Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รู้แล้วจะช็อค! ระบบแอดมิชชั่นของประเทศฟินแลนด์! (เวอร์ชั่นแฉแหลกจัดเต็ม) #dek59

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีเพื่อนๆ ชาว Dek-D ทุกท่านครับ 
  

           ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนเลยว่านี่เป็นกระทู้แรกของผม (ปกติไม่ได้เล่นบอร์ด Dek-D ครับ แต่จะเข้ามาดูบ้างในบางครั้งถ้ามีกระทู้ที่สนใจ) การสมัคร account ใหม่ขึ้นมาก็เพื่อเอาไว้ใช้ตั้งกระทู้นี้โดยเฉพาะ กระทู้ที่ทุกคนกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ มีเนื้อหาที่ผมคิดว่าวัยรุ่นไทยแทบทุกคนจะต้องสนใจอย่างแน่นอน เพราะมันเกี่ยวกับการสอบแอดมิชชั่น-ปราการด่านสำคัญในชีวิตวัยเรียนที่วัยรุ่นไทยทุกคนต้องเคยผ่าน (หรือกำลังจะผ่าน) กันมาอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต แต่วันนี้ผมไม่ได้กำลังจะพูดถึงระบบการสอบเข้ามหาลัยฯ ของประเทศไทยครับ แต่เป็นของประเทศฟินแลนด์-ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีหนึ่งในระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก พร้อมกันรึยังครับ? ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลยย 
  

กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
 

                                          
 

คำเตือน 
  

• กระทู้นี้ยาวมากครับ ควรมีเวลาว่างพอสมควรถ้าอยากอ่านให้จบในรวดเดียว

• ถึงแม้คุณจะเป็นคนธรรมะธัมโม ดำรงตนอยู่ในครรลองคลองธรรมตั้งแต่วินาทีแรกที่ออกมาจากท้องแม่ ชีวิตนี้ไม่เคยตบยุงซักตัว ฯลฯ แต่ผมรับรองว่ากระทู้นี้อาจทำให้คุณตรอมใจตายด้วยความอิจฉาได้ครับ ดังนั้นกรุณาทำใจดีๆ นะครับ (ถ้าไปนั่งสมาธิก่อนมาอ่านได้นี่จะดีมาก 55555) ให้คิดซะว่ามันเป็นความแตกต่างธรรมดาๆ ระหว่างประเทศโลกที่หนึ่งกับประเทศโลกที่สามของเราละกัน 

• เวลาผมเขียนอะไรยาวๆ แล้วจะมีแนวโน้มนอกเรื่องสูงมากครับ กรุณาอย่าถือสา คุณซะว่าอ่านเอาฮาก็แล้วกันเนอะ 

• ข้อมูลทุกอย่างที่อยู่ในบทความนี้มาจากแหล่งข้อมูลที่สามารถเชื่อถือได้ทั้งสิ้นครับ (ผมจะโพสต์แหล่งอ้างอิงที่ส่วนท้ายของกระทู้) 

 
 

Chapter 1:

แนะนำตัวกันซักเล็กน้อย
 

(ที่แนะนำตัวก็เพื่อสร้างความคุ้นเคยและบอกคร่าวๆ ว่าไปยังไงมายังไงถึงได้มาแลกเปลี่ยนที่นี่ ใครไม่อยากรู้จักผมๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ 555 ข้ามไปอ่านส่วนสำคัญได้เลย)

                  

ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เลือกเดินทางไปยังประเทศฟินแลนด์เพื่อแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม (จริงๆ คือไปแรด 555) ในนามขององค์กร YES รุ่นที่ 21/28 ครับ มีเพื่อนร่วมโครงการราวหนึ่งร้อยกว่าชีวิต เกือบทั้งหมดเลือกไปเมกาฯ มีนักเรียนเพียง . . 2 คนเท่านั้น ที่เลือกไปฟินแลนด์ครับ ประเทศอินดี้ก็แบบนี้แหละ

 
เดือนก่อนไปนี่ได้ยินตลอดอะ คำถามพวก 

 
"ไปประเทศอะไรนะ?"

"ฟินแลนด์เหรอมันอยู่ในทวีปอะไรวะอยู่แอฟริกาปะ?" (ไม่ใช่โว้ยยย)

"ไปทำไมฟินแลนด์ เขาใช้ภาษาอังกฤษกันเหรออยู่นั่นหนะ ทำไมไม่ไปเมกา?"

"ไปสวีเดนกลับมาอยู่ลืมของฝากนะ" (...)
 

 

แต่ก็นานๆ ทีก็จะมีคำถามประเทืองปัญญาผ่านเข้ามา

"ไปฟินแลนด์เพราะอะไร?" 

เพราะผู้หญิงครับ 

ผู้หญิงฟินแลนด์ผมบลอนด์ ตาฟ้า หุ่นดีเว่อร์ และที่สำคัญที่สุดคือนมใหญ่มากครับ

จบ.

 

 

 
ล้อเล่นนนนนนนน 

แหม ถ้าจะมาแค่เพราะผู้หญิงนี่ไม่ต้องถ่อมาถึงฟินแลนด์หรอกครับ อยู่ประเทศไทยเหมือนเดิมก็ได้ ผู้หญิงสวยพอๆ กัน  (ยอกันซึ่งๆ หน้าเลยเว้ย 5555555)

       เหตุผลอันดับหนึ่งที่ผมเลือกมาประเทศนี้ก็คือ "ระบบการศึกษา" ของมันนั่นเอง เพื่อนๆ คงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของมันมาบ้างว่าระบบการศึกษาฟินแลนด์เป็นหนึ่งในระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก พอมีทดสอบวัดระดับทางการศึกษาระดับโลก (อย่างเช่นการสอบ PISAทีไร ฟินแลนด์ก็ติดอันดับต้นๆ ของโลกทุกที เด็กฉลาด คุณครูเอาใจใส่นักเรียน การบ้านน้อย ชั่วโมงเรียนน้อยแต่มีคุณภาพ ใส่ชุดอะไรไปเรียนก็ได้ เด็กมีเวลาว่างเยอะ ฯลฯ คือข้อดีเยอะมากจนมันฟังดูเว่อร์อะครับ ระบบอะไรข้อบกพร่องไม่มีซักอย่างเลย นี่แกเป็นเทวดาใช่มั้ยเนี่ย! (คิดในใจ)

                                  

             




         

            
จนผมได้มีโอกาศมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนี่แหละครับ จำได้ว่าตอนกรอกใบสมัครเลือกประเทศ ผมไม่ลังเลเลยที่จะเลือกพิสูจน์สิ่งที่ตนเองสงสัยมานานว่ามันจริงหรือไม่จริง เพราะชีวิตนี้คนเรามีโอกาศเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้แค่ครั้งเดียว ถ้าผมเลือกไปประเทศ 
mainstream ที่ใครๆ เขาก็ไปกัน
 
             เช่น USAออสเตรเลีย, อิตาลี, นิวซีแลนด์, แคนาดา, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่นฯลฯ ผมก็คงจะได้ชุดประสมการณ์แบบเดิมๆ ที่คงไม่แตกต่างไปจากคนทั่วไปนัก ถ้างั้น.. ทำไมเราไม่ลองไปประเทศที่ไม่ค่อยมีใครไปดูหละจะได้เห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เคยได้เห็นได้พบเจอหรือได้สัมผัสมาก่อน-ตอนนั้นผมคิดแบบนี้แหละ

 

ผมตัดสินใจถูกครับ!

และสิ่งที่สงสัยมานานตอนนี้ก็ได้รู้แล้ว -เรื่องที่พวกเราเคยได้ยินได้ฟังกันมานั้น

ขอคอนเฟิร์มว่าจริงแทบทุกอย่างครับ

แต่ผมจะไม่ขอลงลึกถึงรายละเอียดนะครับว่ามันดีขนาดไหน เดี๋ยวจะออกทะเลไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าไหนๆ ก็รู้จักกันแล้ว งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า (เริ่มจริงๆ ละคราวนี้)


(มีต่อในช่องคอมเม้นต์นะครับ) 



แสดงความคิดเห็น

>

168 ความคิดเห็น

BadCitizen 21 มี.ค. 58 เวลา 20:56 น. 1

CHAPTER 2:

ลูกโฮสต์ 
 

         เรามารู้จักกับตัวละครตัวที่สองกันดีกว่า เธอคือลูกโฮสต์ของผมเองครับ เธอมีชื่อว่า Hilda เธอเป็นคนที่ให้ข้อมูลรายละเอียดหลายๆ อย่างเกี่ยวกับระบบแอดมิชชั่น (ต่อไปนี้ผมจะจำลองเหตุการณ์ต่างๆ โดยอาศัย Hilda เป็นตัวละครในแบบจำลองสมมตินะครับ)
 

        เรื่องมันเริ่มมาจากเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ผมทานข้าวเย็นเสร็จ ผมก็คุยกับเธอเรื่องเกี่ยวกับตอนที่เธอไปเที่ยวเอเชีย คุยไปคุยมานึกขึ้นได้ว่ามีอะไร 2-3 อย่างจะถามเธอ (หนึ่งในนั้นก็เกี่ยวกับเรื่องสอบแอดมิชชั่นนี่แหละ)
 

[บทสนทนานี้มีการดัดแปลงเยอะมากเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน]

ปลบทสนทนาคือสีน้ำเงินเข้ม ส่วนข้อความอธิบายเสริมคือสีดำ
 

ผมดีจังเลยเนอะ ลาหยุดไปเที่ยวยาวๆ ก็ได้ เป็นเด็กประเทศนี้นี่มันดีจริงๆ ยูช่วยเล่าตอนที่จะไปให้ฟังหน่อยได้มะ ทำไมทางโรงเรียนถึงให้ยูลาไปเที่ยวระหว่าง period ที่สองได้หละ ถ้าเป็นไอๆ จะไม่ไปเรียนตั้งแต่แรกเลยนะ.. 
 

เอาหละครับ ก่อนที่จะเข้าใจระบบแอดมิดชั่นทั้งหมด เราต้องมาทำความเข้าใจสิ่งพื้นฐานๆ อย่างตารางเรียนและระบบการเรียนของเด็กที่นี่กันคร่าวๆ ก่อน ผมจะเทียบกับระบบของไทยให้ทุกคนเห็นภาพกันชัดๆ นะครับ
 

ระบบไทย
 

• มีสองเทอมใหญ่ สองเทอมใหญ่ถูกแบ่งเป็นสองภาคเรียนย่อยอีกที รวมทั้งหมดในหนึ่งปีการศึกษามี ภาคเรียน ใน เทอม 
 

• พอจบภาคเรียนย่อยที่ 1 และ 3 จะมีสิ่งที่เรียกว่า "การสอบกลางภาค" เกิดขึ้น พอจบภาคเรียนย่อยที่ 2 และ 4 ก็เปลี่ยนจากกลางเป็น "การสอบปลายภาค" 
 

• ในทุกภาคเรียน นักเรียนเรียนทุกวิชาพร้อมกัน (กี่วิชาเอ่ยประมาณ 8-10 ใช่มะ?) และสอบกลางภาค-ปลายภาคทุกวิชาพร้อมกัน เสร็จภายในเวลา 3-5 วัน (ภายใน 3-5 วันนี้คือเด็กมาโรงเรียนเพื่อสอบเท่านั้น ไม่มีเรียนวันนึงอาจจะสอบ 2-4 วิชา แล้วแต่ห้อง แต่อาจจะมีบางวิชาที่สอบนอกตาราง
 

• คะแนนจากชิ้นงานและการสอบของภาคเรียนย่อยที่ 1 และ 2 (เทอมแรกรวมกันออกมาเป็นเกรดของเทอมแรก
 

ผมงั้นระบบที่นี่มันต่างจากของไทยยังไง?
 


 

Hildaมา เดี๋ยวไอจะเล่าให้ฟัง
 
ระบบฟินแลนด์  
 

• มี 5 period ย่อย ไม่มีภาคเรียน 1 2 3 4 ไม่มีเทอมหนึ่งเทอมสอง

• มีการสอบใหญ่ในช่วงปลายของแต่ละ period 

• ในแต่ละภาคเรียนนักเรียนไม่ต้องเรียนทุกวิชาพร้อมกัน โรงเรียนในเมืองใหญ่ๆ ที่เด็กเยอะ จะเปิดให้เด็กสามารถเลือกวิชาเรียนเองได้ 

• แต่ถ้าเป็นโรงเรียนของผม ซึ่งมีจำนวนนักเรียนน้อย ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็จะให้เด็กเรียนวิชาที่หมุนเวียนกันไป เช่น (สมมติ) period แรกเรียน คณิต-ศิลปะ period สองเรียน ภาษาอังกฤษ-ปรัชญา period สามเรียน ชีวะ-ภาษาสวีเดน period สี่กลับมาเรียน คณิต-ศิลปะ อีกครั้ง เป็นต้น 
 

• วิธีแบบโรงเรียนของผม ในหนึ่ง period มี 8 วิชา วิชาที่ได้เรียนทุก period คือวิชาพละ อีก 7 วิชาที่เหลือก็จะเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ และใน 7 วิชานี้มี 1-3 วิชาที่เป็นวิชาเลือก กล่าวคือ บางคนที่เรียนวิชาเลือก 2 วิชา จะได้เรียนทั้งหมด 7 วิชาใน period หนึ่งๆ ในขณะที่อีกคนไม่ได้เรียนวิชาเลือกของ period นี้เลยซักวิชาเดียว ก็เรียนแค่ 5 วิชาเท่านั้น แต่ period ถัดไปคนแรกอาจจะเรียน 6 วิชา แต่คนหลังเรียนครบ 8 เลยก็ได้ แล้วแต่ว่าคนไหนจะเลือกวิชาเลือกอะไร เพราะตารางมันหมุนเวียนไปเรื่อยๆ
 

 เราจะไม่ได้เห็นเด็กฟินแลนด์นั่งสอบปลายภาคทุกวิชาภายในเวลา 3 วันรวดแบบเด็กไทย เพราะอาจารย์ที่นี่ไม่ต้องสอนวิชาของตนเองให้เสร็จพร้อมอาจารย์คนอื่น อีกทั้งยังสามารถกำหนดวันสอบใหญ่ของวิชาตนเองได้อย่างอิสระ (บางวิชาสอบใหญ่ก่อนแล้วเรียนต่อไปอีกสองสามคาบก่อนจะปิดคอร์สก็มีจะทับกับวันสอบของอาจารย์คนอื่นก็ได้ ไม่มีปัญหา (ที่จะมีปัญหาอะคือเด็ก เพราะต้องสอบซ้อนสองวิชาในวันเดียว 555) ขอแค่ให้อยู่ทันในเวลาของแต่ละ period ก็พอ
 

• period 1 กับ period 2 ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง เสร็จแล้วเสร็จเลย แบบ.. คะแนนงาน+สอบของวิชาภาษาอังกฤษ 001 ที่ได้เรียนใน period 1 ไม่มีความเกี่ยวข้องใดใดกับคะแนนวิชาภาษาอังกฤษ 002 ใน period 4 ไม่ต้องเอาคะแนนอังกฤษของทุกภาคเรียนมารวมกันแล้วตัดเฉลี่ยเป็นเกรด ไม่ต้องเอาเกรดเฉลี่ยของทุกวิชามารวมกันแล้วตัดเป็นเกรดประจำเทอม ไม่มีการเอาคะแนนสอบกลางภาคมาบวกกับปลายภาคแล้วตัดเกรดประจำเทอมแบบที่ไทย พูดภาษาชาวบ้าน ที่นี่เรียนแบบเป็นคอร์สอะ จบ.

