลัลล้าตามปกติ แต่ก็แอบซ่อนความซึมเศร้าไว้บ้างไรบ้างงง
พอซักพักนึงไม่รู้เป็นไร อาการกำเริบค่ะ
แบบตอนแรกเพื่อนเยอะจะตาย เพื่อนรักด้วยนะ (แบบไม่เข้าข้างตัวเอง)
กลายเป็นว่าเราตีตัวห่างออกจากเพื่อน เพราะรู้สึกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ เข้ากับใครไม่ได้
สุดท้ายก็เลยขอท่านแม่ให้พาไปหาหมอจิตหน่อย
(ส่วนตัวมองว่า ก็มีปัญหาอ่ะ ทำไมจะหาไม่ได้ ไม่ได้เป็นบ้า พวกคนที่รู้ตัวว่ามีอาการแต่ไม่ยอมไปหานี่ดิ่ มันจะทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน)
สุดท้ายก็ ....... เป็นโรคซึมเศร้า มีเก็บกดด้วย เครียดด้วย5555555

ตอนนี้ม5เหมือนกัน อาการดีขึ้นมากกกก
แต่เราพึ่งไปหาได้เมื่อ5-6เดือนนี้เอง


ปล. บางครั้งโรงเรียนบางแห่ง ภายนอกดูดีมาก แต่พอมาอยู่ปุ๊ป .........
แหม่ แบ่งแยกจังเนอะเมิง
แต่พอมาอยู่อีกที่นึง ดังสู้ไม่ได้ แต่สังคมดีกว่ามากกกกกกกกกกกกกกกก

พูดเลยว่า นอกจากครอบครัวแล้ว ขุ่นครูและเพื่อนๆ ก็มีโอกาสทำชาวบ้านชาวช่องเป็นบ้าได้ค่ะ
// วิบัติเพื่อเสียง หากอ่านให้ได้อรรถรสให้ออกเสียงแบบตุ๊ดๆ นะฮ้ะ
และกรุณาอ่านให้ครบ อย่าอ่านสองคำแล้วมโนไปเอง

0
บิวตี้ผู้อ่อนโยน 12 ต.ค. 57 เวลา 14:17 น. 28

เราก็เป็นโรคประเภทนี้อยู่ค่ะ พอขึ้น ม.4 เราย้ายโรงเรียน สังคมของเราก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตรงที่ว่าคุณครูในโรงเรียนใหม่นี้ดูแลเราดีมากค่ะเพราะโรงเรียนใหม่ของเราเป็นโรงเรียนขนาดเล็กคุณครูและเพื่อนๆเข้าใจเราและดูแลเราเป็นพิเศษเลยค่ะ เราเข้าใจ จขกท. นะคะไม่มีใครอยากเป็นโรคพวกนี้หรอกค่ะมันรู้สึกแย่ในสังคมจริง ยังไงก็ต้องสู้ๆนะคะ เราหัวอกเดียวกัน สู้สู้

0
KO_BATOX 12 ต.ค. 57 เวลา 14:18 น. 29

ไม่เป็นไรหรอกค่ะ 5555 ถามว่าเหงามั้ยก็เหงานะ แต่ชินเเล้วค่ะ :)
ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ ^ ^

0
แด่ผู้ที่กำลังท้อแท้ 12 ต.ค. 57 เวลา 14:21 น. 30

ตอนนี้เรากำลังเป็นแบบนี้อยู่บอกตรงๆค่ะท้อแท้มาก เหมือนยืนอยู่คนเดียว งานกลุ่มต้องทำคนเดียว ต้องสู้ด้วยตัวเอง ทั้งเก็บกดและหลายๆอย่างจนบางครั้งนั่งเหม่อๆอยู่ดีๆน้ำตาก็ไหลแล้วก็รู้สึกเบื่อโลกยังไงไม่รู้เหมือสในใจลึกๆมันปวดๆเจ็บๆ เราอยู่มัธยม 6 ค่ะเราก็หวังว่าไปต่อมหาลัยเจอเพื่อนใหม่ๆชีวิตเราจะต้องดีขึ้นกว่านี้แน่นอนตอนนี้พยายามผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ด้วยตัวเองค่ะเยี่ยม

0
ผู้หวังดี 12 ต.ค. 57 เวลา 14:32 น. 31

เราเคยมีเพื่อนคนนึงค่ะ เขาไม่ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านะ แต่เขาไม่มีเพื่อนคบเลย เราย้ายโรงเรียนมาใหม่ก็ยังไม่รู้ประวัติดีหรอก เขาไม่ยอมคุยกับใครเลยค่ะ(แต่แปลกดีที่คุยกับเราคนเดียว) เขามีบุคคลิกของคนที่เราเคยคิดว่าไม่น่าจะมีบนโลก คือเหมือนคนอมทุกข์ตลอดเวลา มืดมนแบบสุดๆ ไหล่ห่อไหล่ตกเข้าหากันตลอดเวลา ผอมแห้ง ไม่ค่อยกินอะไร ใส่เสื้อคลุมตัวเดียวตลอดเวลา โดนพวกผู้ชายแซวโดนแกล้ง ไม่มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตค่ะ ไม่กล้าตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเลย ที่สำคัญที่สุดคือพูดคนเดียวค่ะ เราก็สงสัยประวัติของคนๆนี้นะ เลยลองถามเด็กเก่าดู ปรากฎว่าจะมีเด็กเก่าบางกลุ่มที่สงสารกับอีกกลุ่มที่ไม่ชอบค่ะ เด็กที่สงสารก็บอกว่าเขาโดนแบนเพราะคนๆนึงซึ่งเป็นคนที่มีอำนาจในรร.(คนนั้นก็ดูน่ากลัวจริงๆนะค่ะ) ส่วนกลุ่มที่ไม่ชอบก็จะบอกว่าเธอสกปรกบ้าง เล่าประวัติบางอย่างให้ฟังบ้าง แต่ส่วนเด็กใหม่ที่ไม่ชอบก็จะบอกว่า คนบ้าอะไรพูดคนเดียวหรือไม่ก็...ชอบเพ้อ แต่ก็นะปมหลังเขาน่าสงสารค่ะ ไม่มีเพื่อนถึง 3 ปี เราก็พยายามบอกเขาช่วยให้เขาปรับปรุงตัวให้เขาสังคมกับคนอื่นได้ปรับบุคคลิก เพื่อนเราก็บอกว่าหลังจากเขาคบกับเราเขาดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นค่ะ ถึงจะยังเพ้ออยู่บ้างก็ตาม
เราฝากถึงคนอื่นที่เข้ามาหาอ่านกระทู้นี้ด้วยนะค่ะ
เราไม่ใช่เขา เราไม่รู้หรอกว่าเขาโดนอะไรมาบ้าง แต่เราไม่ควรรังเกียจเค้าค่ะ ตอนนี้เขาเป็นคนที่ดีกับเรามาก มากกว่าคนปกติเสียอีก คนเราต้องช่วยเหลือกัน ใจเขาใจเรานะค่ะ ใช้คำพูดระวังด้วย บางครั้งเขาอาจไม่รู้เรื่องเพราะเขาไม่เคยเข้าสังคมมา เราก็ต้องสอนค่ะ
กดLIKE