0
BadCitizen 21 มี.ค. 58 เวลา 21:00 น. 2

Hildaเป็นไง ดีใช่มั้ยหละ

ผม: ก็คงงั้น ตอนไปเที่ยวนี่คงสนุกมากสินะ 

Hildaอย่าให้ไอเล่าๆ 55555

ผม: ที่ไทยทำงี้ไม่ได้นะเนี่ย ลาไปเที่ยวตั้งครึ่งปี
 

[นอกเรื่อง] ขอแวะข้างทางแปปนะครัช อยากทำให้คนแถวนี้อิจฉาเล่น 555 (ใครใจไม่ถึงอย่าอ่านเด็ดขาด เราเตือนคุณแล้ว) เมื่อปีที่แล้วนางกับพี่สาวอีกสองคนของนาง ไปตะลุยดินแดนเอเชียตะวันออกมาครับ โดยเริ่มจาก 

1. นั่งรถไฟจากเมือง Helsinki (เมืองหลวงของฟินแลนด์) ไป Moscow (รัสเซีย)

2. นั่งรถไฟสายทรานซ์ไซบีเรียจาก Moscow ไปที่ Ulan Bator (อูลานบาตอร์-เมืองหลวงของมองโกเลีย)
 

สองข้อแรกนี่ยังกะในหนังสารคดีเรื่อง Wish Us Luck ของคุณแวววรรณ-วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์เลย หนังเกี่ยวสองแฝดสาวที่เดินทางกลับบ้านจากอังกฤษมาไทยโดยใช้รถไฟล้วนๆ อะ รู้จักกันมั้ยครับ? ถ้าไม่รู้จักไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องใส่ใจ 555
 

3. นั่งเครื่องบินจากมองโกเลียไปเที่ยวฟินลิปปินส์

4. เที่ยวจนหนำใจเสร็จก็ไปต่อที่ไต้หวัน 

5. นั่งเครื่องจากไต้หวันมาหาเป้อารักษ์ (เก็ตมั้ยมุขนี้? 55555) 

6. ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าพวกนางจะแว๊บๆ ไปเกาะบาหลีที่อินโดฯ ด้วย 

7. จบทริปด้วยเกาะเต่าอันโด่งดังของไทย แล้วนั่งเครื่องจากกรุงเทพกลับเมือง Helsinki 
 

รวมระยะเวลาทั้งสิ้นครึ่งปี..


 

กะเหรี่ยงโลกที่สามแบบเราๆ ก็คงจะได้แต่มองตาปริบๆ เท่านั้นแหละครับ 

ฝรั่งเวลาเค้าไปเที่ยวกันทีนึงนี่ก็จัดหนักจัดเต็มกันแบบนี้แหละ
 

ที่น่าชื่นชมคือพวกนางสามพี่น้องไปเที่ยวด้วยเงินเก็บจากการทำงานพิเศษช่วงหน้าร้อนของตนเอง! มีพ่อแม่ช่วยสปอนเซอร์นิดๆ หน่อยๆ ค่าตั๋วรถไฟเท่านั้น!

นี่คือหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่บ่งชี้ว่าเด็กบ้านเค้ามีคุณภาพมากกว่าบ้านเรา ผมอยากเห็นเด็กบ้านเราเป็นแบบนี้กันเยอะๆ ครับ วัฒนธรรมอันไหนดีๆ ก็ควรจะรับมาปรับใช้
 

กลับเข้าเรื่องของเรากันต่อครับ ฮ่าๆ
 

ผม: งั้นยูก็เรียนไม่จบพร้อมเพื่อนแบบไอเลยสินะ 

Hildaใช่ มันหน้าเศร้าเนอะยูว่ามั้ย
 

ผม: เออยู ไอสงสัยมานานแล้วว่าระบบแอดมิชชั่นของฟินแลนด์นี่มันเป็นยังไงเหรอ อธิบายให้ไอฟังหน่อยสิ ไอจะได้เอามาเทียบกับระบบของไทยได้ว่ามันต่างกันขนาดไหน (คนอ่าน: Yessssss, หลังจากอ่านมาเป็น 10 นาที ในที่สุดมันก็เริ่มพูดเรื่องระบบแอดมิดชั่นแล้วเว้ยยย)
 

Hilda: มา เดี๋ยวไอจะเล่าให้ฟัง
 
 

Chapter 3:

ระบบแอดมิชชั่นฟินแลนด์ In a (big) nutshell

         

         เริ่มแรก เรามาทำความรู้จัก "นิยาม" ของมันก่อนดีกว่าครับ ระบบการสอบ Admission ของฟินแลนด์ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า The Finnish Matriculation Examination คำว่า Matriculation แปลว่า "การสอบเข้าเป็นนักศึกษา" Examination คือการสอบ ส่วน Finnish ก็ฟินนิชอะครับ รวมทั้งหมดทั้งมวลแปลเป็นไทยว่า การสอบรับเข้าเป็นนักศึกษาของฟินแลนด์ แต่เนื่องจากว่าชื่อมันย๊าวยาว ฉะนั้นเรียกแอดมิชชั่นแบบเดิมนั่นแหละครับ คนที่ออกข้อสอบนี้คือองค์กรกลางที่มีชื่อว่า YLIOPPILASTUTKINTOLAUTAKUNTA... 
 

คนอ่าน: ชื่อองค์กรอะไรวะเนี่ย?! อ่านไม่ออกโว้ยย 

เอ่อ.. ภาษาฟินนิชก็อ่านยากแบบนี้แหละคุณ อย่าได้ใส่ใจ รู้แค่ว่ามันเป็นองค์กรกลางที่มีหน้าที่ออกข้อสอบก็พอ อารมณ์ประมาณ สทศ. ของไทยนั่นแหละ ต่อไปนี้ผมจะเรียกองค์กรนี้ว่า สทศ. ฟินแลนด์นะครับ (ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะเปรียบเทียบ หรือ discredit สทศ. นะครับ ที่ใช้คำว่า "สทศ. ฟินแลนด์ก็เพียงเพื่อเปรียบเทียบให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าองค์กร YLI มีลักษณะเหมือนกับ สทศ. เท่านั้นเอง)
 

การสอบนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อทดสอบคุณภาพของนักเรียน ม.6 ที่กำลังจะจบการศึกษาระดับ 2 และจะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยครับ เพื่อเช็คว่าที่เรียนมาทั้งหมด 3 ปีเนี่ยได้อะไรไปมั่ง ความสามารถได้มาตรฐานหรือยัง (การศึกษาระดับ 2 คือ ม.4-ม.6 / ที่นี่การศึกษาขั้นพื้นฐานเหมือนไทยครับ คือ 9 ปี ป.1-ม.3 ถ้าจบ ม.3 แล้วจะไม่เรียนต่อก็ได้) การสอบแอดมิชชั่นนี้เป็น "การสอบครั้งสุดท้าย" (final exam) ด้วย มันถูกจัดขึ้น 2 ครั้งต่อปี คือในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มีผู้เข้าสอบมีละประมาณ 35,000 คน แต่มีเพียง 6เท่านั้นที่สอบไม่ผ่าน(เดี๋ยวผมจะขยายความเรื่องเวลาสอบและการสอบผ่าน-ไม่ผ่านอีกทีด้านล่างนะครับ) พูดง่ายๆ มันก็คือการสอบเรียนจบนั่นแหละครับ แต่มันแตกต่างจากของไทยอย่างสิ้นเชิงตรงที่..... (ตามให้ทันนะอย่าพึ่งงง)


 

1. มันคือการสอบที่เป็นเอกเทศจากทุกอย่าง

 
 

จำที่ผมเล่าให้ฟังได้มั้ยครับ เรื่อง period อะ ที่ในหนึ่งปีการศึกษามี 5 period แต่ละอันเป็นเอกเทศจากกัน ไม่มีการเอาคะแนนของ period 1 2 3 มาเฉลี่ยรวม แล้วตัดเป็นเกรดแบบไทย มีแต่เกรดเฉพาะของแต่ละ period จบแล้วจบเลย การสอบครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันครับ มันไม่ได้ยึดโยงกับอะไรเลย กล่าวคือ เกรดที่เคยทำไว้ตอน ม.4 หรือ ม.5 ไม่มีผลใดใดทั้งสิ้น ถ้าคุณอยากจบ ม.6 สิ่งที่คุณต้องทำก็มีแค่ทำข้อสอบไฟนอลนี้ให้ผ่านเท่านั้นเอง ข้อแม้มีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องเรียนให้ครบทุกคอร์ส (ต้องมีเวลาเรียนเต็มจำนวน) และคะแนนของทุกคอร์ต้องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ ถึงจะมีสิทธิ์สอบ (เพื่อนผมบอกว่าไม่ผ่านบางคอร์สก็ไม่เป็นไร เขาอนุโลมให้ 2-3 คอร์สจากทั้งหมดเท่าไหร่ไม่รู้-รู้แต่ว่าน่าจะเยอะกว่าสิบมั้ง) ซึ่งเด็ก(ผู้ชาย)ส่วนใหญ่ที่นี่ก็จะถือคติ "พอผ่านๆนี่แหละ เขาก็เลยดูไม่ซีเรียสกับเรื่องเรียนมาก รักษาคะแนนให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ก็พอแล้ว
 

กลับกันถ้าเป็นที่ไทย คะแนนผ่านเกณฑ์บ้านเราคือเกรด 1 ใช่มั้ยครับ? ถามว่ามีนักเรียนคนไหนเรียนชิลด์ๆ พอผ่านๆ มักน้อยขอแค่เกรด 1 พอ มีมั้ย? ไม่มี๊~ ทุกคนมุ่งหน้าสู่เลข 4 กันอย่างเดียว ก็เพราะระบบมันบังคับเราตั้งแต่ต้นแล้วไงครับว่ายิ่งสะสม 4 ได้เยอะเท่าไหร่ยิ่งดี มีเกรด 4 เยอะสามารถเอาไปถัวเฉลี่ยกับเกรดวิชาอื่นที่อาจจะไม่ดีนักให้เกรดเฉลี่ยรวมทุกวิชาดูดีขึ้นมาได้
 

Meanwhile in Finland, เด็กที่นี่สนใจทำเกรดแค่เฉพาะวิชาที่ตัวเองถนัดให้ออกมาดีเท่านั้น เพราะไม่มีการเอาเกรดของทุกวิชามาเฉลี่ยรวมกันเป็นค่า GPAX สำหรับยื่นประกอบใบสมัครเข้ามหาวิทยาลัยดังเช่นที่ไทยครับ มีบางโรงเรียนเท่านั้นที่อาจจะเอาบุญเก่า (เกรด) ที่เคยทำไว้ตั้งแต่ตอน ม.4 ม.5 มาเฉลี่ยรวมกับผลสอบแอดมิชชั่นก่อนตัดเป็นคะแนน แต่ก็เป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากๆ ครับ เรียกได้ว่าเกรดเก่าแทบจะไม่มีผลอะไรเลยต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย


0
BadCitizen 21 มี.ค. 58 เวลา 21:06 น. 3

2. Matriculation examination เป็นได้ทั้งการสอบจบ ม.6 และการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
 

พอสอบเสร็จ แล้วอยากเรียนต่อมหาลัย ก็เอาคะแนนสอบนี้ไปยื่นให้ทางมหาลัยครับ ถ้าเป็นมหาลัยทั่วๆ ไป ก็จะจัดให้มีการสอบอีกรอบหนึ่งซึ่งคราวนี้มหาลัยเป็นคนออกข้อสอบเองครับ จุดประสงค์เพื่อคัดกรองนักศึกษาก่อนที่จะรับเข้าไปเรียนในมหาลัย สุดท้าย ก็เอาคะแนนสอบเก่ามา + คะแนนสอบมหาลัย ได้เป็นคะแนนสุดท้ายที่ใช้ตัดสินว่าใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะได้เรียนหรือไม่ได้เรียน แต่ครับแต่ กฎทุกอย่างมักมีข้อยกเว้นเสมอ มหาวิทยาลัยบางแห่งไม่มีการสอบคัดกรองคนอีกรอบครับ นั่นแปลว่า แค่สอบแอดมิดชั่นรอบเดียวได้คะแนนมาเสร็จก็เอายื่นให้ทางมหาวิทยาลัยพิจารณาได้เลย! ไม่ต้องสอบหลายครั้งให้วุ่นวายปวดหัวแบบที่ไทย 
 


 

3. ทำคะแนนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
 

อันนี้จะคล้ายๆ กับการขยันทำเกรดตั้งแต่ ม.4-.5 ให้ดีๆ เข้าไว้ของคนไทยครับ ต่างกันตรงที่เด็กฟินแลนด์ไม่ต้องตรากตรำขนาดนั้น พวกเขาแค่ทำคะแนนข้อสอบ admission ให้ดีก็พอ เพราะถึงคราวต้องทำข้อสอบของมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปกังวลเรื่องที่ต้องแข่งขันกับอื่นเลย จะกังวลไปทำไมในเมื่อคะแนนเก่าของตัวเองมันดีอยู่แล้ว? ทำข้อสอบไปด้วยนั่งเล่น HoN ไปด้วยยังได้เลย (อันนี้ล้อเล่นนะ 555) กลับกัน คนที่ทำได้ไม่ดีมากในการสอบแอดมิดชั่น ก็ต้องจริงจังขึ้นอีกหน่อยกับการสอบของมหาวิทยาลัย
  

4. ข้อยกเว้นอีกแล้ว
 

บางมหาวิทยาลัยไม่ต้องใช้คะแนนแอดมิดชั่นในการยื่นใบสมัครครับ ..เอ้า เฮ้ย! มันจะเป็นไปได้ไงวะ! ..เป็นไปได้ครับ สำหรับเด็กที่เรียนสายอาชีพ.. เออใช่! ผมลืมเล่าอะไรไปอย่างนึง หลังจากเด็กฟินแลนด์เรียนจบ ม.3 (การศึกษาขั้นพื้นฐาน) มีอยู่สามอย่างที่พวกเขาทำได้ครับ คือ
 

1. เรียนต่อ ม.4 โรงเรียนมัธยปลายทั่วไป 

 

2. เรียนต่อ ม.4 โรงเรียนสายอาชีพ (vocational school) 

ก็เหมือนเรียนอาชีวะบ้านเรานั่นแหละครับ

 
3. บ้านรวยมาก ไม่จำเป็นต้องเรียนต่อก็มีกินมีใช้ เลยนอนตีพุงเล่นอยู่บ้าน (ล้อเล่นครับ 555-ความจริงคือกลุ่มไม่เรียนต่อแต่ออกมาทำงาน
 

ตัดกลุ่มที่สามออกไปครับ เหลือสองกลุ่มที่ผมจะพูดถึงคือ 1 และ 2

นี่คือเส้นทางจาก ม.ปลายสู่มหาลัยที่เป็นไปได้ของเด็กทั้งสองกลุ่มครับ
 

กลุ่มที่หนึ่งเรียนต่อ ม.4 โรงเรียนมัธยปลายทั่วไป (กรณีปกติ)
 

HS ——————>  AD  ——————>  U

 
กลุ่มนี้ทำข้อสอบแอดมิชชั่น ทำข้อสอบที่ทางมหาลัยออกเอง เอาคะแนนของทั้งสองมาบวกกัน
 

กลุ่มที่สอง: เรียนต่อ ม.4 โรงเรียนสายอาชีพ
 

VS ———————————————>  U

 
กลุ่มที่เรียนสายอาชีพไม่ต้องสอบแอดมิชชั่นแบบเด็กกลุ่มที่หนึ่งครับ เรียนจบจากโรงเรียนอาชีวะแล้วไปสอบข้อสอบที่มหาวิทยาลัยออกเองได้เลย

 

เพื่อนๆ เห็นความแตกต่างใช่มั้ยครับ กลุ่มแรกต้องผ่านด่านแอดมิชชั่นก่อน ส่วยกลุ่มที่สองไม่ต้อง อย่างไรก็ตาม มันมีกรณีพิเศษที่ 3 ด้วยครับ นั่นคือ
 

กลุ่มที่สาม: เรียนต่อ ม.4 โรงเรียนมัธยปลายทั่วไป (กรณีไม่ปกติ)
 

HS ———————————————>  U

                                                 
มันมีบางคณะในบางมหาวิทยาลัยครับที่ไม่ต้องการคะแนนแอดมิดชั่นครับ!
 

ทำแค่ข้อสอบของมหาวิทยาลัยอย่างเดียวจบ (แต่คนที่จะมีสิทธิ์สอบต้องจบ ม.6 ก่อนนะ คือยังไงเด็กที่เรียนต่อโรงเรียน ม.ปลายธรรมดานี่ก็ต้องสอบเรียนจบการศึกษากันทุกคนแหละ) อนึ่ง ผมไม่สามารถขยายความกรณีนี้ได้มากนัก เพราะตอนที่ถาม Hilda นางบอกว่ากรณีนี้ค่อนข้างซับซ้อนทีจะอธิบาย เพราะมันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ม. หรืออะไรซักอย่างนี่แหละครับ ผมจำไม่ได้ เอาเป็นว่ามันมีกลุ่มนี้อยู่ก็แล้วกัน..

0
BadCitizen 21 มี.ค. 58 เวลา 21:20 น. 4

5. เวลา สนามสอบ และสุดยอดตารางสอบ
 
ภาพเหล่านี้คงจะคุ้นตาใครหลายๆ คนใช่มั้ยฮะ?
 


 

เครดิตภาพ: http://bit.ly/1ByVs2E

พวกเราเห็นภาพพวกนี้กันอยู่บ่อยๆ 
 


 
เครดิตภาพ: http://bit.ly/1BVMr8F

บางคนก็เคยไปนั่งตรงนั้นมาแล้ว 
 

เครดิตภาพ: http://bit.ly/1B139yC

เรามาดูเวอร์ชั่นฟินแลนด์กันมั่งดีกว่า

ก็คล้ายๆ ของไทยนะครับ แต่โต๊ะเก้าอี้ดีกว่า ไม่นั่งอัดกันด้วย


ใส่เสื้อผ้า(สุภาพ)อะไรก็ได้มาสอบ

ถ้าเป็นโรงเรียนใหญ่ๆ เด็กเยอะ ก็จะจัดให้มีการสอบในโรงยิม



 
 

แต่ถ้าเป็นโรงเรียนเล็กๆ ชนบทๆ แบบโรงเรียนผม

ก็ใช้ห้องเรียนซักห้องในโรงเรียนนั่นแหละเป็นสนามสอบ

การสอบจะถูกจัดขึ้นสองครั้งต่อปีครับ คือในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (กุมภาพันธ์-มีนาคม) และในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปจนถึงกันยายน)

เรามาดูตารางสอบกันมั่งดีกว่า
 


 

นี่เป็นแค่ภาพส่วนหนึ่งที่ crop มาจากเว็บ สทศ. ฟินแลนด์ครับ ใครอยากดูแบบเต็มๆ สามารถดูได้ที่นี่ http://bit.ly/1ExxoSo

เอ๊ะ…


ทำไมมันสอบหลายวันจังเลยวะ!?

แล้วทำไมสอบวันเว้นสองวัน!?

ทำไมไม่สอบรวดเดียวเสร็จไปเลยหละ?

นี่คือปฎิทินของไทย (เครดิต: http://bit.ly/195eEOI)

แบบเต็มๆ มีกำหนดการมากมายเหลือเกิน


เด็กไทยมีสารพัดด่านที่ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ครับ ก็อย่างที่เห็นในภาพ

ถึงแม้จะมีการสอบคนละเดือนกัน แต่ทุกการสอบล้วนเสร็จภายใน 2-4 วันกันทั้งนั้น เลย เรามาเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันชัดๆ ดีกว่า 
 

ระบบแอดมิชชั่นฟินแลนด์:
 

- มีการสอบอยู่อันเดียวเท่านั้นคือ Matriculation examination
- การสอบจะถูกจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม
- สอบแบบวันเว้น 2-3 วัน (เผื่อเวลาให้เด็กพักผ่อนและอ่านหนังสือ)
- ในตารางจะเห็นว่าบางวันมีวิชาที่ต้องสอบมากถึง 5 วิชา บางวันมีแค่สองวิชาเท่านั้น ..จริงๆ แล้วนักเรียนทุกคนไม่ต้องทำข้อสอบของทุกวิชาหรอกครับ เดี๋ยวผมจะขยายความในภายหลังว่าระบบนี้มันโคตรจะ amazing ยังไง อดใจรอกันอีกซักนิดนึงนะครับ อิอิ
- รวมระยะของวันสอบทั้งหมด = 13 วัน (ในภาพตัวอย่างมีแค่ 8 จริงๆ มี 13)
- มีการสอบสองครั้งต่อปีใช่มั้ยครับ? ฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูใบไม้ผลิ
 

ดังนั้นก็คูณสองเข้าไปซะ รวมทั้งหมดทั้งสิ้นประมาณ 26 วัน
 


 

แอดมิชชั่นไทยแลนด์
 

- GAT/PAT 1, 7 วิชาสามัญ, ONET, GAT/PAT 2
- การสอบถูกจัดขึ้นตั้งแต่เดือน พฤศจิกายนไปจนถึงมีนาคม
- การสอบแต่ละครั้งสอบรวดเดียวเสร็จทุกครั้ง ไม่เว้นวัน
- รวมระยะเวลาสอบทั้งหมด = 12 วัน

 


 
Hildaเป็นไง อึ้งหละดิ เห็นความแตกต่างกันแล้วใช่มะ? ก่อนที่จะขึ้นเรื่องใหม่ ไอขอคลายข้อสงสัยของบางก่อนก็แล้วกันนะ ไอเชื่อว่าต้องมีหลายคนแน่ๆ ที่สงสัยว่า "เฮ้ยมันจะมีการสอบสองครั้งต่อปีไปทำไมวะยู?" คืองี้ค่ะคืองี้ ถ้าไอบอกแล้วพวกยูอย่าช็อคกันนะ..  
 

ผมเดี๋ยวๆๆ ยูหายไปไหนมา ทำไมพึ่งโผล่มา

Hildaไม่ได้หายไปไหนซักหน่อย ก็เล่าเรื่องอยู่ตลอด

ผม: ใครกันแน่วะที่เล่า..

Hildaเออ เอาน่า มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ 555

Hildaโอเค ต่อๆ ถ้าไอบอกแล้วพวกยูอย่าช็อคกันนะ
(มีเรื่องให้ช็อครออยู่อีกเพียบข้างล่างนี่)

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

BadCitizen 21 มี.ค. 58 เวลา 21:59 น. 7

"ผู้เข้าสอบทุกคนต้องสอบทุกวิชาให้เสร็จ ภายในเวลาไม่เกิน 3 ฤดูกาลสอบ แต่ถ้าใครรีบ ใจร้อน อยากสอบทุกวิชาให้เสร็จภายในฤดูกาลเดียวก็ไม่มีใครว่า"

 

ข้อความนี้หมายความว่าไง?

หมายความว่า

 

      สมมติไอเริ่มเข้าสอบในฤดูใบไม้ผลิปี 2015 แล้วไอเกิดสอบตกในวิชาใดวิชาหนึ่ง ไอมีสิทธิ์สอบแก้ตัวภายในระยะเวลาไม่เกินสองฤดูการสอบที่เหลือ (ใบไม้ร่วง 2015, ใบไม้ผลิ 2016) ค่ะ

 

ผม: ห๊ะ!!?

 

อะไรนะ?

สอบแก้ตัวได้ด้วยเหรออออออออออ!?

 

 


  

Hildaใช่แล้ว มีสอบแก้ตัวด้วย..

คนอ่าน: อืม มีก็มี (พูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ) แล้วเด็กฟินแลนด์เขาทำอะไรกันมั่งหละระหว่างที่รอสอบแก้ตัวอีกครั้ง? ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมันห่างกันนานอยู่นะ (ฤดูใบไม้ผลิเดือนมีนา ฤดูใบไม้ร่วงกันยายน ระยะเวลาห่างกัน 6 เดือน)

 

Hildaออกไปหางานทำฆ่าเวลา เก็บตังค์ไปเที่ยวต่างประเทศ ระหว่างนั้นก็อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนไปด้วย อะไรประมาณนั้นแหละ ที่นี่หางานพิเศษทำได้ไม่ยากมาก คนในสังคมฟินแลนด์ถือคติว่าอาชีพทุกอาชีพมีคุณค่าเท่ากัน ไม่มีงานใดแย่กว่างานใด ที่แย่คือไม่มีงานทำ (ไทยน่าเอาเยี่ยงอย่างมาก)

 

คนอ่าน: อ๋อ.. เก็ตแล้วยู เล่าต่อได้

0
BadCitizen 21 มี.ค. 58 เวลา 22:05 น. 8

Chapter 4:

วิชามหาสนุก 

 

ก่อนจะเจาะลึกถึงวิชาแต่ละวิชาที่เด็กฟินแลนด์ต้องสอบ ผมอยากให้ทุกคนอ่านการ์ตูน meme ขำๆ คลายเครียดข้างล่างนี่ก่อนครับ

 

...

เป็นไงครับ หายเครียดรึยัง? 555555555

(คนอ่าน: โอ้ยยยยย เครียดหนักกว่าเดิมอีกโว้ยยยย

ต่อนะครับ

วิชาที่เด็กฟินแลนด์ต้องสอบให้ผ่านมีทั้งหมด 4 วิชาด้วยกัน

 
4 วิชาที่ว่าคือ
 

1. Mother tongue (ภาษาแม่)

 

วิชานี้เป็นวิชาบังคับ เด็กทุกคนต้องสอบเหมือนกันหมด แต่เนื่องจากว่าฟินแลนด์เป็น Bilangual country (ประเทศที่คนพูดสองภาษา) ประชากรราว 94% พูดภาษา Finnish เป็นภาษาแม่ ส่วนอีก 5% ที่เหลือพูดภาษา Swedish เป็นภาษาแม่ ส่วนอีก 1% ที่เหลือคือชาว Saami ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของฟินแลนด์ เขาก็มีภาษาถิ่นของเขาเหมือนกัน (อารมณ์ประมาณชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยนั่นแหละครับ) เมื่อคนทั้งประเทศไม่ได้พูดภาษาเดียวกันหมด ดังนั้น องค์กร สทศ. ฟินแลนด์จึงได้ออกข้อสอบภาษาแม่มา 3 ชุด ชุดละภาษา สำหรับคนสามกลุ่มครับ

ข้อสอบภาษาแม่ Finnish กับ Swedish ประกอบไปด้วย 2 part คือ 1. Textual skill (ทดสอบความสามารถด้านการวิเคราะห์และการบรรยายความคิด) 2. Essay ,ส่วนภาษา Saami มีแค่เขียน essay เท่านั้น

 

2. ภาษาที่สอง (second domestic language) หรือ ภาษาต่างประเทศ (foreign language)

 

เด็กฟินแลนด์สามารถเลือกได้ครับว่าจะสอบภาษาอะไรระหว่างภาษาที่สอง หรือภาษาต่างประเทศ ภาษาที่สองของเด็กประเทศนี้คือ ภาษาฟินแลนด์และภาษาสวีเดนครับ (เด็กที่พูดภาษาฟินแลนด์เป็นภาษาแม่มีภาษาที่สองเป็นภาษาสวีเดน ส่วนเด็กที่พูดสวีเดนเป็นภาษาแม่ก็มักจะมีภาษาฟินแลนด์เป็นภาษาที่สอง)
 

สำหรับภาษาต่างประเทศนั้น เด็กส่วนใหญ่นิยมเลือก ภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมัน อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีภาษาอื่นๆ อยูอีก ไม่ว่าจะเป็น ภาษารัสเซีย, อิตาลี, สเปน, โปรตุเกส, ละติน, Inari Sámi และ Northern Sámi ครับ (สองภาษาหลังเป็นภาษาของชาว Saami-คนกลุ่มน้อยอะ)
 

จากทั้งหมด 12 ภาษาที่กล่าวมาข้างต้น เด็กฟินแลนด์ต้องเลือกภาษาที่ตัวเองคิดว่าถนัดที่สุดมา 1 ภาษา แล้วก็สอบภาษาที่เลือกมาครับ แวรี่ซิมเปิ้ล.