0
Stranger 12 ต.ค. 57 เวลา 14:42 น. 32

เข้มเเข็งไว้นะคะน้องริน รวมถึงน้องๆทุกคนด้วย พี่เองก็เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคฮิสทีเรีย หรือโรคขาดความอบอุ่น ที่คนอื่นมักเข้าใจผิดๆกันว่าเป็นโรคนิมโฟมาเนีย หรือโรคที่มีอารมณ์ทางเพศสูง ซึ่งจริงๆเเล้วมันเป็นคนละโรค เเละลักษณะอาการคนละเเบบกัน พี่ก็เคยไปขอพบจิตเเพทย์เหมือนกัน เเต่ไม่ได้เข้าพบ ได้พบเเค่พยาบาลหน้าห้อง เพราะเขาเห็นว่าตอนนั้นพี่สามารถควบคุมสติได้เเล้ว เเละดีขึ้นมากเเล้ว ตอนที่พี่เล่าอาการให้พยาบาลฟัง เขาบอกว่าอาการที่พี่เป้นนั้นคือ ภาวะเสี่ยงต่อการเป้นโรคซึมเศร้า คือมีอาการ เเต่ยังไม่รุนเเรงถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้ เวลาพี่เครียดมากๆ พี่จะร้องไห้ คิดอะไรไม่ออกก็จะระบายด้วยการร้องไห้ ช่วงที่เป้นหนักๆก็จะนอนร้องไห้จนหลับไปทุกคืน บางครั้งอยู่ดีๆก็จะเจ็บหน้าอกจี๊ดๆขึ้นมา หมอให้ยาคลายกล้ามเนื้อมากิน เพราะเค้าบอกว่าปอดทำงานหนัก เลยทำให้หายใจไม่สะดวก พี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจการวินิจฉัยเหมือนกัน เเต่ที่เเน่ๆ คือ หมอบอกว่าเราเครียด เเละพักผ่อนน้อย
พี่อยากให้น้องคิดถึงครอบครัวมากๆนะคะ พี่ไม่เห็นน้องพูดถึงครอบครัวเลย โดยส่วนตัวพี่ พี่คิดว่าอย่างน้อยถ้าเรามีครอบครัวที่รักเเละเข้าใจเรามันก็ดีที่สุดเเล้วค่ะ รู้มั๊ยคะ คนที่ว่าพี่โรคจิตไม่ใช่เพื่อนหรือคนอื่นหรอกนะคะ พ่อพี่นี่เเหละค่ะว่าพี่ในโรงพยาบาลวันที่พี่ขอให้พาไปหาหมอเลย เเต่พี่ก็เข้าใจท่านนะคะ
จนถึงตอนนี้พี่ผ่านปัญหามามายมาย หนักหนาสาหัสจนเเทบลุกขึ้นยืนไม่ไหวก็หลายครั้ง พี่เคยโทรไปสายด่วนสุขภาพจิตด้วยนะคะ พี่เจ้าหน้าที่เขาให้คำปรึกษาดีมากเลยค่ะ นั่งฟังเราบ่นตั้งนาน
ตอนนี้พี่คิดว่าพี่กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ เเละเคลียร์กับข้อสงสัยที่ค้างคามาตลอดสิบกว่าปีเเล้วค่ะ
สิ่งที่พี่อยากฝากน้องไว้ คือ อยากให้น้องเข้มเเข็ง เเละผ่านช่วงเวลาที่เเย่ที่สุดไปให้ได้ เเล้วถ้าเราผ่านมันไปได้เเล้ว เราจะเข้มเเข็ง เเละมีภูมิคุ้มกันปัญหาที่ดีขึ้น จัดการกับอารมณ์ของเราได้ดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ วิธีการผ่อนคลายง่ายๆ คือ หาเวลาอยู่กับคนที่เรารัก หรือสิ่งที่เรารักมากๆ ชอบทำอะไรทำเลยค่ะ
อ่านหนังสือ วาดรูป เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ หรือจะสวดมนต์ นั่งสมาธิบ้างก็ดีค่ะ ช่วยให้ใจเราสงบลงมากเลยค่ะ ออกไปทำอะไรใหม่ที่ไม่เคยทำ จะได้เจอสังคมใหม่ๆ โลกนี้กว้างใหญ่นัก ยังมีอะไรให้เราได้เรียนรู้อีกมากมาย มันช่วยได้เยอะเเละดีทีเดียวเลยค่ะ ลองดูนะคะ
สุดท้ายพี่ขอเป็นกำลังใจให้น้องริน เเละทุกคนที่กำลังเผชิญปัญหาเเบบนี้ รู้ไว้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีเเค่เราที่อยู่เพียงลำพังนะคะ ชีวิตเราโชคดีได้เกิดมาเเล้ว ก็ใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าเเละมีคุณค่าที่สุดกันนะคะ
สักวันหนึ่งน้องรินจะเป็นคนน่ารักที่เป็นที่รักของเพื่อนดีๆที่รอน้องรินอยู่ สู้ๆนะคะ

0
KO_BATOX 12 ต.ค. 57 เวลา 14:47 น. 33

ทางครอบครัวพ่อแม่หย่ากันค่ะ แยกกันอยู่ค่ะ :( ตั้งแต่รินประมาณ ป.1 ได้ ทั้งคุณพ่อเเละคุณแม่แต่งงานใหม่ทั้งคู่ค่ะ คุณแม่เเละคุณพ่อก็มีลูกใหม่เหมือนกันค่ะ ทำให้รินเป็นหมาหัวเน่าไปเลยค่ะ 55555 แต่รินก็เข้าใจค่ะ ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ^_^

0
Mjmjmj 12 ต.ค. 57 เวลา 14:52 น. 34

เห็นใจผู้ป่วยโรคนี้นะคะ อยากให้กำลังใจ

แต่ถ้าเอาจริงๆแบบไม่โลกสวย ถ้าอยู่ใกล้ชิดกับคนที่มีภาวะอย่างนี้จริงๆ การที่จะเข้าใจและช่วยเหลือเขานี่ก็เป็นเรื่องลำบาก
คนไม่เคยเจออาจพูดได้ แต่ถ้าเคยเจอจะรู้จริงๆว่าการรับมือกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้านี่มันยากมาก จะอยู่กับเขายังไงให้เราไม่เครียด ไม่ซึมเศร้าตาม และไม่เสียสุขภาพจิต
เข้าใจเขา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือได้

เราว่าในมุมมองของคนปกตินะ ทางทีดีคืออย่าไปซ้ำเติมคนที่เป็นโรคนี้เลยค่ะ อย่าไปโกรธ ถ้ารู้สึกว่าอยู่กับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วเครียดก็เฟดตัวออกมาให้จิตใจเราดีขึ้นดีกว่าค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ทำร้ายเขามากขึ้น

การที่จะให้คนเข้าใจผู้ป่วยว่าเขาป่วยนี่ก็พูดยากนะ บางทีมันกระทบเรื่องงานเรื่องความสัมพันธ์แล้วเหมือนเป็นข้ออ้างในการกระทำบางอย่าง แล้วโรคนี้คนไทยก็ไม่ค่อยเข้าใจ แถมในเด็กมัธยมอารมณ์รุนแรงอยู่แล้ว เพื่อนๆที่ไม่เข้าใจเลยอาจมีเอฟเฟคที่รุนแรงใส่อีก

เราอาจจะตอบดูใจร้ายไปนิด แต่อยากพูดในแง่ความเป็นจริง คนในชีวิตจริงก็คงมีไม่กี่คนที่จะทำแบบที่เมนท์ใจดีๆในกระทู้นี้
แต่ยังไงก็ขอให้หายเร็วๆนะคะ

0
ปูเป้ปาปิก้า 12 ต.ค. 57 เวลา 14:58 น. 36

พี่เองก็เคยเป็นแบบ จขกท. นะ ออกแนวโดนมาโชกโชนเลยแหละ
ที่น้องบอกมาก็ใกล้เคียงกับพี่นะ คือพี่ก็เป็นคนคิดมาก ใครล้อเล่นอะไรด้วยชอบเก็บมาซีเรียส แอบคิดประมาณว่ามันหลอกด่าป่าววะ อะไรแบบนี้ตลอด แล้วก็อารมณ์อ่อนไหวแปรปรวน ขี้แย หลอกง่ายด้วย
คือตอนเด็กๆ พี่เป็นคนแปลกๆ อะ วิ่งท่าแปลก สมาธิสั้นหน่อยๆ ย้ำคิดย้ำทำ พูดแล้วก็ชอบพูดซ้ำกับตัวเองอีกที ชอบเลียนแบบเกมส์ การ์ตูน เลยโดนเป็นตัวตลก เพื่อนรุมแกล้งประจำ เลยมีนิสัยขี้ระแวงติดตัวมาด้วย
พอโตมามันก็ดีขึ้นช้าๆ โดนเพื่อนแบนทั้งห้องนี่เหมือนเป็นการฝึกความอดทน ฝึกความเข้มแข็งไปละ อยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนนี่บางทีสบายใจด้วย ไม่ต้องมานั่งแคร์ แลกกับการที่ไม่มีเพื่อนเก่าสมัยมัธยมไป
สำหรับพี่ มันเป็นประสบการณ์อะ พูดแบบแถๆ หน่อยก็คือ ประสบการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนแท้แนวโลกสวยนี่มันเกร่อละ ของพี่มันเป็นประสบการณ์ด้านมืดของมิตรภาพ รู้ตื้นลึกหนาบางเลยว่าคนๆ นึงที่เคยเป็นเพื่อนกันมันเลวได้ขนาดไหน 555