แต่สิ่งที่ต้องสอบไม่ซิมเปิ้ลเลย เพราะมีทั้ง Listening, Reading comprehension, Grammar และเขียน Essay ครับ ข้อสอบฟัง อ่าน เขียนมาเต็ม (ถ้าในอนาคตจะมีสอบพูดเพิ่มเข้ามาด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก)

0
Darinn Fai 21 มี.ค. 58 เวลา 22:08 น. 9

อห. ยอมรับค่ะว่าอ่านไม่จบ 5555 #ปักไว้ก่อนนะ แต่จะบอกว่าเป็นกระทู้ที่ดีนะ ใส่รายละเอียดเยอะแต่ไม่น่าเบื่อ น่าสนใจค่ะ

0
BadCitizen 21 มี.ค. 58 เวลา 22:19 น. 10
3. MATH (Mental Abuse to Humanity AKA คณิตศาสตร์)

 

ก็ไม่มีอะไรมากครับสำหรับคณิตศาสตร์ มีโจทย์ 15 ข้อ (ผมไม่รู้นะว่าใน 15 ข้อนี้มีข้อย่อยอะไรมั้ย) มาให้เด็กเลือกทำข้อไหนก็ได้ 10 จากใน 15 ข้อนั้น สำหรับโจทย์บางข้อ ผู้คุมสอบอาจอนุญาตให้เด็กใช้เครื่องคิดเลขหรือตารางสูตร (เช่นตารางค่า Sine, Cos, Tan ในเรื่องตรีโกณมิติ) ช่วยในการคำนวนได้ 

 

  

ก่อนจะไปข้อ 4 เรามารู้จักกฎพีคๆ เกี่ยวกับการเลือกสอบวิชาภาษาและคณิตศาสตร์กันเถอะ คือนอกจากจะเลือกภาษาที่สอบได้แล้ว

 
ยังเลือกระดับความยากง่ายของข้อสอบได้ด้วย
!!
 

วิชาภาษาต่างประเทศกับวิชาคณิตศาสตร์ถูกแบ่งความยากง่ายของข้อสอบเป็นสองแบบครับ
 

  1. แบบ Advance
  2. แบบ Basic
 

ส่วนวิชาภาษาที่สองถูกแบ่งความยากง่ายเป็นสองแบบเช่นกันคือ
 

  1. แบบ Advance
  2. แบบ Intermediate (ปานกลาง)
 

วิธีการเลือกระดับความยากง่ายก็สุดแสนจะเบสิคครับ
 

"ต้องมีวิชาใดวิชานึงเป็นแบบ Advance"
 

ยกตัวอย่าง Hilda ของเราอ่อนคณิตศาสตร์มากถึงมากที่สุด แต่นางสามารถใช้ภาษาสวีเดนได้อย่างคล่องปรื๋อ นางจึงเลือกสอบ
 

คณิตศาสตร์ Basic และ ภาษาสวีเดน Advance
 

กลับกันถ้าใครเก่งคณิตศาสตร์ก็จะ Advance math แต่เลือก Basic หรือ Intemediate language แทน 
 

ง่ายๆ แค่นี้แหละครับ

0
BadCitizen 21 มี.ค. 58 เวลา 22:58 น. 11
4. วิชาอื่นๆ
  

มี 13 วิชาดังนี้ฮะ 

1. Evangelical Lutheran religion (วิชาศาสนาคริสต์นิกายลูเธอร์, นิกายที่มีผู้คนนับถือเป็นจำนวนมากในแถบประเทศสแกนดิเนเวีย)
2. Orthodox religion (วิชาศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์, นิกายที่มีผู้นิยมนับถือในประเทศแถบยุโรปตะวันออกเช่น รัสเซีย)
3. จริยศาสตร์ (ethics)
4. ปรัชญา
5. จิตวิทยา
6. ประวัติศาสตร์
7. สังคมศึกษา
8. ฟิสิกส์
9. เคมี
 
10. ชีวะวิทยา
 
11. ภูมิศาสตร์
 
12. สุขศึกษา 
 
จะมีวิชาที่เด็กไทยไม่คุ้นให้เห็นอยู่ 3 วิชา คือ จริยศาสตร์ปรัชญา และจิตวิทยา วิชาเหล่านี้หลบซ่อนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย มากกว่าจะออกมาเดินเพ่นพ่านตามโรงเรียนมัธยม ผมไม่เคยเห็นวิชาเหล่านี้ในตารางเรียนของเด็ก ม.ปลาย เลยนะ (หรือว่าจริงๆ แล้วมีสอนอยู่? ถ้าวิชานี้มีในตารางเรียนของใครช่วยบอกผมหน่อยนะ อยากรู้เฉยๆ) จะมีใกล้เคียงกับของไทยหน่อยก็จริยศาสตร์ แต่จริยศาสตร์บ้านเรามักเป็นส่วนหนึ่งของวิชาพระพุทธศาสนา ของที่นี่ดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาไหนเป็นพิเศษ
 
ข้อดีของการสอบใน Category นี้ก็คือ จะเลือกสอบกี่วิชาก็ได้ครับ ไม่มีจำกัดจำนวน ใครมั่นใจว่าตัวเองเก่งประวัติศาสตร์สุดๆ (สมมติ) ก็ทำแต่ข้อสอบประวัติศาสตร์วิชาเดียวไปเลย แต่ถ้าใครยังลังเล ไม่มั่นใจฝีมือของตัวเอง หรือยังไม่ชัวร์ว่าจะต่อคณะไหนในมหาลัยดี (คณะแต่ละคณะต้องการเกรดจากการสอบในวิชาที่ต่างกัน) ก็สามารถทำเผื่อไว้ซัก 2-4 วิชาได้ ค่อยมาเลือกทีหลังว่าตัวเองจะยื่นเกรดวิชาอะไรไปยื่นกับคณะดี เป็นต้น
 
แต่เพื่อไม่ให้อะไรมันง่ายเกินไปนัก สทศ. ฟินแลนด์จึงจัดให้วิชาที่มีความใกล้เคียงกันอย่าง เคมีกับฟิสิกส์, ประวัติศาสตร์กับสังคมศึกษา ฯลฯ มีตารางสอบชนกัน และอนุญาตให้เด็กเลือกได้เพียงวิชาเดียวว่าจะสอบอะไร (เทียบกับอุปสรรคในระบบแอดมิชชั่นของไทยแล้ว นี่เป็นเรื่องขี้ประติ๋วมากเลย 555)
 

พอคุยกันถึงตรงนี้ จู่ๆ Hilda ก็พูดแทงใจดำขึ้นมาซะงั้น

Hilda: ไอว่ามีแต่ crazy people เท่านั้นแหละที่สอบ 3-4 วิชาในฤดูกาลสอบเดียว แค่ 2 วิชาก็จะตายแล้วยูเอ้ยยย การดันทุรังอ่านหนังสือสอบเยอะๆ เป็นอะไรที่ค่อนข้างสูญเปล่าในความคิดของไอนะ เพราะหนึ่งยูพยายามอ่านหนังสือเตรียมสอบหลายวิชาในเวลาเดียวกัน ไม่มีอะไรมารับประกันว่ายูจะจำได้ทั้งหมด และจำได้แบบไม่ลืม และสองคือสมองต้องการสมาธิในการจดจ่ออยู่กับอะไรเป็นอย่างๆ ไป multitasking is no good, ยูโนว์?
 
ผมตอบเธอกลับไปว่า
 
ผม: ยูรู้มั้ยว่าเด็กไทยสอบกันอย่างต่ำ 8 วิชาในหนึ่งฤดูกาลสอบ?
 

Hilda:
 

 

ก็นั่นแหละฮะท่านผู้ชม..
 
ขอทิ้งท้าย Chapter นี้ด้วยการ์ตูน meme สั้นๆ อีกอัน
 


 
แซวเล่นเฉยๆ นะครับ
Don't take it serious 5555555

0
BadCitizen 21 มี.ค. 58 เวลา 23:22 น. 12

Chapter 5:
Score system &; ระบบคะแนนและ.. 
 

การต้องเขียนถึงระบบคะแนนของแอดฯ ฟินแลนด์ ทำให้ผมสงสัยระบบการคำนวนคะแนน Admission ของไทยนี่เปนยังไง (อนึ่ง ผมอยู่ ม.5 กำลังจะขึ้น ม.6 ครับ ก็เลยไม่รู้) ลองไปเสิร์ชหาใน Google ดู ก็เจอกับเว็บนี้เข้าครับ

http://campus.sanook.com/exam/calculator/

ผมยังไม่ได้สอบแอดฯ ก็เลยไม่สามารถกรอกอะไรลงไปได้ แต่ดูเหมือนจะซับซ้อนนิดๆ นะครับถ้ามองจากภายนอก โชคร้ายหรือโชคดีก็ไม่รู้ที่เด็กฟินแลนด์ไม่ต้องใช้โปรแกรมนี้ เพราะหลังจากที่สอบเสร็จ สทช. ฟินแลนด์จะคำนวนคะแนนเกรดออกมาให้เด็กเรียบร้อยเลยครับ ก็มีแค่ 4 วิชาอะ แถมมีการสอบอยู่แบบเดียว ก็เลยคำนวนง่ายหน่อย

 
เนื่องจากคะแนนเต็มของแต่ละวิชามันไม่เท่ากัน คณิตศาสตร์อาจจะเต็ม 144 คะแนน, สุขศึกษา 69 คะแนน, ประวัติศาสตร์ 80 คะแนน, ฯลฯ ก็เลยมีการปันส่วนเกรดให้ออกมาอยู่ในรูปของตัวอักษรภาษาละติน วิธีคือคำนวนคะแนนที่ได้ต่อคะแนนเต็มของวิชานั้นๆ แล้วเฉลี่ยออกมาเป็นเปอร์เซ็น ช่องว่างระหว่างเปอร์เซ็นต์หนึ่งๆ ถึงเปอร์เซ็นต์หนึ่งๆ จะถูกแทนด้วยตัวอักษรภาษาละติน 1 ตัวครับ (เช่น คะแนน 86-94% ถูกแทนด้วยตัวอักษร E) งงกันมั้ยเนี่ย?
  

เกรดมีด้วยกันทั้งหมด 7 ตัวอักษรโรมันด้วยกันครับ เรียงลำดับจากเกรดต่ำสุดไปสูงสุดพร้อมคำแปลชื่อเกรดเป็นภาษาไทยได้ดังนี้
   

improbatur (I)

"ไม่อนุมัติ"

approbatur (A)

"อนมัติ"

lubenter approbatur (B)

"อนุมัติด้วยความยินดียิ่ง"

cum laude approbatur (C)

"อนุมัติพร้อมยกย่องสรรเสริญ"

magna cum laude approbatur (M)

"อนุมัติพร้อมพาไปเลี้ยงโต๊ะจีนฉลอง"

eximia cum laude approbatur (E)

"อนุมัติพร้อมสร้างอนุสาวรีย์ให้"

and laudatur (L)

"อนุมัติพร้อมให้รางวัลโนเบล + พาไปเที่ยวนอกโลก"

 

...

(สามอันหลังนี่เว่อร์ละ)
 

วิชาที่เด็กต้องสอบให้ผ่านมีอยู่ 4 วิชาใช่มั้ยครับ? ถ้าเด็กสอบไม่ผ่าน (ได้ I) ก็จะถือว่าการสอบครั้งนั้นล่มทันที ต้องแก้ตัวใหม่ฤดูกาลหน้า 


แต่ครับแต่.. 

  

คนอ่าน: โอ้ยยย ยังจะมามีต่งมีแต่อะไรอีก พอทีเถอะ!
 

การสอบตก "แค่" วิชาเดียวอาจจะไม่ทำให้งานล่มก็ได้

เพราะ.. เพราะ..

0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 00:27 น. 16

เพราะ..
มันมีระบบชดเชยเกรดครับคุณเอ้ยยย
!! 
 


 

อย่างที่ผมเคยบอกไปครับว่าถ้าสอบตกวิชานึง เด็กมีโอกาศแก้ตัวอีก 2 ครั้งในสองฤดูกาลสอบถัดไป (ผมว่าส่วนใหญ่เค้าก็คงแก้เกรดกันนั่นแหละ) แต่ถ้ามีเด็กบางคนเห็นโรงเรียนเป็นเรือนจำ (มีด้วยเหรอ?) รู้สึกไม่ชอบที่นี่อยากแรงเลยนิ อยากออกไปจากระบบนี้ไวไว ก็สามารถทำได้ครับ ด้วยความช่วยเหลือของระบบชดเชยเกรด
 

หลักการการทำงานของระบบชดเชยเกรดคือ เกรดทั้งหมดจะถูกนำมาคำนวนและนำไปเทียบกับเกรดของวิชาที่สอบตก นักเรียนคนนั้นต้องมีคะแนนเฉลี่ยสะสมจากวิชาอื่นมากเพียงพอที่จะเอามาชดเชยกับวิชาที่ตนเองสอบตกได้
 

Hilda: สมมติว่าไอสอบตก ได้เกรด I มาตัวนึง เกรด I ตัวนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 4 คลาสด้วยกัน คือ (เรียงจากดีสุดไปแย่สุด) 
 

I+

I

I-

และ I=
 

โดยที่ I แต่ละคลาสจะมีจำนวนคะแนนที่ตัวมันเองต้องการจากวิชาอื่น เพื่อเอามาชดเชยส่วนที่ขาดหายไปกำกับไว้ ตามนี้
 

I+ ต้องการคะแนนชดเชย 12 คะแนน

I ต้องการ 14 คะแนน

I- ต้องการ 16 คะแนน

และ I= ต้องการถึง 18 คะแนน
 

ส่วนเกรดจากวิชาที่สอบผ่านแล้ว

สามารถเอาชดเชยส่วนที่ขาดหายไปได้ตามนี้
 

L ชดเชยได้ 7 คะแนน

E ชดเชยได้ 6 คะแนน

M ชดเชยได้ 5 คะแนน

C ชดเชยได้ 4 คะแนน

B ชดเชยได้ 3 คะแนน

และ A ชดเชยได้ 2 คะแนน
 

Hilda: พูดไปอาจจะเห็นภาพไม่ชัดนัก มาดูตัวอย่างกัน

สมมติว่าไอไปสอบแล้วได้เกรดดังนี้
 

L, M, C และ I-
 

ไอต้องการคะแนน 16 คะแนนมาชดเชยเกรด I- ของไอ

ซึ่ง เกรดจากวิชาที่ไอสอบผ่านทั้งสามมีค่าตามนี้ L = 7, M = 5, C = 4

รวมทั้งสิ้น 7+5+4 = 16 คะแนน

ชดเชยได้พอดีเป๊ะเลย เท่านี้ก็แปลว่าไอสอบผ่านแล้ว

ง่ายมั้ยหละ?
 

ผม: ทำไมมันง่ายจังเลยวะยู?

Hilda:
 


 

0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 02:21 น. 18

ผมจะขยายความในส่วนที่เคยพูดถึงไปแล้ว-การสอบแก้ตัวใหม่ นะครับ หากเด็กที่นี่สอบตก เขาหรือเธอสามารถสอบแก้ตัวได้อีก 2 ครั้งใน 2 ฤดูกาลสอบครั้งถัดไป ซึ่ง ถ้าหากเขาหรือเธอคิดว่าวิชาที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันยากเกินไป การเปลี่ยนระดับความยากง่ายของข้อสอบแก้ตัวเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น
 

Hilda เป็นเด็กที่เก่งวิชาคณิตศาสตร์มาก เธอจึงเลือกสอบวิชาคณิตศาสตร์ Advance และภาษาเยอรมัน Intermediate อยู่มาวันหนึ่งเธอถูกดักตีหัวเอาเงิน (ตัวอย่างชั่วมาก 555) เธอหมดสติไป ตื่นขึ้นมาอีกที เธอพบว่าความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเธอหายไป เธอไม่สามารถทำโจทย์ของเด็ก ป.2 ได้ เพราะโจรใช้ไม้ตีเข้าไปที่สมองส่วนการคิดคำนวนของเธอพอดี แต่หลังจากการฟื้นคืนสติ เธอกลับพูดภาษาได้คล่องปรื๋อเหมือนเจ้าของภาษาซะงั้น เธอจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนไปทำข้อสอบ คณิต Very basic กับ เยอรมัน Advance แทน
 

แก้ความยากง่ายของข้อสอบแก้ตัวได้นี่ไม่เท่าไหร่ครับ..
เพราะ.. 

 
แก้เกรดวิชาที่สอบผ่านไปแล้วได้ด้วยครับพี่น้องงง!




 

เฮ้ย ผมพูดจริงนะ เด็กฟินแลนด์สามารถแก้เกรดวิชาที่ตัวเองทำผ่านไปแล้วได้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้งจนกว่าจะได้ใบประกาศนียบัตร (ก็แก้ได้สองครั้งนั่นแหละครับ) ซึ่ง ถ้าครั้งไหนทำเกรดได้ดีที่สุด เกรดจากการสอบครั้งนั้นก็จะถูกบรรจุลงในใบประกาศนียบัตร

 

ต่อครับ เด็กนักเรียนคนไหนก็ตามที่สอบแอดมิชชั่นทั้ง 4 วิชาผ่านแล้ว เขาหรือเธอสามารถกลับมานั่งทำข้อสอบ "เพิ่มเติม" จากของเดิมได้ครับ โดยวิชาที่สอบเพิ่มเติมได้นั้นจะต้องเป็นวิชาที่เด็กคนนั้นยังไม่เคยสอบมาก่อน หรือเป็นวิชาที่เคยสอบมาแล้วแต่อยากอัพระดับขั้นของความยากง่ายของมันขึ้น (เช่นตอนสอบๆ วิชาคณิต Basic มาคราวนี้อยากอัพเกรดให้มันเป็น Advance) หากสอบผ่าน ก็จะได้ใบ certificate ของวิชาแยกกับใบ certificate ของ 4 วิชาแรกครับ

0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 02:26 น. 19

Hilda: หากสอบแอดฯ ผ่าน ผู้เข้าสอบจะได้รับหมวกกัปตันใบนี้
 


 

เพื่อเป็นเครื่องหมายการันตีว่าพวกเธอสอบผ่านแล้วนะจ๊ะ 
 


 

พิธีจบการศึกษา
 


  

ไอเคยเห็นพิธีจบฯ ของไทย อลังการกว่านี้ประมาณ 3 ร้อยเท่า 555
 


 

Hilda: หมดหน้าที่ของไอตรงนี้แล้ว ขอตัวก่อนนะพวกยู บาย

0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 05:56 น. 20
ขอบคุณมากครับที่อ่านมาถึงตรงนี้

รู้สึกยังไงกันบ้างครับ? ถ้าหากใครมีข้อสงสัยประการใดที่อยู่นอกเหนือจากสิ่งที่อยู่ในกระทู้ สามารถโพสต์ถามผมได้ในช่องคอมเม้นต์เลยนะครับ ผมจะพยายามตอบคำถามให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะได้ครับ หากใครมีข้อติติง อยากวิจารณ์ (ด่าเลยก็ได้ ไม่ว่ากัน 55) หรืออยากเสนอแนะอะไรเพิ่มเติม ก็สามารถโพสต์ถามได้ในช่องคอมเม้นต์เช่นกันนะครับ 

 

 
แหล่งอ้างอิง:
 
- Wikipedia: Matriculation examination (Finland)
http://bit.ly/1DJ5SUl

THE FINNISH MATRICULATION EXAMINATION
http://bit.ly/1BjPTVS
 
The Finnish matriculation examination (ppt)
http://bit.ly/1LGQhJe
 
- คำบอกเล่าจากปากของอาจารย์และเด็กนักเรียนฟินแลนด์หลายคน


0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 06:48 น. 21
Chapter พิเศษ:
เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

ผมมั่นใจว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่, หลังจากที่ได้สัมผัส "เศษเสี้ยวความสำเร็จ" ของระบบการศึกษาฟินแลนด์แล้ว มีคำถามผุดขึ้นมาในใจมากมาย มันอาจเป็นคำถามง่ายๆ (เชิงตัดพ้อดราม่าชะตาชีวิตเฮงซวย) อย่าง "โอ้ยย เมื่อไหร่ไทยจะได้ใช้ระบบดีๆ แบบนี้มั่งเนี่ย?" , "อีก 10-20 ปีข้างหน้า ถ้าชั้นมีลูก ลูกของชั้นจะได้ทำใช้ระบบนี้มั้ยเนี่ย?" , "อยากเกิดเป็นเด็กฟินแลนด์ต้องทำไงฮะ?" (555) จนไปถึงคำถามลึกซึ้งชวนขบคิดอย่างคำถามที่ว่า 

"อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถรับเอาระบบการสอบดีๆ แบบนี้มาปรับใช้ได้?"
 
คำถามดูเหมือนจะเรียบง่ายนะครับ แต่ตอบได้หลายอย่างเลย
เพราะอะไรหละ? อะไรคือสาเหตุกันแน่?
เรามาลองหาคำตอบไปพร้อมๆ กันดีกว่า
 
สิ่งที่ผมคิดมันอาจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้นะ คุณไม่ต้องเชื่อผม ขอแค่เอาคำที่ผมพูดไปนั่งคิด นอนคิด หรือตีลังกาคิดต่อยอดก็พอ
 
สาเหตุที่ประเทษไทย
ไม่สามารถรับเอาระบบการสอบดีๆ แบบนี้มาปรับใช้ได้

1. ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และฐานะของคนในประเทศ
ในบรรดาปัญหาทางด้านการศึกษาทั้งปวง ความเหลื่อมล้ำนี่แหละครับคือบอสใหญ่ที่เป็นเจ้าแห่งปัญหาทั้งปวง พิษสงของความเหลือมล้ำทำให้คนไทยเข้าถึงการศึกษาได้แตกต่างกันครับ คนฐานะดี คนที่อาศัยอยู่ในเมือง ย่อมมีโอกาศเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาได้มากกว่าคนฐานะยากจนกว่า ที่มักจะอาศัยอยู่ในเขตต่างจังหวัดของประเทศเป็นส่วนใหญ่ (สาเหตุที่คนฐานะยากจนมักจะอาศัยอยู่ในชนบทต่างจังหวัด เป็นเพราะการกระจายรายได้ที่ไม่ทั่วถึง) และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ รัฐไม่สามารถจัดหาการศึกษาที่เหมาะสมให้กับคนฐานะยากจนเหล่านี้ได้ (โรงเรียนดีๆ โรงเรียนดังๆ มีแต่อยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่) หากลองเปรียบเทียบกับฟินแลนด์ ประเทศที่สามารถขจัดปัญหานี้ไปได้นานแล้ว จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด   
 
ยกตัวอย่างเช่นเมืองที่ผมอาศัยอยู่ก็ได้ เมืองผมมีประชากรรวมกันทั้งสิ้น 3,000 กว่าคน น้อยโคตรๆๆ แต่โรงเรียนดีมากครับ ไม่ด้อยไปกว่าโรงเรียนอื่นๆ ในฟินแลนด์เลย เพราะรัฐมีความสามารถมากพอที่จะจัดหาสวัสดิการทางการศึกษาให้คนในทุกพื้นที่ได้ ไม่มีความเหลื่อมล้ำในแต่ละพื้นที่ (ลองคิดกลับกันเป็นประเทศไทยดู หน้าตาของโรงเรียนในหมู่บ้านต่างจังหวัดเล็กๆ ที่มีประชากรแค่ 3000 คนดู มันจะมีหน้าตาเป็นยังไง) ทุกคนได้ของเหมือนๆ กันหมด สรุปสั้นๆ ก็คือเค้ารวยครับ เศรษฐกิจประเทศเค้าดี เค้าถึงทำแบบนี้ได้ บ้านเราทำไม่ได้เพราะเราไม่รวยเท่าเค้า และการที่จะรวยและสามารถเดินตามรอยเค้าได้-เป็นเรื่องที่ยากโคตรๆ ครับ ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ยังไงๆ ก็ไม่มีทางแก้ให้หายภายในวันเดียวได้ 

เราก็ต้องก้มหน้าก้มตาและยอมรับความจริงข้อนี้กันไป
โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย




เดี๋ยวมาต่อนะครับ


0
Runner 22 มี.ค. 58 เวลา 11:38 น. 26

อยากขอ contact กับ จขทก. ได้ไหมครับ
ผมสนใจด้านการศึกษา เพื่อไว้แลกเปลี่ยน discuss อะไรแบบนี้ T____T

0
@kittiphum 22 มี.ค. 58 เวลา 11:58 น. 27

สุดยอดมากครับ อยากรู้จังว่า เด็กพิการ คนพิการที่โน่นเขาเรียนกันยังไงครับ
อย่างผมคนพิการ เข้าเรียนกับคนปกติไม่ได้ ตามต่างจังหวัด ก็อาศัยเรียน กศน เอาจนจบ

0
tapnrae 22 มี.ค. 58 เวลา 12:17 น. 29

ที่อ่านมาสนุกมากค่ะ เหมือนได้บินไปในโลกส่วนตัว 55555
หมีบราวน์ก็น่าตบดี
ไม่เห็นด้วยอยู่อย่าง = =;; ที่เวลาสอบหรือเรียนเด็กไทยแต่งชุด นร แต่ฟินแลนด์แต่งยังไงก็ได้ เอาจริงๆ ขนาดบังคับเด็กไทยให้แต่งชุด นร ยังพยายามไปย้อมสีผม กระโปรงสั้น คอนเทกเลนส์ นั่นนู่นนี่ (อยู่ ม.ปลาย ค่ะเห็นมาหมด 555) ถ้าให้อิสระลองคิดดูสิคะจะขนาดไหน -_- ประเทศเค้าปล่อยเด็ก แต่เด็กก็มีจิตสำนึกว่าอะไรควรไม่ควรจริงมั้ย เรื่องนี้คงต้องปรับอีกหลายปีค่ะบอกเลย เพราะประเทศเค้าอยู่แบบนี้มาตั้งแต่ปู่ของปู่ของปู่
แต่ไม่ได้บอกว่าทั้งหมดเป็นนะ เชื่อว่าเด็กหลายๆ คนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้

0
เงารางเลือน 22 มี.ค. 58 เวลา 12:23 น. 32

สุดยอดเลยค่าาาาา เขียนได้สนุกและน่าติดตามมากกกก เล่นซะอยากย้ายไปอยู่ฟินแลนด์ใช้ระบบการศึกษาแบบนั้นเลย เลือกข้อสอบได้ แก้คะแนนได้ เป็นอะไรที่ฟินมากกก ข้อสอบในฝัน *0* (ช้าไปแล้วล่ะเอ็ง เจอแบบไทยๆไปหมดแล้วนี่T_T)

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ :)

0
FBNDY 22 มี.ค. 58 เวลา 12:35 น. 33

เป็นกระทู้ที่ดีมากเลยค่ะ อ่านแล้วสนุกมาก รออ่านต่ออยู่นะคะ (รีบอัพๆ)
 

0
ปลาวาฬ 22 มี.ค. 58 เวลา 12:48 น. 34

อ่านจบแล้วอยากไปเรียนต่อต่างประเทศเลยอะ555555
ขอบคุณจขกท.นะฮะที่เขียนมาให้อ่านกัน

ปล.ชอบสำนวนการเขียนของจขกท.มากเลย
ปลล.ชอบภาพประกอบมาก5555555

0
มินิมิ้นท์ 22 มี.ค. 58 เวลา 12:55 น. 35
เป็นอีกหนึ่งกระทู้ที่น่าสนใจมากค่ะ

ขอบคุณ จขกท. ที่ช่วยเปิดโลกระบบการศึกษาในต่างแดนให้คนไทยได้รับรู้ถึงความแตกต่าง (และความกากของไทย) ได้มากขึ้น TwTd
0
` Syria ๑๓™ 22 มี.ค. 58 เวลา 13:15 น. 36
อ่านแล้วอยากไปเรียนที่ฟินแลนด์เลย

ระบบแอดมิชชั่นของไทยลำบากไม่พอยังกดดันให้เด็กเครียดและอยู่กับความเสี่ยงมากว่าจะติดหรือไม่ติด

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

มีเนื้อหาไม่เหมาะสม

countingstar 22 มี.ค. 58 เวลา 14:01 น. 38

มันส์มากขร่ะ...