ปล. สิ่งนึงที่มีค่ามากจากเรื่องโดนแบนนี่ คือผลการเรียนดีขึ้น เพราะพี่รู้สึกว่าพี่โดนทำร้าย พี่เลยฮึดมากๆ ตอนนี้พี่อยู่มหาลัยรัฐที่ชื่อเสียงดีกว่าพวกเพื่อนเก่าเกือบทุกคนนะ
ปล2. ปัจจุบันพี่ว่าพี่ปกตินะ ยังขี้อาย คิดมาก แล้วก็พูดซ้ำนิดหน่อย เลยมีแต่คนจำไม่ได้แทน แต่พี่ว่ามันเป็นปกติไปละ

0
Kobkab 12 ต.ค. 57 เวลา 15:01 น. 37

ไม่เปนไรครับผม รุ้สึกถูกโฉลก กับ จขกท.จัง 55555
ถ้าอยากเป็นเพื่อนคุยกัน ผมยินดีนะค้าบบบ :D

0
AlonelY LiE 12 ต.ค. 57 เวลา 15:13 น. 38

เราก็เคยเป็นค่ะ ; _ ;
คือตอน ป.1 - ป.4 ไม่มีเพื่อนเลยซักคนอ่ะค่ะ แบบเดินไปไหนมาไหนคนเดียว โดดเดี่ยว เคว้งมากๆ งานกลุ่มก็ไม่มีใครเอาเราเข้าต้องรอครูจับเข้าไป คือเหมือนแบบเดินเร่ร่อนไปเรื่อยๆแบบไร้จุดหมายอ่ะค่ะ
แล้วยิ่งมีเพื่อนบางคนชอบมาแกล้ง มานินทาว่าเราเอ๋อ อย่างนู้นอย่างนี้อย่าไปเข้าใกล้ เราก็เลยร้องไห้จนเพื่อนๆไม่อยากเข้าใกล้เพราะเดี๋ยวเราร้องไห้ (เหมือนเป็นห่วงแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนไม่อยากเข้าใกล้เลยมากกว่า) เลยเป็นต้นกำเนิดทำให้เราเกิดโรคเครียด ซึมเศร้าเก็บทุกอย่างเอามาคิด

เราก็มีวิธีแก้ค่ะคือหาเพื่อนซักคนนึงที่คอยอยู่ข้างๆเป็นที่พักพิงค่ะ คุยด้วยกัน พักด้วยกัน บ้าไปด้วยกัน สนุกด้วยกัน คือตอนนั้นอาการเครียดต่างๆหายไปเลยค่ะ รู้สึกไม่ต้องกังวลอะไรเลย ตัวเบาหวิวเลยค่ะ สามารถเป็นตัวของตัวเองไห้ :D แล้วพอเพื่อนๆที่เหลือในห้องเห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของเราไม่ได้เป็นแบบที่เค้าคิด เพื่อนๆเขาจะค่อยๆทยอยมาคุยกับเราค่ะ ถึงจะนิดๆหน่อยๆเขาก็ไม่กลัวอะไรเรา :D

สู้ๆนะคะ

0
Seal_Zuper+ 12 ต.ค. 57 เวลา 15:20 น. 39

ของเราเป็นเรื่องงของเพื่อนค่ะ
เค้าเป็นโรคสมาธิสั้น ทำอะไรไม่ค่อยคิด เหมือนคำพูดกับการกระทำไปก่อนสมองน่ะค่ะ มีครั้งนึงที่เขาไปโพสรูปก่อกวนในไลน์ ทุกคนพยายามห้ามเขาด้วยเหตุผล แต่เขาไม่ฟังค่ะตอกกลับอย่างเดียว เราก็อดไม่ได้ ไปบอกเขาด้วยอารมณ์ค่ะ สารภาพตอนนั้นหงุดหงิดจริงๆ ไลน์เด้งอยู่นั่นแหละ เขาก็โกรธเราค่ะ โกรธมาก สุดท้ายเราก็ไปง้อเขาด้วยเหตุผลแบบตัวต่อตัว เขาให้อภัยค่ะ น่าแปลกมั้ย คนปกติบางคนที่งอนกันแรงๆไม่น่าจะพูดแบบนี้ เขาบอกว่า ดีกันนะ ซึ่งเราตื้นตันมาก 

เขาก็คงอยากมีเพื่อนบ้าง ถึงบางทีจะทำตัวไม่เหมาะสม แต่ถ้าคุยแบบภาษาดอกไม้ก็มีเปอร์เซนสูงที่จะรับฟังนะคะ

0
Tears of Prince 12 ต.ค. 57 เวลา 15:40 น. 41

พี่ว่าน้องปกตินะ พี่ก็เคยเจอสถานการณ์คล้ายๆแบบนี้สมัยประถม โดนตั้งฉายาว่า ปัญญาอ่อน เอ๋อ ชายน้อย(แห่งบ้านทรายทอง) ก็เจ็บเป็นปมด้อย โดนรังแก จนร้องไห้อยากย้ายรร. แต่แม่ว่าไร้สาระไม่ให้ย้าย ตอนนั้นอยากจะตายมาก จิตตกเลยทีเดียว จนขึ้นม.ต้นก็ยังเป็น พี่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้าสังคม(แต่ก็ยังคงความบ้าอยู่555) มันก็ดีขึ้นมาหน่อยพี่มีกลุ่ม แต่ก็ยังเป็นส่วนเกินอยู่ ขึ้นมอปลายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนขึ้นมหาลัยเริ่มแย่อีกละ 5555 แต่มันก็ดีขึ้นไม่มีใครล้ออะไรพี่ แต่ปมด้อยมันก็ยังอยู่ พี่อยากให้น้องมั่นใจในตัวเอง คิดถึงคนอื่นให้น้อยลงคิดถึงตัวเองให้มากขึ้น ใครจะว่าเรายังไงอย่าไปสน แล้วน้องจะเจอคนที่เข้าใจน้อง พยายามเข้าหาคนอื่น(ที่น้องรู้สึกว่าเขาโอเคน่าคบ) อันนี้เป็นวิธีที่พี่ทำ พี่อาจไม่หนักจนต้องพบหมอเหมือนน้อง พี่แค่อยากยกตัวอย่างให้น้องเข้มแข็ง ยิ้มสู้กับปัญหา หัวเราะใส่มันเลย น้องแค่อยู่ในสังคมที่มีพวกห่วยแตก แต่นั่นจะทำให้น้องเจอเพื่อนแท้

0
ใบเตยตัวน้อย 12 ต.ค. 57 เวลา 15:44 น. 42

ขอใช้คำแทนตัวเองว่า"พี่"นะคะ เพราะอยู่ปี1แล้ว
พี่เข้าใจน้องนะ แม้ว่าพี่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า แต่บางทีพี่เป็นคนอ่อนไหว ขี้แงมาก ขี้ระแวง คิดมากสุดๆ มองโลกในแง่ร้ายบางครั้ง เมื่อก่อนพี่ก็เคยไม่มีเพื่อนสนิทมาก่อนค่ะ เพราะเป็นคนพูดไม่เก่ง ดูเอ๋อ เด็กๆ เวลาทำงานกลุ่มพี่จะเป็นเศษเหลือตลอด น้อยใจเนอะ
พี่เห็นด้วยว่าใครไม่เป็นคงไม่เข้าใจ พี่สงสารน้องและเห็นใจน้องนะที่เวลาโดนคนอื่นว่าเราโรคจิต ถ้าเป็นพี่คงเครียดเหมือนน้องอ่ะ แต่อยากจะบอกว่าเข้มแข็งไว้นะคะ พี่ว่าต้องมีคนเข้าใจน้องและยอมรับน้องนะคะ
พี่จะปลอบใจว่าวันนี้ไม่ดี แต่วันหลังเราต้องเจอเรื่องดีๆให้ได้ อย่าโทษตัวเอง อย่าโทษคนอื่น แต่เราพยายามปรับตัวเอง ค่อยๆปรับไม่ต้องรีบ พี่เชื่อนะว่าสักวันน้องจะมีเพื่อนนะ แต่ต้องอดทนและแสดงให้เขาเห็นว่าเราก็มีดีของเรานะคะ
สุดท้ายพี่ก็เป็นกำลังใจให้น้อง ถ้าอาการเราไม่ดีขึ้นหรือยังไงก็ไปปรึกษาหมอก็ดีนะ ไม่ต้องอายนะคะ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้มันจะทำให้ทุกอย่างลงไปกว่าเดิม สู้ๆนะคะ ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอนะ

0
Alice 12 ต.ค. 57 เวลา 15:47 น. 43

อืม ดีแล้วละ ที่ออกมาจากโรงเรียนนั้น

พี่เป็นคนหนึ่งที่จบจากโรงเรียนดังในกรุงเทพแล้วไปเรียนต่อต่างประเทศ
สามปีผ่านมา พี่บอกเพื่อนว่า ออ ไปหาหมอจิตแพทย์
เพื่อนๆทำหน้าเหวอ อาจารย์ที่เคยสนิทสมัยมัธยมเลิกติดต่อ
แบบ ตลกมากๆ
ทุกคนมักจะบอกว่า มีเงินไปต่างประเทศ ทำไมกระเเดะจัง ปัญหาอะไรเยอะแยะ ที่บ้านก็มีฐานะถึงจบจากที่นี่ได้
มนุษย์เรา ไม่รู้หรอกคะ ว่าคนอื่นเป็นยังไง
เขารู้เทาที่เขาคิดว่าเป็น
คนประเทศนี้มันเถื่อน

ปัญหาของพี่ คือ พี่ไปอยู่ที่นั้น โดนภรรยาอาขู่เอามีดแทง เจอโจรจี้ พอย้ายไปอยู่ใกล้ตากับยาย คุณตาก็เสีย แต่คนอื่น เขาไม่มารู้ด้วยหรอก พอรู้ เขาก็สมน้ำหน้า

บางครั้ง เรื่องพวกนี้ ถึงมันจะผ่านมาอาทิตย์ เดือน หรือ ปี แล้ว แต่ความเครียดที่ไม่รู้ตัวสามารถสะสมอยู่ในร่างกายได้ในแบบที่ไม่รู้ตัว อย่างพี่ ตอนพี่มาหาหมอพี่ก็เพิ่งรู้ว่า ประสาทรับรู้พี่ผิดปกติตั้งแต่โดนภรรยาอาขู่ คือ เหมือนกับว่า ประสาทการรับรู้ตอบสนองไวเกินไป จนทำให้ร่างกายไม่ได้พัก พักผ่อนไม่พอ และเริ่มโทรม พอโทรมมันก็ไปดึงส่วนอื่นๆตามลงมา

สรุปที่จะพูดก็คือ
ความจริงแล้วควรจะบอกว่าคนที่ไปหาหมอคือดีกว่าด้วยซ้ำ หนึ่งคือคุณยอมรับความผิดปกติของคุณ เท่ากับว่าคุณเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง อาการต่างๆที่เกิดขึ้น สามารถพัฒนาจนเสียชีวิตได้หากไม่ระวัง และเมื่อคุณเสียชีวิตเพราะโรคนี้ขึ้นมาในสังคมของเรา ประเทศไทย คุณก็จะเป็นแค่กระดาษช่องหนึ่งในหนังสือพิมพ์ หรือ ข้อความบนเฟสบุ็ค ที่ไม่ได้สร้างอะไรให้กับคุณเลย เพราะงั้นจะบอกว่ารินเขาเก่งนะ ที่ไปหาหมอ เพื่อตัวเขาเอง

ส่วนคนที่ไม่ไปหาหมอ ความเครียด เหมือนแก๊สที่บรรจุในลูกโป่ง ถ้ามากเกินไปจะระเบิด เพราะงั้นมันต้องได้รับการระบาย เมื่อเวลาผ่านไปและไม่รับการรักษา ไม่ยอมรับ เท่ากับว่า เรากำลังสนับสนุนตัวเองให้พัฒนาเป็นคนโรคจิตที่แฝงตัวจริงไในสังคม


ถ้าสาเหตุความเครียดของน้องรินคือ รับมือความเถื่อนในโรงเรียนไม่ได้ ก็อย่าไปรับคะ ดีแล้ว ช่างหัวแม่งไป สังคมสมัยนี้ ยิ่งเถื่อนยิ่งเท่ แต่พออายุระดับหนึ่ง มันก็ต้องมานั่งเครียดเพราะความเถื่อนตัวเองอยู่ดี

0
Liuping 12 ต.ค. 57 เวลา 16:29 น. 44

(ความเห็นส่วนตัวนะคะ)
สำหรับตัวเราเองนะ คือเราอยากบอกว่าเราก็มีภาวะซึมเศร้าและเครียดสะสมอยู่เหมือนกัน แต่การจะอยู่ในสังคมได้ไม่ใช่ว่าต้องให้คนอื่นปรับเข้าหาตัวเองอย่างเดียวตัวเราเองก็ต้องปรับเข้าหาคนอื่นด้วยเหมือนกัน ถึงเราจะทำได้ไม่มากแต่เราก็ควรที่จะเข้าหาคนอื่นบ้าง จริงอยู่ที่ว่าบางคนคิดว่าเราอยู่คนเดียวได้ สบายมาก ไม่เห็นเป็นไรเลย แต่ถ้าเกิดต้องทำงานเป็นกลุ่มขึ้นมาล่ะ ไหนจะเวลาทำงานหลังจากที่เรียนจบไปแล้วอีก มันไม่โอเคเท่าไหร่นะคะ การที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจเรา เราก็ต้องเข้าใจคนอื่นด้วยเหมือนกัน ถ้าให้พูดในฐานะของคนที่เป็นผู้ป่วยเหมือนกันก็อยากให้เข้าหาและทำความเข้าใจ อะไรที่พอกลั้นได้ก็กลั้นไปค่ะ อันไหนที่มันไม่ไหวก็อย่าไปรับรู้มัน เป็นกำลังใจให้จขกท.นะคะ  สู้ๆค่ะ


0
alice_1771 12 ต.ค. 57 เวลา 17:14 น. 46

กระทู้เกี่ยวกับโรคจิตเวชนี่หายากในเด็กดีนะ 555555
พี่เป็น bipolar ค่ะ อารมณ์2ขั้ว บางทีก็จัดการกับอารมณ์เองไม่ได้
เหวี่ยง วีนใส่พ่อแม่ ใส่เพื่อนเยอะ
ตอนนู้น พี่เรียนต่อม.4 แล้วต้องไปอยู่หอค่ะ
การเรียนของพี่อยู่ในระดับดีมาก เรียนห้องวิทย์ได้ทอปหลายวิชา
พออยู่ไปเรื่อยๆ อาการก็เริ่มเข้ามาค่ะ
บางวันโทรหาแม่นั่งร้องไห้หนักเลย แต่บอกสาเหตุไม่ได้ว่าร้องไห้ทำไม
ไม่ได้เครียดเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน หรือเรื่องคิดถึงบ้าน
บางวันก็บ้าหลุดโลก หัวเราะจนเพี้ยน ทำอะไรบ้าๆ
จนเพื่อนทักว่าวันนี้เป็นอะไรทำไมแปลกๆ
จนวันนึง พี่ปวดหัว ปวดมากๆ
ไปหาหมอหลายรอบ เปลี่ยนหลายรพ. กินยายังไงก็ไม่หาย
สุดท้ายกต้องลาออกมาอยู่บัาน
ใช้เวลานั่งๆนอนๆอยู่บ้าน1ปีเต็มๆ เพราะเรียนหนังสือไม่ได้
พี่เก็บตัว อยู่แต่ในบ้าน ไม่ไปกินข้าวนอกบ้านเพราะไม่อยากเจอใคร
กลัวคนอื่นถามว่าเรียนที่ไหน ไม่อยากตอบเค้า กลัวพ่อแม่เสียใจ

สุดท้าย อยู่ๆก็ไปหาหมอค่ะ
ถึงได้รู้ว่า-โรคพวกนี้ บางครั้งมันไม่ได้เกิดจากความเครียดนะ
บางครั้งมันเกิดจากพันธุกรรม หรือสารในสมองที่ผิดปกติ
ต้องกินยาหรือใช้ไฟฟ้าช่วยเท่านั้น เพราะมันไม่ได้เกิดจากจิตใจเรา
(อันนี้คือเคสของพี่นะ รวมถึงผู้ป่วยอีกหลายๆคน)