เจ้าของกระทู้ตั้งเป็นเขียนนิยายดีกว่าป่ะ ละมาเขียนเป็นตอนๆ ตอนแอดมิชชั่นฟินแลนด์พาร์ท1 2 3 ตอนต่อไปอาจจะส่องกิจกรรมยามว่างของเด็กฟินแลนด์ ตอนต่อไปชมรมเป็นไงบ้างหนอ
ถ้าตั้งเป็นแบบเขียนนิยายมันเขียนเป็นตอนได้ ไม่ต้องมาเขียนกระทู้แล้วต่อคอมเม้น คนเขียนก็ง่าย คนอ่านก็สะดวก

เห็นเจ้าของกระทู้อยากได้คำแนะนำนะครัช มาเต็ม 555
ปีหน้าเราก็จะ ม.6 ละ เป็นเด็กแอดปี 59
เดะมาเล่าประสบการแอดไทยให้เจ้าของกระทู้มั่งดีป่ะ
ปี 59 ปรับใหม่ไฉไลกว่าเดิม เคลียร์ริ่งเฮ้าส์พร้อมกันขร่ะ
จะปรับไรยังไม่ค่อยชัดเจนเลย
น่าจะปวดหัวดี555555555555555


0
Pookie_Cookie 22 มี.ค. 58 เวลา 14:44 น. 42

ดีอ่ะ ดีมากกกก
ทำไมมันดีอย่างเน้!!
เบื่อระบบการศึกษาไทย แบ่งชนชั้นซะเหลือเกิ้นนน
โง่เลขยังต้องเรียนวิทย์คณิต
เพราะญาติๆบอกว่ามันเป็นสายกลางเลือกได้เยอะ ไม่เลือกก็หาว่าเราโง่
ทำไมว้าาาาา เรียนอะไรก็เก่งได้เหมือนกันแหละ เก่งในแบบที่เราถนัด แต่สังคมเรามันไม่ได้เป็นงั้นไง เขาถือว่าการที่เรียนอะไรวิชาการๆกว่าเก่งกว่า
เรียนไปก็ไม่ได้ทำให้สกิลสายวิทย์ที่มีอยู่น้อยนิดดีขึ้นเล้ยยย
สุดท้ายสอบเข้ามหาลัย ก็เห็นเพื่อนๆหลายคนสายวิทย์ ลงคณะ มนุษย์ บริหาร ศิลปกรรม กันให้วุ่น เราด้วย T T 
ถ้าเลือกขั้นวิชาได้แบบฟินแลนด์คงดีมากอ่ะ
เลือกได้ว่าวิชาไหนเราไม่ถนัดก็ลงแบบเบาๆไป
วิชาไหนถนัดก็แอดวานซ์ เรียนในแบบที่เราเป็น ไม่ต้องแบ่งสายแบ่งชั้นให้มันวุนวาย
การเรียนการสอนมีคุณภาพ ให้เวลานักเรียนพักเยอะดีอ่ะ มีเวลาหาเงินใช้เองเรียนรู้ที่จะทำงานด้วยตัวเองจะได้รูั้ว่าเงินแต่ละบาทมันหามายากแค่ไหน ไทยนี่เรียนทั้งปี แบเงินขอเงินผู้ปกครองไปวันๆ เวลาเรียนบอกไม่เข้าใจถามได้แต่พอถามหน้านี่บูดซะยิ่งกว่าอะไรอยากรีบสอนรีบเสร็จ เวลาสอนก็สอนอย่างกับอ่านในหนังสือให้ฟัง สั่งการบ้านแบบกองเท่าภูเขาภายใน1วัน ไม่ส่งพรุ่งนี้เอะอะหักคะแนน ไอ่เราโง่เลข กดดันให้เราต้องลอกเพื่อนมาส่งเพราะทำไม่ทัน ลอกบ่อยๆเข้า ก็เริ่มจะโง่ขึ้นทุกวัน  

แค่อยากจะบอกว่าแม้ตัวเราเองก็มีส่วนเหมือนกันที่ไม่พยายามมากกว่านี้แต่การศึกษาไทยคงต้องยอมรับว่าหลายๆอย่างที่เราพูดมามันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ค่าเฉลี่ยคะแนนักเรียนไทยมันน้อยซะเหลือเกิน 
ไม่ต้องมาอ้างถึงพวกโอลิมปิกเก่งๆทั้งหลาย คนเป็นล้านมันต้องมีคนเก่งๆปนอยู่อยู่แล้ว แต่ไม่แปลกใจเหรอคะ ว่าทำไมคนเหล่านั้นมันน้อยเหลือเกิน
แทนที่จะภูมิใจกับคนไม่กี่คนที่เก่งโคตร
มาหาทางแก้ไขปัญหาคนอีกกี่แสนคนที่เรียนไม่ดีดีกว่ามั้ย
ถ้าการศึกษาไทยพร้อมจะปรับปรุงไปในทางทีดีจริงๆ
ก็เชื่อว่านักเรียนก็พร้อมจะเปิดรับและตั้งใจปรับตัวไปพร้อมๆกับการพัฒนานะคะ ^^



0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 15:00 น. 43
มาต่อแล้วครับ รอกันนานมั้ยเอ่ย
ปัญหาข้อต่อไป
 
2. มีเงินแต่ไม่รู้จะใช้มันยังไงดี 
 
เมื่อนานมาแล้วผมเคยอ่านกระทู้จากเว็บไซต์การศึกษาชื่อดังแห่งหนึ่ง เอางบประมาณประจำปีของกระทรวงศึกษาธิการมาชำแหละ และเปิดเผยต่อสาธารณะชนว่างบประมาณส่วนนี้เอาไปใช้ทำอะไรบ้าง และประชาชนได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนจากการใช้งบก้อนนี้ ฯลฯ สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ประเทศไทยลงทุนไปกับการศึกษาเยอะมากครับ งบประมาณที่รัฐบาลไทยลงทุนไปกับการศึกษาเพิ่มมากขึ้นๆ ทุกปีตลอดหลายปีที่ผ่าน แต่เหตุไฉนอะไรๆ ก็ดูเหมือนเดิม ความก้าวหน้าไม่มีให้เห็นเป็นรูปธรรม แถมเรายังได้ยินปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ วกไปวนมาทุกปี 
 
"แฉ! นโยบาย xxx ต้นเหตุการศึกษาตกต่ำ" 
"ชี้! เด็กไทยกว่า 60% ทำโน่นทำนี่ไม่ได้"
"คะแนน xxx ตกต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี" 

 
มีอีกเยอะ..
 
เงินเยอะขึ้น แต่คุณภาพเท่าเดิม (จริงๆ อยากใช้คำว่าแย่ลงนะครับแต่เกรงใจ อุ้ย.. พูดไปซะแล้ว) ก็แปลว่างานล่มหนะสิครับพี่น้อง! สาเหตุหลักน่าจะมาจาก "ผู้มีอำนาจ" ทั้งหลายในกระทรวงศึกษาธิการนี่แหละ พวกเขาเหล่านี้ผู้มีอำนาจในการตัดสินชะตาของเด็กไทย (เอาจริงๆ คือ "ชะตาของประเทศไทยในอนาคต" นะ) พวกเขามีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในผลิตการบุคลากรทรงคุณค่าของประเทศชาติอยู่ในมือ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้จะใช้มันยังไงให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะพวกเขาใช้มันไม่เป็นนั่นเอง
 
คนที่เคยมาดำรงตำแหน่งสูงๆ ในกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนมากเป็นนักการเมืองครับ ไม่ใช่ "นักการศึกษา" พวกเขาจึงเบลอๆ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับกระทรวงที่อยู่ภายใต้การดูแลของตัวเองดี อารมณ์เหมือนให้สิงโตมาจับปลานั่นแหละ การให้คนที่เหมาะกับงานประเภทหนึ่ง มาทำงานอีกประเภทหนึ่งที่ตัวเองไม่ถนัด เป็นสิ่งที่ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วครับว่าคาดหวังอะไรไม่ได้มาก แต่ถามว่ามันเป็นความผิดของนักการเมืองท่านนั้นๆ ที่บังเอิญได้มานั่งเก้าอี้ประธานกระทรวงหรือเปล่า? ก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอกครับว่าใช่ เพราะทุกๆ รัฐบาลที่ผ่านมา พอมีการเลือกตั้งให้พรรคใดพรรคหนึ่งเข้ามาเป็นรัฐบาล พรรคนั้นๆ ก็จะเอาคนของพรรคตัวเอง (นักการเมือง) เข้ามานั่งเก้าอี้บริหารงานกระทรวงต่างๆ โดยที่อาจจะเผลอมองข้ามหรือไม่สนใจว่าคนที่ตนเองแต่งตั้งให้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้เนี่ย รู้เรื่องการศึกษาแบบจริงๆ จังๆ หรือเปล่า? เป็นนักการศึกษาหรือเป็นแค่นักการเมือง? 
 
แล้วใครเลือกพรรคการเมืองเหล่านี้เข้ามาเป็นรัฐบาลหละ?
ถูกต้องแล้วคร้าบบบบบบบ คนไทยทุกคนนั่นเอง 
ดังนั้น จะมาบอกว่ามันเป็นความผิดของคนสองคนนี่ คงจะไม่ใช่แล้วหละครับ
อิอิ

 
ปล. ผมไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงนะครับว่ารัฐบาลของอดีตนายกฯ คนไหนทำให้เกิดปัญหามากมายต่างๆ เหล่านี้ เพราะจริงๆ แล้วก็ทุกรัฐบาลนั่นแหละครับ มีส่วนต้องรับผิดชอบกับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดเลย เพราะปัญหามันมีมาตั้งนานมากแล้วครับ นานกว่าพวกเราจะเกิดซะอีก ปัญหาการศึกษามีมานานแล้วไม่ได้พึ่งมี ไม่ได้มีรัฐบาลไหนพึ่งทำให้มันเกิดขึ้นซะหน่อย จริงมั้ย? 
 
ซึ่งปัญหานี้มันลิ้งค์กับปัญหาข้อต่อไปครับ นั่นคือ..

0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 15:07 น. 45
3. ความไม่ต่อเนื่องทางนโยบาย
และนโยบายแบบประชานิยม 

 
เมื่อมาเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศใด ก็ต้องเรียนประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นใช่มั้ยครับ ผมลองศึกษานโยบายทางการศึกษาของประเทศนี้ดู พบว่า รัฐบาลของฟินแลนด์เริ่มลงทุนเงินก้อนโตไปกับการศึกษาตั้งแต่ยุค 1960s! หรือ 50 กว่าปีที่แล้ว มีปฏิรูปการศึกษาหลายครั้ง ปรับเปลี่ยนนโยบาย ทดลองวิธีการสอนแบบใหม่ๆ ค่อยๆ craft จนได้ออกมาเป็นระบบที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน คือฟินแลนด์นี่ก็ใช่ว่าจะดีมาตั้งแต่ต้นนะครับ แต่ก่อนมีการแยกเด็กเก่งกับเด็กอ่อนออกจากกัน ด้วยความเชื่ออะไรบางอย่างของคนยุคนั้น ก่อนจะมาค้นพบในภายหลังว่านโยบายนี่มันไม่เฟี้ยวเลยหวะนาย ยกเลิกเหอะ (หาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายนี้ได้ตามเน็ตนะครับ) ที่มีการใช้ระบบ, นโยบายที่มีความต่อเนื่องมาหลายสิบปี เป็นเพราะ มีการส่งต่อนโยบายทางการศึกษาจากรัฐบาลนึงไปสู่รัฐบาลนึง ประมาณว่าพวกข้าทำไว้แบบนี้ดีแล้วเว้ย พวกเอ็งไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมากหรอก

ประเทศไทย.. นอกจากจะไม่ต่อเนื่องแล้ว บ้านเราดูเหมือนจะชอบระบอบของชาวมองโกลซะด้วย เคยศึกษาประวัติศาสตร์ชนเผ่านี้มั้ยฮะ เจงกิสข่านอะไรนั่นหนะ เผ่านี้ทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง เวลาไปบุกไปยึดเมืองไหนก็อย่าหวังว่าจะมีอะไรเหลือ เพราะพวกเขาเป็นชนเผ่าที่มาจากทุ่งหญ้าครับ เขาอยากเห็นดินแดนที่ตัวเองไปยึดมาได้มีลักษณะเหมือนทุ่งหญ้า ก็คือไม่มีอะไรเลยนั่นเอง ไม่มีตึกไม่มีเมือง #รัฐบาลไทยก็เช่นกัน เมื่อผู้ปกครองใหม่มาแทนที่ผู้ปกครองเก่า ก็ต้องทำลายสัญลักษณ์ที่มีความเป็นผู้ปกครองเก่าทิ้งไปทั้งหมด แล้วเอานโยบายที่ตัวเองคิดว่าเจ๋งที่สุดมาแทนที่ ทำให้นโยบายของบางรัฐบาลที่อาจเป็นผลดีต่อนักเรียนหายสาบสูญไป แถมยังมีอะไรใหม่ๆ จากรัฐบาลใหม่ๆ มาให้ อู้วว ว้าวว กันอีกด้วย  