พี่ต้องลาออกมาเรียนกศน. แต่ก็รับตัวเองไม่ได้
กลับมานั่งร้องไห้ รับไม่ไหวจริงๆ เมื่อก่อนพี่เป็นเด็กเรียนดีมากๆค่ะ
การลาออกมาอยู่บ้านแล้วเรียนกศน.เป็นความอัปยศที่สุดในชีวิต
อันนี้จริงจังมาก คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ เรียนมาจะครบปีแล้ว
แต่ตอนนี้ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี

ใช่ค่ะ ไม่มีใครอยากเป็นโรคนี้หรอก
เมื่อก่อนพี่ก็ตกใจนะ พยายามกำจัดมันออกไปจากชีวิต
พยายามทำตัวปกติที่สุด กดทุกอย่างในใจไว้
สุดท้ายมันก็ทำไม่ได้ค่ะ ต้องปล่อยออกมาเพราะยิ่งกดไว้จะยิ่งแย่
ต้องใช้เวลานานค่ะ พี่ถึงจะเรียนรู้ว่าเรากำจัดมันไม่ได้ แต่เราต้อง"อยู่กับมันให้ได้"

ขอชื่นชมน้องรินเลยค่ะ เก่งมากๆกับการใช้ชีวิตในโรงเรียน
เก่งมากๆกับการเอาตัวรอด การปรับตัว การดูแลตัวเอง
การจัดการกับทุกๆอย่าง ขอชื่นชมอย่างสุดหัวใจเลยค่ะ
เพราะผู้ป่วยจิตเวชน้อยคนนักที่จะอยู่กับโรคพวกนี้โดยไม่กระทบกิจวัตรประจำวันได้

น้องสู้มาเยอะแล้ว พี่อยากให้สู้ต่อไปนะคะ
พี่เป็นกำลังใจให้ น้องรินเก่งมากๆ ขอให้เข้มแข็งต่อไป
การที่น้องรินไม่มีเพื่อน พี่ว่ามันยังมีข้อดีอยู่บ้างนะ
มันทำให้เรารู้ว่าใครรักเราจริงๆ ใครพร้อมที่จะอยู่กับเราบ้าง
เพื่อนพี่หายไปหมดเลยค่ะตั้งแต่ลาออก เพื่อนที่กศน.พี่ก็ไม่คบ
ของพี่ยังโชคดีที่มีพ่อแม่ นอกนั้นก็เหงามากๆ
มันทำให้เราอยู่กับตัวเอง ใช้ชีวิตกับตัวเองได้จริงๆ

ขอบคุณที่มาแชร์ประสบการณ์กันนะคะ อย่างน้อยก็มีพี่คนนึงที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกัน
ถ้าน้องรินมีทวิตเตอร์ มาคุยกับพี่ได้นะคะ @alice_1771 เหงาเหมือนกัน
ในทวิตเตอร์มีคนอื่นๆที่เป็นโรคจิตเวชอีกเยอะ มาคุยกันได้นะคะ เผื่อเหงา
แต่ถ้าไม่อยากก็ไม่เป็นไรนะ 5555555

โชคดีค่ะ เข้มแข็งเข้าไว้ พี่เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆนะคะ

0
ข้าวหอม 12 ต.ค. 57 เวลา 17:23 น. 48

   เราก็เคยเป็นคล้ายๆเจ้าของกระทู้นะ แต่ต่างกันตรงที่เราจะโมโห ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ร้องไห้ จะร้องก็ต่อเมื่อเรามีปัญหากับคนที่เราไม่สามารถทำอะไรเค้าได้ หรือไม่ก็เป็นคนในครอบครัว เพื่อนๆมักจะบอกว่าเรานิ่งจนน่ากลัว เวลาโกรธหรือโมโหไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย เราก็รู้สึกเหมือนกันนะว่าบางทีเราเครียดเกินไป บางครั้งเวลาหงุดหงิดก็เหมือนจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ แต่ก็ไม่เคยไปหาหมอสักที ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน เวลาเครียดก็ชอบปวดหัวมากด้วยเพราะเราเป็นไมเกรน เราเข้าใจ จขกท.นะ
จะเป็นกำลังใจให้ สู้ๆ ^^

0
KunJun 12 ต.ค. 57 เวลา 17:31 น. 49

เราก็เคยเป็นนะ แต่โชคดีที่เพื่อนเข้าใจ และคอยให้กำลังใจ
เป็นกำลังใจให้จขกท.นะคะ สู้ ๆ

0
กมรสน 12 ต.ค. 57 เวลา 17:52 น. 51

เราเคยเป็นแบบนี้อยู่เหมือนกันค่ะ แต่ของเราไม่ร้ายแรงเท่านี้ TT เมื่อเราพูดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่น้ำตาเราจะไหลออกมาเลยค่ะ มันเป็นความทรงจำที่ไม่น่าจำเอามากๆ แต่มันลบออกจากหัวไม่ค่อยได้

เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อตอนเราอยู่ม.3 เราค่อยค่างที่จะติดเพื่อน ติดมากแบบไปไหนต้องไปกับเพื่อน นั่งคนเดียวแทบไม่ได้ แต่พอขึ้นม.3ปุ๊บ เราก็ลงความเห็นกันว่าจะสลับที่นั่ง สมมุติว่าเรานั่งกับ ก เพื่อนที่สนิทมากกกกก ต้องเปลี่ยนไปนั่งกับ ข เพื่อนที่กำลังสนิท แล้วก ก็ไปนั่งกับ ค เพื่อนที่กำลังสนิทเหมือนกัน สรุปว่า เรากับ ก เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ศูนย์เด็กแล้ว แต่ ข กับ ค เพิ่งสนิทกันตอนม.2

โดยการที่เราแยกที่นั่งกับ ก เราจึงสนิทกับ ข มากขึ้น ตอนนั้นเราสนิททั้งสามคนเลยแหละ แต่จู่ๆ เราสนิทกับ ข มากขึ้น จน ก ไม่ค่อยได้พูดกับเราเลย เราก็แคร์ ก มาก คิดมากอยู่ฝ่ายเดียว ก แทบไม่พูดกับเราเวลานั่งด้วยกัน มันอึดอัดมากค่ะ จนเราไปปรึกษาเพื่อนผู้ชายอีกคนที่สนิทกันตั้งแต่ม.1 ข กับ ค ก็ฟังด้วย ตอนนั้น ก งอนอะไรไม่รู้อยู่ฝ่ายเดียว ทุกคนก็เห็นด้วย เราเลยบอกไปว่า ตั้งแต่ขึ้นม.3 ก มันแทบไม่พูดกับเราเลย เราบอกกับพวกเขาโดยห้ามให้พวกเขาบอก ก

และแล้ว เพื่อนผู้ชาย ก็ดันไปบอก ก จนได้ มาอีกวัน ก ยิ่งไม่มองหน้าเราไปใหญ่เลยค่ะ เข้าหาก็หนี พูดด้วยก็ไม่ฟัง เรานี่เครียดมาก จนเพื่อนผู้ชายมาสารภาพว่าเขาบอก ก เพราะสงสารเรา ทีแรกเราแอบโกรธเพื่อนคนนี้ แต่เขาคงหวังดี อยากให้เรากับ ก เป็นเหมือนเดิม

พอตกดึกเราก็แต่งรูปไปง้อ ก แต่งเป็นกระดาษขาวและตัวหนังสือค่ะ โพสต์ขอโทษในเฟซบุ๊ค คืนนั้น ก ไม่กดถูกใจ และก็ไม่โพสต์อะไรด้วย ตื่นเช้ามา ข บอกกับเราว่า ก ไม่ชอบที่เราทำแบบนั้น มันคุยแชทกับ ข แบบ จะร้องไห้แล้วที่เราไปขอโทษแบบนั้น

เอ๊า เราผิดอีก แล้วทำไม ก ไม่คุยแชทกับเราตรงๆเลย เราจะได้ลบรูปอ่ะ? สักแปบ ก ก็เดินผ่านพวกเรา ข ก็บังคับให้เราไปง้อ เราก็รีบวิ่งไป ง้อ แบบ ก แกเป็นอะไร เราขอโทษละกันนะ โกรธเราเหรอ สิ่งที่เราคิดไว้คือ ก ต้องเขินแน่ เพราะ ก เป็นคนฟอร์มเยอะ แล้วเราก็เป็นเพื่อนกับ ก มานานมาก โกรธกันเมื่อไหร่ก็ลงเอยกันด้วยดี แต่คราวนี้ ก ไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ก สะบัดมือแล้วหันไปจิกตาใส่ ข ค แล้วก็เพื่อนผู้ชายค่ะ ประมาณว่า 'ไปบอกอะไรให้ยัยนี่' เรารู้สึกน้อยใจมาก อุตส่าห์ไปขอโทษก็แล้ว คุยก่อนก็แล้ว ทำยังไง ก ถึงจะเป็นเหมือนเดิม พอ ก เดินไป เราก็รีบวิ่งมาร้องไห้ที่กลางสนามเลยค่ะ ตอนนั้นมีแต่คนเข้ามาหา (พวกครู) เราไม่ได้เรียกร้องความสนใจนะ เพราะตอนนั้นห้องของเรานัดกันถ่ายรูปกลางสนามพอดี เราก็เลยวิ่งไปนั่งร้องไห้ตรงนั้น ครูประจำชั้นก็มาปลอบ พา ก มาเคลียร์ เรามองตา ก อ่ะ แดงก่ำ เหมือนโกรธมาก โกรธจัดๆ แล้วน้ำตาก็ไหลด้วยนะ ครูบอกให้เราจับมือ ก เราก็จับ แต่ ก ไม่ยอมจับมือเลย เราก็บีบมือเขาไว้ ก แค่ยืนนิ่งๆให้เราทำ เราร้องไห้แทบไม่หยุดเลยค่ะ

ตั้งแต่วันเราเหมือนหุ่นกระบอกเลย ซึม เศร้า เหมือนไม่มีตัวตน คือเรารู้แล้วว่า ก อยากจะแยกออกจากเรา เราเลยไปเล่นกับ ข แต่ ค ก็ชอบลาก ข ไปมา งานกลุ่มเราก็เป็นเศษ เราจะเล่นกับเพื่อนผู้ชาย เขาก็โดนเพื่อนคนอื่นลากไป ทีนี้ก็เหลือเราอยู่คนเดียว เคว้งคว้างมาก เงียบกริบ ไม่พูดไม่จา ใครสะกิดเรื่องนั้นต่อมน้ำตาเราแตกเลย จากอาการแบบนี้ เราก็โดนเพื่อนด่า ว่า ยัย ยัยหุ่นกระบอก บางทีทำอะไรก็โดนหัวเราะเยาะไปหมด ไปเข้าค่ายลูกเสือเราก็โดนทิ้งให้อยู่ในบ้านพักคนเดียว เราบอกให้ ข อยู่เป็นเพื่อน มันก็โดน ค ลากไปซ่าข้างนอก แอบร้องไห้อยู่คนเดียวตลอด เพื่อนในห้องเหมือนไม่อยากเข้าใกล้เลย เราได้เข้ากะกับเด็กเก่งที่สุดในห้องนะ มันพูดออกมาเลยว่า 'อินี่มันเฉิ่ม ไม่อยากอยู่ด้วยเลย' คนแอบได้ยินอย่างเราน้ำตาจะไหล ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยก็บอกกันดีๆสิ ไม่ใช่มานินทาเสียงดังแบบนี้อ่ะ

พอถึงเวลาเข้ากะ เราไม่ได้ไปเข้ากับเขาเลย พอเราออกไปบอกจะมาอยู่ด้วยก็ไล่ให้เข้าไปนอนข้างใน ไม่มีส่วนร่วมอะไรเลย พออีกวันเดินขึ้นเขา เราเองก็เป็นคนแบกน้ำขึ้นไป พวกเพื่อนในกลุ่มก็เดินอ้อยอิ่งไม่สนใจเราสักนิด เราก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่อยากพูด ไม่อยากเรียกให้พวกด้วย คือเราอยากอยู่คนเดียว ถ้าไม่เดินมาช่วยเองก็ไม่ต้องช่วย ประมาณนี้ คล้ายๆน้อยใจอ่ะค่ะ ถ้าเราไม่ส่งให้แบกก็ไม่แบกเหรอ พอถึงทางชัน พวกเพื่อนในกลุ่มก็แยกกับเราตอนไหนไม่รู้ เรากะว่าจะให้ช่วยถือเพราะแบกขึ้นไปไม่ไหว มันชันมากกก กว่าจะผ่านจุดจุดนั้นมาได้ กลัวจะตกมาก ดีที่มีเพื่อนต่างห้องเข้ามาช่วยแบกน้ำแล้วจับมือเราค่อยๆเดินขึ้นไป ปลื้มมาก ซึ้งเพื่อนคนนั้นจริงๆ เขาก็เป็นเหมือนเดียวกับเราแต่ไม่แสดงออกมา เขาคนนั้นหนักกว่าเราอีก โดนด่าสารพัด ทำตัวเป็นตัวตลกให้เพื่อนหัวเราะเยาะใส่

ตอนนี้เราอยู่ม.4แล้ว เราเก็บเรื่องพวกนี้ไว้ในใจตลอดค่ะ เพื่อเป็นแรงผลักดันให้เราทำอะไรได้ด้วยตนเอง คือเมื่อก่อนเกิดเรื่องเราชอบพึ่ง ก มันน่ะค่ะ เราข้ามถนนไม่เป็น(อันนี้เป็นปม) ขึ้นรถโดยสารไม่เป็น เราจะไปไหนมาไหนกับ ก ตลอด ตั้งแต่ตอนนั้นมาเราก็หัดทำอะไรด้วยตัวเองตลอด นั่งก็นั่งคนเดียวได้ เินก็เดินคนเดียวได้ ข้ามถนนก็ได้แล้ว ขึ้นรถก็ได้แล้ว สบายไปเลย ลาสุดเหมือน ก จะเริ่มมีแอนตี้ ตอนนี้ ก ค่อนค่างดังในโรงเรียนอยู่ เพราะเป็น ทูบีนัมเบอร์วัน เต้นตลอดเมื่อมีงานโรงเรียน หน้าตาสวยด้วยไง แต่หารู้ไม่จริงๆเธอหยิ่งมาก ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทนี่เข้ากันไม่ได้เลยนะ ส่วน ข ก็ย้ายไปเรียนที่อื่น ค ก็ทำตัวค่อนข้างเหลวไหล(ค เป็นทอม) เรามีความสุขมากกับเพื่อนใหม่ในห้องใหม่ตอนนี้ พวกเขาขยันมากค่ะ ส่งงาน ทำงาน ตั้งใจเรียน พาเราเป็นเด็กเรียนไปด้วยเลย ที่ภูมิใจกว่าคือเราได้ที่หนึ่งของห้องด้วย งื้อออ ภูมิใจมากกก><

ทุกวันนี้แม่ของเรายังถามถึง ก อยู่เลยเพราะแม่ของเรากับแม่ของ ก เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน และอดีตเรากับ ก ก็สนิทกันมากด้วย เราก็ตอบแม่ไปว่าไม่เจอ ก เลย คือเราไม่กล้าบอกแม่ตรงๆค่ะ แต่ก็กลัวเหมือนกันนะถ้าเราไปเดินตลาดกับแม่แล้วเจอ ก ละแม่เราเดินไปทักเราจะทำไงดี

ขอบคุณนะคะที่ให้พื้นที่กับเราไว้ระบายเรื่องราวต่างๆ อ่านจบไม่จบยังไงเราไม่ว่าเน้อ เราพิมพ์ซะยาวเหยียดเลยแฮ่ๆ