 
อย่างที่ผมบอกไปว่าคนที่บริหารงานในกระทรวง ส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองครับ สิ่งที่นักการเมืองต้องการคืออะไร? ก็การซื้อใจประชาชนไงครับ ทำยังไงก็ได้ให้ประชาชนชอบพรรคของตน เพื่อที่พรรคของตนจะถูกเลือกกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้งในสมัยหน้า วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะซื้อใจประชาชน ก็คือนโยบายประชานิยมนี่แหละ ตัวอย่างที่เห็นกันเร็วๆ นี้ก็คือแท็ปเล็ตนั่นเองครับ ตอนที่ผมเห็นนโยบายนั้นเป็นครั้งแรก ผมรู้แล้วหละว่ามันจะล่ม แล้วมันก็ล่มจริงๆ ด้วย เนื่องจากไม่มีการวางแผนงานที่รัดกุมพอ ไม่มีการทดลองใช้กับเด็กกลุ่มตัวอย่างก่อน แท็ปเล็ตไม่ได้คุณภาพ ฯลฯ สุดท้ายก็เจ๊งครับ เสียเงินและไม่ได้อะไรขึ้นมา (และหากย้อนกลับไปศึกษาในหลายๆ รัฐบาลก่อนๆ ก็จะพบนโยบายแนวๆ นี้อีกเช่นกัน) นโยบายแบบนี้ไม่มีผลดีใดใดต่อการศึกษาเลย เงินที่ควรจะถูกใช้ไปกับอะไรดีๆ ต้องหดหายเพราะอะไรแบบนี้แหละ น่าเศร้ามากครับ
 


 และนั่นก็เหตุผลสามข้อสั้นๆ ในความคิดของผม
ที่อธิบายว่าทำไมการศึกษาบ้านเราถึงย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหนซักที
(จริงๆ มีเยอะกว่านี้อยู่มั้ง แต่คิดไม่ออกแล้วครับ 555)
0
-Bonjour- 22 มี.ค. 58 เวลา 15:10 น. 47

อ่านแล้วคือ... ไม่จบไม่เลิกอ่านอ่ะ 555
รูปฮามาก... บางอันนี่คือลั่นอ่ะ 5555

ฟินแลนด์มีอะไรดีๆมากมายเลยค่ะ บางอย่างนี่ทำเอาเรายิ้มได้ขึ้นมาเลย...
ส่วนตัวก็คิดว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่น่ารักมากๆเลย

ไม่แปลกใจที่เป็นประเทศที่ดีเป็นอันดับต้นๆเลยจริงๆ

0
ไรจิน 22 มี.ค. 58 เวลา 15:21 น. 48

อยู่ที่นั่นสามารถสื่อสารกับคนอื่นด้วยภาษาอังกฤษได้ร้อยเปอร์เซนต์ปะครับ เพราะ จากที่อ่านมาภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางเลือกของเค้านิ เค้ามีภาษาประจำชาติของตัวเองอยู่แล้ว.
ปล. อยากเห็นหน้าฮิลด้า 5555555

0
ploysuwannarak 22 มี.ค. 58 เวลา 16:05 น. 49

เลอค่ามากค่ะ จขกท การ์ตูน meme อย่างฮาาาาา
ป๋มนี่ อยากไปฟินแลนด์เลยฮร้าาาาาาาา
จะรออ่านตอนต่อคร้าาาาาาาา

0
MoRiN_Khur 22 มี.ค. 58 เวลา 16:08 น. 50

... อันที่จริงแล้ว ประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิส่วนบุคคล "เรื่องการแต่งกาย" ก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นด้วยครับ มันมีวิธีคิดแบบนี้ " แม้เราจะไม่ชอบรสนิยมการแต่งตัวของคนอื่น แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปห้ามใคร " แม้จะรู้สึกขัดใจเรา แต่ปัญหามันก็อยู่ที่เรา เพราะเราเลือกที่จะไปสนใจเอง ตัดสินเขาเอง การเหยียดรสนิยมของคนอื่นด้วยวาจา หรือร่างกายก็ถือว่าละเมิดสิทธิแล้ว แต่การที่ผู้หลักผู้ใหญ่มาตัดสิน และกำหนดข้อบังคับในทุกๆบริบท แม้กระทั่งรสนิยม นั่นเรียกได้ว่าเป็น "การทำลายสิทธิเสรีภาพ" ครับ

ผมเข้าใจนะว่า คุณแทบจะไม่ได้นึกถึงเรื่องการแต่งตัวของคนอื่นเป็นเรื่องสิทธิใดๆ เพียงแค่ห่วงสังคมปัจจุบันที่ "กระแสนิยมกำลังทำลายสังคมอันดีงาม" แบบที่คนหัวคิดอนุรักษ์นิยมเขาพูดกัน การมีเจตนาที่ดีต่อสังคมเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่วาทกรรมดังกล่าวนั้นเป็นเพียงมายาคติครับ

" เรากลัวอะไรกับการแต่งตัวหวือหวาของผู้หญิง? "

ทำไมเพศหญิงมักถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ การบอกว่า "ประเทศไทย หญิง ชาย เท่าเทียมกัน" อาจเป็นเพียงโฆษนาชวนเชื่อ หรือความเข้าใจผิดๆ สังคมไทยยังมีวิธีคิดที่เหยียดเพศ ซึ่งมาพร้อมกับแนวคิดจารีตนิยมไทย และเราไม่เคยตระหนักว่ามันเป็นการเหยียดเพศใดๆ

... " เพราะแต่งตัวโป๊ ยั่วยวนทางเพศ สมควรแล้วที่โดนโจรข่มขืน! "...

เรามักจะได้ยินแนวคิดนี้เสมอ หลังจากที่มีกระแสข่าวคดีการข่มขืน แต่ถึงกระนั้นหนึ่งในผู้ก่อคดีข่มขืนที่เป็นกระแสใหญ่ในอินเดียตอนนี้ ก็มีความเห็นทำนองคล้ายกันว่า " ไม่มีผู้หญิงดีๆที่ไหน ออกจากบ้านตอนกลางคืน และขัดขืนระหว่างการกระทำชำเรา " เมื่อเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ดี ก็สมควรแล้วที่จะถูกกระทำใดๆก็ได้ และห้ามขัดขืน นี่คือสิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์กับ BBC

... จริงหรือ? ที่ผู้หญิงทุกคนที่แต่งตัวดูมีเสน่ห์ทางเพศจะถูกข่มขืน และผู้ชายทุกคนบนโลกจะข่มขืนพวกเธอ ... คำตอบก็คือ มันไม่ใช่ประเด็นครับ ผู้หญิงที่แต่งตัวมิดชิดก็มีโอกาสถูกข่มขืนได้ (อย่างกรณีประเทศแถบอาหรับ) และผู้ชายบางคนที่อยู่ในสภาวะขาดสติ และมีวิธีคิดเหยียดเพศ อาจก่อคดีข่มขืน เพราะฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ผู้ก่อเหตุนั้นถูกต้องแล้วครับ วาทกรรม "ผู้หญิงแต่งตัวยั่วยวน เป็นผู้หญิงไม่ดี สมควรโดนกระทำชำเรา" เป็นเพียงอคติและการเหยียดเพศตามแบบฉบับนักอนุรักษ์นิยมสุดโต่งครับ

นอกจากนี้การส่งเสริม "โทษประหารชีวิต" สำหรับผู้ก่อคดีข่มขืน นั้นไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ (เพราะผู้ก่อเหตุมักอยู่ในสภาวะขาดสติ) ยังส่งเสริมให้พวกเขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าจำเป็นต้องฆ่าเหยื่อเพื่ออำพรางคดี ปัจจุบันนี้โทษประหารชีวิตค่อยๆถูกยกเลิกในหลายๆประเทศ เนื่องจากเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างหนึ่ง ในกรณีที่การตัดสินนั้นๆผิดพลาดหรือไม่เป็นธรรม เมื่อประหารชีวิต แล้วต้องการนำคดีมาพิจารณาใหม่ ก็ไม่สามารถรับผิดชอบต่อชีวิตที่สูญเสียไปได้

...

เราลองกลับมาคิดทบทวนในจุดที่ว่า ศีลธรรมอันดีแบบไทยๆ กำลังสอนเราให้มองคนอื่นแบบเหมารวมอยู่หรือเปล่า? บางครั้งสิ่งที่เรามองว่าอะไรไม่ตรงตามวิถีที่เราเชื่อกันว่าดีงาม เรามักถูกสอนให้ผลักสิ่งเหล่านั้นให้เป็นอื่น เป็นสิ่งที่น่ากลัว ต่ำช้า เสื่อมทราม ทั้งที่ไม่เคยเข้าใจความมีมิติที่หลากหลายของสิ่งเหล่านั้นเลย

... และการมองว่าให้อิสระมากๆ จะทำให้เด็กไทย ทำอะไรตามใจชอบ นอกกรอบความเป็นไทย แนวคิดนี้ผมค่อนข้างได้ยินบ่อย พูดกันจนเหมือนกับว่ามันจะกลายเป็นสามัญสำนึกไปแล้ว ทั้งที่จริงมันก็เป็นเพียงมายาคติแบบฝ่ายขวา อนุรักษ์นิยมสุดโต่งอีกเช่นเดียวกัน

คุณลองสังเกตว่า นางร้าย ในละครไทยมักถูกเขียนให้มีลักษณะตรงข้ามกับความเป็นกุลสตรีไทยอยู่เสมอ หรือการพาดหัวข้อข่าวด้านลบเกี่ยวกับผู้หญิง นั้นเป็นตัวอย่างการสะท้อนภาพจำและอคติของแนวคิดอนุรักษ์นิยมสุดโต่งได้ดี มันเป็นสิ่งที่ปลูกฝังเราเสมอว่า เมื่อเห็นผู้หญิงแต่งตัววาบหวิว บุคลิกไม่เรียบร้อย ดูไม่มีมารยาท จะต้องจำไว้เลยว่าเธอจะต้องหยาบคาย ใช้ชีวิตเปลือง โง่เขลา ไร้การศึกษา บ้าผู้ชาย ตบตีแย่งผู้ชาย จิตใจต่ำทราม และเป็นภัยต่อศีลธรรมอันดีของไทย

... ซึ่งถ้าเราได้ทำความรู้จัก และเข้าใจมิติอื่นๆของคนที่มีรสนิยม หรือเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากเราจริงๆ ไม่ใช่แค่ภาพจำจากที่สื่อไทยชอบผลิตซ้ำ เราอาจจะเริ่มคิดว่า อันที่จริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมองว่าเขาเป็นคนไร้วุฒิภาวะ ต้องกำกับดูแลในเรื่องเสรีภาพ หรือเป็นความเสื่อมโทรมของสังคม เพราะในความเป็นจริง ปัญหาความเสื่อมถอยอาจอยู่ที่มายาคติของสังคมไทยก็เป็นได้ครับ ...

0
ncnzxy_ 22 มี.ค. 58 เวลา 16:27 น. 52

พี่พูดภาษาฟินนิชได้มั๊ยอ่าาาา แล้วถ้าพูดไม่ได้จะมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ55-...-

0
-XiuMin_Oppa!- 22 มี.ค. 58 เวลา 16:40 น. 53

สกิลการเขียนของจขกท.นี่ใช้ได้เลยนะคะ ถึงจะยาวแต่ก็สนุกดี ชอบมากค่ะ

ปล. จขกท.น่าจะตั้งเป็นนิยายนะคะ เพราะว่าถ้าหากไม่มีคนกดเฟบไว้เยอะๆข้อความของจขกท.มันจะตกอะค่ะ เห็นจขกท.แบ่งเป็นแชปเตอร์พอดีเลยด้วย (แต่จขกท.เพิ่งจะเล่นก็ไม่เป็นไรค่ะ 55)

0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 16:45 น. 54

ขอบคุณที่แนะนำครับ ผมก็เพิ่งมารู้ตอนโพสต์ใกล้จะเสร็จแล้วอะว่ามันทำแบบนั้นได้ด้วย
น่าเสียดายเหมือนกันครับ 555


เสียใจ

0
NiZE_iNSTA 22 มี.ค. 58 เวลา 16:46 น. 56
   "คนในสังคมฟินแลนด์ถือคติว่าอาชีพทุกอาชีพมีคุณค่าเท่ากัน ไม่มีงานใดแย่กว่างานใด ที่แย่คือไม่มีงานทำ"

เด็ดตรงนี้แหละจ้าาาา  

    แน่นอนที่สุด! คติแบบนี้ไทยควรเอามาเป็นแบบอย่าง ไม่ให้ปลูกฝังค่านิยมผิดๆว่าอาชีพใคอาชีพหนึ่งดีที่สุด

และอีกอย่างที่ชอบที่สุดในระบบการศึกษาของฟินแลนด์ คืิอ เลือกความยากง่ายของข้อสอบได้ด้วยอ่ะ คือ มันดีงามมากกกก 55555
0
fenfern 22 มี.ค. 58 เวลา 16:49 น. 57

เราก็เคยสอบโครงการ YES เหมือนกันนน อาจารย์แนะนำให้เราเลือกฟินแลนด์เพราะระบบการศึกษามันดี แต่เพราะเรามีปัญหาเรื่องเงินด้วย ;0; เราเลยไม่ได้ไป (เราสอบได้ทุนไม่เต็มจำนวน)

0
22 มี.ค. 58 เวลา 16:55 น. 59

 เราชอบการเขียนของเจ้าของกระทู้นะคะ อ่านแล้วดูไม่เข้าข้างหรือไม่มองโลกในแง่ร้ายเกินไป
 
  
  อ่านเหตุผลของเจ้าของกระทู้ในหัวข้อ"สาเหตุที่ประเทษไทย
ไม่สามารถรับเอาระบบการสอบดีๆ แบบนี้มาปรับใช้ได้"
แล้วอยากจะกรีดร้องแล้วลุกขึ้นมาปรบมือ(?) มันตรงกับที่เราเห็นจริงๆนะ... 