เหอะเหอะ

0
カッパ 12 ต.ค. 57 เวลา 18:01 น. 52

พูดยังไงดีล่ะ อันที่จริงเราเป็นโรคซึมเศร้านะคะ มิหนำซ้ำยังผสมกับโรคเครียดอีกต่างหาก ตอนที่เริ่มมีอาการเหมือนจะมีปัญหากับเพื่อนจนไม่ไว้ใจคนอื่น ร้องไห้ ขี้แยแถมยังโดนเพื่อนในห้องรังเกียจอีกต่างหาก พยายามไปคุยด้วยก็แล้วทำอะไรก็แล้วยังไม่ดีขึ้นเลย เรายังเป็นคนชอบเอาโน่นี่นั้นมาคิดมากอีกต่างหาก ช่วงนั้นประมาณ ป.3 ถึง ม.1 แทบจะไม่ได้คุยกับใครเลยค่ะ มันเหงามากจริงๆถึงขนาดร้องไห้ทุกวันเลย(ตอนอยู่บ้านนะคะ) อยู่กับหนังสือตลอดเวลา เคยไปปรึกษาจิตเพทย์ ทานยาและคิดที่จะฆ่าตัวตายด้วยค่ะ อย่าคิดนะว่าเด็กๆจะไม่มีเรื่องเครียด อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลานั้นเราถูกกดดันในหลายๆด้าน แต่พอโตขึ้นพอเริ่มอยู่กับตัวเองมากขึ้น ไปปฏิบัติธรรมบ้างจิตใจก็เริ่มสงบ เราก็เริ่มปรับตัว เปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีของตัวเองเผื่อจะได้เข้ากับคนอื่นได้ ลองเปิดใจในคนรอบข้างอะไรๆมันก็ดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะเราย้ายโรงเรียนก็ได้เลยทำให้เราไม่เจอเพื่อนสมัยประถม จนถึงตอนนี้อาการดีขึ้นมากค่ะ ควบคุมอารมณ์ได้ คุยกับคนอื่นได้ตามปกติค่ะ ถึงจะยังเป็นคนเงียบๆที่คุยแค่กับเพื่อนในกลุ่มก็เถอะ พยายามยิ้มให้ตัวเองมากๆ พยายามไม่คิดมากไม่เอาเรื่องมาคิดให้วุ่นวายใจ มองทุกอย่างในแง่ดีทั้งเท่าที่จะทำได้ เพราะเราเชื่อว่าเราพยายามซะอย่างมันทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง(อันที่พี่ดูแลช่วงไปโรงบาลบอกมาค่ะ :3) อ๋อ ลืมบอกไปว่าเพื่อนเราก็มีส่วนช่วยด้วยค่ะ คือจากที่เพื่อนเรารู้ว่าเราเป็นโรคแบบนี้แต่เพื่อนก็ไม่รังเกียจแถมยังปฏิบัติกับเราเหมือนเดิม พอเราถามว่ารู้แล้วว่าเราเป็นแบบนี้ทำไมไม่รังเกียจเราล่ะ
เพื่อนก็ตอบกลับมาว่า โรคจิตก็คน เราก็คน คนเหมือนกันจะรังเกียจกันทำไม ถ้าแกเป็นโรคจิตแล้วแกทำตัวเหมือนกุ๊ยนี่ล่ะ เราถึงจะรังเกียจแก แล้วอีกอย่างเรารับแกเป็นเพื่อนแล้ว เพื่อนต้องช่วยเพื่อนดิ เพื่อนเค้าไม่ทิ้งกันง่ายๆขนาดนั้นหรอก คนที่พูดนี้เพื่อนตอนมัธยมต้นเพื่อนสนิทคนแรกและสนิทกันมาถึงเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ รับฟังปัญหาเราทุกอย่างเลย ;___; รักเพื่อนคนนี้มากเลย 

แต่ที่ๆเราเรียนเป็นโรคจิตกันเยอะนะคะ ที่รู้จักกันบางคนเป็นโรคถอนผม(Trichotillomania) บางคนก็เป็น OCD บางวันเครียดมากจนขั้นโดดเรียน หรือนอนห้องพยาบาลทั้งวันเลยก็มี แต่พอตอนหลังๆพอพวกเรามาเจอกัน เวลาเครียดหรือมีปัญหาพวกเราก็มานั่งคุยกัน อยู่ด้วยกันเพราะไม่อยากให้ใครอีกคนรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนเดียวจนทำอะไรผิดๆลงไป  

สุดท้ายขอชื่นชมคุณรินมากเลยนะคะจากใจจริงเลย ที่พยายามมาได้
ถึงคนที่เป็นส่อแววอาการทางจิตนะคะ แนะนำควรไปหาจิตแพทย์แต่เนิ่นๆดีกว่าอย่าให้ถึงขั้นทานยาเหมือนเราเลย  พยายามนะคะเผื่อว่าสักวันเราจะกลับเป็นปกติ เผื่อสักวันเราจะได้ใช้ชีวิตปกติกับคนอื่นได้ 
แล้วก็ถึงคนที่มีเพื่อนมีอาการแบบนี้นะคะ ช่วยรับฟังเค้าหน่อยนะ ยอมรับในสิ่งที่เค้าเป็น อย่าทิ้งเค้าไว้ข้างหลังเลยนะ 

ขอบคุณค่ะ : )

0
ZEN KaiZis 12 ต.ค. 57 เวลา 18:05 น. 53

สู้ๆนะครับเป็นกำลังใจให้จขกท. 
ชื่นชมจริงๆครับที่คุณผ่านทุกอย่างมาได้ 

0
เด็กหญิงบีนี่ 12 ต.ค. 57 เวลา 18:12 น. 54

อ่านแล้วนึกถึงเพื่อนต่างห้องที่โดนแกล้งเลยค่ะ เคยสนิทกันตอนประถม พอขึ้นมัธยมก็คุยกันน้อยลงแล้ว 

       ตอนประถมอยู่ห้องเดียวกัน ตอนนั้นเขาก็เคยโดนแบบนี้ แล้วมาร้องไห้กับเรา เราก็ปลอบเขา ทำให้สนิทกันพอสมควร เขาไม่เชิงเป็นคนเก็บกด จะเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกมากกว่า เวลาเพื่อนมาแกล้งก็ไม่โต้ตอบ ถึงแม้จะแกล้งแค่เบาๆก็เถอะ ตอนนั้นแอบแกล้งคืนแทนเพื่อนด้วยค่ะ 5555555 เขาเอาดินสอของเพื่อนคนนี้ไปซ่อน เราเลยเอารองเท้านร.ของคนที่แกล้งไปซ่อนบ้าง หากันอยู่ตั้งนานแหนะ คิดแล้วขำ แกล้งกันเด็กน้อยมากเลย 55555555

       จริงๆเขาน่ารักมากเลยนะคะ เป็นคนร่าเริง ยิ้มง่าย แต่โดนเพื่อนแกล้งบ่อย ทำให้ดูเป็นคนอ่อนแอ เขาถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนูนิดนึงด้วย เพราะเขาป่วยง่ายและมีโรคประจำตัว แม่เลยดูแลมากเป็นพิเศษ 

      ตอนนี้เพื่อนเราก็เข้มแข็งขึ้นมากแล้วค่ะ จากการเฝ้าดูอยู่ห่างๆและคุยกันบ้างบางครั้ง เขาไม่ร้องไห้ง่ายๆแล้ว แถมยังมีแฟนที่น่ารักมาปกป้องแล้วด้วย ♥  
     จขกท.เก่งมากนะคะที่ผ่านมันมาได้ด้วยตัวคนเดียว T__T ขนาดเพื่อนเราไม่เป็นหนักเท่าจขกท.เรายังสงสารเขาเลยค่ะ ส่วนตัวแล้วเราอยากรักษาคนแบบนี้นะคะ สู้ๆนะคะ เวลาท้อก็คิดถึงเรื่องที่ตัวเองผ่านมา จขกท.เข้มแข็งมากๆ ขอให้ต่อไปนี้เจอแต่สิ่งดีๆนะคะ พระคุ้มรอง สวัสดีค่ะ :)

0
คนคนหนึ่ง 12 ต.ค. 57 เวลา 18:21 น. 55

ตอนนี้เราเองก้อเป็นเหมือนกัน
เป็นมาค่อนข้างเรื้อรังเลยละ ประมานหกปีแล้วแต่ไม่รู้ตัว
แต่ช่วงสามเดือนก่อนหน้านี้อาการหนักมากคือแบบ
นั่งร้องไห้ทั้งวัน นอนไม่หลับ เครียดทั้งเรื่องสอบ (มอหก)
เรื่องเพื่อนที่ ร.ร.(ไม่มีเพื่อนสนิทสักคน) คล้ายคนเรร่อน
เรื่องครอบครัว
ความรู้สึกแบบเหมือนไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ไร้ค่า
เคยคิดฆ่าตัวตาย แบบทุกอย่าง down มาก อยู่ที่ร.ร.ก้อเหมือนตัวประหลาด ไม่ยุ่งกับใคร จริงๆก่อนหน้านี้พอมีเพื่อนมากแต่พอช่วงหลังๆรู้สึกไม่อยากยุ่งกับใครเลย ยิ่งมีงานกลุ่มนี่แบบเกลียดมาก การเรียนก้อเริ่มตก เพราะนอนไม่หลับ พอมารร ก้อเรียนไม่รู้เรื่อง มึนๆ โดนเรียนบ่อยขึ้นเพราะเบื่อ ไม่อ่านหนังสือเลย ทั้งๆที่อยู่มอหก ควรอ่านหนังสือ ควรเรียนพิเศษ แต่เราไม่เลย มันเป็นอารมณ์ที่แย่มากๆ กลับมาบ้านก้อรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้วปัญหาทำให้บ้านร้อนเป็นไฟ ไม่มีใครรัก ตอนนั้นเหมือนคนบ้าอ่าคะ
จนสุดท้ายตัดสินใจไปรักษาจิตแพทย์ที่รามา ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ได้บอกใคร หมอบอกว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังต้องรีบรักษา พอกลับมาก้อเลยบอกพ่อแม่ไปในสิ่งที่เราเป็นเพื่อให้พ่อแม่ไปพบคุณหมอ
พอหลังจากครั้งที่สองพ่อแม่ไปคุยกับหมอ กลับมาครั้งนี้รู้สึกเลยว่าพ่อแม่เปลี่ยนไปเข้าใจเรามากขึ้น ทุกอย่างเกือบจะดีเหลือแต่เรื่องเพื่อนที่ ร ร
บอกได้เลยว่าไม่มีเพื่อนคนไหนรู้ และไม่มีใครเข้าจัยว่าเราเป็นอะไร จนสุดท้ายโดนเพื่อนแบนทั้งห้องค่ะ ต้องเปิดใจคุยกัน บอกทุกคนให้รู้ แต่เราก้อเองก้อต้องขอโทษเพื่อนๆในห้องด้วยที่ทำตัวแปลก ไม่ช่วยงานกลุ่ม แยกตัว เพื่อนๆในห้องเข้าใจและให้อภัย
เราเองก้อหวังว่าโรคนี้จะดีขึ้น และก้ออยากจะบอกทุกคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคนี้อยู่ว่า ไปพบหมอเถอะคะ อย่าปล่อยให้สถานการณ์ต่างๆแย่ไปกว่านี้ คนที่ไปพบหมอไม่ใช่คนบ้า เป็นเพียงคนที่จิตใจเคยโดนทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดซ้ำไปมา จมปลักกับอดีตและไม่เปิดใจให้ใคร รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบๆตัว ที่อาจจะทำให้ใครหลายคนเป็นแบบนี้ได้
ขอให้ จขกท หายไวๆนะคะ เราต้องสู้โรคนี้ไปด้วยกันคะ ^^

0
เสี่ยวจิน 12 ต.ค. 57 เวลา 18:22 น. 57

หนูก็เคยโดนค่ะ คือหนูอ่ะไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า แต่หนู เป็นประมาณขี้ร้อง ตอนนั้นหนูเคยโดนเพื่อนว่า แล้วร้อง เป็นแบบนี้ประมาณสัปดาห์นึง แต่หนูก็สู้น่ะ ก็เลยไม่ขี้ร้องเลย

0
$oulvy_memo 12 ต.ค. 57 เวลา 18:24 น. 58
เราเคยโดนพวกที่เรียนชั้นเดียวกับเราเรียกว่า บ้า โรคจิต
ตัวเราก็ไม่มีคนคบเหมือนกัน เพื่อนบางคนคบไปก็ไม่ถึงปี ประมาณ 5-6เดือนก็เลิกๆกันไปละ เวลาเราร้องไห้ก็โดนเพื่อนในห้องเรียกว่าสำออยเหมือนกันกะจขกทเลย ฮ่ะๆๆ  แล้วก็โดนบอกว่าไปปลูกไร่สตอเบอแหลรอบห้อง คือบอกว่าเราไปร้องไห้ให้คนอื่นสงสารจะได้เข้าข้างเรา เพราะตอนนั้นเราทะเลาะกับเพื่อนคนนึงอยู่พอดี
พวกที่มันเกลียดเราก็มีเยอะ เพราะมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับตัวเราเยอะมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใครเป็นคนเริ่ม ตอนที่มีแฟนแล้วทะเลาะกันจนเลิกกัน เราก็เครียดแล้วเศร้าจนกรีดข้อมือตัวเอง หลังจากนั้นเราก็โดนคนรอบข้างบอกให้ตายๆไปซะ (เป็นคำปลอบใจที่ดีจริงๆ)
-------------
เราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้านะ //ถุย ขนาดนี้แล้วยังไม่ใช่อีก
ส่วนเรื่องกำลังใจ เราไม่มีพ่อแม่คือแม่เราหย่ากะพ่อ
พ่อเราก็มักจะงานยุ่งอยู่บ่อยๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนิทอะไรกับพวกเขาเท่าไร เลยไม่กล้าบอกไม่กล้าปรึกษา กำลังใจเราอยู่กะลูกๆของเราเอง หมายถึงกระต่ายกับชูก้านะ ฮ่าๆๆ) เวลาเราเศร้าหรือเจอเรื่องสะเทือนใจเราก็ไปกอดพวกมัน เราจะให้เวลาตัวเอง 1 เดือนในการดูหนังเศร้าๆแล้วร้องไห้ไปกับมัน หลังจากนั้นเราก็ไม่ร้องไห้ง่ายๆต่อหน้าใครเลย เย้! ไม่รู้ว่าหายมั๊ยดีขึ้นมั๊ย แต่เอาเป็นว่าปัจจุบันเราก็ลัลล๊ากับชีวิต ใครจะนินทาจะด่าจะจิกกัดอะไรเราก็ไม่แคร์ เจอเรื่องอะไรที่ทำให้เมื่อก่อนร้องไห้ เราก็เฉยๆกับมัน คนข้างๆที่ไม่เข้าใจเรา เราก็ปล่อยมัน...แต่อาจมีคิดมากนิดหน่อยเราก็ไปเล่นเกม อ่านนิยาย ทำนู่นนี่จนเราเลิกคิดมากแล้วปล่อยมันไป อย่างที่เป็น ไม่อาจจะเก็บอีกต่อปายยยย....
----------------
เหมือนบ่นไรสาระเลย 5555



0
goldfish_mild 12 ต.ค. 57 เวลา 18:29 น. 59

เราก็เคยมีเพื่อนแบบนี้นะ คล้ายๆกัน เป็นคนปรับตัวไม่เก่งแถมยังใจร้อน คิดเล็กคิดน้อย เอาแต่ใจ โกรธแล้วคือเพื่อนต้องง้อนะไม่งั้นไม่คุย เอาจริงๆเราเคยคุยกับเพื่อนในกลุ่มดู ทุกคนบอกว่า เออว่ะแม่งขาดเหตุผลชิบอารมณ์ก็เหมือนเด็กคือไม่ได้ดั่งใจก็จะทำตัวงี่เง่า ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ตั้งมอปลายแล้ว พอมานึกๆดูมันเหมือนเด็กขาดความอบอุ่นนะ พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลา เราเลยคอยโอ๋มันอยู่บ่อยๆ(เพราะเราความรู้สึกช้าด้วยมั้งเลยค่อนข้างอดทนกับสิ่งที่คนอื่นไม่ทน) สักพักเพื่อนเริ่มถอยห่างไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็แทบจะไม่คุย ไม่รู้สิเหมือนกับเราก็เริ่มโตขึ้นอยากจะให้มันโตขึ้นเหมือนกัน ทั้งรักทั้งรำคาญ เลือกไม่ถูก พออยูกันคนละห้อง ทุกอย่างก็เปลี่ยนเราเริ่มแคร์เพื่อนใหม่ มันก็ไม่พอใจชอบทำหน้าประมาณว่า'ห้ามไปกับใครนะ' ไปๆมาๆก็ไม่มีคนที่คอยอยู่ข้างๆมัน เราก็ได้แต่คอยดูอยู่ห่างๆ แบบห่วงๆ ยื่นมือเข้าไปมากก็ไม่ได้ ไม่งั้นคงไม่โตจริงซักที เพราะเราคงไม่ได้อยู่กับมันตลอดชีวิต ลองดูสักบทเรียนอาจจะโอเคก็ได้นะ

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น