เขียนกระทู้ได้ฮามากๆเลยค่ะ อธิบายง่าย ชอบมาก5555 นี่เขียนกระทู้แรกจริงๆหรอคะ!?!?
                อยากให้เจ้าของกระทู้มาแบ่งปันประสบการณ์ดีๆแบบนี้ต่อไป เป็นกระทู้ที่มีประโยชน์และเต็มไปด้วยรูปการ์ตูนจริงๆค่ะ...TwT

                     (ปล.เห็นรูปแล้วรู้สึกอยากใช้ด้วยเลย555)

0
pimphakan 22 มี.ค. 58 เวลา 17:00 น. 62

อ่านจบเว้ยยยยยยยยยยยยยย    ดีใจมาก 555555 รู้สึกอิจฉาเด็กฟินเเลนด์มากเลยอ่ะ แต่เด็กไทยอย่างเราก็คงต้องก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป แต่เราสัญญากับตัวเองแล้วว่าต่อให้ระบบการศึกษาของไทยยังเป็นอย่างนี้อยู่ เราก็จะฝืนใจเรียนให้จบ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วพอโตขึ้นมีงานทำ หาเงินให้มากพอ เราจะย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ 55555555

0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 17:03 น. 63

ก็ไม่ยากมากนะครับ ถ้าสนใจก็ลองสมัครดูได้
โอกาศดีๆ แบบนี้ควรรีบคว้าไว้ (เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้แค่ 1 ครั้งในชีวิตนะเออ)

ถ้าฐานะทางบ้านพร้อม
ภาษาพร้อม
และทีสำคัญที่สุด.. ใจพร้อม
ก็ให้ลองดูซักตั้งครับ



เยี่ยม

0
CHABO_QUEEN 22 มี.ค. 58 เวลา 17:15 น. 65

พี่ไปนู่นพี่ก็ต้องพูดภาษาฟินนิชได้
แล้วก่อนพี่ไป พี่พูดได้อยู่แล้วหรือไปหัดเอาหรอคะ
แล้วถ้าเราเรียนอยู่ไทย แล้วมหาลัยค่อยไปต่อได้มั้ย

ถ้าไม่รบกวนมากไป ขอไอดีไลน์ได้มั้ยคะ หนูอยากถามพี่หลายเรื่องเบย

0
เฟธธี้ . 22 มี.ค. 58 เวลา 17:21 น. 67

กระทู้อ่านเพลินมากค่ะ ดูเยอะมาก
และไม่น่าเชื่อว่าเราจะอ่านจบได้จริงๆ 555555
อ่านจบก็ได้แต่อิจฉา ระบบการศึกษาฟินแลนด์ดีมาก
อยากให้ไทยเป็นแบบนั้นบ้าง ประเทศคงเจริญขึ้นมาก
แต่ปัญหามันก็อย่างที่จขกท.บอก เศรษฐกิจเราไม่ดีเท่าเขา
ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ถึงจะพัฒนาได้แบบนั้น

ปัญหาการศึกษาของไทยที่เรามองเห็นอยู่ตอนนี้
ส่วนตัวเราว่ามันเยอะนะ อาจจะเป็นเรื่องยิบย่อย แต่พอรวมกันแล้ว
กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยล่ะ ยกตัวอย่างเช่น
การสอบที่เยอะเกินไป คาบเรียนที่เยอะเกินไป
และปัญหาที่การสอนในโรงเรียนมันไม่เพียงพอที่จะไปสอบแข่งกับใครเขาได้
เด็กสมัยใหม่เลยนิยมเรียนพิเศษกันแทน ใครทุนเยอะ เรียนเยอะก็ได้ไป
อันนี้คือภาพรวมส่วนใหญ่ที่เด็กอย่างเรามองเห็นอ่ะเนอะ
ถ้าค่อยๆปรับไป เราเชื่อว่าระบบการศึกษาของไทยเราคงดีขึ้นได้สักวัน ^_^

0
shanowy 22 มี.ค. 58 เวลา 17:28 น. 68
ชอบความคิดของเจ้าของกระทู้ มากเลยค่ะ Chapter พิเศษ:เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? อธิบายได้มีสาระและน่าติดตามตั้งแต่chapterจนcommentสุดท้าย ขอบคุณที่มาแชร์มาประสบการณ์นะคะ อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ 
0
Moommimyhrean 22 มี.ค. 58 เวลา 17:33 น. 69

อยากไป USA ค่ะ... แฟนอยุ่นู่น แต่ไม่ได้ไปอยุ่กับแฟนนะ 555+ ไปต่อป.ตรี แต่เสียอย่างไปไม่ได้... จนค่ะ จบเลย...

0
HERCULE 22 มี.ค. 58 เวลา 17:35 น. 70

พูดได้คำเดียวค่ะว่า...

อิจฉามากกกกกกกกกกกกกก

คือแบบอะไรจะดีขนาดนี้ TT อยากไปฟินด์แลนด์เลยค่ะ

ได้เลือกเรียนสิ่งที่ตัวเองชอบ ต่างกับเรามากกกกกกกกกกก
ต้องเรียนวิชาที่ไม่ชอบเลย อยากเรียนวิชาที่ตัวเองชอบ ที่ตัวเองสนใจ
ในความคิดคือ ถ้าเรียนวิชาที่ตัวเองชอบ ยังไงก็ออกมาดี ไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษ ยิ่งเรียนก็ยิ่งเครียดกดดัน ถ้าทำคะแนนดีก็ถือว่ารอดไป ถ้าไม่ดีนี่สิ ฮืออออออออออออ

โอ้ยๆๆๆๆๆ อิจจจจจฉาาาาาาาาาาาาาาาาา


0
โหวตให้เลย 22 มี.ค. 58 เวลา 17:45 น. 72

ถ้าเจ้าของกระทู้ลงสมัครเลือกตั้งเมื่อไรบอกเราด้วยนะ จะรีบโหวตให้เลย 5555 รักเลย
คือความคิดดูมองการณ์ไกลมากๆ แถมไม่ได้เปรียบเทียบในเชิงลบเหมือนใครหลายๆคน ที่ชอบชมแต่ต่างประเทศแล้วอะไรก็ๆก็ด่าประเทศไทย ไม่อยากอยู่เมืองไทย อยากอยู่ต่างประเทศ หรือไม่ก็พูดประมาณว่าไม่น่ามาเกิดในประเทศไทยเลย อะไรประมาณนี้ ยังไงก็ขอชื่นชมค่ะ และหวังว่าประเทศไทยจะมีคนที่มาปฏิรูปกระทรวงศึกษาฯให้ดีได้สักครึ่งของประเทศฟินแลนด์เร็วๆนะคะ

0
14:03 22 มี.ค. 58 เวลา 17:57 น. 75
ขอบคุณนะคะที่เขียนบทความดีๆแบบนี้ขึ้นมา
ได้ความรู้เยอะเลย ได้อะไรกลับมาคิดเยอะอีกด้วย

ps.อยากให้ย้ายไปในหมวดนิยายค่ะ จะได้ตามอ่านเป็นตอนๆได้




0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 18:02 น. 77

พูดได้นิดหน่อยครับ
ถ้าพูดไม่ได้ก็ม่ใช่ปัญหามากเพราะคนที่นี่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเลยแหละครับ ถ้าเทียบกับชาวยุโรปชาติอื่นๆ

0
8765 22 มี.ค. 58 เวลา 18:07 น. 78

เป็นประโยชน์มากเลยคะ อยากไปเรียนเมืองนอกมั่งจัง แต่อายุเกินละ 5555

0
ครูไวว 22 มี.ค. 58 เวลา 18:08 น. 79

period คือไรวะ งงชิบ นี่แหละประเด็นที่ทำให้ไม่รุ้เรื่อง เหมือนพวกครูสอน คนไม่รุ้มันก้ไม่รุ้หรอก เหมือนยุ ม.1 พืชมีการ photosynthesis ไอสัทมิงบอกว่าสังเคราะห์แสงก้ได้ ต้องให้กรุไปจำเพิ่ม นี่ละชีวิต

0
K. Comander 22 มี.ค. 58 เวลา 18:17 น. 81

อยากให้อัพแบบนิยายได้ป่ะครับ มันยอดมากเลยครับ




สมกับ ชื่อ ฟินแลนด์ เลยครับ

มันสมควรแล้ว

แต่ในไทย คงต้องปรับหลายอย่างเลยล่ะ   ถึงจะดีเท่าเค้า


0
BadCitizen 22 มี.ค. 58 เวลา 18:30 น. 84

ผมมาเรียนแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมครับ ไม่ได้มาอยู่ยาว ดังนั้นภาษาจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร ไม่มีความคาดหวังว่าถ้ามาแล้วต้องได้ภาษา ผมเริ่มทุกอย่างที่นี่หมดเลยครับ ตอนนี้ก็ยังลูกผีลูกคน พูดได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะมันยากจริงๆ นะ ภาษาฟินนิชยากมากกกกกกก (ก.ไก่ x100) แต่คนที่นี่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรครับเวลาผมพูดไม่ได้ คนส่วนใหญ่ใช้ในประเทศนี้ใช้ภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีเลยเลยแหละ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะคุยกับคนไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าอยากมาอยู่ยาวนี่ก็อีกเรื่องนึงนะครับ ในกรณีนั้นก็ต้องได้ภาษาเขาแหละ ถึงจะเรียนได้

ส่วนที่ถามเกี่ยวกับจบไทยแล้วไปต่อมหาวิทยาลัยที่นั่น เป็นไปได้ครับ มีหลายมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนคอร์สภาษาอังกฤษ ลองหาในเน็ตเพิ่มเติมดูนะครับ

เยี่ยม

0
Lima Fracodesco 22 มี.ค. 58 เวลา 18:49 น. 85

พอถึงหน้าโน้ต อุดมนี่ รู้สึกเหมือนโดนคนฟินแลนด์เอารองเท้าผ้าใบจุ่มน้ำแล้วตบๆๆๆๆๆหน้าหลายร้อยทีกว่าจะแห้งเลย

ทำไมประเทศสอบx่า อะไรหนักหนาาาาาาาาาาาา เปลืองตังค์ก็เปลือง

0
Ordinary Everytime 22 มี.ค. 58 เวลา 19:07 น. 88

มันเหมือนใช้คำที่เราไม่รู้จักมาก่อนแล้วก็ทำให้เรางงเข้าไปอีก มันใช่เลยเจอแบบนี้ตลอด ใช้คำวิชาการเกิ๊น

0
Mayaa 22 มี.ค. 58 เวลา 19:30 น. 89

จขกท.เขียนสนุกดีค่ะ ติดอยู่อย่างเดียวคือพิมพ์ผิด...โอกาส เขียนแบบนี้นะคะ และส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบคำว่ากะเหรี่ยงโลกที่สามเท่าไหร่ แต่มันก็แค่ความรู้สึกเราคนเดียว ไม่ต้องสนใจก็ได้ค่ะ

0
Saisumpan 22 มี.ค. 58 เวลา 20:32 น. 92

อะไรนะ อะไรนะ อะไรนะ อะไรนะ
อาจเอาสูตรเข้าห้องได้
อะไรนะ อะไรนะ อะไรนะ 
555+
เชื่อเหอะ ประเทศไทยถ้าเอาสูตรเข้าได้ อย่างต่ำๆ ก็ 40 %
อ่ะ 150 อัพ

0
Moss 22 มี.ค. 58 เวลา 20:42 น. 93

ชอบการเขียนของเจ้าของกระทู้มากๆเลยครับ เยี่ยม

ปล.นักเรียนคงฟินสมชื่อประเทศจริงๆนะครับ

0
For you,Thailand 22 มี.ค. 58 เวลา 20:52 น. 94

ในความคืดผมน่ะ ไทยเราชอบคิดแบบมโนกันเองไม่ลืมหูลืมตาดูชาวบ้าน เช่นระบบการศึกษาเรา ต่อให้มีงานวิจัยอะไรออกมาเกี่ยวกับปัญหาจากการเรียนหนักและผลกระทบ ซึ่งก็เริ่มมีแล้ว ดต่การศึกษาเราก็ยังเหมือนเดิม เราชอบนิ่งเฉยกับปัญหา ไม่ใส่ใจ ไม่ยอมแก้ เราชอบมโนว่าแบบนี้ดีแล้ว เรียนเยอะๆจะได่เก่งแบบรวดเดียวโดยไม่สนว่าเด็กขะเครียดขนาดไหน ครูจะมีภาระขนาดไหน ผู้ใหญ่บ้านเมืองเราบางทีก็คิดว่าจะทำอะไรกได้ เพราะฉะนั้นเราทุกคนควรเป็นตัวผลักดันให้มีการแก้ปัญหา เลิกใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆได้แล้ว ไทยเราเองสามารถเป็นแบบฟินแลนได้ ถ้าเราไม่ช่วยกันผลกรรมจะตกที่ตัวเราเองทุกคน

0
lufen 22 มี.ค. 58 เวลา 21:23 น. 95

ชอบการเล่าแบบเจ้าของกระทู้มากๆเลยค่ะ อ่านเพลินจนจบไม่รู้ตัว อยากไปฟินแลนด์แล้วเพื่อไปพิสูจน์แบบจขกท จะลองพยายามใหได้ค่ะ

0
Omelett 22 มี.ค. 58 เวลา 21:32 น. 96
ชอบมากอ่ะ

เข้ามาอ่านแล้วอิจฉานร.ฟินแลนด์จัง..
อยากให้ประเทศไทยพัฒนาระบบการศึกษาจริงจังสักที แบบทำแล้วทำยาววววววววววววววว แบบต่อเนื่องไปเลยอ่ะ ไม่หวังให้เห็นผลเร็วใน5ปี10แล้วดีเหมือนฟินแลนด์นะ แต่คืออย่าน้อยก็ขอให้ดีขึ้น เพราะตอนนี้มันแย่ลงจริงTT

แชร์กระทู้ให้ไกล แล้วไปให้ถึง55555555

ขอบคุณจขกท.มากเลยน้าา
0
Fernery :) 22 มี.ค. 58 เวลา 21:36 น. 97

เลื่อนผ่านๆพูดเลย ยาวเจรง T^T แต่ก็ผ่านๆไง ก็พอจะแบบได้อ่านบ้างเว้ยคือสรุปง่ายๆคือมันดีงามพระราม4 ( cr. พี่โดมม ) 

0
boss2nd 22 มี.ค. 58 เวลา 21:48 น. 100

ผมขอถามนอกเรื่องนิดนึงนะครับผมสงสัยจากภาพในเนื้อหานี้แหละ
คือได้ปฏิทินการสอบ GAT PAT 9วิชาฯ onet ของปี59 จากไหนอะครับ ผมอยากเห็นชัดๆกว่านี้หน่อย
ขอบคุณล่วงหน้าครับเยี่ยม

0